กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 392.3 วิญญูชนช่วยหรือไม่ช่วย
เฉินผิงอันคิดตามแล้วก็พยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าจะลองถามสือโหรวดู เวลาคนอื่นพูดจริงหรือโกหก ข้ายังพอจะวิเคราะห์ออก”
จูเหลี่ยนส่ายหน้ายิ้มๆ “เหตุใดต้องรอพรุ่งนี้ ไม่ถามตอนนี้เลยเล่า? นายน้อยคือเจ้านายของนาง อีกทั้งยังมีพระคุณยิ่งใหญ่ แค่ถามไม่กี่ประโยคจะไม่ได้เชียวหรือ? หากใช้แค่สายตาของบ่าวเฒ่ามองสือโหรว แน่นอนว่าต้องเป็นสายตาของบุรุษลุ่มหลงในรักมองสาวงาม ย่อมรักหยกถนอมบุปผา พูดหนักไปก็เป็นการล่วงเกิน แต่คุณชายท่านไม่ควรมองนางว่าเป็นสตรีบอบบางอ่อนแอถึงเพียงนั้น การกระทำของสือโหรวนั่นต้องเรียกว่าสามวันไม่ตีขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคา ต้องรู้ว่าคนไร้สติปัญญาบนโลกส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกหวาดเกรงพระเดชไม่เกรงพระคุณ ห่างชั้นจากเผยเฉียนลูกศิษย์ของท่านมากนัก”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว เจ้าถึงขนาดพูดจาดีๆ ถึงเผยเฉียน”
จูเหลี่ยนทอดถอนใจ “ร้ายก็บริสุทธิ์ ดีก็บริสุทธิ์ เด็กน้อยที่น่าสนใจแบบนี้ รังเกียจไม่ลงจริงๆ”
ประตูห้องหลักถูกเปิดออก สือโหรวเผยกาย
นางมาหยุดอยู่ข้างกายคนทั้งสอง เป็นฝ่ายเปิดปากพูดว่า “ท่านชุยสอนวิชาอภินิหารที่สามารถออกคำสั่งต่อเทพแห่งผืนดินให้ข้าวิชาหนึ่งจริงๆ เพียงแต่ข้ากังวลว่าจะเกิดความเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไป จะทำให้ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นเกิดกริ่งเกรงจนคิดมีใจสังหารพวกเราหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เหตุผลน่าเชื่อถือ แต่ข้าอยากถามเจ้าสองเรื่องเสียก่อน ข้อแรก เจ้ากังวลว่าใครจะถูกปีศาจจิ้งจอกหมายหัวมากกว่ากัน คือตัวเจ้าสือโหรวเอง หรือว่าพวกเราสามคน ข้อสอง ในเมื่อรู้วิชาข้างเคียงที่สามารถออกคำสั่งเทพแห่งผืนดินได้ จะทำหรือไม่ทำก็อีกเรื่อง แต่เหตุใดไม่พูดถึงเลย?”
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีพูดกระพือลมให้ไฟลุกโหมอยู่ด้านข้าง “ทิ่มแทงใจดำ”
สายตาของสือโหรวหลุกหลิกไม่อยู่นิ่ง
เฉินผิงอันโบกมือ “เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ ห้ามให้มีครั้งหน้า หากยังมีอีก ข้าจะเชิญเจ้าออกจากร่างนี้แล้วกลับเข้าไปอยู่ในยันต์ใหม่อีกครั้ง เมื่อกำหนดเวลาหกสิบปีมาถึง เจ้าก็ยังคืนสู่อิสรภาพได้ดังเดิม”
สีหน้าของสือโหรวเย็นชา
จูเหลี่ยนหัวเราะคิกคักหยิบเอาถุงผ้าแพรใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ พอเปิดออกก็ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับเป็นรูปม้าออกมา “ก่อนท่านชุยจะจากไปได้มอบของสิ่งนี้ให้แก่ข้า บอกว่าวันใดที่อาจารย์ของเขาโมโหเพราะสือโหรวให้เอาสิ่งนี้ออกมา ให้เขาช่วยพูดดีๆ แทนสือโหรว ใช่แล้ว แม่นางสือโหรว ท่านชุยกำชับข้าว่า ควรเอาให้เจ้าดูก่อน ส่วนจะพูดเนื้อหาที่อยู่ข้างในออกมาหรือไม่ แม่นางสือโหรวต้องตัดสินใจเอาเอง”
จูเหลี่ยนทำเหมือนนิ่งดูดาย แต่ในใจกลับบังเกิดจิตสังหารขึ้นมาแล้ว อีกทั้งยังไม่ปิดบังสือโหรวแม้แต่น้อย
ต่อให้วิญญูชนที่มีพระคุณจะไม่ต้องการการตอบแทน แต่ก็ยากที่จะรับรองได้ว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี เพราะคนถ่อยมักเห็นข้าวหนึ่งตวงเป็นบุญคุณ ข้าวหนึ่งหาบเป็นความแค้นเสมอ
ผีสาวที่ได้โชควาสนายิ่งใหญ่ตนนี้อาจไม่ได้มีจิตใจเลวร้ายเสมอไป ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นวัตถุหยินที่มีสันดานไม่เลว เพียงแต่ว่าในใจคนมีจุดที่เล็กและละเอียดอ่อนดุจเมล็ดงาอยู่มากมาย หากถูกวัตถุนอกกายขยายใหญ่ออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ข้อบกพร่องบางอย่างก็อาจถูกขยายจนใหญ่เท่ากระด้ง
คุณธรรมไม่เหมาะกับตำแหน่ง ก็คือต้นตอหายนะที่ทำให้หอสูงใหญ่ล้มครืนลงได้เพียงชั่วข้ามคืน
จิตใจของสือโหรวกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุดนิ่ง พอคลี่ม้ากระดาษแผ่นนั้นออก ร่างของนางก็สั่นสะท้านน้อยๆ
สือโหรวกำหมัดกุมกระดาษที่อยู่ในฝ่ามือแน่น พูดกับเฉินผิงอันเสียงสั่นว่า “บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวจะเรียกเทพแห่งผืนดินออกมาให้นายท่านสอบถามเดี๋ยวนี้ดีหรือไม่?”
สือโหรวเปลี่ยนท่าทีใหม่อย่างแข็งทื่อ เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้เก็บมาเป็นอารมณ์ เพียงพยักหน้ากล่าวว่า “ปีศาจจิ้งจอกเคยมาที่นี่แล้ว เขาเป็นฝ่ายมาท้าทายก่อน เจ้าเรียกเทพแห่งผืนดินออกมาก็คงไม่มีปัญหาอะไร”
สือโหรวเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ในชายแขนเสื้อ จากนั้นฝ่าเท้าของนางก็ก้าวว่องไวดุจมีพายุลมกรด มือสองข้างทำมุทรา ระหว่างที่ก้าวเดิน หว่างคิ้วและใต้ฝ่าเท้าของร่างเซียนตู้เม่าก็มีแสงสีทองอร่ามเส้นหนึ่งและปราณอึมครึมดุร้ายเส้นหนึ่งพุ่งออกมา สือโหรวท่องประโยคสุดท้ายในใจว่า ‘ปากเป่าหัวไม้เท้าแทนเสียงฟ้าคำราม หนึ่งเท้ากระทืบพื้นดินกระเทือนรากห้าขุนเขา’ สุดท้ายก็กระทืบเท้าหนักๆ หนึ่งที บนพื้นดินของเรือนหลังเล็กมีภาพยันต์โบราณแผนหนึ่งผุดวาบ
สือโหรวสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ถอยหลังไปหลายก้าว
จากนั้นพื้นดินที่นางยืนอยู่ก่อนหน้านี้ก็มีริ้วน้ำกระเพื่อมขึ้นลง ตามมาด้วยหญิงชราอาภรณ์ขาดวิ่นคนหนึ่งที่กระโดดพรวดออกมาแล้วกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้นดิน เห็นเพียงว่าหญิงชราสวมมงกุฎกิ่งหลิวสีเขียวมรกตอยู่บนศีรษะ ตรงลำคอ ข้อมือและข้อเท้าทั้งสี่จุดถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกห้าเส้นสีดำ รัดแน่นจนเกิดเป็นร่องลึกเห็นชัด
หญิงชราลุกขึ้นยืนไม่ไหว นางนอนขดตัวอยู่บนพื้น เงยหน้ามองสือโหรวที่ลากนางออกมาจากกรงขังแล้วขอร้องอย่างยากลำบากว่า “ขอเซียนซือผู้มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ท่านนี้ช่วยสวนสิงโตด้วย!”
สือโหรวพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้ากราบไหว้พระโพธิสัตว์ผิดองค์แล้ว”
หญิงชราที่สวมมงกุฎกิ่งหลิวหันลำคอ แค่การกระทำเล็กๆ นี้ เชือกตรงลำคอก็รัดแน่นขึ้นอีกหลายส่วน แต่นางกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย สุดท้ายหันไปมองคนหนุ่มชุดขาวที่สะพายกระบี่ “เซียนซือน้อย ขอร้องท่านรีบไปช่วยหลิ่วชิงชิงบุตรสาวคนเล็กของหลิ่วจิ้งถิงด้วยเถอะ ตอนนี้นางถูกปีศาจจิ้งจอกตนนั้นร่ายเวทปีศาจล่อลวงจิตใจ นางไม่ได้รักปีศาจจิ้งจอกตนนั้นจริงๆ! ปีศาจใหญ่ตนนี้ไม่เพียงแต่ตบะสูงส่ง วิธีการที่ใช้ยังโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างถึงที่สุด คิดจะดูดซับชะตาบุ๋นควันธูปทั้งหมดของสกุลหลิ่วแล้วถ่ายโอนมาที่ร่างของหลิ่วชิงชิง เดิมทีนี่ก็เป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว หลิ่วชิงชิงมีร่างเป็นมนุษย์เด็กสาวคนหนึ่งจะสามารถแบกรับสิ่งเหล่านี้ไหวได้อย่างไร…”
หญิงชราถูกเชือกสีดำที่รัดรึงรัดจนพูดอะไรไม่ออก เพียงแต่ว่าหลังจากที่ใบหลิวสีเขียวมรกตใบหนึ่งบนมงกุฎเหนือศีรษะแห้งโรยรา สีหน้าของหญิงชราก็ดีขึ้นเล็กน้อย
เฉินผิงอันยังคงไม่ได้รีบร้อนทำลาย ‘เชือกพันธนาการปีศาจ’ เส้นนั้น เพียงถามว่า “แต่เท่าที่ข้ารู้มา สายของปีศาจจิ้งจอกนั้นเคารพนับถือคำว่ารักมากที่สุด มหามรรคาของพวกเขาก็หนีไม่พ้นคำว่ารักนี้ ในเมื่อปีศาจจิ้งจอกตนนั้นเป็นเซียนดินแล้ว ตามหลักก็ยิ่งไม่ควรทำอะไรตามแต่ใจตัวเอง นี่จะอธิบายอย่างไร?”
หญิงชราที่เป็นเทพแห่งผืนดินของที่แห่งนี้ส่ายหน้า “ไม่กล้าปิดบังเซียนซือ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม คิดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่เข้าใจ แต่การเปลี่ยนแปลงของลมและน้ำในสวนสิงโตไม่ใช่เรื่องโกหก! ลูกหลานสกุลหลิ่วสายนี้ บุตรชายคนรองของหลิ่วจิ้งถิงคือคนที่เดิมทีมีหวังว่าจะสร้างความรุ่งโรจน์ให้กับวงศ์ตระกูลมากที่สุด แต่ตอนนี้เส้นทางในอนาคตอันยาวไกลของเขากลับขาดลงแล้ว อีกทั้งร่มเงาบรรพบุรุษและผลบุญในปรโลกของสกุลหลิ่วยังมากมหาศาล ยิ่งมีบรรพบุรุษที่โชคดีได้รับตำแหน่งงานอยู่ในยมโลก ไม่ว่าอย่างไรหลิ่วชิงซานก็ไม่ควรได้รับหายนะที่มาเยือนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวนี้…”
หญิงชราพูดไม่ออกอีกครั้ง จากนั้นใบหลิวอีกใบก็แห้งกรอบ ก่อนจะสลายหายไปตามลม
เฉินผิงอันหันมามองจูเหลี่ยน ฝ่ายหลังผงกศีรษะรับเบาๆ บอกให้รู้ว่าหญิงชราไม่น่าจะโกหก
เขาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง แต่กลับมีเพียงกระบี่บินชูอีที่พุ่งออกมาดุจสายรุ้งสีขาว ไล่ฟันเชือกพันธนาการปีศาจห้าเส้นบนร่างของหญิงชราให้ขาดออก
แท่นสังหารมังกรสามก้อนที่วิญญาณกระบี่ทิ้งไว้ให้ สองก้อนถูกยกให้บรรพบุรุษน้อยอย่างชูอีและสืออู่กินจนเต็มอิ่ม สุดท้ายพอเหลือเป็นเพียงหินลับกระบี่แผ่นบางๆ ถึงได้ขายให้กับสุยโย่วเปียน
ตอนนี้ระดับความคมของกระบี่บินทั้งสองเล่มเหนือกว่าในอดีตไปไกลโข
หญิงชราเหมือนได้รับอภัยโทษ ลุกขึ้นยืนตัวสั่นสะท้าน พูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “ก่อนหน้านี้เป็นหญิงแก่อย่างข้าที่หูตาฟ้าฟางไปเอง ขอคารวะท่านผู้อาวุโสเซียนกระบี่ไว้ ณ ที่นี้!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้องเกรงใจกันถึงเพียงนี้”
หญิงชราพลันทรุดลงนั่งคุกเข่า พูดเสียงสะอื้นไม่เป็นคำ “ขอผู้อาวุโสเซียนกระบี่โปรดช่วยผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์เสียโดยเร็ว ในเมื่อผู้อาวุโสสามารถช่วยหญิงแก่อย่างข้าได้ มีปรมาจารย์ใหญ่เป็นผู้ติดตาม อีกทั้งหนึ่งกระบี่ของเซียนกระบี่ยังสามารถทำลายหมื่นอาคม ช่วยเหลือสวนสิงโตก็เป็นเพียงแค่การกระทำง่ายๆ เหมือนยกฝ่ามือ…”
เฉินผิงอันกำลังจะอ้าปากพูด
หญิงชรากลับเงยหน้าขึ้น จ้องหน้าเขาเขม็ง สีหน้าเศร้าสร้อยทุกข์ระทม “คนสกุลหลิ่วทั้งเจ็ดรุ่นล้วนซื่อสัตย์จงรักภักดี หรือผู้อาวุโสจะทนมองตระกูลปัญญาชนผู้มีความรู้เช่นนี้ย่อยยับในชั่วข้ามคืนคาตาตัวเองได้ลงคอ ท่านจะทนปล่อยให้ปีศาจใหญ่ตนนั้นทำตัวกำเริบเสิบสานไม่เห็นกฎเกณฑ์อยู่ในสายตาได้หรือ?!”
จูเหลี่ยนขมวดคิ้ว เรื่องที่หญิงชรากับคนส่งธูปผู้นั้นขอร้องเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ว่าวิธีที่ใช้กลับต่างกันราวฟ้ากับดิน
สือโหรวก็รู้สึกไม่ชอบใจเช่นกัน
สำหรับเรื่องนี้ ผู้เฒ่าหลังค่อมกับผีงามโครงกระดูกกลับคิดเหมือนกัน
หญิงชราโขกศีรษะอยู่สิบกว่าที ก่อนจะเงยหน้ามองจ้องเฉินผิงอันใหม่อีกครั้ง “ขอเซียนกระบี่โปรดลงมือ กอบกู้สถานการณ์เลวร้าย สังหารปีศาจใหญ่! ลูกหลานสกุลหลิ่วจะจดจำพระคุณยิ่งใหญ่นี้ไว้ในหัวใจ จะจุดธูปกราบไหว้ผู้อาวุโสเซียนกระบี่สืบต่อไปทุกรุ่นทุกยุคสมัย!”
จูเหลี่ยนสีหน้ามืดทะมึน กำลังจะอ้าปากพูด เฉินผิงอันกลับโบกมือให้เขาเสียก่อน
เฉินผิงอันยื่นมือไปประคองหญิงชรา “ลุกขึ้นมาพูดกัน”
หญิงชรากลับผลักมือของเฉินผิงอันออก จากนั้นก็โขกศีรษะต่อ “หากผู้อาวุโสเซียนกระบี่ไม่ช่วยเหลือ หญิงชราอย่างข้าตายไปก็ไม่น่าเสียดาย ข้าจะโขกศีรษะอย่างนี้จนกว่าจะตายไปก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันได้แต่ทรุดตัวลงนั่งยอง เงียบงันไปพักใหญ่เพราะกำลังใคร่ครวญหาคำพูดเหมาะๆ
จูเหลี่ยนยืนอยู่ที่เดิม ใช้ปลายเท้าถูพื้น เตรียมจะเหวี่ยงเท้าเตะออกไป เตะให้ร่างทองของหญิงชราแหลกสลาย อย่าว่าแต่พวกเทพแห่งผืนดินเลย ต่อให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำที่ระดับขั้นไม่สูง หรือแม้กระทั่งองค์เทพแห่งห้าขุนเขาของแคว้นเล็กที่อาณาเขตยังสู้พื้นที่ของหนึ่งราชวงศ์ไม่ได้ หากถูกจูเหลี่ยนประชิดตัว เกรงว่าคงไม่อาจต้านทานแรงเท้าของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดผู้นี้ได้
สือโหรวรู้สึกดูแคลนในการกระทำของหญิงชรา แต่จากนั้นก็หัวเราะหยัน มองเฉินผิงอันที่ดูเหมือนว่าจะจนปัญญา
คิดในใจว่าเฉินผิงอันผู้นี้หาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวเองแท้ๆ
เฉินผิงอันที่นั่งยองและจูเหลี่ยนที่ยืนอยู่หันไปมองตรงชายคาแทบจะเวลาเดียวกัน นักพรตหญิงมีดอาคมที่สวมกวานหางปลามายืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง
นางชำเลืองตามององค์เทพแห่งท้องที่ที่ได้กระบี่บินช่วยตัดเชือกพันธนาการปีศาจทิ้งให้แล้วแค่นเสียงเย็นชาพูดว่า “กบใต้บ่อ ต่ำช้าซะจริง มิน่าเล่าถึงช่วยสวนสิงโตที่มีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดไม่ได้”
นางมองน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดแล้วก็ยกมือขึ้น ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน ปาดผ่านหน้าดวงตาตัวเอง ดวงตาคู่นั้นก็เปลี่ยนมาเป็นสีทองประหนึ่งดวงตาเทพที่ก้มมองมายังโลกมนุษย์ กล่าวด้วยน้ำเสียงกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ระดับสูงชิ้นหนึ่ง ดังนั้นจึงสมารถตัดเชือกเปื่อยๆ ไม่กี่เส้นนั้นได้อย่างง่ายดาย”
เฉินผิงอันถาม “แค่ฆ่าปีศาจ ไม่ช่วยคน?”
นักพรตหญิงจากแคว้นอื่นถามกลับ “แล้วจะเป็นยังไงได้อีกล่ะ?”
เฉินผิงอันจึงคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยคน เจ้าก็ฆ่าปีศาจได้ตามสบาย”
นักพรตหญิงจากเรือนซือเตาลังเลเล็กน้อย “เป็นอย่างนี้ได้ย่อมดีที่สุด”
หญิงชราผู้นั้นได้ยินก็ปิติยินดีเป็นล้นพ้น ยังคงคุกเข่า แต่ยืดเอวคว้าแขนของเฉินผิงอันเอาไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ไปช่วยคนที่เรือนซิ่วโหลวเลยเถอะ หญิงแก่เช่นข้าจะนำทางท่านไปเอง”
คราวนี้ไม่ต้องให้เฉินผิงอันประคอง หญิงชราที่คว้าแขนเขาก็ลุกขึ้นได้ด้วยตัวเอง แล้วยังลากเขาไปทางประตูเรือน เพียงแต่นางค้นพบว่าเซียนกระบี่หนุ่มยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนดุจขุนเขา นางจึงขมวดคิ้วน้อยๆ “เหตุใดเซียนซือไม่ขยับตัว? ช่วยคนเหมือนช่วยดับไฟ หากช้าไป…”
เฉินผิงอันเอ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สีหน้าเป็นปกติ “ข้ายังมีลูกศิษย์ที่ต้องปลุกให้ตื่น นางต้องอยู่กับข้าเท่านั้น ไม่อย่างนั้นปีศาจจิ้งจอกอาจฉวยโอกาสเล่นงานนาง อีกอย่างการบุกเข้าไปในหอซิ่วโหลวของหลิ่วชิงชิงโดยพลการ ถึงอย่างไรข้าก็ต้องให้คนไปแจ้งรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วสักคำ สองเรื่องนี้ไม่ได้ถ่วงเวลาให้ล่าช้าสักเท่าไหร่…”
ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดจบ หญิงชราก็บ่นเสียงขรมขึ้นมา “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ ท่านเป็นคนบนภูเขา เหตุใดต้องถือสาเรื่องยิบย่อยพวกนี้ ทิ้งคนไว้ให้ดูแลลูกศิษย์ท่านสักคนก็พอแล้ว ส่วนทางฝ่ายของหลิ่วจิ้งถิงนั้น แม้แต่ตระกูลยังใกล้จะล่มจมแล้ว ยังจะถือสาเรื่องพวกนี้ไปอีกทำไม หลังจากนี้ค่อยบอกกับเขาว่าช่วยเหลือบุตรสาวของเขาไว้ได้แล้ว เจ้าหนอนหนังสือผู้นั้นมีแต่จะซาบซึ้งในพระคุณ ไหนเลยจะกล้าถือสาหาความเรื่องจุกจิกพวกนี้!”
จูเหลี่ยนมองใบหน้าด้านข้างของหญิงชรา
เขาเอามือหนึ่งไพล่หลัง เปลี่ยนจากฝ่ามือกำเป็นหมัด เสียงกระดูกลั่นดังกร๊อบๆ
เฉินผิงอันถามว่า “เคยได้ยินคำว่าวิญญูชนไม่ช่วยหรือไม่?”
หญิงชราอึ้งงันเป็นไก่ไม้ เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมานิดๆ แล้ว
เพียงแต่การกระทำในอันดับถัดมาของเฉินผิงอันกลับทำให้หัวใจที่แล่นมาจุกตรงลำคอของหญิงชรากลับคืนลงไปที่เดิมได้
เขาบอกให้จูเหลี่ยนรีบไปอธิบายเรื่องนี้กับหลิ่วจิ้งถิง
บอกให้สือโหรวไปปลุกเผยเฉียน
เฉินผิงอันช่วยเช็ดฝุ่นบนชายแขนเสื้อให้หญิงชราเบาๆ ตอนที่ก้มหน้าลงเขาพูดเสียงแผ่วต่ำว่า “ต้องช่วยอยู่แล้ว ท่านยายโปรดทำใจให้สบาย หวังเพียงว่าเมื่อสวนสิงโตผ่านพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ และหากยังเจอกับเรื่องทำนองนี้อีก เมื่อมีกำลังมากพอก็ต้องลองช่วยดูสักครั้ง”
มาถึงใต้หอซิ่วโหลว
จูเหลี่ยนย้อนกลับมาแล้ว เขาผงกศีรษะบอกให้รู้ว่ารองเจ้ากรมหลิ่วตอบรับแล้ว
เฉินผิงอันจึงเดินขึ้นไปด้านบน
เผยเฉียนที่ยังสะลึมสะลือได้แต่เดินตามไปด้านหลัง บนหน้าผากแปะแผ่นยันต์สีเหลือง ขอแค่อยู่ข้างกายอาจารย์ นางก็ไม่รู้สึกกลัวเท่าไหร่
สือโหรวตามไปด้านหลังติดๆ
จูเหลี่ยนยืนอยู่ด้านล่างสุด เนิ่นนานก็ยังไม่ขยับเท้า เพียงแค่มองแผ่นหลังที่เดินขึ้นไปบนหอเรือนของเฉินผิงอัน
ผู้เฒ่าหลังค่อมเงยหน้า เกาหัว รู้สึกว่าอาจารย์ของท่านชุยผู้นี้เดินไปค่อนข้างจะสูงแล้ว
—–