กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 407.2 ในตำรานอกตำรา
เหมาเสี่ยวตงเงียบไปครู่หนึ่ง สายตามองถนนใหญ่ของเมืองหลวงที่ผู้คนสัญจรกันไม่ขาดสาย อยู่ดีๆ ก็นึกถึงคำพูดที่หลุดจากปากโดยไม่ได้ตั้งใจของเจ้าตะพาบน้อยบางคนขึ้นมา “สิ่งที่ผลักดันให้ประวัติศาสตร์เดินโซซัดโซเซไปข้างหน้า มักจะเป็นความผิดพลาดที่งดงาม ความคิดบางอย่างที่สุดโต่งและความบังเอิญที่จำเป็นเสมอ”
ความคิดของเหมาเสี่ยวตงล่องลอยไปไกล รอจนคืนสติกลับมาแล้วก็ยังไม่รอให้เฉินผิงอันเปิดปากพูด ผู้เฒ่าหันหน้ากลับมาเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เวลานี้คงไม่เอ่ยถ้อยคำตามมารยาททำนองว่าความรู้ของเจ้าขุนเขาเหมาดีเยี่ยม ไม่ควรดูถูกตัวเองอะไรหรอกนะ?”
เฉินผิงอันพูดไม่ออก
อาจารย์ฉี เซียนกระบี่จั่วโย่ว ชุยฉาน
แล้วก็ผู้เฒ่าสูงใหญ่ที่อยู่ข้างกายผู้นี้
เฉินผิงอันรู้สึกว่าลูกศิษย์ที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสอนออกมา นิสัยแตกต่างกันมากเกินไปหน่อยหรือไม่
เพียงแต่ลองมาย้อนนึกดู เผยเฉียนและชุยตงซานที่อยู่ใน ‘สำนัก’ ของตนก็เหมือนว่าจะมีสภาพไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
หากเป็นไปได้ วันหน้ามีเฉาฉิงหล่างจากพื้นที่มงคลดอกบัวมาเพิ่ม แต่ละคนก็จะยิ่งมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป
จำได้ว่าในตำราของชั้นประถมเล่มหนึ่งกล่าวไว้ว่า ร้อยบุปผาเบ่งบานพร้อมกันจึงจะเรียกว่าวสันตฤดู
มีเหตุผล
……
ยามพลบค่ำ เฉินผิงอันและเหมาเสี่ยวตงยังไม่กลับมาที่สำนักศึกษา
ทางฝั่งสำนักศึกษาที่ตั้งอยู่บนภูเขาตงหัว เป็นครั้งแรกที่คนเยอะจนเกิดความแออัด
หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย
บวกกับเผยเฉียนและสือโหรว
หลินโส่วอีกับเซี่ยเซี่ยนั่งอยู่ตรงปลายสองฝั่งของระเบียงที่ปูพื้นด้วยไม้ไผ่มรกตจากชิงเซียวตู้ ต่างคนต่างนั่งเข้าฌานฝึกตน
สือโหรวรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ขอแค่ตัวอยู่ในสำนักศึกษาก็ไม่มีที่ให้นางหยัดยืน ยิ่งมาอยู่ในเรือนหลังนี้ นางก็ยิ่งกระวนกระวายไม่เป็นสุข
เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ตบะหรือศักยภาพของพวกหลี่ไหว เฉินผิงอันเคยพูดถึงคร่าวๆ อย่างไม่ปะติดปะต่อนัก
หลี่เป่าเจินพี่รองของหลี่เป่าผิง สือโหรวเคยเห็นฝีมือมาก่อน คือคนอำมหิตที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายคนหนึ่ง
บิดาของหลี่ไหวว่ากันว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบเอ็ด เคยเกือบสังหารซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีตาย อีกทั้งยังใช้สองหมัดของตัวเองบุกเข้าไปรื้อทำลายศาลบรรพชนของสำนักใบถง
สถานะของอวี๋ลู่ เฉินผิงอันไม่เคยพูดถึง แต่สือโหรวก็พอจะรู้แล้วว่าบัณฑิตร่างสูงใหญ่ที่อายุไม่มากผู้นี้คือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตแปดคนหนึ่ง
สถานะของเซี่ยเซี่ยในตอนนี้ ว่ากันว่าเป็นสาวใช้ของชุยตงซาน สือโหรวรู้แค่ว่าเซี่ยเซี่ยเคยเป็นผู้มีความสามารถด้านการฝึกตนของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่ง
สือโหรวยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของเรือน คอยทิ้งระยะทางจากคนทั้งหมดเหมือนตั้งใจ แต่ก็คล้ายว่าไม่ได้เจตนา
สือโหรวรู้ว่าครั้งแรกที่คนเหล่านี้เดินทางมาขอศึกษาต่อที่ต้าสุย ตลอดทางมีเฉินผิงอันเป็น ‘ผู้ตัดสินใจ’ ในทุกเรื่องมาโดยตลอด ฟังจากคำพูดเวลาที่เฉินผิงอันคุยกับเผยเฉียนและจูเหลี่ยน ตอนนั้นเฉินผิงอันเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองสามเท่านั้น?
เหตุใดบุคคลที่ไม่ว่าจะไปอยู่ในราชวงศ์ใหญ่แห่งใดก็ล้วนเป็นลูกรักของสวรรค์เหล่านี้ถึงได้รู้สึกว่าการจัดการของเฉินผิงอันที่เป็นเพียงคนต่างถิ่นซึ่งเพิ่งมาเยือนสำนักศึกษาได้ไม่นานเป็นเรื่องปกติ หรืออาจถึงขั้นรู้สึกว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล?
หลี่เป่าผิงกำลังคัดหนังสืออยู่ในห้องขนาดเล็กของชุยตงซาน
เผยเฉียนและหลี่ไหวนอนหมอบอยู่บนพื้นที่ปูด้วยไผ่มรกตหน้าประตูห้องหลัก ยกเอากระดานและโถเก็บเม็ดหมากชุดที่ชุยตงซานชื่นชอบมากออกมาเล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกอยู่ด้วยกัน
กติกาเป็นแบบเมื่อครั้งนั้นที่ชุยตงซานใช้เล่นงานเผยเฉียน
อวี๋ลู่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง เผยเฉียนกับหลี่ไหวตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าทั้งคู่ต่างก็มีโอกาสขอความช่วยเหลือจากอวี๋ลู่ได้สามครั้ง
อวี๋ลู่ที่เหยียบเรือสองแคม ทำหน้าที่เป็นกุนซือหัวหมา (เปรียบเปรยถึงคนที่ชอบออกความเห็นไร้ค่าให้กับผู้อื่น) มีสมาธิจดจ่อยิ่งกว่าเผยเฉียนและหลี่ไหวที่ชอบตีฝีปากปะทะคารมกันเสียอีก
สือโหรวรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก
ทั้งๆ ที่นางเป็นเจ้าของคราบร่างเซียน มหามรรคามารออยู่ตรงหน้า ความสำเร็จในอนาคตอาจจะสูงยิ่งกว่าทุกคนที่อยู่ในเรือนหลังนี้ด้วยซ้ำ
ไม่ว่าไปอยู่ในสำนักใดที่มีตัวอักษรคำว่าจง (สำนัก) อยู่ในชื่อ ก็ไม่ควรถูกสำนักแห่งนั้นยกย่องบูชาหรอกหรือ?
ทว่าเมื่ออยู่ที่นี่ ไม่ว่าใครก็ต้องเกรงอกเกรงใจนาง แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น เพราะในความเกรงใจแฝงไว้ซึ่งความเย็นชาห่างเหินที่ปิดไม่มิด
สือโหรวคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ
……
ในที่สุดตระกูลไช่ก็ส่งบรรพบุรุษที่ได้มาเปล่าๆ ซึ่งเป็นดั่งเทพแห่งหายนะออกไปจากประตูจวนอย่างนอบน้อม
นับแต่ไช่จิงเสินไปจนถึงพ่อครัวของเรือนล้วนรู้สึกโล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
คนเดียวที่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเกรงว่าคงจะเป็นสาวใช้หน้าตางดงามที่มีโอกาสได้ปรนนิบัติเทพเซียนผู้หล่อเหลาคนนั้น
ชุยตงซานออกจากเขตการปกครอง ไม่ได้ตรงไปที่เมืองหลวงทันที แต่ไปพักแรมอยู่ในอารามเต๋าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งใกล้เคียงกับเมืองหลวง
ในอารามเต๋ามีนักพรตเต๋าวัยชราที่ทำหน้าที่เป็นประธานในการประกอบพิธีกรรม นำพาผู้คนเดินเข้าสู่มรรคา เป็นเหตุให้ได้รับคำเรียกขานว่า ‘พระอาจารย์’ นำหน้าชื่อ ได้แวะมาหาชุยตงซานโดยบอกว่าต้องการถกปัญหาธรรม
เว่ยเซี่ยนรู้ดีอยู่แก่ใจว่า นักพรตเต๋าอายุมากคนนี้ต้องเป็นสายลับต้าหลีที่ถูกจัดวางไว้ในอาณาเขตของต้าสุยแน่นอน
เรื่องนี้ไม่น่าประหลาดใจเลยแม้แต่นิดเดียว เวลาที่ชุยตงซานอยู่ว่างๆ ก็เคยให้เว่ยเซี่ยนดูรายชื่อฉบับหนึ่ง รายชื่อในนั้นล้วนเป็นนักรบเดนตายและสายลับ ครบทั้งสามอาชีพเก้าสาขา จนทุกถึงวันนี้ก็ยังคงแฝงตัวอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ของต้าหลี สายลับที่ยังขุดค้นตัวไม่เจอ แน่นอนว่าต้องมีมากกว่า ชื่อที่ถูกวงด้วยวงกลมสีแดง ชุยตงซานบอกว่าเป็นพวกคนที่มีบทบาทในการขายข่าวโดยเฉพาะ ถือเป็นสายลับสองหน้า น่าสนใจมากที่สุด ไม่เห็นญาติมิตรอยู่ในสายตา เห็นแค่เงินอย่างเดียวเท่านั้น คบค้าสมาคมกับพวกเขาค่อนข้างจะทำให้คึกคักกระปรี้กระเปร่า
เพียงแต่ว่าออกจะเหนือการคาดการณ์ของเว่ยเซี่ยนไปบ้างเล็กน้อย แม้นักพรตผู้เฒ่าจะเป็นสายลับต้าหลีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หลังจากรายงานข่าวอย่างเรียบง่ายเสร็จแล้ว เขากับชุยตงซานที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งคนละใบกลับเริ่มพูดคุยถกปัญหาฟ้าดินกันอย่างจริงๆ จังๆ
เว่ยเซี่ยนฟังจนงีบหลับไป
หลังจากผู้เฒ่าจากไปแล้ว ชุยตงซานก็ชี้ไปยังเบาะนั่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม กล่าวว่า “ฉวยโอกาสที่มันยังร้อนอยู่ รีบนั่งลงซะ”
แม้เว่ยเซี่ยนจะนั่งลงจริงๆ แต่ไม่ได้นั่งลงบนเบาะ เขานั่งลงบนพื้น
ชุยตงซานเรียกโต๊ะน้ำชาใบเล็กลักษณะโบราณมีกลิ่นหอมตัวหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ด้านบนวางสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือไว้จนเต็ม เขากางกระดาษแผ่นหนึ่งที่ประณีตงดงามซึ่งน่าจะเป็นของที่เชื้อพระวงศ์ในวังใช้กันออกแล้วเริ่มก้มหน้าก้มตาเขียนตัวอักษร
เว่ยเซี่ยนถาม “เหตุใดท่านชุยถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน ออกจากตระกูลไช่ เร่งร้อนหนีมาแถบนี้ของเมืองหลวง แต่กลับมาหยุดอยู่ที่นี่?”
นี่คือปัญหาที่ไม่ว่าเว่ยเซี่ยนจะขบคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก
ชุยตงซานไม่ได้เงยหน้า ไม่ได้ให้คำตอบ แต่ถามย้อนกลับมาด้วยหนึ่งประโยคที่เป็นคนละเรื่องกันเลย “เจ้าคิดว่าจิตใจคนซับซ้อนหรือไม่?”
เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับ “แน่นอน”
ชุยตงซานเคยเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังด้านการเขียนพู่กันซึ่งได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาจึงตวัดพู่กันได้ดุจเมฆคล้อยน้ำไหล ต่อให้เว่ยเซี่ยนแค่มองไกลๆ ก็ยังรู้สึกสบายหูสบายตาไปหมด
ชุยตงซานยังคงไล่เรียงเขียนสรุปรายงานที่สายลับทั้งหมดนำมาแจ้ง ปากก็เอ่ยช้าๆ ว่า “ใจคน มองดูเหมือนยากจะคาดเดา แต่แท้จริงแล้วไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่พวกเจ้าจินตนาการเอาไว้ คนบนโลกทุกคนล้วนรักตัวกลัวตาย นี่ก็คือสันดานของมนุษย์ หรืออาจเป็นสันดานของหมื่นสรรพสิ่งที่มีสติปัญญาด้วย การที่มนุษย์แตกต่างจากสัตว์นั้นอยู่ที่ว่ามนุษย์มีความรักความผูกผัน ความรักระหว่างบุตรและบิดามารดา การสืบทอดควันธูป ความรุ่งเรืองและเสื่อมสลายของแคว้น ถูกไหม? ยิ่งเป็นคนที่โดดเด่น ความรู้สึกบางอย่างก็จะยิ่งเด่นชัด”
เว่ยเซี่ยนครุ่นคิด “เป็นหลักการนี้จริง แต่ส่วนใหญ่แล้วกลับมีคนประเภทชอบความสมดุลที่ผสมผสานคลุมเครืออยู่มากกว่า”
ชุยตงซานหยุดเขียน วางพู่กันลงบนแท่นวาง สะบัดข้อมือ ยิ้มหยันกล่าวว่า “คนที่คิดถึงความสมดุลอะไรนั่นก็มีแต่พวกเหลวไหล จิตใจสั่นคลอนไม่หยุดนิ่ง เคลื่อนขยับไปตามกระแส เห็นสาวงามก็เกิดใจปรารถนา เห็นทรัพย์สมบัติก็เกิดความละโมบ ไม่ว่าอะไรก็อยากได้ไปหมด เมื่ออยากได้ก็จะเอาให้ได้โดยไม่คิดประมาณตน หลิ่วชิงเฟิง หลี่เป่าเจิน เว่ยหลี่ อู๋ยวน สี่คนนี้ถือเป็นพวกคนฉลาด แต่ก็ยังมีข้อเสียและข้อบกพร่องไม่อย่างนี้ก็อย่างนั้นกันทุกคน”
“อู๋ยวนที่รับตำแหน่งเจ้าเมืองเขตการปกครองหลงเฉวียน ในใจยอมรับคุณูปการและความรู้ของข้า และยิ่งเป็นลูกศิษย์ในนามของข้า เพียงแต่ในอดีตเคยได้รับบุญคุณจากเหนียงเนียงท่านที่ฝึกตนกินเจอยู่ในตำหนักฉางชุน เลยเข้าใจไปว่าทุกอย่างที่ได้มาในวันนี้ล้วนเป็นเหนียงเนียงท่านนั้นที่ประทานให้ ดังนั้นระหว่างบุญคุณส่วนตัวกับกิจธุระบ้านเมืองจึงสั่นคลอนไม่หยุดนิ่ง มีชีวิตอย่างสับสนคิดไม่ตก”
“สิ่งที่หลี่เป่าเจินต้องการไม่ได้แปลกประหลาดอะไร แล้วก็ไม่ได้สอดคล้องกับหลักดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊ออย่างอู๋ยวน เขาต้องการเพียงแค่สร้างความชอบ สักวันหนึ่งจะได้กลายเป็นขุนนางตำแหน่งสูงสุด แต่หลี่เป่าเจินยังไม่เข้าใจคำว่าฉลาดเกินก็มองดูเหมือนคนโง่ เวลานี้เขาแค่รู้จักแต่การแสร้งโง่ ทว่าคนฉลาดบนโลกใบนี้จะนับเป็นอะไรได้เล่า ไม่มีค่าเลยสักนิด”
“เว่ยหลี่แห่งแคว้นหวงถิง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เขาคือผู้รอบรู้มากที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่ สิ่งที่สำคัญที่สุดในใจของเขาก็คือบ้านเมืองและอาณาประชาราษฎร์ แต่แผนการของเขายังเล็กเกินไป มองเห็นเพียงแค่หนึ่งแคว้นและขนบธรรมเนียมร้อยปี ยังไม่เคยชินที่จะมองไกลไปถึงหนึ่งทวีปและวางแผนใหญ่ถึงพันปี”
“หลิ่วชิงเฟิงนายอำเภอเล็กๆ แห่งแคว้นชิงหลวนคือคนที่ข้าเห็นดีที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่ น่าเสียดายที่ไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตน มีอายุขัยได้มากสุดก็แค่ร้อยปี นี่ควรเรียกว่า…สวรรค์ริษยาอัจฉริยะบุคคลสินะ?”
เว่ยเซี่ยนได้ยินมาถึงตรงนี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อย
ท่านชุยถึงขนาดเต็มใจพรรณนาถึงคนอื่นว่าเป็น ‘อัจฉริยะบุคคล’?
อันที่จริงลึกๆ ในใจเว่ยเซี่ยนคอยขบคิดถึงคำว่าใจคนที่ชุยตงซานกล่าวถึงอยู่ตลอดเวลา
ชุยตงซานหยิบรายงานสายลับปึกหนึ่งที่ถูกจัดให้เป็นรายงานปลายแถวขึ้นมาจากโต๊ะน้ำชา โยนให้เว่ยเซี่ยน “นี่คือบทกวีตกอันดับใหม่ล่าสุดของผู้ที่เข้าสอบเคอจวี่ในสองแคว้นอย่างต้าหลีและต้าสุย คือหนึ่งในวิธีที่ข้านำมาใช้แก้เบื่อ”
เว่ยเซี่ยนรับไปแล้ว ชุยตงซานถึงกล่าวว่า “เจ้าคงอยากจะถามถึงวิธีและทิศทางในการวิเคราะห์ความตื้นลึกของใจคนจากข้าสินะ มองดูเหมือนทำได้ แต่แท้จริงแล้วเรื่องราวทางโลกยากจะคาดเดา จิตใจคนขึ้นลงไม่อยู่นิ่ง ไม่แน่ว่าอุบัติภัยครั้งหนึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันได้หลากหลาย ยังคงเป็นปัญหาที่ยุ่งยากอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังยากที่จะคำนวณได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นจึงไม่ถือว่ามีวิธีที่แท้จริง ถูกหรือไม่?”
เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับ ไม่ได้ปฏิเสธ
ชุยตงซานคลี่ยิ้ม ชี้ไปยังหัวสมองของตัวเอง “การฝึกตนบนภูเขา นอกจากจะเพื่อให้อายุขัยยืนยาวแล้ว แสงศักดิ์สิทธิ์ในนี้ก็จะผุดขึ้นตามมาด้วย”
จากนั้นชุยตงซานก็สะบัดข้อมือโปรยเงินเทพเซียนกำใหญ่ไว้บนโต๊ะน้ำชา “ข้าจะพูดถึงการแบ่งจิตใจคนเป็นหลักใหญ่ๆ ให้ฟังก่อนก็แล้วกัน สามารถนำหลักวิชาการคำนวณของสำนักคำนวณในเมธีร้อยสำนักมาช่วยเสริม จากหนึ่งถึงสิบ แยกกันแบ่งวิเคราะห์ แล้วเจ้าก็จะพบว่าคำว่าจิตใจคนขึ้นๆ ลงๆ นั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ในท้ายที่สุด”
ไม่รอให้เว่ยเซี่ยนเปิดปากพูด ชุยตงซานก็คลี่ยิ้มกล่าวว่า “หนึ่งถึงสิบยังคงไม่แม่นยำมากพอ แต่หากทำได้จากหนึ่งถึงหนึ่งร้อยล่ะ จะเป็นอย่างไร?”
เว่ยเซี่ยนกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “วิชาการคำนวณนี้ถูกมองเป็นวิถีเล็กๆ ในใต้หล้าไพศาลมาโดยตลอด ไม่ใช่เพราะประวัติความเป็นมาของพวกเขา แต่เป็นเพราะถูกสำนักการค้าที่ชื่อเสียงไม่ดีสักเท่าไหร่ยกย่องไม่ใช่หรือ? ท่านชุยยังเอามาใช้ด้วย? หรือว่านอกจากวิชาของลัทธิขงจื๊อแล้ว ท่านชุยยังเป็นหนึ่งในผู้ยกย่องสำนักคำนวณด้วย?”
ชุยตงซานหัวเราะเสียงเย็น “สำนักคำนวณก็มีค่าพอให้ข้ายกย่อง?”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน “แม้แต่การแบ่งแยกระหว่างเทพและคน สามจิตหกวิญญาณ เรื่องที่เล็กละเอียดยิบย่อยที่สุดบนโลก ข้ายังต้องศึกษาค้นคว้าให้หมด สำนักคำนวณเล็กๆ ก็เป็นแค่การใช้เวลาบนกระดาษเท่านั้น จะนับเป็นผายลมอะไรได้”
เว่ยเซี่ยนถือกระดาษปึกที่เขียนบทกวีตกอันดับของผู้เข้าสอบสองแคว้นไว้ในมืออย่างเหม่อลอยไร้คำพูด
ชุยตงซานที่พูดอ้อมไปไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ ในที่สุดก็วกกลับมายังคำถามที่เว่ยเซี่ยนถามไว้ตอนแรกสุด “เรื่องภายในภายนอกของทางสำนักศึกษา ข้ารู้ชัดเจนดี การเปลี่ยนแปลงเดียวในเวลานี้ก็คืออาจารย์จ้าวที่ไม่มีแม้แต่แรงจะมัดไก่ผู้นั้น”
เว่ยเซี่ยนกล่าวอย่างฉงน “อาจารย์วัยชราคนหนึ่งกับอริยะลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างสำนักศึกษาคนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกัน ฝ่ายแรกจะยังก่อคลื่นสร้างมรสุมได้อีกหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่หากอิงตามคำบอกของท่านชุย เหมาเสี่ยวตงไม่ใช่ชาวขงจื๊อที่คร่ำครึ มีหรือจะยอมให้เกิดช่องโหว่ได้ อีกอย่างตามคำอธิบายของท่าน เว้นเสียจากฮ่องเต้ต้าสุยอยากจะทำให้ตัวเองพินาศวอดวายแล้วก็ไม่มีทางกล้าลงมือกับหลี่เป่าผิงและหลี่ไหวเด็ดขาด”
ชุยตงซานจ้องเป๋งไปที่เว่ยเซี่ยนด้วยสีหน้ารังเกียจ “ลองคิดดูดีๆ ก่อนหน้านี้ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วว่าให้มองปัญหาจากจุดที่สูงหน่อย”
ในใจเว่ยเซี่ยนพลันสะท้านเยือก
—–