กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 387.4 ฤดูใบไม้ผลิอีกปี
มุมอื่นของโรงเตี๊ยม สุยโย่วเปียนเป็นฝ่ายไปหาชุยตงซานด้วยตัวเอง ถามว่า “เจ้ามีวิชาลับในการบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตใช่หรือไม่?”
ชุยตงซานเพียงคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร
สุยโย่วเปียนถามเข้าประเด็น “เจ้าต้องการให้ข้าจ่ายด้วยอะไร?”
ชุยตงซานนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มองสตรีสะพายกระบี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูแล้วยิ้มบางๆ “ง่ายมาก ไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง”
สุยโย่วเปียนขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง?”
ชุยตงซานทำสีหน้ารังเกียจ โบกมือไล่คน “เรื่องแค่นี้ยังคิดไม่เข้าใจ แล้วยังกล้าจะใช้ร่างของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวมาบำรุงหล่อเลี้ยงตัวอ่อนกระบี่ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ในเร็ววันอีกรึ?”
สุยโย่วเปียนหมุนกายเดินจากไปด้วยใบหน้าประหนึ่งน้ำค้างแข็ง
ชุยตงซานไม่ถือสา คิดแล้วก็ไปยังที่พักของเว่ยเซี่ยน
จูเหลี่ยนกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนร้อยบุปผา ไม่อยู่ในห้องพอดี ประตูห้องไม่ได้ลงดาล ชุยตงซานจึงผลักประตูเดินเข้าไปโดยตรง
เว่ยเซี่ยนกำลังอ่านอักขรานุกรมท้องถิ่นและตำราประวัติศาสตร์ที่ทำขึ้นเองซึ่งซื้อมาจากข้างทาง เขาวางหนังสือลง ถามว่า “มีธุระรึ?”
ชายแขนเสื้อใหญ่ของชุยตงซานพลิ้วสะบัด พอเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ประตูห้องก็ปิดลงด้วยตัวเอง
ชุยตงซานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา กำเป็นหมัดเบาๆ “เจ้าเว่ยเซี่ยนไม่ดูขั้นตอน ดูแค่ผลลัพธ์ ในบรรดาคนทั้งสี่ เจ้าคือคนที่มีฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตกที่สุด แต่กลับเป็นคนที่ใกล้ชิดสัจธรรมแห่งหมากล้อมมากที่สุดโดยไม่รู้ตัว สักวันหนึ่งต้องมีหนึ่งหมัดของเจ้าที่ต่อยลงบนจุดอันตรายของร่างกายอาจารย์ข้า ไม่สู้ให้ข้าต่อยเจ้าให้ตายไปวันนี้เลยดีกว่า”
เว่ยเซี่ยนกล่าวอย่างเฉยเมย “คิดจะใส่ร้ายคนอื่น ย่อมไม่หน่ายจะหาข้ออ้างสินะ?”
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ภาพวาดภาพหนึ่งก็หล่นลงบนโต๊ะข้างกายเว่ยเซี่ยน และยังมีเงินเหรียญทองแดงแก่นทองอีกสามเหรียญ
ชุยตงซานก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัด “ฆ่าผิดก็ฆ่าผิดไปเถอะ ฆ่าจนขอบเขตเจ้าถดถอยจนถอยกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว รอจนอาการบาดเจ็บของอาจารย์ข้าหายดี ค่อยถือโอกาสฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตห้า ถึงเวลานั้นต่อให้เจ้าคิดอยากจะลงมือก็ทำไม่ได้แล้ว”
เว่ยเซี่ยนหัวเราะเสียงเย็น “ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า ความเสียหายจากการที่ขอบเขตของข้าถดถอยจะมากกว่า หรือการที่เจ้าสูญเสียความสัมพันธ์ฉันท์อาจารย์และศิษย์จะน่าอนาถยิ่งกว่า เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าภาพวาดนี้คือเวทอำพรางตาของเจ้าชุยตงซาน? เฉินผิงอันเป็นคนอย่างไร คิดว่าเจ้าน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ”
ชุยตงซานตกตะลึงเล็กน้อย เขาทอดฝีเท้าให้ช้าลง “ก่อนหน้านี้ดูแคลนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างเจ้าไปหน่อยจริงๆ พูดมาเถอะ พวกเราสองคนต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจว่าเจ้าเว่ยเซี่ยนต่างหากที่เป็นภัยร้ายซ่อนแฝงที่แท้จริง แต่เจ้าไม่ยอมลงมือสักที ข้าประหลาดใจอย่างมาก เป็นเพราะ…เผยเฉียนอย่างนั้นรึ?”
เว่ยเซี่ยนสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่พูดตอบโต้
ชุยตงซานคลี่ยิ้มแล้วนั่งลง “อาศัยโอกาสตอนที่สอนอาจารย์ข้าเล่นหมากล้อมแล้วช่วยทบทวนกระดานหมากให้เขา เกี่ยวกับเรื่องของพื้นที่มงคลดอกบัว ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ข้าก็ล้วนสอบถามมาหมดแล้ว หนึ่งในนั้นคือภูมิหลังความเป็นมาของคนทั้งสี่ในภาพวาดอย่างพวกเจ้า ขอแค่เป็นเรื่องที่เขารู้ ข้าก็รู้หมด เบาะแสใดๆ ที่เขาไม่สังเกต ข้าล้วนไม่ปล่อยผ่าน”
ชุยตงซานชี้ไปยังตำราประวัติศาสตร์ที่รวบรวมขึ้นเองเล่มหนึ่งบนโต๊ะ “เมื่อเทียบกับบันทึกประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นเองของคนรุ่นหลังในแคว้นหนันเยวี่ยนแล้ว ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นที่อำมหิตโหดร้ายคนนั้นของพวกเขารักองค์หญิงน้อยที่ตายไปตั้งแต่ยังเด็กมากที่สุด เพื่อนางแล้ว เขาถึงกับส่งผู้ที่งมงายในเรื่องของเซียนและอายุวัฒนะทุกคนในราชสำนักไปตามหาเซียน ถ้าเช่นนั้นในสายตาของเจ้าเว่ยเซี่ยน เผยเฉียนกับบุตรสาวของเจ้าคล้ายคลึงกันกี่ส่วน? หากสังหารเฉินผิงอัน เจ้าก็จะสามารถให้นางฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ในพื้นที่มงคลดอกบัว หรือไม่ก็อาศัยร่างของเผยเฉียนทำให้บิดาและบุตรสาวกลับมาพบกันใหม่อีกครั้งในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้? อืม บางทีเจ้าเว่ยเซี่ยนอาจจะตาย แต่ถึงอย่างไรนางก็สามารถมีชีวิตได้อีกหนึ่งชาติภพ ส่วนเรื่องที่ว่าจะได้อยู่ในแคว้นหนันเยวี่ยนอันเป็นมาตุภูมิหรือไม่กลับไม่สำคัญแล้ว ถึงอย่างไรญาติพี่น้องก็ล้วนเหลือเพียงโครงกระดูก ไม่แน่ว่าอยู่ในใต้หล้าไพศาลอาจจะประสบความสำเร็จมากกว่า ดังนั้นเจ้าเว่ยเซี่ยนจึงเลือกที่จะรออยู่เงียบๆ หวังจะปูทางให้นางได้มากกว่านี้ก่อน? สะสมทรัพย์สมบัติให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ให้นางพบจุดจบที่ต้องตายก่อนวัยอันควรอีกครั้ง? ดังนั้นจึงต้องฆ่าเฉินผิงอันให้ได้ เพียงแต่ว่าสมบัติมากมายบนร่างของเขา เจ้าก็ต้องการเช่นเดียวกัน จะได้เก็บไว้ให้เผยเฉียนคนใหม่ของเจ้าเป็นสมบัติในการฝึกตนวันหน้า?”
มือที่อยู่ใต้โต๊ะของเว่ยเซี่ยนกำเป็นหมัด
ชุยตงซานจุ๊ปากพูด “อาจารย์ของข้าพูดได้ดี ผู้อาวุโสท่านนี้มีมรรคกถาเลิศล้ำค้ำฟ้า คิดคำนวณทุกด้านอย่างรอบคอบ เขามอบพื้นที่ว่างในการเลือกให้แก่เฉินผิงอัน ให้แก่เผยเฉียนและให้แก่เจ้าตามกฎเกณฑ์ และยังวางแผนแห่งมหามรรคาไว้ในกฎเกณฑ์บางอย่างอีกด้วย”
เว่ยเซี่ยนเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจการเล่นหมากล้อม แต่วิชาหมากล้อมของท่านชุยสูงส่งอย่างแท้จริง”
จากนั้นเว่ยเซี่ยนก็ยิ้มกล่าวว่า “แต่หากต่อให้ตายอย่างไรข้าก็ไม่ยอมรับกับเฉินผิงอัน ท่านชุยจะทำอะไรได้?”
ชุยตงซานหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเว่ยเซี่ยนคิดว่าตัวเองเข้าใจเฉินผิงอันจริงๆ หรือ? ไม่พูดถึงวิชาลับเฉพาะบางอย่างของข้าที่สามารถกักขังวิญญาณเจ้าให้คายความจริงออกมาได้ ข้ากล้ายืนยันเลยว่า ขอแค่ข้าบอกคำอนุมานเหล่านี้แก่เฉินผิงอันไปตามตรง จุดจบของเจ้าเว่ยเซี่ยนก็น่าจะเป็น…ข้าใช้กระบี่บินวาดวงกลม อำพรางฟ้าดิน จากนั้นเขาเฉินผิงอันใช้ตบะในปัจจุบันต่อยให้เจ้าเว่ยเซี่ยนตายติดต่อกันสามครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่เป็นชีวิตนี้เจ้าเว่ยเซี่ยนจะไม่มีโอกาสได้พบคนที่เจ้าอยากพบที่สุดอีกแล้ว”
เว่ยเซี่ยนคลายหมัดที่อยู่ใต้โต๊ะ ตอบอย่างตรงไปตรงมา “เป็นเช่นนี้จริง”
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ชุยตงซานเรียกชื่อเฉินผิงอันออกมาตรงๆ ต่อหน้าคนสี่คนในภาพวาด
ชุยตงซานบังคับกระบี่บินเล่มนั้นให้วาดเป็นวงกลมแล้วก็หยิบเอาภาพม้าวิ่งออกมาคลี่เปิด หยิบช่วงหนึ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาออกมา ยิ้มกล่าวว่า “อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองย่อมนำทรัพย์สมบัติมาให้ ไม่เห็นจำเป็นต้องฆ่าแกงกัน จิตใจของเจ้าเว่ยเซี่ยนไม่เลว แต่เสียตรงที่วิสัยทัศน์คับแคบ มาๆๆ ข้าจะบอกตาแก่บ้านนอกอย่างเจ้าเองว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูได้เอาเศษกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตกองใหญ่มาตั้งใจประกอบให้เป็นคนมีชีวิตที่กระโดดโลดเต้นได้อย่างไร เบิกตาสุนัขของเจ้าให้กว้าง ตั้งใจดูให้ดี ข้าจะสอนให้เจ้ารู้ว่านอกจากนายท่านผู้เฒ่าจมูกวัวหน้าเหม็นในพื้นที่มงคลดอกบัวของเจ้าคนนั้นแล้ว ข้าชุยตงซานก็มีโอกาสจะทำให้เจ้าได้สมปรารถนาเช่นเดียวกัน ไม่กล้ารับรองว่าจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน แต่โอกาสก็มีมากกว่าที่ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นอย่างเจ้าจะใช้วิธีเสี่ยงอันตรายภายใต้เปลือกตาข้ากระมัง?”
ครึ่งก้านธูปต่อมา
เว่ยเซี่ยนลุกขึ้นยืน ก้มหน้ากุมหมัดไม่พูดไม่จา
ชุยตงซานเก็บภาพกาลเวลาม้าวิ่งไปแล้วก็ไม่ได้เปิดปากพูดอะไร
เว่ยเซี่ยนเงยหน้าขึ้น แต่ยังคงกุมหมัดเอาไว้ “ท่านก็คือราชครูต้าหลี ซิ่วหู่ ชุยฉานกระมัง?”
ชุยตงซานเลิกคิ้วขึ้น “ไม่เสียแรงที่เคยเป็นฮ่องเต้มาก่อน รู้เพียงน้อยนิดก็อนุมานไปได้กว้างไกล ฉลาดกว่าหลูป๋ายเซี่ยงไม่น้อย”
สายตาเว่ยเซี่ยนฉายประกายร้อนแรง “ใต้เท้าราชครูช่วยบอกข้าน้อยได้หรือไม่ว่า ต้าหลีที่มีอาณาเขตเล็กๆ สามารถเขมือบกลืนแผ่นดินครึ่งหนึ่งของทวีปได้อย่างไร?”
ชุยตงซานยิ้มคลุมเครือ “เจ้าอาศัยอะไรมาเรียกร้องกับข้าเช่นนี้?”
เว่ยเซี่ยนวางหมัดลง กลับไปนั่งที่เดิม “ก็อาศัยที่ใต้เท้าราชครูยินดีเปลืองน้ำลายพูดคุยกับข้าเว่ยเซี่ยนที่ต้องแพ้อย่างแน่นอนอยู่ในห้องนี้ บนร่างข้าย่อมต้องมีสิ่งที่ราชครูคิดว่ามีค่า วันนี้ไม่มี วันหน้าก็ต้องมี”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “เหล่าเว่ย เจ้าเป็นคนตรงไปตรงมาดีจริงๆ พูดคุยกับเจ้าแล้วไม่เหนื่อยใจ”
เว่ยเซี่ยนลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง
ชุยตงซานกลับโบกมือ “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดอะไร นี่ต่างหากถึงเป็นกุญแจสำคัญที่แท้จริงที่ทำให้เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของอาจารย์ข้า หากเจ้ากล้าคิดร้ายกับเผยเฉียนจริงๆ ขอแค่เอานางมาทำเป็นหุ่นเชิดแล้วเผยพิรุธออกมา เจ้าก็ต้องตายอย่างที่ไม่อาจตายไปได้มากกว่านั้นได้อีกแล้ว ไม่ใช่ข้าที่ฆ่าเจ้า แต่เป็นเฉินผิงอัน”
สายตาของชุยตงซานมืดลึก “เจ้ากำลังรอโอกาส เฉินผิงอันเองก็กำลังรอให้เจ้าลงมืออยู่เช่นกัน อาจจะเป็นเช่นนี้ หรือบางทีอาจจะไม่ใช่ แต่โอกาสที่จะใช่มีมากกว่า”
เว่ยเซี่ยนส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่เชื่อ”
ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย แหงนหน้ากล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงไม่รู้สินะว่าเฉินผิงอันเคยงัดข้อ เคยเล่นชักคะเย่อบนสภาพจิตใจกับคนแบบใดมาบ้าง ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าวิสัยทัศน์ของเจ้าเว่ยเซี่ยนคับแคบ”
เว่ยเซี่ยนถาม “ราชครูต้องการอะไรอีก?”
ชุยตงซานถอนหายใจ “บอกยาก ไว้รอดูอีกที จำไว้ว่าวันหน้าห้ามเรียกข้าว่าราชครู ตอนนี้ข้าเป็นศัตรูกับตัวเองครึ่งตัว”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง บนพื้นก็ปรากฏภาพแผนที่แจกันสมบัติทวีป คือภาพแผนที่ก่อนที่สกุลซ่งต้าหลีจะฮุบกลืนราชวงศ์สกุลหลู ชุยตงซานเดินไปบนจุดที่อยู่เหนือสุดของทวีป หัวเราะเสียงดังอย่างฮึกเหิม “อยู่ว่างๆ ก็น่าเบื่อ จะเล่าให้เจ้าฟังถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของข้าในปีนั้นก็แล้วกัน เล่าว่าข้าลงใต้อย่างไร ในอนาคตจะทำให้อาณาเขตของหนึ่งทวีปกลายเป็นแผ่นดินของหนึ่งแคว้นได้อย่างไร!”
……
หลังจากเผยเฉียนออกจากห้องไปแล้ว
เฉินผิงอันที่อยู่คนเดียวก็หลับตาทำสมาธิคล้ายเหนื่อยล้าเล็กน้อย
เขาลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่าง
ฤดูใบไม้ผลิของอีกปีกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
เฉินผิงอันฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนขอบหน้าต่าง คลี่ยิ้มมองออกไปข้างนอก
……
จวนตระกูลเซียนแห่งใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นบนภูเขาเมฆาเรือง คือที่พักสำหรับฝึกตนในปัจจุบันของเทพธิดาไช่จินเจี่ยน
จวนตั้งอยู่ติดกับหน้าผา การมองเห็นจึงเปิดกว้าง สามารถมองไปได้ไกลมาก
นางไล่พวกบ่าวรับใช้หญิงที่พรสวรรค์ในการฝึกตนพอใช้ออกไป ตัวเองนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองเพียงลำพัง ในมือถือม้วนภาพที่ไม่เคยเอาให้ใครดูมาก่อน
ตอนนี้ไช่จินเจี่ยนมีชื่อเสียงโด่งดังในภูเขาเมฆาเรือง หรือแม้แต่ในบรรดาพรรคและตระกูลเซียนมากมายของแจกันสมบัติทวีป นางก็กลายมาเป็นคนรุ่นเยาว์ที่มีคุณสมบัติจะนั่งทัดเทียมกับผู้อาวุโสเซียนดินได้แล้ว
หลังกลับมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู นอกจากตบะของนางจะเพิ่มพูนขึ้นแล้ว ยังมีความลับอีกมากมายที่ไม่มีใครล่วงรู้ ยกตัวอย่างเช่นความสัมพันธ์อันสนิทแน่นแฟ้นระหว่างนางกับฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า
และเมื่อไช่จินเจี่ยนได้ผ่านความรุ่งโรจน์สูงสุดและความตกต่ำสูงสุดมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหายนะแห่งความตายที่แม้แต่บุรพาจารย์ในสำนักก็ยังไม่รู้ครั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือจิตใจของไช่จินเจี่ยนก็ล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เรียกว่าผลัดครรภ์เปลี่ยนกระดูก ทำให้คนรู้สึกตกตะลึงและอิจฉา
เมื่อหลายปีก่อนไช่จินเจี่ยนชอบลงจากภูเขาไปท่องเที่ยวไกลๆ ทว่าสองปีนี้กลับปิดด่านตลอด
ไช่จินเจี่ยนคลี่ม้วนภาพวาดที่อยู่ในมือ ด้านบนคือภาพของชาวลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่สวมชุดสีเขียว จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลา
เป็นภาพที่นางวาดเอง
ไช่จินเจี่ยนที่ในสายตาของคนนอกจิตแห่งมรรคาแข็งแกร่งขึ้นทุกที อีกทั้งมหามรรคายังรออยู่ตรงหน้า เวลานี้ก้มหน้าลง ขนตาสั่นระริก พูดเบาๆ ว่า “อาจารย์ฉี”
นางเก็บม้วนภาพวาดช้าๆ นำมาประคองไว้ในอ้อมกอด ใจลอยไปไกล
ปีนั้นนางตายและฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง ช่วงเวลาก่อนที่จะแยกจากกับอาจารย์ฉี เขาบอกว่ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องนาง
ไช่จินเจี่ยนย่อมยินดีช่วย
อาจารย์ฉีต้องการให้นางนำภาพม้าวิ่งแห่งกาลเวลาภาพหนึ่งส่งไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของภูเขาห้อยหัว
อีกทั้งหลังจากนั้นอาจารย์ฉียังบอกให้นางช่วยทยอยส่งภาพอีกหลายม้วนไปที่นั้น
บุคคลสำคัญในภาพวาดก็คือเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงคนนั้น เนื้อหาในม้วนภาพนอกจากเฉินผิงอันตอนเป็นเด็กที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว ก็ยังมีภาพที่เขาออกเดินทางไกลไปยังต้าสุย และจากนั้นก็เดินทางลงใต้ไปส่งกระบี่เพียงลำพัง สุดท้ายคือก่อนจะเดินทางไปถึงแคว้นไฉ่อี หลังจากนั้นอาจารย์ฉีก็เอ่ยขอบคุณและบอกลานางไช่จินเจี่ยน
ไช่จินเจี่ยนเคยปลุกความกล้าถามไปด้วยความใคร่รู้ว่าตนสามารถดูภาพพวกนั้นได้ไหม
อาจารย์ฉียิ้มอ่อนโยน พยักหน้าบอกว่าได้
บนภาพม้วนสุดท้ายมีอาจารย์ฉีปรากฎตัว เอ่ยคำสั่งเสียสุดท้ายก่อนจากลา
พูดให้คนผู้นั้นที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ฟัง
‘ข้ามีคำขอร้องที่อาจจะไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก ขอแม่นางหนิงโปรดรับไว้พิจารณา’
‘เฉินผิงอันที่เป็นเช่นนี้จะดีต่อคนบนโลก ถ้าอย่างนั้นก็ขอแม่นางหนิงโปรดดีต่อเฉินผิงอัน’
‘หากสุดท้ายแล้วแม่นางหนิงยังคงไม่ชอบเฉินผิงอันก็ไม่เป็นไร ขอแค่อย่าทำให้ศิษย์น้องเล็กของข้าเสียใจกับคำว่ารักมากเกินไป ฉีจิ้งชุนขอขอบคุณมา ณ ที่นี้’
เวลานี้ไช่จินเจี่ยนเงยหน้าขึ้น เหม่อมองไปยังทิศไกล
อาจารย์ฉี มักจะทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้เสมอ