กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 401.1 เดินทางกลับทิศเหนือ
เดิมทีคนทั้งกลุ่มคิดจะพักค้างแรมในโรงเตี๊ยมตรงตีนเขา คิดไม่ถึงว่าผู้คนที่มากมายจะทำให้โรงเตี๊ยมหลายแห่งเหลือห้องว่างแค่ห้องเดียว เฉินผิงอันไม่วางใจ กังวลว่าสือโหรวคนเดียวจะปกป้องเผยเฉียนไม่ได้ จึงได้แต่นั่งเรือบินย้อนกลับไปยังเรือข้ามฟากชิงอีที่ลอยอยู่กลางอากาศลำนั้น
จูเหลี่ยนสอบถามว่าควันธูปของศาลขุนเขากลางเป็นอย่างไร เฉินผิงอันบอกว่าไม่ได้เข้าไปจุดธูป แค่เดินวนบนยอดเขาไปรอบหนึ่ง แต่ตลอดทางที่เดินขึ้นเขาได้ผ่านวัดวาอารามหลายแห่ง มองออกว่าเพื่อแย่งชิงตัวผู้แสวงบุญจึงต้องพยายามกันอย่างเต็มที่ อารามเต๋าเชิญป้ายจารึกของขุนนางระดับสูงขั้นสามของแคว้นเฉิงเทียนมาตั้งวางไว้นอกประตู ทางวัดพุทธก็จะไปเชิญให้นักประพันธ์ผู้มีความสามารถในการเขียนพู่กันมาเขียนกรอบป้ายให้ นอกจากนี้ต่างก็ปูถนนบนภูเขาที่ทอดยาวไปยังวัดวาอารามของตัวเองให้ราบเรียบเดินสะดวก ข้างทางคือร่มต้นไม้เย็นร่มรื่น
ขุนเขาแห่งหนึ่งก็เป็นเช่นนี้ ระหว่างห้าขุนเขาของหนึ่งแคว้น การแย่งชิงควันธูปก็ยิ่งดุเดือดรุนแรง สมกับคำว่าทำทุกวิถีทาง หากไม่ได้เล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกลอย่างแท้จริง องค์เทพของหนึ่งขุนเขามักจะเชื้อเชิญให้ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางมาสร้างกระท่อมฝึกตน ต่อให้ตัวคนไม่อยู่ อยู่แค่กระท่อมก็พอ นี่เรียกว่าต่อให้ภูเขาไม่สูง ขอแค่มีเซียนก็ศักดิ์สิทธิ์ และยังเชิญให้นักประพันธ์ปัญญาชนมาเที่ยวชมทัศนียภาพบนภูเขาตัวเอง ทิ้งบทกวีที่เขียนด้วยลายมือของพวกเขาเอาไว้ จากนั้นก็บอกให้คนไปช่วยผลักดันคลื่นลมในราชวงศ์ของโลกมนุษย์ ฯลฯ เรียกได้ว่าใช้สารพัดวิธีจริงๆ ว่ากันว่าขุนเขาใต้ของแคว้นเฉิงเทียนมีขุนนางบุ๋นที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งภายหลังได้ถูกขนานนามให้เป็นบัณฑิตปาเจียว ในขณะที่เขามาหลบฝนอยู่ที่ขุนเขาใต้ได้เขียนบทกวีอันไพเราะที่ผู้คนพากันกล่าวขานถึงเอาไว้ แม้แต่รองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษากวานหูก็ยังเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด ถึงกับนำมารวบรวมเป็นบทรวมกวี อีกทั้งในฐานะผลงานที่สำคัญเป็นลำดับรอง เป็นเหตุให้วันนี้หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยปี ศาลขุนเขาเหนือก็ยังคงได้รับใบบุญจาก ‘กลิ่นอายบุ๋น’ ขุมนี้
สำหรับกิจการที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับกลิ่นอายเซียนเหล่านี้ เฉินผิงอันไม่ได้ชอบ แต่ก็ไม่คิดจะไปขัดขวาง
หากวันหนึ่งจะสร้างสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่งขึ้นมาที่เขตการปกครองหลงเฉวียนอันเป็นบ้านเกิดของตนจริงๆ ไม่แน่ว่าก็ยังต้องทำตามวิธีเหล่านี้
ก่อนจะโดยสารเรือบินทะยานขึ้นฟ้า จูเหลี่ยนเอ่ยเบาๆ ว่า “คุณชาย ต้องการให้บ่าวเฒ่าแสดงฝีมือสักหน่อยไหม? เผยเฉียนได้ไขหินติดไฟก้อนนั้นมา ย่อมทำให้คนเกิดความละโมบอยากครอบครองอย่างเลี่ยงไม่ได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “หนึ่งคือตอนนี้พวกเราไม่ได้หาเรื่องใส่ตัว สองใช่ว่าเราจะไม่อาจรับมือกับพวกคนที่มีจิตคิดร้าย ไหนเลยจะมีเหตุผลที่คนดีต้องป้องกันขโมย ตีฆ้องร้องป่าวอยู่ทุกค่ำคืน หากมีคนบุกมาเยือนจริงๆ เจ้าจูเหลี่ยนก็แค่ต้องขจัดภัยร้ายเพื่อปวงชน”
สือโหรวเปิดปากพูดเองอย่างที่หาได้ยาก “แต่บนร่างของพวกเรามีสมบัติล้ำค่า นี่ต่างหากที่ทำให้คนเกิดความละโมบ”
เฉินผิงอันอธิบายอย่างอดทน “เจ้าคิดผิดแล้ว ข้อแรก เห็นทรัพย์สินแล้วเกิดความละโมบจึงคิดจะสังหารคนเพื่อชิงทรัพย์ เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกอยู่แล้ว ข้อสอง มองดูเหมือนพวกเรามีหยกติดตัวจึงมีความผิดก่อน คนนอกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องที่ตามมา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะในใจของคนชั่วร้ายมีความคิดชั่วร้ายก่อน วันนี้เห็นไขหินติดไฟ วันพรุ่งนี้เห็นอาวุธวิเศษสมบัติอาคมอะไร วันมะรืนเห็นคนอื่นได้รับโชควาสนา ก็ล้วนสามารถกลายมาเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเลือกเดินทางเสี่ยง ทำผิดกฎหมายได้ทั้งสิ้น”
ลำดับขั้นตอนก่อนหลังถูกยกมาพูดอย่างละเอียด เฉินผิงอันได้นำหลักการเหตุผลข้อนี้มาอธิบายแยกย่อยลงไปอีก สือโหรวจึงพยักหน้ารับ แสดงให้รู้ว่าเห็นด้วย
สุดท้ายเฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ยุทธภพมีมลพิษและควันสกปรกมากพอแล้ว พวกเราอย่าได้ตำหนิคนดีให้มากเกินไป ในชุนชิว (ชื่อหนังสือ) ตั้งเงื่อนไขด้านคุณธรรมของนักปราชญ์ไว้อย่างเข้มงวด นั่นคือความตั้งใจจริงที่ต้องผ่านความยากลำบากของปรมาจารย์มหาปราชญ์ ไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นหลังอย่างพวกเราสามารถยกเอามาใช้ได้ทั้งดุ้น”
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีถามเผยเฉียน “ฟังเข้าใจหรือไม่?”
เผยเฉียนถลึงตาใส่ “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?!”
จูเหลี่ยนจุ๊ปากพูด “ในที่สุดเจ้าตัวขาดทุนก็เหยียบโชคดีขี้หมา ได้เงินก้อนใหญ่มาครองอย่างหาได้ยาก เอวคงแข็งยิ่งกว่าไม้เท้าเดินป่าอีกกระมัง”
เรือบินค่อยๆ ทะยานขึ้นกลางอากาศ
เผยเฉียนนั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ข่มกลั้นรอยยิ้มไว้อย่างยากลำบาก
จูเหลี่ยนถาม “ทำไมไม่ซื้อหินติดไฟหลายๆ ก้อนมาลอง…เดิมพันดู? ยกตัวอย่างเช่นในมือเจ้ายังมีเงินเกล็ดหิมะเหลืออีกสามเหรียญ หากไม่ได้จริงๆ ก็ให้สือโหรวขายไขหินติดไฟก้อนเล็กนั้น เอาน้อยมาเดิมพันมาก กำไรก็จะได้มากขึ้น กลายเป็นภูเขาเงินภูเขาทอง เมื่ออยู่ในพื้นที่วิเศษแห่งนี้ เจ้าก็จะไม่ร่ำรวยเป็นเศรษฐีเลยหรอกหรือ? อย่าว่าแต่ของขวัญวันเกิดที่มอบให้อาจารย์ปีนี้เลย ไม่แน่ว่าปีหน้าก็อาจจะมอบให้ได้อีกก้อนเหมือนกัน…”
เผยเฉียนชูนิ้วสองนิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “ไหนลองว่ามาสิ ข้าล้างหูรอฟังแล้ว”
เผยเฉียนพูดเนิบช้าเลียนแบบเฉินผิงอัน “ข้อแรก ระหว่างทางที่ออกมาจากสวนสิงโต อาจารย์สอนข้าว่าวิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของคนอื่น ดังนั้นข้าจึงไม่อาจบอกให้สือโหรวขายไขหินติดไฟของนางได้ ข้อสอง ท่องอยู่ในยุทธภพ ต้องหยุดแต่พอสมควร! เรื่องนี้อาจารย์ก็สอนไว้เหมือนกัน”
จูเหลี่ยนประสานสองมือกำเป็นหมัด “ได้รับการสั่งสอนแล้วๆ ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์หญิงเผยอาจารย์เผยจะเปิดโรงเรียนถ่ายทอดวิชาความรู้เมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นข้าต้องให้การสนับสนุนแน่นอน”
เผยเฉียนปล่อยหมัดแสร้งทำเป็นขู่ให้จูเหลี่ยนกลัว เห็นว่าพ่อครัวเฒ่านิ่งเฉยไม่ขยับจึงเก็บหมัดกลับมาอย่างขุ่นเคือง “พ่อครัวเฒ่า เหตุใดเจ้าถึงได้อ่อนด้อยขนาดนี้นะ?”
จูเหลี่ยนปล่อยหมัดออกไปบ้าง
ร่างของเผยเฉียนผงะหงายหลังไปในเสี้ยววินาที หลังจากหลบหมัดนั้นมาได้ก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
จูเหลี่ยนมองสบตากับเฉินผิงอัน
ถึงอย่างไรสือโหรวก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวจึงไม่รู้ถึงความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
หลังจากคนทั้งกลุ่มขึ้นมาบนเรือข้ามฟากแล้ว คงเป็นเพราะข่าวลือทำนองว่า ‘ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม’ มีพลังสยบที่รุนแรงมากเกินไป เหนือเกินกว่าพลังล่อลวงของเงินฝนธัญพืชสามเหรียญ ดังนั้นจนกระทั่งเรือข้ามฟากขับออกจากแคว้นเฉิงเทียนก็ยังไม่มีพวกคนคิดไม่ซื่อคนใดกล้าจะลองหยั่งเชิงความสามารถของผู้ฝึกกระบี่
แต่ความช้า เส้นทางที่อ้อมไกลและการเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆ มาใช้ในการหาเงินของเรือข้ามฟากลำนี้กลับทำให้เฉินผิงอันนับถืออย่างสุดจิตสุดใจเลยทีเดียว
วันนี้ตอนที่เรือข้ามฟากจอดลง กระจายเรือบินออกไปยัง ‘สะพานไม้’ ของตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังอดด่าขันๆ ไปประโยคหนึ่งไม่ได้ว่าพวกเราขึ้นมาบนเรือโจรกันจริงๆ
ตระกูลเซียนแห่งนั้นเป็นแค่ตระกูลลำดับสามของแจกันสมบัติทวีป แต่ระหว่างยอดเขาสองลูกได้สร้างสะพานไม้ท่อนเดียวที่ยาวหลายสิบลี้เอาไว้เส้นหนึ่ง สะพานไม้แห่งนี้จะอยู่สูงกว่าทะเลเมฆตลอดทั้งปี ทัศนียภาพไม่เลว เพียงแต่การเก็บเงินก็ไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย เดินข้ามหนึ่งรอบต้องจ่ายถึงสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ว่ากันว่าปีนั้นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนของท่าเรือหางผึ้งเคยมาเดินสะพานไม้แห่งนี้ แล้วก็ได้เห็นภาพที่ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นทางทิศตะวันออกพอดี พลันบังเกิดแรงบันดาลใจ บรรลุมรรคาฝ่าขอบเขตไปได้ แล้วก็ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองที่นี่ และก็เพราะก้าวข้ามก้าวนั้นไปถึงสามารถใช้สถานะผู้ฝึกตนอิสระอันต่ำต้อยนำพาให้ตัวเองประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ได้ยืนตระหง่านอย่างภาคภูมิใจอยู่บนยอดเขาของแจกันสมบัติทวีป
เฉินผิงอันยังคงควักเงินเกล็ดหิมะออกมาสิบสองเหรียญแต่โดยดี
ตอนแรกเผยเฉียนอยากจะวิ่งไปกลับสักเจ็ดแปดรอบ เพียงแต่ว่าสาวใช้อายุน้อยคนหนึ่งที่โชคดีได้ฝึกตนในตระกูลเซียนบนภูเขาได้เอ่ยเตือนทุกคนว่า สะพานไม้แห่งนี้มีข้อห้ามอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือไม่อาจเดินย้อนกลับมาทางเดิมได้
นี่ทำให้เผยเฉียนโมโหจนถึงกับกระทืบเท้าโดยตรง แบบนี้ก็ขาดทุนแย่น่ะสิ?!
บอกว่าเป็นสะพานไม้ท่อนเดียว แต่อันที่จริงทางกลับไม่ได้คับแคบจนเดินยาก
แต่สะพานที่ผู้ฝึกตนอิสระท่าเรือหางผึ้งมาเดินในปีนั้นกลับเป็นสะพานที่ผุพังจริงๆ
ภายหลังมีสำนักหนึ่งทุบหม้อขายเหล็ก ซ่อมแซมมันจนมีสภาพอย่างในปัจจุบัน ไม่เพียงแต่กว้างขวางมั่นคง ยังซ่อมแซมได้ประณีตงดงามอย่างถึงที่สุด
หลังจากนั้นเรือข้ามฟากก็อ้อมผ่านภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่ไฟสงครามกำลังลุกลาม อ้อมไปเป็นวงใหญ่สมชื่ออย่างแท้จริง
เป็นเหตุให้ใต้ดินของอาณาบริเวณเบื้องใต้เรือข้ามฟากในตอนนี้ก็คือทางเดินมังกรเส้นที่เฉินผิงอันเคยนั่งเรือลงใต้
คราวนั้นเฉินผิงอันจากลากับจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสีย เดินทางลงใต้เพียงลำพัง
คราวนี้ข้างกายมีเผยเฉียน จูเหลี่ยนและสือโหรว
ช่วงเวลาที่อยู่บนเรือข้ามฟากนี้ นอกจากฝึกวิชาหมัดแล้ว เฉินผิงอันยังจำต้องแบ่งเวลาครึ่งหนึ่งมาเข้าฌานมองภายใน ดึงดูดปราณวิญญาณมาหล่อเลี้ยง ‘จวนน้ำ’ แห่งนั้น
ยิ่งเดินบนเส้นทางการฝึกตนนานเท่าไหร่ เฉินผิงอันก็ยิ่งสัมผัสกับโรคร้ายที่ทิ้งไว้หลังจากเหยียบลงบนเรือสองลำของทั้งการฝึกลมปราณและการฝึกยุทธ์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขาพอจะได้ข้อสรุปคร่าวๆ อย่างหนึ่ง บนทางเส้นนี้ หลังจากเฉินผิงอันเลื่อนสู่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ด ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว จะเป็นระยะทางที่ราบรื่นในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ยิ่งขยับไปเบื้องหลัง โดยเฉพาะเมื่อหล่อหลอมสมบัติแห่งชะตาชีวิตเสร็จสิ้น สุดท้ายวันใดวันหนึ่งสร้างโอสถทองได้สำเร็จ ความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายก็จะยิ่งมิอาจผสานปรองดอง เป็นเหตุให้การปีนป่ายขึ้นสู่ที่สูงของวิถีวรยุทธ์ยิ่งเจอแต่อุปสรรค การเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดก็ยิ่งยากมากขึ้นไปอีก
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องในอนาคต
ตอนนั้นหมัดยังต้องปล่อย ปราณวิญญาณฟ้าดินก็ยังต้องพยายามดึงดูดมาและหล่อหลอมอย่างสุดความสามารถ
หลังจากที่เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าวซึ่งเป็นท่าพื้นฐานที่สุดครบหนึ่งล้านครั้งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว จากภูเขาห้อยหัวมาถึงใบถงทวีป แล้วก็มาถึงพื้นที่มงคลดอกบัว ต่อมาก็เป็นนครมังกรเฒ่าทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปที่มีราชวงศ์ต้าเฉวียน ตำหนักพยัคฆ์เขียว จนมาถึงแคว้นชิงหลวนซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มุ่งหน้าไปยังต้าสุยที่อยู่ทางทิศเหนือ เขาก็ต่อยหมัดไปอีกเกือบสี่แสนหมัด
หลังจากที่เรือข้ามฟากชิงอีจากไปไกล
เป็นช่วงร้อนน้อย แต่กลับมีอากาศร้อนแผดเผาเหมือนร่างถูกต้มและถูกนึ่งอยู่ตลอดเวลา มีผู้เฒ่าสามคนเดินขึ้นเขามาถึงสะพานไม้ท่อนเดียวแห่งนั้น
นักท่องเที่ยวบางตา
นอกจากสตรีของสำนักบนภูเขาที่คอยเก็บเงินอยู่สองฟากฝั่งของสะพานไม้แล้ว บนสะพานไม้ก็แทบมองไม่เห็นนักท่องเที่ยวคนใด
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ย สวมชุดผ้าป่านคนหนึ่งท่าทางเผด็จการเอาแต่ใจ ตัวเล็กเตี้ยที่สุด แต่พลังอำนาจกลับเปี่ยมล้น ฝ่ามือข้างหนึ่งของเขาตบลงบนไหล่ของผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เดินทางมาด้วยกัน “เจ้าคนแซ่สวิน มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม รีบควักเงินเข้าสิ!”
ผู้เฒ่าแซ่สวินกำลังง่วนอยู่กับการสอบถามดรุณีน้อยว่าทัศนียภาพของที่แห่งนี้มีจุดใดที่เป็นเอกลักษณ์บ้าง พอถูกกดไหล่ก็รีบควักเงินเกล็ดหิมะเก้าเหรียญอย่างว่องไว รับหน้าที่เป็นคนจ่ายเงินราวกับเป็นลูกสมุนของอีกฝ่าย
และผู้เฒ่าที่ต้องเป็นคนจ่ายเงินผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสสวินที่จูเหลี่ยนชอบเรียก ตอนอยู่ในร้านยาฮุยเฉินนครมังกรเฒ่า เขาเคยมอบนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญที่ในเรื่องมีฉากเทพเซียนตีกันให้จูเหลี่ยนหลายเล่ม
จูเหลี่ยนนับถือในความรู้ของผู้อาวุโสท่านนี้อย่างมาก เพราะความรู้ของเขาลึกซึ้งถึงแก่นอย่างแท้จริง
หลังจากนั้นสุยโย่วเปียนก็ไปเยือนสำนักกุยหยกในใบถงทวีปของผู้เฒ่าท่านนี้ หลังจากที่ตู้เม่าแห่งสำนักใบถงบินทะยานล้มเหลว พลังต้นกำเนิดเสียหายไปมหาศาล ตอนนี้สำนักกุยหยกจึงกลายมาเป็นผู้นำของหนึ่งทวีปที่สมศักดิ์ศรีอย่างแท้จริง
ผู้เฒ่าอีกคนที่หน้าตาธรรมดาสามัญทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป คิดจะพูดเกลี้ยกล่อมสหายสนิทที่เป็นคนโผงผางผู้นี้สักหน่อยว่า ผู้อาวุโสสวินเขาข้ามทวีปตั้งใจมาเยี่ยมเยียนเจ้า ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้ายังไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เห็น นี่หมายความว่าอย่างไร? คิดว่าผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือลูกศิษย์รุ่นหลังของพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานของเจ้าจริงๆ หรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่หากคราวนี้ไม่ได้ผู้อาวุโสสวินลงมือช่วยเหลือ เจ้าจะได้เศษซากร่างทองแก้วใสชิ้นที่ใหญ่ที่สุดหลังจากร่างของตู้เม่าร่วงลงสู่พื้นพสุธามาครองอย่างราบรื่นได้อย่างไร
ถอยไปพูดหมื่นก้าว ถึงอย่างไรสวินยวนก็คือผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินของใบถงทวีป ยิ่งเป็นถึงเจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักกุยหยก! เจ้าเป็นแค่คนที่ขอบเขตถดถอยกลับมาอยู่ก่อกำเนิด ไปเอาความมั่นใจจากไหนมาวางอำนาจอวดเบ่งใส่ผู้อาวุโสท่านนี้ทุกวัน?
ผู้เฒ่าคนนี้ก็คือผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนของท่าเรือหางผึ้ง หรือก็คืออาจารย์ของเจียงอวิ้น
ดังนั้นสะพานไม้ท่อนเดียวแห่งนี้ก็คือพื้นที่มงคลที่ปีนั้นทำให้ผู้เฒ่าสร้างโอสถทองได้สำเร็จ
สาวใช้ที่เป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตสามคนนั้นมองความตื้นลึกของคนทั้งสามไม่ออก อย่าว่าแต่นางเลย ต่อให้เป็นเจ้าสำนักขอบเขตชมมหาสมุทรมายืนอยู่ที่นี่ก็คงมองไม่ออกเช่นกัน
คนหนึ่งคือขอบเขตเซียนเหริน คนหนึ่งขอบเขตหยกดิบ คนหนึ่งขอบเขตก่อกำเนิด
ใครสักคนหนึ่งแค่กระทืบเท้าหนึ่งที เกรงว่าก็คงทำให้ภูเขาลูกนี้ถล่มลงมาได้แล้ว
—–