กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 426.2 กลับมาท่องเที่ยวที่เดิม น้ำใสลมเย็น
เฉินผิงอันกล่าวว่า “หลังจากนี้พวกเราจะต้องเดินทางผ่านจวนหลังหนึ่งที่มีผีสาวเป็นเจ้าของ หน้าจวนแขวนป้าย ‘น้ำใสลมเย็น’ เอาไว้ ข้าคิดว่าจะพาเจ้าไปคนเดียวเท่านั้น ให้สือโหรวพาเผยเฉียนเดินอ้อมภูเขาแถบนั้นตรงไปรอพวกเราอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเมืองหงจู๋”
จูเหลี่ยนยิ้มถามอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ “อืม ก่อนหน้านี้นายน้อยแค่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ว่าตอนนั้นไม่ได้เล่าอย่างละเอียด ตอนนี้มาลองนึกดูแล้ว คงจะมีความเสี่ยง แต่ไม่ได้อันตรายมากใช่ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ผีสาวสวมชุดเจ้าสาวที่อาศัยอยู่ในจวนหลังนั้นเคยมีเรื่องกับพวกข้าเมื่อครั้งที่ข้ากับพวกเป่าผิงเดินทางผ่าน ข้าก็เลยอยากจะยุติเรื่องที่ค้างคาสักหน่อย”
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างกระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่าช่วงนี้นายน้อยถึงซักถามวิชาแห่งชะตาชีวิตบางอย่างของพวกภูตผีปีศาจจากสือโหรวอย่างละเอียด แถมยังเดินๆ หยุดๆ ก็เพื่อรวบรวมพลังให้พรั่งพร้อม จะได้เขียนยันต์กระดาษเหลืองไว้ได้หลายๆ แผ่น”
เฉินผิงอันพลันยกฝ่ามือขึ้น “หุบปาก”
จูเหลี่ยนขุ่นเคืองเล็กน้อย ไม่เสียแรงที่เป็นนายน้อยของตน เข้าใจตนดีจริงๆ
คราวก่อนไม่ได้ถามนายน้อยว่าหน้าตาของผีสาวสวมชุดเจ้าสาวงดงามหรืออัปลักษณ์ ผอมหรืออ้วน? นี่จึงทำให้ในใจจูเหลี่ยนคันคะเยออยู่ตลอดเวลา
ถึงอย่างไรตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ยังไม่เคยมีผีสาวหน้าตางดงามที่มีสุสานเป็นบ้านชื่นชมเลื่อมใสตนมาก่อน มาถึงใต้หล้าไพศาลแล้วจะพลาดได้ไง?
แต่เจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ผู้นั้นก็ไม่ต่างจากสือโหรวเท่าไหร่ หนึ่งองค์เทพหนึ่งผีสาว ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกใจตนนัก จูเหลี่ยนลูบคลำปลายคาง พูดเสียงขุ่นว่า “อะไรกัน สตรีของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นผีหรือเทพก็ล้วนชอบคนที่หน้าตากันหมดเลยหรือ?”
เฉินผิงอันยกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้น “ดื่ม”
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองกาเหล้าที่อยู่ข้างเท้า พูดหน้าม่อย “นายน้อย กาเหล้าของข้าว่างเปล่าแล้ว”
จูเหลี่ยนถูมือยิ้มหน้าเป็น “นายน้อย ไม่ต้องกังวลว่าบ่าวเฒ่าคออ่อนหรือคอแข็ง หากใช้คำพูดของเผยเฉียนก็คือไม่มีปัญหา! ขออีกสักกาสิ สามารถดับกระหายได้พอดี สองกาเมากรึ่มๆ สามกาก็ยิ่งแช่มชื่น”
เฉินผิงอันหัวเราะหึๆ อ้าปากกว้าง โคลงศีรษะทำท่าสูบลม จากนั้นก็หันหน้ามาทำสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ดื่มลมตะวันออกเฉียงเหนือไปก่อนเถอะเจ้า” (ดื่มลมตะวันออกเฉียงเหนือเปรียบเปรยว่าคนที่ไม่มีอะไรจะกิน ได้แต่กินลมให้อิ่มท้อง)
จูเหลี่ยนอดกลั้นมานาน คิดว่าจะเป็นขุนนางซื่อสัตย์ที่ยอมตายเพื่อถวายคำทัดทาน แต่ให้ตายก็จะไม่ยอมเป็นขุนนางชั่วช้าที่ชอบประจบยกยอสักครั้งหนึ่ง จึงพูดด้วยท่าทางจริงจังว่า “นายน้อย คำพูดล้อเล่นที่ไม่ตลกแม้แต่น้อยแบบนี้ บ่าวเฒ่ายากที่จะพูดประจบท่านได้จริงๆ”
จิตของเฉินผิงอันเคลื่อนไหวเล็กน้อย กาเหล้าใบหนึ่งก็ถูกเรียกออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เขาโยนมันให้จูเหลี่ยนแล้วถามว่า “จูเหลี่ยน เจ้ารู้สึกว่าข้าเป็นคนอย่างไร?”
จูเหลี่ยนรับสุรามาแล้วก็พูดอย่างไม่ต้องหยุดคิด “เป็นคนดี”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “งั้นเหล้านี้ก็ไม่เสียเปล่าที่มอบให้เจ้า”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ต่อให้ไม่มีกาเหล้ากานี้ ข้าก็จะพูดแบบนี้”
เฉินผิงอันพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ก็ข้าเป็นคนดีอยู่แล้วนี่นา”
จูเหลี่ยนหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ “ถ้าอย่างนั้นนายน้อยก็คิดซะว่าข้าพูดประจบอีกครั้งแล้วกัน อย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง ดื่มเหล้าๆ!”
ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเศรษฐีมีอันจะกิน คนหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นเด็กบ้านนอกจากตรอกยากจน อันที่จริงคนทั้งสองไม่ได้เก็บเอาสถานะนายบ่าวมาใส่ใจนัก พวกเขาค่อยๆ ลิ้มรสสุรารสเลิศอยู่ริมหน้าผาเคียงข้างกันไปช้าๆ
จูเหลี่ยนเช็ดมุมปาก พลันเอ่ยขึ้นว่า “นายน้อย บ่าวเฒ่าร้องเพลงบ้านเกิดเพลงหนึ่งให้ท่านฟังดีไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ดีสิ”
จูหลี่ยนรีบจิบเหล้าคำเล็กหนึ่งคำเพื่อทำให้ลำคอชุ่มชื้น จากนั้นถึงได้เริ่มคลอเพลงออกมาพลางโคลงศีรษะตามไปด้วย เพลงที่เขาร้องเป็นภาษาทางการของราชวงศ์หนึ่งที่ดับสูญไปนานแล้วในพื้นที่มงคลดอกบัว
เฉินผิงอันย่อมฟังไม่เข้าใจ เพียงแต่จูเหลี่ยนร้องได้อย่างเคลิบเคลิ้ม ต่อให้ไม่รู้เนื้อหาของเพลง เฉินผิงอันก็ยังคงรับฟังอย่างเพลิดเพลิน
จูเหลี่ยนร้องจบไปท่อนหนึ่งก็ถามว่า “นายน้อย เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันพยักหน้าให้ “ไม่เลวๆ”
จูเหลี่ยนแกว่งกาเหล้าที่เหลือเหล้าอยู่ครึ่งกา “หากนายน้อยมอบเหล้าให้ข้าอีกกาเป็นรางวัล บ่าวเฒ่าก็จะร้องออกมาเป็นภาษาทางการต้าหลี”
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จาก็โยนกาเหล้าให้จูเหลี่ยนกาหนึ่งทันที
จูเหลี่ยนวางกาเหล้าใบนั้นไว้ด้านข้าง คลอเพลงในลำคอเบาๆ “แสงตะเกียงในค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิดุจดวงตาของคน มองหญิงสาวผู้นั้นถอดกระดุม นิ้วที่เรียวยาวดุจต้นหอมขยับปลดปมผ้า หน้าอกขาวผ่องตระหง่านดุจขุนเขา ผิวหน้าท้องเนียนนุ่มอ่อนละมุน แสงน้อยนิดอันน่าสงสารส่องไม่ถึงแผ่นหลังเรียบลื่น เอวเล็กคอดบางห้อยน้ำเต้าใบใหญ่ สาวน้อยเอ๋ยคิดถึงชายในดวงใจที่จากไปไกลยังไม่ย้อนกลับมา หัวใจดุจมีกวางวิ่งชน ความคิดวกวนผูกปมนับพันอยู่ในใจ…สตรีบิดเอวหันหน้าไปมองหมอนคู่ ปลายนิ้วกุมยอดอกเศร้าอาลัย ในเมื่อหนึ่งเค่อมีค่าเท่ากับทองพันชั่ง แล้วใครจะหาเงินหมื่นตำลึงมาให้?”
จูเหลี่ยนหยุดร้อง ดื่มเหล้าหนึ่งอึก รู้สึกมีความสุขและพึงพอใจอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันถาม “จบแค่นี้หรือ?”
จูเหลี่ยนประหลาดใจอย่างมาก พูดด้วยน้ำเสียงกังขา “นายน้อยไม่คิดจะตัดบทข้าหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด “เดินผ่านเส้นทางบนยุทธภพมามากมายขนาดนั้น ข้าเคยเห็นโลกกว้างมาแล้ว นี่จะนับเป็นอะไรได้ เมื่อก่อนตอนอยู่ในเส้นทางมังกรเดินใต้ดิน ข้าโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำหนึ่ง ห้องโดยสารเหนือหัวของข้ามีเทพเซียนตีกันทั้งวันทั้งคืนด้วยซ้ำ หึหึ”
นี่เรียกว่าความรู้สึกช้า อันที่จริงก็ต้องยกคุณความชอบให้กับจูเหลี่ยน รวมไปถึงการเดินทางท่องผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลาในพื้นที่มงคลดอกบัวครั้งนั้น
จูเหลี่ยนถาม “ไหนลองเล่าให้ฟังบ้างสิ?”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “ได้สิ แต่ว่าต้องคืนเหล้ากานั้นมาให้ข้า”
จูเหลี่ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะส่งกาเหล้าคืนให้กับเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเก็บเหล้าไปในวัตถุจื่อชื่อแล้วถึงกล่าวว่า “นั่นเป็นการสังหารที่ดุเดือดรุนแรงสาสมใจในทุกครั้งอย่างแท้จริง”
จูเหลี่ยนรออยู่นานก็ไม่ได้ยินประโยคถัดมา “จบแล้วรึ?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ไม่จบแล้วจะยังเป็นยังไงได้อีกล่ะ?”
จูเหลี่ยนรีบลุกขึ้น เดินตามเฉินผิงอันไปติดๆ “นายน้อย คืนเหล้ามาให้ข้า! เล่าแค่ไม่กี่คำแบบนี้ พูดก็เหมือนไม่ได้พูด ไม่มีค่าเท่าเหล้าหนึ่งกา!”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจจูเหลี่ยน
บนสะพานไม้เลียบหน้าผา เขาพลันพลิกตัวกลับ ใช้ท่าฟ้าดินเดินกลับหัว
จูเหลี่ยนยืนอยู่ที่เดิม เจ็บใจอย่างถึงที่สุด แล้วก็พลันหันหน้าไปมองสือโหรวที่กำลังนั่งฝึกตบะอย่างลืมตน แล้วจูเหลี่ยนก็แสยะยิ้มกว้าง
สือโหรวลืมตา พูดอย่างขุ่นเคือง “ไสหัวไปไกลเลยๆ!”
จูเหลี่ยนยกมือขึ้น ทำท่าจีบนิ้วโบกใส่สือโหรว “น่าเบื่อ”
สือโหรวสะอิดสะเอียนเต็มทน
ทันใดนั้นสือโหรวที่ปรายตามองก็ต้องอึ้งตะลึงเป็นไก่ไม้
ที่แท้จูเหลี่ยนใช้นิ้วข้างหนึ่งวางไว้ตรงจอนผม แล้วก็ทำท่าสองอย่าง ท่าแรกฉีกออก ท่าสองปิดทับ ระหว่างกลางที่ทำสองท่าเขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย
ผู้เฒ่ากระตุกมุมปากให้สือโหรว จากนั้นก็หมุนตัวกลับ เอาสองมือไพล่หลัง เดินหลังค่อมอย่างเชื่องช้า เริ่มสาวเท้าเดินเล่นอยู่ท่ามกลางม่านราตรี
ทิ้งอดีตผีสาวโครงกระดูกที่ทำท่าเหมือนคนเห็นผีไว้เพียงลำพัง
จูเหลี่ยนที่ห่างไปไกลจิ๊ปากพูด “น่าเบื่อจริงๆ”
……
เดินผ่านสะพานไม้เลียบหน้าผามาแล้วก็ข้ามเส้นพรมแดนระหว่างแคว้นหนันเยวี่ยนกับราชวงศ์ต้าหลีมา ท่ามกลางเทือกเขาสูงตระหง่านแถบหนึ่ง เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนสองคนเดินอยู่บนเส้นทางภูเขา
สือโหรวพาเผยเฉียนอ้อมไปแล้ว ซึ่งจะอ้อมผ่านแม่น้ำซิ่วฮวาตรงดิ่งไปที่เมืองหงจู๋ ถึงเวลานั้นทั้งสองฝ่ายจะไปรวมตัวกันที่นั่น เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันบอกสือโหรวว่าสามารถร่ายใช้วิชาอภินิหารแบกเผยเฉียนไปได้ หากไม่ผิดไปจากที่คาด สือโหรวกับเผยเฉียนต้องไปถึงที่เมืองหงจู๋ก่อนแน่นอน
เฉินผิงอันยิ้มพลางเล่าเรื่องในอดีต ปีนั้นได้พบกับอาจารย์และศิษย์สามคนโดยบังเอิญบนทางภูเขาเส้นนี้ ซึ่งกลายเป็นว่าเขากับเด็กหนุ่มขากะเผลกคนหนึ่งที่แบกธงผ้าขาดวิ่นเขียนคำว่า ‘สยบปีศาจจับผี กำจัดความชั่วร้ายผดุงคุณธรรม’ ได้กลายมาเป็นคู่พี่น้องร่วมทุกข์ยากที่ต่างก็ถูกผีสาวสวมชุดแต่งงานจับตัวไปยังจวนที่แขวนโคมไฟสีแดงใบใหญ่ไว้นับไม่ถ้วน ยังดีที่สุดท้ายทั้งสองฝ่ายต่างก็ปลอดภัย ตอนที่จากกัน นักพรตเฒ่ายากจนยังมอบภาพค้นภูเขาแผ่นหนึ่งที่สืบทอดมาจากเหล่าบรรพบุรุษของสำนักให้ แต่อาจารย์และศิษย์สามคนนั้นเดินทางผ่านเขตการปกครองหลงเฉวียนก็จริง ทว่ากลับไม่ได้อยู่ต่อในเมืองเล็ก พวกเขาได้พบกับแม่นางหร่วนซิ่วที่ร้านในตรอกฉีหลง สุดท้ายก็ออกเดินทางขึ้นเหนือมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงต้าหลี บอกว่าจะไปลองเสี่ยงดวงดูที่นั่น
จงใจเลือกขึ้นเขายามพลบค่ำ พอเดินมาถึงทางภูเขาสายเล็กที่ตอนนั้นเคยถูกผีพรางตา เฉินผิงอันก็หยุดเดิน กวาดตามองไปรอบด้าน ไม่พบสิ่งผิดปกติ
เฉินผิงอันสะพายเจี้ยนเซียนและหีบไม้ไผ่ รู้สึกว่าจะดีจะชั่วตนก็ดูคล้ายบัณฑิตอยู่ครึ่งตัว
แต่การที่ผีสาวสวมชุดแต่งงานตนนั้นไม่เคลื่อนไหวก็เป็นเรื่องปกติ ตอนนั้นเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะใช้หนึ่งกระบี่แหวกม่านฟ้า อีกทั้งยังมีจอมยุทธสวี่รั่วออกโรง คิดดูแล้วผีสาวสวมชุดแต่งงานที่เคยเสียเปรียบครั้งใหญ่มาก่อน ทุกวันนี้คงไม่กล้าทำร้ายบัณฑิตที่เดินทางผ่านมาอย่างส่งเดชอีกแล้ว
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พูดกับจูเหลี่ยนว่า “เจ้าขึ้นไปดูบนจุดสูงของท้องฟ้าก่อน ดูสิว่าสามารถมองเห็นจวนหลังนั้นได้หรือไม่ แต่ข้าคาดว่าความเป็นไปได้มีไม่มาก ต้องมีเวทอำพรางตาบังไว้แน่นอน”
จูเหลี่ยนจึงทะยานร่างขึ้นสู่เบื้องบน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นทิศใดของฟ้าดินก็ล้วนไปเยือนได้ทั้งสิ้น
ครู่หนึ่งต่อมา จูเหลี่ยนกลับมาที่ทางสายเล็ก ส่ายหน้ากล่าวว่า “มองไม่เห็นจริงๆ คงต้องให้นายน้อยเปลืองยันต์สักสองแผ่นแล้วล่ะ”
เฉินผิงอันหยิบยันต์สองแผ่นออกมาด้วยรอยยิ้ม ยันต์ปราณหยางส่องไฟกับยันต์ทำลายค่ายกลแห่งภูเขาและแม่น้ำ แยกกันคีบไว้นิ้วละแผ่น ยันต์ทั้งสองล้วนวาดลงบนกระดานสีเหลืองในปึกที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้
กรอกปราณวิญญาณที่สะสมอยู่ในช่องโพรงลมปราณซึ่งมีหัวใจบุ๋นสีทองลอยอยู่ใส่ลงไปในยันต์ปราณหยางส่องไฟ
เปลวไฟลุกไหม้เบาบางมาก
เฉินผิงอันพุ่งตัวขึ้นไปบนกิ่งไม้ เดินวนไปรอบหนึ่ง จับสังเกตความเร็วในการเผาไหม้ของยันต์ปราณหยางส่องไฟที่อยู่บนปลายนิ้วอย่างละเอียด ขนาดเล็กใหญ่ของเปลวเพลิงสามารถช่วยตัดสินทิศทางในท้ายที่สุดได้คร่าวๆ
เขาจึงอาศัยการชี้นำจากยันต์ปราณหยางส่องไฟไปตามหาสิ่งกีดขวางระหว่างแม่น้ำและภูเขาที่ช่วยอำพรางจวนหลังนั้น ประหนึ่งคนธรรมดาที่ถือตะเกียงเดินทางในยามค่ำคืน ใช้ตะเกียงในมือส่องสว่างเส้นทาง
สุดท้ายเฉินผิงอันมาหยุดอยู่ตรงหน้าหน้าผาแถบหนึ่งที่ขวางทาง เปลวไฟพลันระเบิดเผาไหม้ เฉินผิงอันสะบัดข้อมือ แก่นของยันต์ทำลายค่ายกลแห่งภูเขาและแม่น้ำถูกกรอกปราณวิญญาณจนเต็มล้น มันพลันส่องแสงสว่างจ้า เฉินผิงอันเอายันต์แผ่นนี้แปะไว้บนหน้าผา ภาพด้านหน้าพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หน้าผาเหมือนกองหิมะที่เจอกับเปลวเพลิงจึงหลอมละลายอย่างว่องไว ปรากฏเป็นช่องโพรงขนาดเท่าฝ่ามือ มองทะลุช่องโพรงออกไปก็จะสามารถมองเห็นทางเส้นเล็กระหว่างหุบเขาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งลมปราณมืดทะมึนอึมครึมเหล่านั้นไหลพรั่งพรูออกมาข้างนอกอย่างต่อเนื่อง
รอจนยันต์ทำลายค่ายกลแห่งภูเขาและแม่น้ำเผาไหม้จนเกือบหมดแล้ว ช่องโพรงก็กลายมามีขนาดเท่าประตูเรือนหลังหนึ่ง เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนจึงก้าวเข้าไปข้างใน
ท่ามกลางภูเขาที่มีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า เฉินผิงอันยังคงถือยันต์ปราณหยางส่องไฟที่ยังเหลืออีกเกินครึ่งแผ่นไว้ในมือ พาจูเหลี่ยนพุ่งทะยานไปข้างหน้า
เท้าของจูเหลี่ยนที่ตามอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันไม่ติดพื้น
เฉินผิงอันไม่ได้เล่าเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างตนกับผีสาวสวมชุดแต่งงานผู้นั้นอย่างละเอียด
แต่ก่อนหน้านี้จูเหลี่ยนไม่เคยเห็นเฉินผิงอันยึดมั่นเอาจริงเอาจังกับ ‘เรื่องเล็กๆ’ ถึงเพียงนี้มาก่อน
เพื่อตามหาผีสาวสวมชุดแต่งงานตนนั้น เฉินผิงอันจัดการวางแผนและวิธีการต่างๆ ไว้ล่วงหน้าหลายอย่าง จูเหลี่ยนเคยผ่านหายนะในนครมังกรเฒ่ากับเฉินผิงอันมาก่อน รู้สึกว่าตอนที่อยู่ในร้านยาฮุยเฉิน เฉินผิงอันระมัดระวังรอบคอบมาก ไม่ว่าเรื่องใดก็ละเอียดลออ ทุกเรื่องล้วนผ่านการชั่งน้ำหนัก ทั้งสองเรื่องนี้มองดูเหมือนคล้ายกัน แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เหมือนกันทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่นดูเหมือนว่าเฉินผิงอันรอคอยวันนี้มานานมากแล้ว และเมื่อวันนี้มาถึงจริงๆ สภาพจิตใจของเฉินผิงอันกลับแปลกประหลาดอย่างมาก นี่ก็เหมือนกับ…ท่าหมัดวานรของเขาจูเหลี่ยน ที่ก่อนจะออกหมัดยามเจอศึกใหญ่ จะต้องงอตัว หดย่อปณิธานหมัดเอาไว้ ไม่ใช่อย่างผู้ฝึกยุทธทั่วไปที่ปล่อยปณิธานหมัดให้ไหลพรั่งพรูออกมาภายนอก
การเผาไหม้ของยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นนั้นเปลี่ยนมาเป็นรวดเร็ว เมื่อขี้เถ้าเสี้ยวสุดท้ายลอยล่อง
ในที่สุดคนทั้งสองก็มายืนอยู่หน้าลานกว้างแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าก็คือจวนอันโอ่อ่าน่าเกรงขามที่แขวนกรอบป้าย ‘น้ำใสลมเย็น’ ซึ่งตัวอักษรประดุจลายมือของเซียน หน้าประตูมีสิงโตหินขนาดใหญ่ยักษ์อยู่สองตัว
เฉินผิงอันหรี่ตาลง แหงนหน้ามองไปยังกรอบป้ายนั้น
เคยมีผีสาวสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดลอยตัวอยู่ตรงนั้น
นางลุ่มหลงในรัก นางเคยเป็นผีที่มีนิสัยเมตตาดีงาม นางมีเหตุผลของตัวเองอยู่เสมอ
ว่ากันว่าในอดีตเคยมีบัณฑิตคนหนึ่งเดินทางในยามค่ำคืน ท่องกวีและบทความของอริยะปราชญ์เสียงดังอยู่บนเส้นทางเพื่อเพิ่มความกล้าหาญให้ตัวเอง จึงถูกใจนางเข้า
บัณฑิตกับผีสาว สองฝ่ายอยู่กันคนละภพ แต่กลับยังคงตกหลุมรักซึ่งกันและกัน นางยังคงยินดีสวมชุดแต่งงานสีแดงสดตัวนั้น
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก
หลักการเหตุผลไม่แยกว่าใกล้ชิดหรือห่างเหิน เขาเฉินผิงอันเป็นคนพูดเอง
ไม่มีเหตุผล ทุกอย่างเอาตามที่เจ้าพอใจ ใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข ต่างคนต่างเดินบนเส้นทางของตัวเอง แต่หากวันใดเมื่อเจอกับคนที่มีเหตุผล อีกทั้งหมัดยังแข็งกว่าเจ้า ถ้าอย่างนั้นชาติหน้าก็ขอให้เจ้าได้ไปเกิดในครรภ์ที่ดี นี่ก็เป็นเฉินผิงอันที่พูดเช่นกัน
เฉินผิงอันเอาแต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
จนจูเหลี่ยนอดไม่ไหวหันกลับมามอง
ต่อให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลอย่างจูเหลี่ยนก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังอันแปลกประหลาดขุมหนึ่งจากบนร่างของเฉินผิงอัน
นี่ก็คือกลิ่นอายของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตห้าขั้นสมบูรณ์แบบอย่างนั้นหรือ?
ประดุจดวงจันทร์ที่ลอยขึ้นสูงกลางนภา
แต่นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ เมื่อเทียบกับเรื่องที่ยังคงถือว่าอยู่ในขอบเขตของการเรียนวรยุทธแล้ว สิ่งที่ทำให้เฉินผิงอันน่าตกตะลึงยิ่งกว่านั้นอยู่ที่สภาพจิตใจและพลังอำนาจของเขาที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน
ดวงจันทร์ดวงนั้น เหมือนไข่มุกสุกสกาวที่เจียวหลงคาบไว้ในปาก
—–