กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 419.2 หลายคนในหลายใต้หล้า
เฉินผิงอันกลับมาที่เรือนของชุยตงซาน หลินโส่วอีและเซี่ยเซี่ยต่างก็กำลังฝึกตน
หากผู้ฝึกลมปราณเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนแล้วละก็ ก่อนที่จะเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทอง การฝึกตนมักจะไม่เลือกช่วงเวลากลางวันกลางคืน
ไม่อาจไม่ตัดขาดต่อเรื่องราวทางโลก เพื่อทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้กิเลสปรารถนาได้
เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที
แล้วเริ่มฝึกเดินนิ่งอยู่ในลานบ้านด้วยท่าเดินกลับหัว
ใช้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งมาหล่อเลี้ยงบำรุงอวัยวะภายใน เส้นชีพจรและโครงกระดูกด้วยความอบอุ่น
ว่ากันว่าหลังจากเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดร่างทองแล้ว จะเรียกว่าใช้ลมปราณเป็นเก้า นั่นก็คือสามารถเลื่อนไปสู่ขอบเขตอันเลิศล้ำที่ไม่ต้องมีลมปราณออกหรือเข้าจากจมูก
เมื่อไปถึงขอบเขตสิบ หรือก็คือขอบเขตสุดท้ายของผู้เฒ่าแซ่ชุย หลี่เอ้อร์และซ่งจ่างจิ้ง ก็จะสามารถเรียกตัวเองได้ว่าฟ้าดินขนาดเล็ก ประหนึ่งทวยเทพบรรพกาลองค์หนึ่งที่เยื้องกรายมาเยือนโลกมนุษย์อย่างแท้จริง
ผู้ที่ใช้ลมปราณได้อย่างเชี่ยวชาญจะสามารถควบคุมน้ำทำให้น้ำในแม่น้ำไหลทวนกระแส ควบคุมน้ำให้ทะเลสาบมหาสมุทรเดือดพล่าน ต่อให้อยู่ท่ามกลางโรคระบาดใหญ่ เชื้อโรคทั้งหลายก็ไม่อาจกล้ำกราย หมื่นเสนียดจัญไรมิอาจรุกราน
ก็คือหลักการนี้
เฉินผิงอันพลันนึกถึงสตรีร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่พบเจอโดยบังเอิญบนถนนในช่วงที่เดินทางไปภูเขาห้อยหัว
ตอนนั้นสายตาของเฉินผิงอันยังตื้นเขิน มองความลี้ลับอะไรมากมายไม่ออก ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดู มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่านางก็คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง!
ผู้ฝึกยุทธผสานมรรคา ฟ้าดินรวมเป็นหนึ่ง
ชุยตงซานไม่ได้อยู่ในเรือน
เขามาปรากฎตัวบนยอดเขาตงหัว
ยืนอยู่กับเหมาเสี่ยวตง
ชุยตงซานเอ่ยประโยคที่ไม่ค่อยจะเกรงใจนัก “หากพูดถึงเรื่องของการสอนหนังสือถ่ายทอดความรู้ เจ้าด้อยกว่าฉีจิ้งชุนมากนัก เจ้าได้แต่ซ่อมแซมแก้ไขบ้านเรือน ผนังสี่ด้านหรือหน้าต่าง แต่ฉีจิ้งชุนกลับสามารถช่วยสร้างบ้านให้กับลูกศิษย์ของตัวเองได้”
เหมาเสี่ยวตงไม่ได้ตอบโต้ชุยตงซานอย่างที่หาได้ยาก
ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้า “จ้าวเหยาไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่มาตั้งแต่เด็ก เกิดมาก็มีพรสวรรค์ฉลาดเฉลียว นิสัยอ่อนโยน จึงต้องสอนให้เขารู้จักสละสิ่งของบางอย่าง เข้าใจถึงความยากลำบากทุกข์ทนบนโลกใบนี้ เขาถึงจะได้รู้จักทะนุถนอมเห็นค่าของสิ่งที่ได้เรียนรู้มาและสิ่งของทุกอย่างที่อยู่ในมืออย่างแท้จริง ซ่งจี๋ซินมองดูเหมือนยโสโอหัง เฉียบคม ทว่าในใจกลับมีความน้อยเนื้อต่ำใจ ขี้ขลาด จำเป็นต้องใช้ความรู้บางอย่างของสำนักนิติธรรมที่ใกล้เคียงกับลัทธิขงจื๊อมาสร้างความแข็งแกร่งให้กับจิตใจของเขา แยกแยะกฎเกณฑ์ให้ได้อย่างชัดเจน การที่จะปกครองบ้านเมือง จำเป็นต้องละทิ้งความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ และช่วงชิงเอาสติปัญญาขั้นสูงมาใช้ แต่ก็ต้องไม่ห่างเหินจากลัทธิขงจื๊อมากเกินไป อีกทั้งสุดท้ายยังต้องเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องด้วย ส่วนอาจารย์ของข้าเคยชินกับการที่ไม่มีอะไรแล้ว ในใจของเขาแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด แต่ก็เพราะไม่มีที่พึ่งพา ดังนั้นจึงควรต้องให้เขาเรียนรู้ที่จะหยิบบางอย่างขึ้นมา จากนั้นก็เล่าเรียนศึกษาความรู้ให้กับตัวเองอย่างต่อเนื่อง แล้วค่อยนำหลักการเหตุผลที่ตัวเองวิเคราะห์ใคร่ครวญออกมาได้มาทำเป็นหินทับท้องเรือยามที่เรือลำน้อยล่องอยู่กลางนาวาแห่งความขมขื่น นี่เรียกว่าสอนตามความสามารถของผู้เรียน การศึกษาไม่แบ่งชนชั้น”
ในที่สุดเหมาเสี่ยวตงก็เปิดปากพูด “ข้าสู้ฉีจิ้งชุนไม่ได้ ข้าไม่ปฏิเสธ แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าสู้เจ้าชุยฉานไม่ได้”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เอาตัวมาเปรียบเทียบกับคนอย่างข้า เจ้าขุนเขาใหญ่เหมาไม่รังเกียจว่าจะเสียหน้าบ้างรึ?”
เหมาเสี่ยวตงกระตุกมุมปาก รังเกียจที่จะพูดต่อปากต่อคำ
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “จะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่? ถึงเวลานั้นข้าจะเตรียมของขวัญแสดงความยินดีมาให้เจ้า”
เหมาเสี่ยวตงไม่ยินดีจะตอบคำถามข้อนี้ อารมณ์ของเขาเวลานี้ค่อนข้างหนักอึ้ง “ทางฝ่ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะเกิดปัญหาใหญ่หรือไม่? ตอนนี้เมธีร้อยสำนักลิงโลดกันขนาดนี้ ต่างพากันวางเดิมพันกับราชวงศ์โลกมนุษย์แห่งต่างๆ ในเก้าทวีปใหญ่ เป็นการละเมิดกฎเกณฑ์อย่างมาก ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่า…”
เหมาเสี่ยวตงไม่พูดต่ออีก
ชุยตงซานกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ใต้หล้าไพศาลต่างก็รู้สึกว่าใช้นักโทษกลุ่มนั้นไปต้านทานเผ่าปีศาจ คือเรื่องที่พวกเราเก้าทวีปใหญ่เคยชินคิดว่าสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินและต้องเป็นหน้าที่ของพวกผู้ฝึกกระบี่ ส่วนความจริงและผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร คงต้องรอดูกันไป”
เหมาเสี่ยวตงหันหน้ามามองเขา
ชุยตงซานทอดสายตามองไปไกล “ลองเอาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ หากเจ้าคือกากเดนเผ่าปีศาจที่หลงเหลืออยู่ในใต้หล้าไพศาล เจ้าอยากจะเป็นใบไม้ร่วงที่กลับคืนสู่รากหรือไม่? หากเจ้าคือชาวบ้านพลัดถิ่นหรือนักโทษที่ถูกกักขังอยู่ในกรงขังแห่งหนึ่ง จะอยากหันกลับมาพูด…ความในใจที่เก็บกลั้นมานานปีกับใต้หล้าไพศาลหรือไม่?”
เหมาเสี่ยวตงขมวดคิ้ว “กำแพงเมืองปราณกระบี่มีอริยะสามลัทธิเฝ้าพิทักษ์มาโดยตลอด”
ชุยตงซานคลี่ยิ้ม “ไม่พูดถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้างทั้งแห่ง เอาแค่ครึ่งเดียว ขอแค่เต็มใจร่วมมือกัน และยินดีจ่ายค่าตอบแทนอย่างไม่เสียดาย การที่จะบุกมาโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วค่อยกลืนกินทวีปทั้งหลายในใต้หล้าไพศาล เป็นเรื่องยากนักหรือ?”
เหมาเสี่ยวตงกล่าว “ข้าคิดว่าไม่ง่าย”
ชุยตงซานไม่ได้ปฏิเสธ เขาเอ่ยเพียงว่า “ลองเปิดตำราประวัติศาสตร์อ่านให้มากๆ ก็จะรู้คำตอบเอง”
เหมาเสี่ยวตงลังเลเล็กน้อย “ทักษิณาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดมีเฉินฉุนอันที่บนไหล่แบกดวงตะวันและดวงจันทรา!”
ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้า “ในตำราประวัติศาสตร์ก็มีคนบางส่วนที่ตายเร็ว ทิ้งชื่อเสียงอันดีงามหอมขจรพันปี ตายช้า ทิ้งชื่อเสียงเน่าเหม็นฉาวโฉ่หมื่นปี”
เหมาเสี่ยวตงกำลังจะขยับปากพูดอะไรบางอย่าง ชุยตงซานกลับหันหน้ามายิ้มให้เขาเสียก่อน “ข้าก็พูดไปส่งเดช นี่เจ้าคิดจริงจังด้วยหรือ?”
เหมาเสี่ยวตงกล่าว “หากความเป็นจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าพูดเหลวไหล ถึงเวลานั้นข้าจะเลี้ยงเหล้าเจ้าเอง”
ชุยตงซานยกยิ้ม “ไม่เสียแรงที่เป็นบัณฑิตซึ่งกำลังจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ ตบะสูงแล้ว ความใจกว้างก็เพิ่มมากตามไปด้วย”
เหมาเสี่ยวตงทอดสายตามองออกไป
ใต้หล้าไพศาลมีอาณาบริเวณกว้างขวาง แต่ละแคว้นแต่ละสถานที่ก็ย่อมมีไฟสงครามและความวุ่นวายเกิดขึ้น ทว่าโดยภาพรวมแล้วยังถือว่าสงบสุขสันติเหมือนอย่างเมืองหลวงต้าสุยแห่งนี้ พวกเด็กได้เห็นภาพเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ ภาพคนอดยากหิวโหยยาวไกลเป็นพันลี้จากแค่ในตำราเท่านั้น ทุกๆ วันพวกผู้ใหญ่ก็แค่ต้องคิดเรื่องกินเรื่องอยู่ บัณฑิตยากจนที่ตรากตรำเล่าเรียนต่างก็อยากเป็นชาวนาในยามเช้า เป็นขุนนางในยามเย็น ปัญญาชนส่วนใหญ่ที่ได้เป็นขุนนางแล้ว ต่อให้ต้องตกอยู่ในอ่างย้อมสีขนาดใหญ่ (เปรียบเปรยถึงว่าถูกสิ่งไม่ดีแพร่มาสู่ตัว) ที่คนเปลี่ยนสิ่งของคงเดิมอย่างวงการขุนนาง ทว่าบางครั้งยามพลิกอ่านตำราช่วงดึกที่เงียบสงัดก็อาจจะยังรู้สึกละอายใจต่อคำสอนของอริยะปราชญ์ วาดฝันถึงอนาคตอันรุ่งโรจน์ยาวไกล
ชุยตงซานมองลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของสายบุ๋นซึ่งเขาเคยดูแคลนมาโดยตลอดผู้นี้ แล้วจู่ๆ ก็พลันเขย่งปลายเท้า ตบไหล่เหมาเสี่ยวตง “วางใจเถอะ ถึงอย่างไรใต้หล้าไพศาลก็ยังมีคนอย่างอาจารย์ของข้า ศิษย์น้องเล็กของเจ้า อีกอย่างก็ยังมีเวลาให้พวกเป่าผิงน้อย หลี่ไหว หลินโส่วอีเติบโต ใช่แล้ว มีประโยคหนึ่งพูดไว้ว่าอย่างไรแล้วนะ?”
เหมาเสี่ยวตงพูดประโยคมีชื่อเสียงที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นของอาจารย์ตน “สีครามเกิดจากต้นคราม แต่เข้มกว่าคราม”
ชุยตงซานกระแอมหนึ่งที “บอกตามตรง ปีนั้นที่ซิ่วไฉเฒ่าสามารถพูดประโยคนี้ออกมาได้ เป็นข้าที่มีคุณความชอบใหญ่หลวง งั้นเดี๋ยวข้าเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ให้เจ้าฟังดีกว่า ตอนนั้นข้ากับซิ่วไฉเฒ่าเดินผ่านโรงย้อมผ้าแห่งหนึ่ง เจอกับแม่นางน้อยหน้าตางดงามทรวดทรงอ้อนแอ้น…”
เหมาเสี่ยวตงคว้าไหล่ของชุยตงซานแล้วเหวี่ยงออกไปอย่างแรงจนร่างของชุยตงซานลอยหวือตกลงไปจากยอดเขาภูเขาตงหัว เขาผรุสวาทอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าตะพาบน้อย พูดจาเหลวไหลจนติดลมเลยรึ?”
……
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ดวงจันทร์สามดวงลอยอยู่กลางนภา
หุบเหวขนาดใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่งที่ลักษณะคล้ายบ่อโบราณ
ถูกใต้หล้าแห่งนี้เรียกขานว่าตำหนักอิงหลิง (วิญญาณวีรบุรุษ)
เล่าลือกันว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นซากสมรภูมิรบหลังจากที่บรรพบุรุษของปีศาจใหญ่ที่มีพลังการต่อสู้เทียมฟ้าท่านหนึ่งต่อสู้กับนักพรตน้อยขี่วัวซึ่งเดินทางมาไกลเหลือทิ้งไว้หลังจากเปิดศึกใหญ่ต่อกัน
ในใต้หล้าแห่งนี้ศึกครั้งนั้นถูกนำมาบรรยายอย่างยิ่งใหญ่ดุเดือด มีเพียงปีศาจใหญ่เพียงหยิบมือที่รู้ความจริงว่า ในความเป็นจริงแล้วศึกใหญ่นั้นคือเรื่องจริง แต่กลับไม่ใช่ศึกระหว่างปีศาจใหญ่กับนักพรตที่ขี่วัวดำเดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ แต่คือศึกอันน่าอนาถที่เกิดขึ้นมานานยิ่งกว่านั้น ก็แค่ว่าตอนนั้นมีปีศาจใหญ่ที่วัยวุฒิสูงมากคนหนึ่งปีนป่ายมาหลายพันปี กว่าจะหลุดพ้นจากพันธนาการมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากผ่านความยากลำบากนานัปการจนปีนจากก้นบ่อมาถึงปากบ่อได้ แต่กลับต้องมาถูกนักพรตที่ยืนอยู่บนปากบ่อ ใช้นิ้วข้างหนึ่งกดลงเบาๆ ดีดมันให้ร่วงกลับลงไปในก้นบ่ออีกครั้ง
ตอนนี้บนอากาศเหนือผนังสี่ด้านของ ‘บ่อน้ำ’ แห่งนี้มีเก้าอี้นั่งขนาดมหึมาเรียงกันล้อมเป็นวง
มีทั้งหมดสิบสี่ตัว แต่ละตัวสูงต่ำไม่เท่ากัน
มีทั้งขุนเขากลับหัวปริแตกลักษณะคล้ายแท่นสูง มีทั้งหอแก้วเรือนหยกที่เล่าลือกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์ ยิ่งมีทั้งโครงกระดูกขนาดใหญ่ยักษ์ที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด
มีบัลลังก์แห่งหนึ่งที่เกิดจากกระดูกขาวโพลนจำนวนมากทับถมกันเป็นกระดูกใหญ่มโหฬาร มีปีศาจใหญ่กระดูกขาวที่กระดูกโปร่งใสราวกับหยกตนหนึ่งนั่งอยู่ ในมือของปีศาจถือจอกเหล้า ใต้ฝ่าเท้าเหยียบอยู่บนหัวกะโหลกหัวหนึ่ง ขยับเท้าหมุนมันเบาๆ
มีเสากลมสูงพันจั้งสลักอักขระโบราณเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า งูยาวสีแดงสดขดตัวล้อมวนรอบเสา พร้อมกับไข่มุกเจียวหลงที่หม่นหมองไร้ประกายหลายเม็ดบินวนเวียนอย่างเชื่องช้า
ชุดคลุมยาวสีเทาที่ขาดวิ่น ด้านในว่างเปล่าไร้สิ่งใด พลิ้วโบกสะบัดไปตามสายลม
เรือนกายล่ำสันกำยำสวมเกาะสีทอง บนใบหน้าสวมหน้ากากมีแสงสีทองเหมือนสายน้ำไหลหลั่งรินออกมาจากตามร่องของเสื้อเกราะ คล้ายดวงอาทิตย์ร้อนแรงดวงหนึ่งที่ถูกพันธนาการอยู่ในบ่อลึก
มีสตรีสวมมงกุฎราชันย์ สวมชุดคลุมมังกรสีทอง หัวเป็นคนร่างเป็นเจียว หางยาวตรงดิ่งทิ้งตัวลงไปในหุบเหวลึก มีสตรีร่างเล็กบางจำนวนนับไม่ถ้วนที่เมื่อเทียบกับร่างใหญ่โตมโหฬารของปีศาจสาวแล้วก็เล็กเท่าเมล็ดข้าวสารกอดผีผาไว้ในอ้อมอก แถบผ้าหลากสีที่ล้อมวนอยู่รอบเรือนกายอรชรของพวกนางมีมากนับร้อยเส้น ปีศาจสาวเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด มือหนึ่งเท้าคาง อีกมือหนึ่งยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาบดบี้สตรีอุ้มผีผาแต่ละตน นักพรตสวมชุดคลุมนักพรตสีขาวหิมะ มองเห็นหน้าตาไม่ชัด เรือนกายสูงสามร้อยจั้ง แต่เมื่อเทียบกับ ‘เพื่อนบ้าน’ ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตำแหน่งอื่นๆ แล้ว ร่างก็ยังคงเล็กจ้อย เพียงแต่ว่าด้านหลังของเขามีจันทร์เสี้ยวดวงหนึ่งลอยขึ้นมา
มียักษ์สามเศียรหกกร ร่างกำยำ เปิดเปลือยหน้าอก นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะใบหนึ่งที่เกิดจากตำราสีทองวางซ้อนทับกันเป็นชั้น ตรงหน้าอกของเขามีบาดแผลที่น่าพรั่นพรึง เกิดจากโดนกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ฟัน
ปีศาจใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทุกคน ไม่มีคนใดเคยเข้าร่วมการเข่นฆ่าสังหารสะท้านฟ้าสะเทือนดินที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน
คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกเก็บซ่อนอำพรางตัวที่เวลานี้ต่างก็ถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหลจำศีลอันยาวนาน
มีเพียงส่วนน้อยที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไกลพันหมื่นปี แต่กลับไม่เคยสนใจศึกสงครามที่เกิดขึ้นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เลือกที่จะมองดูดายอยู่เฉยๆ มาตลอดเวลา
ปีศาจใหญ่สองตนที่ตอนนั้นไปเยี่ยมเยือนผู้เฒ่าตาบอดที่ขุนเขาใหญ่สิบหมื่นไม่มีคุณสมบัติจะมาปรากฏตัวที่นี่
ตำแหน่งที่นั่งทั้งสิบสี่ที่นั่งโอบล้อมก้อนหินก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ
เมื่อเงาร่างของผู้เฒ่าคนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นกลางหินก็มีปีศาจบรรพกาลสองตนรีบเผยกายทันที ราวกับว่าไม่กล้าจะเผยตัวทีหลังผู้เฒ่า
ผู้เฒ่ากวาดตามองไปรอบด้าน
ยังเหลืออีกตำแหน่งหนึ่งที่ว่างอยู่ มีเพียงดาบหนึ่งเล่มวางอยู่ตรงนั้น
ตำแหน่งนั้นคือบัลลังก์ที่สูงเป็นอันดับสามนอกเหนือจากของผู้เฒ่า ซึ่งเพิ่งปรากฎขึ้นใหม่ในตำหนักอิงหลิงหุบเหวลึกแห่งนี้
ผู้เฒ่าไม่ได้พูดอะไร
ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ให้ความเคารพผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงยิ่งกว่าสถานที่ใดๆ
เจ้าของดาบเล่มนั้นเคยแอบต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับอาเหลียงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่สองครั้ง แต่กลับเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องแล้วไปดื่มเหล้าด้วยกัน และยามใดที่มีเวลาว่างรู้สึกเบื่อหน่ายก็จะแล่นไปเยือนภูเขาใหญ่สิบหมื่นเพื่อช่วยผู้เฒ่าตาบอดเคลื่อนย้ายภูเขา
ตำแหน่งที่เป็นรองแค่ผู้เฒ่าคือ ‘ชายวัยกลางคน’ สวมชุดลัทธิขงจื๊อที่กำลังนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ไม่ได้เผยร่างจริงของเผ่าปีศาจ ร่างของเขาจึงเล็กดุจเมล็ดงา
ตำแหน่งของคนผู้นี้สูงกว่าดาบเล่มนั้นเสียอีก
ปีศาจใหญ่ทุกคนที่นั่งประจำที่ รวมไปถึงปีศาจใหญ่ที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อท่านนั้นต่างก็พากันลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้เฒ่า
ผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องรอเขา เริ่มคุยกันได้เลย”
เหล่าปีศาจถึงได้พากันนั่งลง
ผู้เฒ่ามองไปยังปีศาจใหญ่สวมชุดลัทธิขงจื๊อคนนั้น “อันดับต่อไปเจ้าพูดอะไร ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็จะทำอย่างนั้น ใครไม่ทำตาม ข้าจะพูดเกลี้ยกล่อมเอง ใครที่รับปากว่าจะทำ หลังจบเรื่อง…”
ปีศาจใหญ่ชุดลัทธิขงจื๊อยิ้มบางๆ พูดเสริมว่า “ภายนอกเชื่อฟัง ลับหลังขัดขืน”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปคุยกับเขาด้วยตัวเอง”
……
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ด้านหลังบุรุษร่างกำยำคนหนึ่งมีเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ลักษณะคล้ายเด็กรับใช้ติดตามมา
ชายฉกรรจ์สวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน หน้าตาเกลี้ยงเกลา ส่วนเด็กหนุ่มที่เดินกะเผลกอยู่ด้านหลังกลับสวมเสื้อผ้าสกปรกขาดวิ่น ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มมีสีสันต่างออกไป เมื่ออยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ย่อมต้องถูกดูแคลนว่าเป็นเศษสวะ
ฟ้าดินกว้างใหญ่ที่แร้นแค้น เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความสกปรกขุ่นมัวแห่งนี้ การที่เดินทางท่องไปทั่วด้วยร่างของมนุษย์ได้นั้น เดิมทีก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างหนึ่ง
บุรุษผู้นี้เคยต่อสู้กับอาเหลียง แล้วก็เคยดื่มเหล้าด้วยกัน บนร่างของเด็กหนุ่มรัดกลไกของสำนักโม่ที่มีชื่อเรียกว่าชั้นวางกระบี่เอาไว้ มองปราดๆ หากใส่กระบี่ยาวไว้จนเต็ม ด้านหลังของเด็กหนุ่มก็จะคล้ายนกยูงรำแพนหาง
ในใต้หล้าไพศาล เฉาสือแห่งราชวงศ์ต้าตวนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางถูกหลิวโยวโจวผู้เป็นสหายลากตัวไปเที่ยวด้วยกันทั่วสารทิศ เฉาสือไม่เคยไปเยือนศาลบู๊ ไปแค่ศาลบุ๋นเท่านั้น
ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว ยามที่ต้องใช้มือเปล่ากำจัดปีศาจปราบมาร สังหารผู้ฝึกตนชั่วช้าโอสถทอง หลิวโยวโจวแค่ยืนชมงิ้วอยู่ข้างๆ ปรบมือร้องไห้กำลังใจก็พอ
ปีนั้นตอนที่เดินผ่านประตูใหญ่ระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัว เฉาสือก็เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตห้า ตอนที่เดินทางผ่านเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของแผ่นดินกลาง เขาก็แค่ฝึกหมัดเหมือนเวลาปกติ แต่กลับเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตหกได้อย่างเงียบเชียบ
ชะตาบู๊มากไพศาลที่ท่วมท้นไปทั่วร่างของเขาแผ่กระจายออกไปสี่ทิศ ถึงขนาดทำให้ศาลบู๊แห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงสั่นโยกจะพังถล่ม ชะตาบู๊ของเขายังคงไหลหลากเหมือนน้ำท่วม ถึงขนาดเพิ่มความยิ่งใหญ่ให้กับชะตาบู๊ของแคว้นนี้ให้มากขึ้นไปอีกเป็นเท่าทวี
ใต้หล้ามืดสลัว เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่บนร่างเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งเจ็บแค้นทั้งเศร้าใจ เดินขึ้นเขาไปตีกลองสวรรค์
ฟ้าดินเงียบสงัดอยู่ครู่หนึ่ง นักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวก็ยิ้มตาหยีมาปรากฏกายข้างกายเด็กหนุ่ม ทำหน้าที่รับลูกศิษย์แทนอาจารย์
ห้านครสิบสองชั้นของป๋ายอวี้จิง ตั้งแต่บนจรดล่างล้วนสั่นสะเทือนไม่หยุด
นับจากนี้ไป มรรคาจารย์เต๋าจะมีลูกศิษย์คนสุดท้ายเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
แจกันสมบัติทวีป สำนักศึกษาซานหยาของราชวงศ์ต้าสุย
เผยเฉียนกับหลี่เป่าผิง แม่นางน้อยสองคนนั่งอยู่บนกิ่งไม้สูงของยอดเขา มองไปเบื้องล่างต้นไม้ด้วยกัน
เฉินผิงอันกำลังฝึกหมัด
—–