กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 416.3 ความภาคภูมิใจที่สุดในโลก
สุดท้ายประคองตัวเองต่อไปไม่ไหว จ้าวเหยาจึงหมดสติไป เขาพลัดตกจากไม้ยักษ์ลงไปในน้ำทะเล อาศัยแสงแห่งสติปัญญาเสี้ยวสุดท้ายของสมบัติอาคมที่คุ้มครองตนพาร่างลอยไปตามกระแสคลื่น
เมื่อจ้าวเหยาสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา เขาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงหลังหนึ่ง เขาพลันสะดุ้งพรวดลุกขึ้นนั่ง จึงเห็นว่าที่นี่คือกระท่อมที่ค่อนข้างกว้างขวางแต่กลับเรียบง่าย รอบด้านนอกจากผนังโล่งก็เต็มไปด้วยตำราสีเหลืองเก่าคร่ำคร่าจนแทบจะไม่มีทางให้เดิน
จ้าวเหยาที่ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกลุกขึ้นแล้วก็พบว่าห่อสัมภาระใบนั้นวางอยู่บนหัวเตียง เปิดออกแล้วเห็นว่าสิ่งของด้านในไม่หายไปสักชิ้น เขาก็พลันโล่งอก
เดินตามทางเล็กๆ ของ ‘ภูเขาหนังสือ’ ที่สูงครึ่งตัวคนไป พอจ้าวเหยาผลักประตูห้องให้เปิดออก การมองเห็นก็พลันเปิดโล่ง เขาพบว่ากระท่อมสร้างอยู่บนบนยอดเขาแห่งหนึ่ง แค่เปิดประตูก็สามารถชมทะเลเมฆ
จ้าวเหยายังมองเห็นกระบี่ไร้ฝักเล่มหนึ่งที่ปักเอียงอยู่บนยอดเขา ตัวกระบี่เกรอะไปด้วยสนิม สีสันหม่นหมองไร้ประกาย
จ้าวเหยาเดินมาถึงริมหน้าผา เหม่อมองเบื้องล่างที่ลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง
ในขณะที่จ้าวเหยากำลังจะก้าวเท้าออกไปนั้นเอง ด้านข้างก็พลันมีเสียงอบอุ่นอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้น “สวรรค์ไม่ไร้ทางให้คนเดิน เจ้าผิดหวังในตัวเองขนาดนี้เชียวหรือ?”
น้ำตาเอ่อคลอกลบดวงตาจ้าวเหยา เขาหันหน้าไปมองก็เห็นบุรุษเรือนกายสูงเพรียวสวมชุดสีเขียว อีกฝ่ายกำลังทอดสายตามองไปทางมหาสมุทรใหญ่
ตอนนั้นจ้าวเหยาที่ยังเป็นเด็กหนุ่มเช็ดน้ำตาทิ้ง พลันถามขึ้นว่า “ท่านอาจารย์คงเป็นยอดฝีมือนอกโลก ช่วยรับข้าเป็นลูกศิษย์ได้หรือไม่? ข้าอยากเรียนวิชาตระกูลเซียน!”
บุรุษผู้นั้นส่ายหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าคนนี้ไม่เคยกราบไหว้อาจารย์ แล้วก็ไม่เคยรับลูกศิษย์ด้วยกลัวความวุ่นวาย เจ้าอยู่ที่นี่รักษาตัวให้ดี เมื่อหายดีแล้วข้าจะส่งเจ้าออกไป”
จ้าวเหยาถาม “ที่นี่คือที่ไหน?”
บุรุษยิ้มตอบ “โลกมนุษย์ ยังจะเป็นที่ไหนได้อีก”
จ้าวเหยาคงคิดว่าในเมื่อไหแตกแล้วก็ทุ่มให้แหลกไปเสียเลย อีกทั้งยังอยู่ในช่วงเวลาที่สภาพจิตใจสิ้นหวังและเปราะบางมากที่สุดจึงซักไซ้ไล่เรียงอย่างไม่เกรงใจ “ข้าอยากรู้ว่าที่นี่คือที่ไหนของโลกมนุษย์?!”
บุรุษเองก็ไม่โกรธ ยังคงคลี่ยิ้มบางๆ “ไม่ใช่ว่าข้าจงใจเล่นลิ้นกับเจ้า ที่นี่คือสถานที่ธรรมดาไร้ชื่อไร้นาม ไม่ใช่จวนเทพเซียนอะไรทั้งนั้น ปราณวิญญาณบางเบา ห่างจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่ไกล หากโชคดีอาจยังได้พบกับชาวประมงหรือไม่ก็คนที่มาเก็บไข่มุก”
จากนั้นจ้าวเหยาก็พักรักษาตัวอยู่ที่นี่ อยู่ด้วยกันนานวันเข้าจึงค้นพบว่าบุรุษผู้นั้น นอกจากฝีเท้าที่ไม่ธรรมดาแล้ว อันที่จริงทุกอย่างล้วนธรรมดาอย่างยิ่ง
ต่อให้ในกระท่อมหลายหลังที่อยู่บนยอดเขาของเขาจะมีตำราเก็บสะสมไว้มาก ทว่าเวลาปกติบุรุษก็ไม่เคยเอ่ยถ้อยคำที่แฝงความหมายลึกล้ำอะไร แล้วก็ต้องกินข้าวทุกวัน นอกจากนี้ยังมักจะลงจากเขาไปเดินเล่นที่ชายหาดเป็นประจำ
ชีวิตในแต่ละวันจ้าวเหยาจะใช้ไปกับการเปิดตำราอ่านหนังสือ หรือไม่ก็นั่งเหม่ออยู่ริมหน้าผา
มีเพียงบางวันที่จ้าวเหยารู้สึกอุดอู้เต็มที นึกอยากจะชักกระบี่ที่ปักอยู่ในดินขึ้นมา บุรุษถึงจะมายืนอยู่ที่กระท่อมของตน ยิ้มเตือนจ้าวเหยาว่าอย่าไปแตะต้องมัน
จ้าวเหยาถามอย่างใคร่รู้ “กระบี่เล่มนี้มีชื่อหรือไม่?”
บุรุษชุดเขียวส่ายหน้า “ไม่เคยมี”
จ้าวเหยาถามอีก “ท่านอาจารย์คือคนที่ผิดหวังจากการสอบเคอจวี่งั้นหรือ? หรือว่าต้องการหลบหนีศัตรูคู่แค้น จึงออกจากผืนแผ่นดินมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่?”
บุรุษยังคงส่ายหน้า “ล้วนไม่ใช่ ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิด ข้าก็แค่เห็นด้วยกับประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า ชีวิตคนนั้นยากลำบาก มหามรรคามีทางแยกมากมาย ในเมื่อเส้นทางเดินได้ยากก็ควรหยุดเดิน แอบเกียจคร้านเสียบ้าง จะได้ใช้เวลาไตร่ตรองให้ดี”
จ้าวเหยาถามหยั่งเชิง “ท่านอาจารย์ไม่ใช่ยอดฝีมือนอกโลกอย่างเช่นพวกเทพเซียนพสุธาโอสถทองหรือก่อกำเนิดอะไรจริงๆ หรือ?”
บุรุษถามกลับด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมไม่ใช่เซียนดินอะไรทั้งนั้น อีกอย่าง ข้าจะใช่หรือไม่ใช่แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าจ้าวเหยาด้วย?”
จ้าวเหยาอาศัยอยู่ที่นี่เกือบสองปี เกาะแห่งนี้ไม่ถือว่าใหญ่นัก จ้าวเหยาเดินเที่ยวเล่นเพียงลำพังจนทั่วเกาะ แล้วก็เป็นอย่างที่บุรุษพูดจริงๆ หากโชคดีก็จะเจอกับชาวประมงที่ออกทะเลมาจับปลา รวมไปถึงคนเก็บไข่มุกที่ต้องเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวง แต่กลับสามารถร่ำรวยได้ภายในค่ำคืนเดียว
สภาพจิตใจของจ้าวเหยาเริ่มมั่นคงขึ้นแล้ว จึงเป็นฝ่ายเปิดปากพูดกับบุรุษว่าจะไปท่องเที่ยวที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
บุรุษพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ตอนเดินทางก็ระวังด้วย จำไว้ว่าอย่าผิดหวังกับตัวเองเกินไปนัก บางทีนี่ต่างหากจึงจะทำให้คนผิดหวังได้มากที่สุด”
จ้าวเหยารู้สึกเขินอายเล็กน้อย สุดท้ายหยิบที่ทับกระดาษไม้แกะสลักเป็นรูปชือหลงชิ้นนั้นออกมา “เพื่อตอบแทนพระคุณช่วยชีวิต ข้าอยากจะมอบมันให้ท่านอาจารย์”
บุรุษโบกมือปฏิเสธ พูดเหมือนระอาใจเล็กน้อย “การช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่ความสามารถของตัวเองอำนวยกลายเป็นเรื่องเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมสำหรับใต้หล้าด้านนอกตั้งแต่เมื่อไหร่?”
จ้าวเหยากล่าวอย่างดึงดัน “ท่านอาจารย์ช่วยข้าโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่ข้าที่เป็นคนถูกช่วยจะไม่สนใจใยดีไม่ได้! นี่คือของที่สำคัญมากที่สุดบนร่างข้า เอามาตอบแทนท่านอาจารย์ได้พอดี”
บุรุษคลี่ยิ้ม “นั่นก็หมายความว่าใต้หล้ายังไม่ย่ำแย่เกินไปนัก”
เพียงแต่สุดท้ายแล้วบุรุษก็ยังไม่ยอมรับที่ทับกระดาษชิ้นนั้นไป
จ้าวเหยานั่งโดยสารแพไม้ที่ต่อขึ้นเองมุ่งหน้าไปยังผืนแผ่นดิน จ้าวเหยาที่ยืนอยู่บนแพไม้ประสานมือโค้งตัวบอกลาบุรุษ
หลังจากนั้นบุรุษก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายเฉกเช่นเดิม
มีอยู่วันหนึ่ง กระบี่ยาวเล่มที่ปักอยู่บนยอดเขาพลันสั่นไหวพลางส่งเสียงครวญเบาๆ
บุรุษยืนอยู่ข้างกระบี่ยาว มองไปยังทิศทางของแจกันสมบัติทวีปแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อย่าไปเปิดปฏิทินเหลืองเก่าแก่พวกนั้นอีกเลย”
กระบี่บินที่สั่นสะท้านและส่งเสียงครวญครางค่อยๆ หยุดนิ่ง
ต่อมาก็มีเงาร่างของคนสองคนปรากฏขึ้นบนเกาะ คนผู้หนึ่งคือผู้เฒ่าที่กลิ่นเหล้าคลุ้งโชย อีกคนหนึ่งคือนักพรตหนุ่ม ฝ่ายหลังรีบทรุดตัวลงกับพื้นแล้วอาเจียนอย่างแรง
นับจากในตรอกของหมู่บ้านทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป มาจนถึงชายหาดทางทิศตะวันตกของแจกันสมบัติทวีป แล้วก็มาถึงเกาะแห่งหนึ่งบนทะเลของตระกูลเซียนที่มีอักษรคำว่าสำนักอยู่ในชื่อ สุดท้ายมาถึงที่นี่ นักพรตหนุ่มก็อาเจียนมาครั้งแล้วครั้งเล่า
นักพรตเฒ่ารีบทรุดตัวลงนั่งยอง ตบแผ่นหลังของลูกศิษย์ตัวเองเบาๆ กล่าวอย่างอ่อนใจว่า “ไม่เป็นไรๆ อ้วกเสร็จครั้งนี้…แค่อ้วกอีกครั้ง เอ่อ หรืออาจจะอีกสองครั้ง เดี๋ยวก็ผ่านมันไปได้แล้ว”
นักพรตหนุ่มเกือบจะขย้อนเอาน้ำดีออกมา เขาถามด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “อาจารย์ ทุกครั้งท่านก็พูดแบบนี้ เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดสักที ท่านช่วยให้คำตอบที่แน่ชัดแก่ข้าได้ไหม?”
นักพรตเฒ่าที่บนร่างสวมชุดนักพรตเต๋าลักษณะประหลาดเพราะเหมือนมีมังกรเพลิงว่ายวนอยู่บนชุดได้แต่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
นักพรตหนุ่มลุกขึ้นยืน ถามว่า “อาจารย์ ท่านบอกว่าจะพาข้าไปพบคนที่ท่านเลื่อมใสที่สุด แต่ท่านกลับไม่ยอมบอกประวัติความเป็นมาของเขา เพราะอะไรกัน?”
นักพรตเฒ่าเพียงคลี่ยิ้มบางๆ ไม่ตอบคำถาม ก่อนจะเงยหน้าถามว่า “เปิดประตู พวกเราสองอาจารย์และศิษย์จะขอน้ำชาจากเจ้ามาดื่มสักถ้วย จะได้ไหม?”
บุรุษถอนหายใจ มาปรากฏตัวที่ริมชายหาด ยืนห่างจากสองอาจารย์และศิษย์มาหนึ่งจั้ง “ข้าเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เจ้าเป็นถึงเซียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ แต่กลับจะให้ข้าแข่งวิชาอสนีและการเขียนยันต์กับเจ้างั้นหรือ?”
นักพรตเฒ่าร่ายวิชาอภินิหารมาตั้งแต่แรก เป็นเหตุให้ลูกศิษย์ของเขาไม่ได้ยินคำพูดของคนผู้นี้
เรื่องบางเรื่องก็ยังจำเป็นต้องปิดบังลูกศิษย์โง่ผู้นี้เอาไว้ก่อน
นักพรตเฒ่าร่างเล็กเตี้ยถามด้วยรอยยิ้ม “แม้แต่ประตูก็ไม่ให้ผ่านเข้าไป? ทำไม นี่ถือเป็นการตอบรับว่าจะแข่งมรรคกถากับข้าแล้วใช่ไหม? หากข้าเข้าไปได้ก็ถือว่าข้าชนะ จากนั้นเจ้าก็ให้ข้ายืมกระบี่เล่มนั้น?”
บุรุษส่ายหน้า “เจ้าจะตอแยข้าไม่เลิกจริงๆ หรือ?”
นักพรตหนุ่มจางซานเฟิงไม่ได้ยินแม้แต่น้อยว่าอาจารย์และบุรุษชุดเขียวพูดอะไรกัน
ในความเป็นจริงแล้ว จางซานเฟิงค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า ตนมองใบหน้าของบุรุษชุดเขียวแวบหนึ่งก็จะลืมไปว่าก่อนหน้านั้นใบหน้าของเขาเป็นแบบใด
นักพรตเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “โอ้ะโอ โกรธซะแล้ว แน่จริงเจ้าก็ออกมาตีข้าสิ?”
บุรุษกระตุกมุมปาก
จางซานเฟิงพลันได้ยินคำพูดหน้าไม่อายประโยคนี้ของอาจารย์ก็อดไม่ไหวเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “อาจารย์ แม้ว่าท่านจะภาคภูมิใจมาโดยตลอดว่าตัวเองคือคนที่ฝึกตนจนประสบความสำเร็จ แต่ในฐานะผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา มาเยี่ยมเยือนคนอื่นถึงบ้าน คำพูดคำจาก็น่าจะยึดหลักมารยาทและมีความเกรงใจหน่อยกระมัง”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับรัวๆ ปากก็บอกว่าใช่ จากนั้นก็หันไปถลึงตาใส่บุรุษ “ใช้ลูกไม้ประเภทนี้ จะนับว่าเป็นชายชาตรีวีรบุรุษได้อย่างไร!”
บุรุษกล่าว “กระบี่เล่มนั้นเจ้ายังดึงออกมาไม่ได้ จะยืมไปได้ยังไง?”
สีหน้าของนักพรตเฒ่าเคร่งเครียด “ด้วยขอบเขตของผินเต้า (คำเรียกแทนตัวของนักพรตเต๋าอย่างนอบน้อม) ตอนนี้ก็ยังดึงไม่ออกอย่างนั้นหรือ?”
บุรุษพยักหน้ารับ “ต่อให้ขอบเขตของเจ้าจะสูงกว่านี้อีกขั้นก็ยังไม่อาจบังคับควบคุมมันได้อยู่ดี”
นักพรตเฒ่าทอดถอนใจ
ปีนั้นภูเขามังกรพยัคฆ์เคยมีความลับอยู่เรื่องหนึ่ง
นักพรตเฒ่าเคยรับปากเทียนซือใหญ่ของรุ่นก่อนว่า มีเพียงสังหารปีศาจขอบเขตบินทะยานตัวนั้นได้ถึงจะยอมหวนกลับภูเขามังกรพยัคฆ์อย่างถูกต้องเหมาะสม
ตอนนี้โอกาสแพ้ชนะคือแปดต่อสอง เขามีโอกาสคว้าชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง แต่หากจะให้ตัดสินเป็นตาย กลับมีโอกาสแค่ห้าต่อห้าเท่านั้น
นักพรตเฒ่ามองลูกศิษย์ข้างกายที่ตัวเองฝากความหวังไว้มากที่สุดแล้วก็ตัดสินใจว่าต้องลองดูสักตั้ง!
บุรุษพลันมองไปทางนักพรตหนุ่ม “ปณิธานหมัดนี้ของเจ้า?”
ตอนนี้จางซานเฟิงสะพายกระบี่ไม้ท้อธรรมดาของภูเขามังกรพยัคฆ์และกระบี่โบราณที่ได้รับความเสียหายซึ่งสลักสองคำว่า ‘เจินอู่’ พอได้ยินคำถามของบุรุษชุดเขียว จางซานเฟิงก็รู้สึกมึนงงไปหมด
นักพรตเฒ่ากล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “เป็นยังไง ร้ายกาจมากเลยใช่ไหมล่ะ? ลูกศิษย์ของข้าเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเอง!”
บุรุษชุดเขียวเผยสีหน้าชื่นชมอย่างที่หาได้ยาก “ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถบุกเบิกเส้นทางใหญ่ของการเรียนวรยุทธ์ให้กับใต้หล้า และยังสามารถสร้างให้เกิดเป็นบุญกุศลได้อีกมากมาย อืม ที่ยิ่งหาได้ยากก็คือความจริงใจของเขา เจ้ามีลูกศิษย์ที่ดี”
นักพรตเฒ่าหัวเราะปากกว้าง แล้วก็เริ่มพูดเหลวไหล “ที่ไหนกันๆ ปกติๆ ลูกศิษย์ของข้าที่เป็นแบบนี้ อันที่จริงหากไม่มีหนึ่งโหลก็มีเจ็ดแปดคน”
จางซานเฟิงไม่ได้รู้สึกว่าอาจารย์กำลังคุยโว ยิ่งไม่รู้สึกผิดหวังเพราะเรื่องนี้ ปีนั้นตอนที่ฝึกตนอยู่บนภูเขา เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ธรรมดาที่สุดจริงๆ อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงได้ติด ถึงขั้นสู้นักพรตน้อยบางคนที่มีศักดิ์เป็นศิษย์หลานของเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ…
บุรุษยิ้มกล่าว “เรื่องของภูเขามังกรพยัคฆ์ในปีนั้น ข้าเคยได้ยินมาบ้าง เจ้าคิดจะพาลูกศิษย์คนนี้ขึ้นเขาไปกราบไหว้อาจารย์ปู่ เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ และปีศาจตนนั้นก็ล้ำเส้นเกินไปพอดี”
บุรุษครุ่นคิดแล้วก็กล่าวว่า “รอข้าหนึ่งก้านธูป”
พูดจบก็หมุนตัวเดินขึ้นไปบนยอดเขา
บุรุษเอื้อมมือคว้าหนึ่งที กระบี่ยาวเล่มที่ปักอยู่บนยอดเขาก็ถูกเขากุมเอาไว้ในมือ
คนนอกโลกที่แค่ยอมรับว่าตัวเองเป็นบัณฑิตไม่มีสีหน้าฮึกเหิมห้าวหาญใดๆ ถึงขั้นที่ว่าพอดึงกระบี่ยาวเล่มที่แม้แต่เทียนซือใหญ่ต่างแซ่ก็ยังดึงไม่ออกมาได้แล้ว ฟ้าดินก็ยังไม่มีภาพปรากฎการณ์ประหลาดใดๆ เกิดขึ้น
เหมือนปัญญาชนยากจนคนหนึ่งที่ตรากตรำเล่าเรียนนั่งอยู่ในห้องหนังสือแล้วหยิบพู่กันด้ามหนึ่งขึ้นมา เพราะคิดจะเขียนบทความวรรคที่ใหญ่เท่าก้อนเต้าหู้เท่านั้น
จากนั้นเขาก็ไปเยือนหุบเหวลึกหมื่นจั้งที่ไม่มีใครในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกล้าเข้าไป ใช้หนึ่งกระบี่สังหารปีศาจขอบเขตสิบสามที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หุบเหวลึกจนร่างของมันแหลกสลาย มรรคาวูบดับ
ครั้นจึงย้อนกลับมาที่ยอดเขา เสียบกระบี่เล่มยาวที่เกรอะไปด้วยสนิมกลับลงไปบนพื้นดินอีกครั้ง เดินลงจากภูเขา พูดกับนักพรตเฒ่าว่า “ตอนนี้พวกเจ้าสามารถขึ้นเขากลับไปยังภูเขามังกรพยัคฆ์ได้แล้ว”
นักพรตเฒ่ายิ้มตาหยี “ลำบากเจ้าแล้ว พระคุณยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย พวกเราไปก่อนล่ะนะ วันหน้าจะมาหาใหม่”
พูดจบก็ลากแขนของจางซานเฟิงที่ยังมีสีหน้ามึนงง ใช้ปลายเท้าวาดเป็นยันต์ หดพื้นที่พันหมื่นลี้ให้สั้นลง ไปเยือนภูเขาสูงลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ในผืนแผ่นดินของภูเขามังกรพยัคฆ์
บุรุษชุดเขียวไม่ถือสา เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม มองมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลต่ออีกครั้ง
ปีนั้นจ้าวเหยาที่ยังเป็นเด็กหนุ่มไม่รู้ประสาเคยถามเขาว่า เขาใช่คนที่ผิดหวังคือไม่
คำถามนี้น่าสนใจจริงๆ
เพราะบัณฑิตผู้นี้ถูกขนานนามมาโดยตลอดว่าคือ ความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์