กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 393.3 ลมมรสุมมาเยือนหอเรือนที่เต็มไปด้วยยันต์
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 393.3 ลมมรสุมมาเยือนหอเรือนที่เต็มไปด้วยยันต์
นางคือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง
ไม่เพียงเท่านี้ นางถึงขั้นสามารถใช้วิชาดินแดนเซียนในตำนานมาบังคับเทพท่องราตรีสูงสามจั้งตนหนึ่งได้!
สาวใช้เหมิงหลงไม่ใช่ปีศาจหญิงแก่ที่มีโฉมหน้าเป็นเด็กสาวอะไร แต่เป็นสตรีที่อายุไม่ถึงยี่สิบปีจริงๆ
ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่กำลังจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ดูจากวิธีการอำมหิตที่ใช้ลงมืออยู่หลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าเป็นระดับขั้นของขอบเขตถ้ำสถิต
เอาผู้มีพรสวรรค์ซึ่งมีความหวังว่าจะเป็นเซียนกระบี่พสุธามาเป็นสาวใช้ที่คอยยกน้ำส่งชา โดยที่ฝ่ายหลังก็เห็นว่าเป็นเรื่องถูกต้องตามหลักฟ้าดิน
คนที่มีสมองหน่อยล้วนรู้ว่าภูมิหลังและชาติกำเนิดของคุณชายตู๋กูผู้นี้ต้องลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งอย่างแน่นอน
น่าเสียดายก็แต่ผู้เฒ่าเค้นสมองคิดแทบตายก็ยังนึกไม่ออกว่าราชวงศ์จูอิ๋งมีบุคคลยิ่งใหญ่คนไหนที่มีแซ่ว่าตู๋กู ค้นหาทั่วทั้งเหนือและใต้ครบรอบหนึ่งก็พอจะค้นเจอตระกูลชนชั้นสูงและสำนักอยู่สองแห่ง หากไม่ใช่เสาหลักของราชสำนักในหนึ่งแคว้น ก็เป็นตระกูลที่มีโอสถทองนั่งบัญชาการณ์ แต่เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับรากฐานที่ชายหนุ่มแสดงออกมาให้เห็นก็ยังไม่สอดคล้องกันอยู่ดี
คิดไปคิดมาก็คิดได้แค่ว่าคงเป็นเพราะราชวงศ์จูอิ๋งที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่าแห่งนั้นมีตะพาบเฒ่าที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำมากเกินไป คนหนุ่มจึงอาจจะมาจากตระกูลเซียนบางแห่งที่ไม่ชอบโอ้อวดตน
นี่ก็เป็นสาเหตุที่อาจารย์และศิษย์ผู้ฝึกตนอิสระสองคนที่มีนิสัยหากไม่มีผลประโยชน์ก็ไม่ตื่นเช้า กล้ายั่วยุให้สองนายบ่าวเดินทางมากำราบปีศาจที่สวนสิงโต
เวลานี้คุณชายตู๋กูยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองไปยังสีท้องฟ้าด้านนอกที่ไม่ค่อยจะปกติ “ดูท่าปีศาจตนนั้นคงถูกคนหนุ่มแซ่เฉินเหยียบหางเข้าให้แล้ว เป็นแบบนี้ก็ยิ่งดี พวกเราไม่ต้องลงมือเอง แต่น่าเสียดายขวดดอกเหมยและอักษรภาพหนึ่งในของสามชิ้นของสวนสิงโตเหลือเกิน ล้วนเป็นของตกแต่งชั้นเยี่ยม ไม่รู้ว่าถึงเวลาที่คนแซ่เฉินได้ไปครองแล้วจะยินดีตัดใจขายของรักให้ข้าหรือไม่”
สาวใช้เหมิงหลงยิ้มกล่าวว่า “คนที่มองของออกล้วนหมายตาสมบัติอาคมที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งเป็นดั่งซี่โครงไก่ในมือของคนสกุลหลิ่ว คุณชายกลับดีนัก คิดแต่อยากจะได้ของเล่นที่มีค่าไม่กี่เหรียญเงินเทพเซียน”
คุณชายตู๋กูถอนหายใจ “เมื่อเรื่องทางนี้ยุติลง พวกเราต้องเหนื่อยยากกันอีกแล้ว”
เหมิงหลงเองก็ขมวดคิ้วมุ่น “คุณชาย พวกเราหาคนหาเบาะแสกันอยู่อย่างนี้ไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างยากนะเจ้าคะ”
คนหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “ไม่มีทางลัดทางอื่นให้เลือกเดินนี่นา ก็ได้แต่ใช้วิธีที่โง่งมที่สุดวิธีนี้แล้ว พวกเราก็ถือซะว่ามาเที่ยวเล่นก็แล้วกัน เที่ยวเล่นพลางรอฟังข่าวจากบนภูเขาไปด้วย”
เหมิงหลงโมโหเล็กน้อย “คนที่เต็มใจพูด พวกเราล้วนตามหาตัวเจอหมดแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าพวกเขาไม่รู้อะไรสักอย่าง พวกคนที่ไม่เต็มใจพูด แต่ละคนก็ล้วนมีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา ไปมีเรื่องด้วยไม่ได้ และพวกเราก็ไม่อาจเปิดเผยตัวตน พวกคนที่อาศัยสถานะของกุรุทวีป ตาไม่ใช่ตา จมูกก็ไม่ใช่จมูก มีอะไรร้ายกาจนักเชียว ก็แค่อาศัยว่าตัวเองมีชีวิตอยู่มาได้หลายร้อยปี ตอนนี้ก็แค่มีขอบเขตสูงขึ้นมาหน่อยเท่านั้น หากจะถามความเห็นข้า ไม่ต้องรอสามสิบปี คุณชายก็สามารถจัดการกับพวกเขาได้ด้วยมือเดียว”
คุณชายตู๋กูไม่ได้สนใจคำบ่นของสาวใช้ “หาหญิงสาวผู้นั้นให้เจอก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
เหมิงหลงนั่งลงข้างโต๊ะ เพราะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงขยับเม็ดหมากที่อยู่บนกระดานกลางโต๊ะให้มั่วซั่ววุ่นวายไปหมด “รู้แค่ชื่อแซ่ แล้วก็รู้ว่าอยู่บนเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยว เป็นแค่นักพรตเล็กๆ ที่ไร้แซ่ไร้นามเท่านั้น เบาะแสมีน้อยเกินไป หากไม่เป็นเพราะภิกษุที่เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วหล้าผู้นั้นเอ่ยถึงนาง พวกเราก็คงไม่ต่างจากแมลงวันไร้หัวที่พุ่งชนสะเปะสะปะ คุณชาย ข้าเริ่มคิดถึงบ้านแล้ว ท่านห้ามโกหกข้านะ หาผู้ฝึกตนน้อยคนนั้นเจอเมื่อไหร่ พวกเราจะได้กลับจวนกันสักที”
คุณชายตู๋กูเอ่ยสัพยอก “โอ้โห เจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งก็กล้าพูดว่าคนอื่นคือผู้ฝึกตนน้อยด้วยหรือ?”
เหมิงหลงยิ้มตาหยี “แต่จะดีจะชั่วบ่าวก็เป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งนี่นา”
คุณชายตู๋กูถลึงตาดุดันใส่ “ผีซิว (ปี่เซียะ) อย่างผู้ฝึกกระบี่กินทั้งเงินและทำลายทั้งความรู้สึก มีค่าอะไรให้เอามาโอ้อวดกัน”
เหมิงหลงปิดปากหัวเราะคิกคัก “ประโยคนี้คนอื่นพูดได้ มีแต่คุณชายที่พูดไม่ได้ บ่าวกินเงินเทพเซียนไปจนหมดแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าท่านจะต้องได้กำไรกลับคืนมา อยู่ในบ้านของคุณชาย เงินแค่นี้ก็ไม่ได้ต่างจากขนหนึ่งเส้นของวัวเก้าตัวหรอกหรือ?”
คุณชายตู๋กูส่ายหน้า “รอให้เจ้าเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางจริงๆ เมื่อไหร่ก็พูดแบบนี้ไม่ได้แล้ว วัตถุดิบวิเศษที่ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนหนึ่งต้องเผาผลาญไปบนเส้นทางของการฝึกตน อย่างน้อยก็คือสองเท่าของเทพเซียนพสุธาทั่วไป”
เหมิงหลงพยักหน้ารับ พูดเบาๆ ว่า “นายท่านกับนายแม่จ่ายเงินราวกับสายน้ำไหลจริงๆ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงไม่เป็นรองตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าหรอก”
คุณชายตู๋กูหัวเราะอย่างถอนฉุน “ใจกล้าใหญ่แล้วนะ อยู่ต่อหน้าข้าก็กล้านินทาพ่อแม่ของข้าแล้วรึ?”
เหมิงหลงพูดออดอ้อน “คุณชายเป็นคนดีนี่นา บ่าวจะต้องกลัวอะไร”
คุณชายตู๋กูยิ้ม “เจ้าเป็นสตรี ไม่ช้าก็เร็วเมื่อออกเรือนก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป คุณชายอย่างข้าก็ต้องเปลืองเงินเปล่าแล้ว”
เหมิงหลงส่ายหน้า “ข้าไม่แต่งงาน จะแต่งให้กับหมอนปักลายบุปผาพวกนั้นไปทำไม ชั่วชีวิตนี้บ่าวจะติดตามอยู่ข้างกายคุณชายเท่านั้น”
คุณชายตู๋กูไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ หันหน้าไปมองสีท้องฟ้าต่ออีกครั้ง “ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นทำแต่เรื่องประหลาด รับมือได้ยากยิ่ง หวังว่าคนหนุ่มที่ร่วมมือกับนักพรตหญิงใช้มีดจะไม่เป็นอันตรายอะไรนะ”
เหมิงหลงยิ้มกล่าว “คุณชายมีจิตใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์จริงๆ”
คุณชายตู๋กูเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ข้าแค่หวังว่าจะซื้อของสองชิ้นนั้นมาได้โดยออกแค่เงินไม่ต้องออกแรง ส่วนเรื่องวงในวงนอกของสวนสิงโตแห่งนี้จะมีจุดจบอย่างไร ข้าไม่สนใจ จะดีหรือเลว จะเป็นหรือตายก็ล้วนเป็นพวกเขาที่รนหาเรื่องเอง”
……
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ทางฝั่งของหอซิ่วโหลว จูเหลี่ยน พ่อบ้านเฒ่าและหลิ่วชิงซานสามคนพากันเร่งรุดมาถึง ต่างคนต่างถือสีทองที่ทำขึ้นเป็นพิเศษไหหนึ่งซึ่งมีขนาดพอๆ กับกาเหล้า
ในหอซิ่วโหลว วิญญาณของสือโหรวกลับเข้ามาในคราบร่างเซียนเหรินแล้ว กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ในมุม
ตอนแรกเผยเฉียนรู้สึกเจ็บใจว่าตนไม่อาจคัดหนังสือได้ วันนี้คงต้องขาดวิชาเรียนไปอย่างหนึ่ง รอคอยอยู่ว่างๆ ก็ช่างน่าเบื่อหน่าย
ภายหลังจ้าวหยาเห็นว่าบนหน้าผากเด็กหญิงแปะแผ่นยันต์ก็คิดว่าน่าสนใจอย่างมาก จึงขยับเข้ามาชวนคุย ไปๆ มาๆ ก็พาเผยเฉียนที่หวั่นไหวตั้งแต่แรกเห็น แต่เกรงใจที่จะเปิดปากไปดูกรงหลวนกรงนั้น พอเผยเฉียนได้พินิจมองอย่างละเอียดก็รู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่
ผู้ดูแลเฒ่าและหลิ่วชิงซานต่างก็ไม่ได้ขึ้นมาบนหอเรือน พวกเขาย้อนกลับไปที่ศาลบรรพชนด้วยกัน
ก่อนจะจากไป หลิ่วชิงซานหันไปโค้งตัวคารวะทางหอสูงหนึ่งครั้ง
ในห้อง เฉินผิงอันรับพู่กันมา จูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างถือ ‘แท่นฝนหมึก’ ที่เป็นไหบรรจุ ‘น้ำหมึก’ สีทองไว้จนเต็ม และเฉินผิงอันก็เริ่มวาดยันต์ไว้บนเสาต้นหนึ่งก่อน
ล้วนเป็นยันต์ที่เฉินผิงอันเรียนรู้มาจาก ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้เล่มนั้น
แตะปลายพู่กันจุ่มน้ำสีทอง ขนพู่กันก็ชุ่มฉ่ำอิ่มน้ำ
ไม่จำเป็นต้องให้เฉินผิงอันพูดอะไรมาก จูเหลี่ยนก็สะบัดไหล่ยิ้มกล่าวว่า “คุณชาย เชิญ”
เฉินผิงอันเขย่งปลายเท้า มือถือพู่กันตวัดขึ้น เท้าเหยียบลงบนไหล่ของจูเหลี่ยน วาดยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจไว้บนสุดของเสาเสร็จในรวดเดียว
จูเหลี่ยนงอเข่าทั้งสองข้างลงเล็กน้อย จากนั้นเฉินผิงอันก็ใช้ปราณวิญญาณที่สะสมไว้ในชุดคลุมอาคมจินหลี่และจวนน้ำวาดยันต์สยบปีศาจอีกแผ่นหนึ่งโดยขยับลงมาเบื้องล่าง
หลังจากวาดไปแล้วสองแผ่น เฉินผิงอันก็เหยียบไหล่จูเหลี่ยนอีกครั้ง วาดยันต์ไว้เต็มทุกพื้นที่ของคานในห้อง
พอลงมายืนบนพื้นก็วาดยันต์ต่อบนหน้าต่าง บนผนังห้อง นอกจากยันต์สยบปีศาจที่ได้ประสิทธิผลที่สุดแล้วยังมีอีกสามชนิด นั่นคือยันต์จิตใจสงบสุขและยันต์ชำระสิ่งสกปรกซึ่งเป็นยันต์ขั้นพื้นฐานที่สุดของมหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด นอกจากนี้ก็วาดยันต์ปราณหยางส่องไฟอีกสองสามแผ่นไว้บนหน้าประตู
ระหว่างนี้จูเหลี่ยนถามเบาๆ ว่า “คุณชายต้องการพักผ่อนสักครู่หรือไม่”
เฉินผิงอันเพียงส่ายหน้า “ไม่แน่ว่าปีศาจใหญ่ตนนั้นอาจจะกำลังเดินทางมาแล้ว จะมัวล่าช้าไม่ได้ วาดได้มากขึ้นแผ่นหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”
ยันต์ในห้องหอถูกวาดจนเสร็จครบถ้วน
เฉินผิงอันเพิ่งจะใช้สีทองไปเกินครึ่งไห จากนั้นเขาก็ไปที่ระเบียงนอกห้อง วาดยันต์สยบปีศาจตรงระเบียงคนงามต่ออีกครั้ง และยังพยายามวาดยันต์สั่งกระบี่และยันต์ตัดโซ่อีกสองสามแผ่น ซึ่งค่อนข้างจะกินแรงอยู่สักหน่อย
หัวใจของยันต์วาดสำเร็จแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อวาดยันต์แผ่นหนึ่งเสร็จ แสงศักดิ์สิทธิ์จะดำรงอยู่ได้นานเท่าไหร่ จะต้านทานปราณชั่วร้ายทอดยาวที่พุ่งเข้ามารุกรานมาแปดเปื้อนได้หรือไม่เป็นเรื่องหนึ่ง จะสามารถรับการโจมตีจากเวทคาถาของปีศาจใหญ่ได้มากน้อยเท่าไหร่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เฉินผิงอันได้แต่ทำเหมือนว่าตนเองเป็นชาวนาที่ขยันขันแข็งคนหนึ่ง ดินในนาของตนสารอาหารบางเบา ไม่ใช่นาที่ดี เป็นเหตุให้ผลเก็บเกี่ยวแต่ละไร่มีคุณภาพจำกัด ถ้าอย่างนั้นก็เอาชนะกันที่จำนวนก็แล้วกัน
ในไหยังเหลือสีทองอยู่อีก เฉินผิงอันจึงเหยียบบนรั้วระเบียงด้านนอกแล้วพลิ้วกายขึ้นไปบนหลังคาพร้อมกับจูเหลี่ยน นั่งยองวาดยันต์อยู่บนสันหลังคานั่น
ในที่สุดเผยเฉียนก็หาโอกาสโอ้อวดได้ ขณะที่เฉินผิงอันเพิ่งเริ่มวาดยันต์ได้ไม่กี่แผ่น นางก็ยกสองแขนกอดอก เชิดศีรษะน้อยๆ ขึ้นสูงแล้วคุยโว “พี่หญิงหยาเอ๋อร์ ความสามารถในการวาดยันต์ของอาจารย์ข้าร้ายกาจไหมล่ะ? ท่านรู้สึกว่าเหมือนตัวอักษรฮวาเหนี่ยวจ้วน (ตัวอักษรที่คล้ายภาพวาดนกและดอกไม้) ไหม สวยหรือไม่? มีท่วงทำนองของนักประพันธ์ใหญ่เลยใช่ไหมล่ะ?”
จ้าวหยาไม่ใช่ผู้ฝึกตน มองตื้นลึกหนาบางในฝีมือการวาดยันต์ของเฉินผิงอันไม่ออก แต่นางเป็นสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูหลิ่วชิงชิง สำหรับเรื่องพิณ หมากล้อม พู่กันและภาพวาดจึงพอจะมีความรู้อยู่บ้าง เป็นเหตุให้ไม่รู้สึกว่าตัวอักษรโบราณที่เซียนซือชุดขาวใช้วาดเป็นยันต์มีพลังสักเท่าไหร่ แต่พอได้ยินเผยเฉียนถามแบบนี้ นางก็ได้แต่ตอบรับอย่างขอไปทีเพื่อไม่ให้เด็กหญิงต้องผิดหวัง
คิดไม่ถึงว่าพอเผยเฉียนได้ยินจ้าวหยาพูดเออออคล้อยตามนางอย่างแห้งแล้งสองสามประโยคจะส่ายหน้า “พี่หญิงหยาเอ๋อร์ ท่านไม่เข้าใจ ตัวอักษรของอาจารย์ข้ามีดีที่…มีกลิ่นอายแห่งเซียน!”
สำหรับคำพูดที่หลุดมากะทันหันนี้ของตัวเอง เผยเฉียนรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
จ้าวหยาหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ ก่อนจะแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ต้องโทษที่ข้าสายตาไม่ดี ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่เทพเซียนบนภูเขาอย่างพวกเจ้า จึงมองฝีมือที่แท้จริงไม่ออก”
เผยเฉียนยังคงมองออกในปราดเดียวว่านางพูดกับตนอย่างขอไปที จึงแอบกลอกตามองบน คร้านจะพูดอะไรอีก เพียงฟุบหน้าลงบนโต๊ะ เบิกตากว้างมองประเมินภาพเหตุการณ์ในกรงหลวนต่อไป
ตาใหญ่จ้องตาเล็ก
ภูตประหลาดมากมายที่อยู่ในกรงหลวนล้วนพากันบินจากหอเรือน มาจ้องมองเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านคนนี้ด้วยกัน
จ้าวหยาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายหลิ่วชิงชิง กล่าวอย่างตกตะลึงว่า “คุณหนู ท่านรู้สึกหรือไม่? ดูเหมือนในห้องจะมีกลิ่นอายสดชื่นและสว่างขึ้นเยอะมาก?”
หลิ่วชิงชิงยิ้มขื่น “ข้าไม่เห็นรู้สึกอะไร”
จ้าวหยายกม้านั่งมานั่งข้างกายนาง กุมมือเล็กที่เย็นเฉียบของคุณหนูตัวเองไว้เบาๆ
เฉินผิงอันและจูเหลี่ยนพลิ้วกายกลับมาที่ระเบียงนอกห้อง จูเหลี่ยนที่สองมือว่างเปล่าบอกให้สือโหรวอุ้มไหบรรจุของเหลวสีทองที่เหลืออีกสองใบขึ้นมา สือโหรวไม่เข้าใจ แต่ก็ยังคงทำตามที่อีกฝ่ายบอก ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดตนนี้ ตอนนี้นางไม่อาจไปแหยมด้วยได้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในลานบ้านของเรือนเล็ก จูเหลี่ยนปล่อยปราณสังหารท่วมเทียมฟ้าอย่างไม่คิดปิดบัง หันหัวหอกพุ่งเข้าหานางสือโหรว อันที่จริงนางหวาดกลัวอย่างมาก
เผยเฉียนเห็นเฉินผิงอันที่เหงื่อแตกเต็มศีรษะก็รีบวิ่งเข้าไปหา “อาจารย์ ข้าเช็ดเหงื่อให้ท่านดีไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มส่ายหน้า “ข้ากับสือโหรวจะไปวาดยันต์ตามสถานที่ต่างๆ ของสวนสิงโตต่อ เมื่อเป็นเช่นนี้หากมีลมพัดต้นหญ้าขยับ ยันต์ก็จะเกิดการขานรับ ที่นี่มีจูเหลี่ยนปกป้องพวกเจ้าย่อมไม่มีอันตรายมากนัก ต่อให้ปีศาจมาที่นี่ก็ไม่อาจบุกเข้าประตูหน้าต่างของหอซิ่วโหลวได้ทันทีทันใด ข้าสามารถกลับมาทัน”
เผยเฉียนตบกระบี่และดาบที่ทำจากไม้ไผ่ตรงเอวพลางพยักหน้ารับ “อาจารย์ท่านวางใจได้ ข้าจะปกป้องคุณหนูหลิ่วและพี่หญิงหยาเอ๋อร์เอง!”
เฉินผิงอันตบศีรษะเล็กๆ ของนาง พูดเบาๆ ว่า “ปกป้องตัวเองให้ดีก่อน”
เผยเฉียนคลี่ยิ้มดั่งบุปผาผลิบาน
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด
เมื่อครู่นี้ตอนอยู่บนหลังคา เฉินผิงอันก็กำชับสั่งความเขาไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องปกป้องเผยเฉียนให้ดี
ความหมายในคำพูดนั้น
ทำให้จูเหลี่ยนรู้สึกสบายใจมากเป็นพิเศษ
หากต้องติดตามนายน้อยที่แต่ละก้าวล้วนเดินเข้าหาอริยะผู้ทรงคุณธรรม ปณิธานอยู่ที่ตำแหน่งเทพของศาลบุ๋น จูเหลี่ยนมีแต่จะรู้สึกหงุดหงิดใจ
เฉินผิงอันพาสือโหรวพลิ้วกายลงไปที่ลานบ้านด้วยกัน
เฉินผิงอันบอกให้สือโหรวยื่นไหใบหนึ่งมาให้เขา “เจ้าไปเตือนกลุ่มคนของคุณชายตู๋กูกับผู้ฝึกตนคู่รักนั่น หากพวกเขายินดีก็ให้ไปเฝ้าที่ศาลบรรพชนเอาไว้ ทางที่ดีที่สุดควรเลือกมุมสูงที่การมองเห็นเปิดกว้าง ไม่แน่ว่าปีศาจจิ้งจอกอาจจะเผยกายในมุมใดมุมหนึ่งในอีกไม่นานนี้”
สือโหรวไปทำตามคำสั่งเงียบๆ
……
บนสะพานโค้งแห่งหนึ่งของสวนสิงโต สองฝั่งของสะพานมีคนหนุ่มชุดคลุมสีดำและนักพรตหญิงมีดอาคม สองฝ่ายกำลังคุมเชิงกัน
คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเอามือหนึ่งกดลงบนรั้วสะพาน รั้วสะพานใต้ฝ่ามือก็แหลกละเอียดเป็นผุยผง “นักพรตหญิงหน้าเหม็น เจ้าตัดสินใจดีแล้วหรือว่าจะขัดขวางข้าจริงๆ?”
นักพรตหญิงที่ยืนอยู่บนสะพานส่ายหน้า “ขัดขวาง? ข้าจะสังหารเจ้าชิงทรัพย์”
สีหน้าของเด็กหนุ่มหล่อเหลาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นักพรตหญิงจากเรือนซือเตาหัวเราะหยัน “ละโมบในชะตาบุ๋นบนโลกมนุษย์ ปีศาจอย่างเจ้าข้ามบ่อสายฟ้ามาไม่ใช่แค่ก้าวครึ่งก้าวแล้ว”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าไม่อยากรู้เลยหรือว่าเหตุใดข้าที่เป็นปีศาจถึงสามารถวางแผนทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ใกล้เมืองหลวงเหมือนมานอนกรนอยู่ข้างเตียงฮ่องเต้สกุลถังได้?”
นักพรตหญิงวัยกลางคนเอามือกุมมีดอาคมตรงเอว “เรื่องราวยิบย่อยในโลกมนุษย์ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า”
—–