กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 431.3 บนโต๊ะมีข้าวอีกถ้วย
คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันไป
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ข้าเฉินผิงอันไม่อยากเป็นอริยะผู้ทรงคุณธรรม แต่ไม่เป็นอริยะผู้ทรงคุณธรรมก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่ต้องใช้เหตุผลเลยสักนิดเดียว”
“คนอื่นไม่ใช้เหตุผล ข้าไม่สนใจ แต่เจ้ากู้ช่าน ข้าต้องสน ไม่ว่าข้าสั่งสอนเจ้าแล้วจะมีประโยชน์หรือไม่ ถึงอย่างไรข้าก็ต้องลองทำดู หลังจากพ่อแม่ข้าตายไป ข้าก็ไม่มีญาติอีกแล้ว หลิวเสี้ยนหยางและเจ้ากู้ช่าน พวกเจ้าสองคนก็คือญาติของข้า ใต้หล้าใหญ่ถึงเพียงนี้ ตอนอยู่เมืองเล็กข้ากลับมีแค่เจ้ากับหลิวเสี้ยนหยางเป็นญาติอยู่สองคน ไม่ว่าแผ่นฟ้าของที่ใดถล่มลงมา ข้าไม่จำเป็นต้องสนใจ ทว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาจริงๆ ขอแค่มันกดทับพวกเจ้า ไม่ว่าข้าเฉินผิงอันจะมีความสามารถแค่ไหนก็ต้องลองทำดู ข้าจะต้องดันแผ่นฟ้าที่ถล่มลงมากลับไป! ต่อให้ดันกลับไปไม่ไหว ยกไม่ขึ้น ต่อให้ข้าเฉินผิงอันต้องตาย ก็จะต้องช่วยทวงคืนความยุติธรรมมาให้พวกเจ้าให้จงได้!”
ปีนั้นตอนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู
เพื่อหลิวเสี้ยนหยาง เฉินผิงอันเคยลองทำมาก่อน เขาคิดว่าต่อให้ตายก็ตายไปเถอะ ถึงอย่างไรก็ต้องทวงคืนความยุติธรรมให้กับหลิวเสี้ยนหยางให้ได้
ตอนนี้อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าแค่เอ่ยประโยคเหล่านี้ก็เผาผลาญพลังกายพลังใจของเขาไปจนสิ้นแล้ว
ประสบการณ์ไม่เหมือนกัน
แต่ก็ทำให้เฉินผิงอันได้แค่นั่งอยู่เพียงลำพังคล้ายหมาข้างถนนตัวหนึ่งเหมือนกัน
“หากข้าไม่ได้รู้จักเจ้ากู้ช่าน ต่อให้เจ้าเจาะแผ่นฟ้าของทะเลสาบซูเจี่ยนจนเป็นรู ข้าได้ยิน ข้าก็ไม่คิดจะสนใจ แล้วก็ไม่มีทางมาเยือนนครน้ำบ่อ ไม่มาเยือนเกาะชิงเสีย เพราะข้าเฉินผิงอันไม่อาจดูแลจัดการได้ ความสามารถของข้าเฉินผิงอันมีเพียงเท่านั้น ตอนอยู่ที่จวนของผีสาว ข้าไม่ได้สนใจ ตอนเห็นผู้ฝึกกระบี่กลุ่มนั้นในเขตการปกครองของแคว้นหวงถิง ข้าก็ไม่ยุ่ง ตอนอยู่ร่องเจียวหลง ข้าเอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย ข้าจึงสูญเสียตราประทับตัวอักษรภูเขาที่อาจารย์ฉีมอบให้ข้าไป ตอนอยู่นครมังกรเฒ่า ข้าก็เข้าไปยุ่ง ข้าจึงถูกผู้ฝึกตนคนหนึ่งแทงทะลุหน้าท้อง บนโลกใบนี้ หากเจ้าคิดจะใช้เหตุผล เจ้าต้องจ่ายค่าตอบแทน แต่หากไม่ใช้เหตุผล ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเหมือนกัน! เจียวเฒ่าของร่องเจียวหลงตัวนั้นเกือบจะถูกผู้ฝึกกระบี่ถอนรากถอนโคน ตู้เม่าถูกคนเล่นงานจนเกือบตาย! พวกเขาเป็นเช่นนี้ เจ้ากู้ช่านเองก็เหมือนกัน วันนี้มีชีวิตที่ดี พรุ่งนี้ล่ะ? มะรืนล่ะ? ปีหน้า ปีต่อๆ ไปล่ะ? วันนี้เจ้าสามารถทำให้ครอบครัวของคนอื่นกลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า วันพรุ่งนี้คนอื่นก็สามารถทำให้ท่านแม่ของเจ้าไปอยู่พร้อมหน้ากับเจ้าในปรโลกได้เช่นกัน!”
“หากเป็นไปได้ ข้าก็หวังให้ตรงท้ายตรอกหนีผิงมีเด็กขี้มูกยืดที่ชื่อกู้ช่านคนนั้นอาศัยอยู่ตลอดเวลา ข้าไม่อยากมอบหนีชิวน้อยให้เขาเลยสักนิด ข้าอยากจะให้เจ้าอาศัยอยู่ที่ตรอกหนีผิง ขอแค่ข้ากลับไปยังบ้านเกิดก็จะได้พบเจ้าและท่านอาหญิง ไม่ว่าครอบครัวของพวกเจ้าจะพอมีเงินขึ้นมาบ้าง หรือข้าเฉินผิงอันจะรวยแล้ว พวกเจ้าสองแม่ลูกก็สามารถซื้อเสื้อผ้าดีๆ มาใส่ ซื้อของกินที่อร่อยๆ มีชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัย”
คนทั้งสองขยับเข้าไปใกล้เรือนที่แสงไฟสว่างเจิดจ้าไม่แพ้ให้กับจวนของอ๋องในโลกมนุษย์เลย
สายตาของเฉินผิงอันหม่นหมอง พูดเบาๆ ว่า “ข้าพูดจบแล้ว และก็ไม่มีเรี่ยวแรงให้เอ่ยอะไรอีกแล้ว ดังนั้นพอไปถึงที่โต๊ะอาหาร เจ้าก็พูดเรื่องที่เจ้าอยากพูดเถอะ ข้าจะฟัง”
กู้ช่านยกมือขึ้นเช็ดใบหน้า ไม่เอ่ยอะไร
จวนใหญ่มาก เดินผ่านประตูใหญ่เข้ามา ลำพังเพียงแค่เดินมาถึงห้องกินข้าวก็ต้องเดินกันอยู่นาน
ตอนที่เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตู เขาก็ปลดหน้ากากที่จูเหลี่ยนทำขึ้นอย่างประณีตลง เผยให้เห็นโฉมหน้าดั้งเดิม
สตรีแต่งงานแล้วที่สวมชุดอาภรณ์หรูหรางดงามคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องโถงใหญ่ กำลังชะเง้อคอมองมา พอเห็นเฉินผิงอันที่อยู่ข้างกายกู้ช่าน ดวงตาของนางก็พลันแดงก่ำ ก้าวเร็วๆ ลงจากบันไดมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน มองประเมินเฉินผิงอันที่ตัวสูงขึ้นมากอย่างละเอียด ฉับพลันนั้นความรู้สึกก็ประดังประเดกันเข้ามา นางยกมือขึ้นอุดปาก ถ้อยคำมีเป็นพันเป็นหมื่น นางกลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว อันที่จริงลึกๆ ในใจของสตรีที่แต่งงานแล้วรู้สึกละอายใจอย่างถึงที่สุด ปีนั้นหลิวจื้อเม่ามาเยือนที่บ้าน บอกเรื่องของหนีชิวน้อยให้นางรับรู้ นางก็ตัดสินใจอย่างอำมหิต ขอแค่สามารถเก็บโชควาสนานั้นไว้ให้กู้ช่านได้ นางก็หวังว่าเด็กหนุ่มเพื่อนบ้านในตรอกหนีผิงที่เคยช่วยนางและบุตรชายมาหลายปี
จะตายไปให้รู้แล้วรู้รอด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านอาหญิง”
สตรีแต่งงานแล้วพูดเสียงสะอื้น “ดีๆๆ ต่างก็มีชีวิตที่ดีเหมือนกู้ช่านของข้า นี่ก็ดีกว่าอะไรทั้งนั้น รีบเข้าห้องมาเถอะ พ่อบ้านของเกาะมาแจ้งฉุกละหุกไปหน่อย อาเลยได้แค่เข้าครัวทำกับข้าวสองอย่าง กับข้าวอย่างอื่นล้วนเป็นข้ารับใช้ในจวนที่ช่วยทำ แต่ทำตามรสชาติอาหารของบ้านเกิด รับรองว่าเป็นอาหารธรรมดารสชาติดั้งเดิม ไม่มีทางที่เจ้าเฉินผิงอันจะไม่คุ้นเคย”
เฉินผิงอันกล่าว “รบกวนท่านอาแล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วถลึงตาใส่ “พูดเหลวไหลอะไรกัน!”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก
สองแม่ลูก และยังมีคนที่สองแม่ลูกไม่มีทางมองเป็นคนนอกอีกคน พากันเดินเข้าไปในห้องแล้วนั่งลง
แม้ว่าจะเป็นอาหารพื้นๆ แต่กลับหลากหลาย ถูกจัดวางไว้เต็มโต๊ะตัวใหญ่
สตรีแต่งงานแล้วยังเตรียมเหล้าวิหคครวญของตระกูลเซียนที่หายากที่สุดของทะเลสาบซูเจี่ยนเอาไว้ด้วย เหล้าวิหคครวญนี้แตกต่างจากที่ขายกันในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดของนครน้ำบ่อราวฟ้ากับเหว
สตรีแต่งงานแล้วรินสุราให้เฉินผิงอันเต็มหนึ่งจอก ไม่ว่าเฉินผิงอันจะห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่
กู้ช่านที่ไม่ค่อยชอบดื่มเหล้า โดยเฉพาะเวลาอยู่ในบ้านก็ยิ่งไม่เคยดื่มเหล้า วันนี้กลับขอให้ท่านแม่รินให้หนึ่งจอกเช่นกัน
สตรีแต่งงานแล้วอึ้งตะลึง ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วรินสุราให้เขา
โต๊ะกลมตัวใหญ่ สตรีแต่งงานแล้วนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงตำแหน่งที่หันหลังให้กับประตูห้อง กู้ช่านนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง
กู้ช่านหันหน้ามาพูดกับท่านแม่ของตัวเอง “ก่อนจะกินข้าว อยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเฉินผิงอัน”
เดิมทีสตรีแต่งงานแล้วก็เป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการสังเกตสีหน้าท่าทางของคนอื่นอยู่แล้ว นางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ แต่กระนั้นก็ยังคลี่ยิ้มไม่เปลี่ยน “ได้สิ พวกเจ้าพูดคุยกันไปเถอะ ดื่มเหล้าหมดเมื่อไหร่ ข้าจะช่วยรินเติมให้พวกเจ้าเอง”
กู้ช่านกระดกเหล้าในจอกดื่มจนหมดรวดเดียวแล้วเอามือปิดฝาแก้วไว้ บอกเป็นนัยว่าตัวเองจะไม่ดื่มอีก จากนั้นจึงหันหน้ามาพูดกับเฉินผิงอัน “เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าข้ากู้ช่านควรทำอย่างไรถึงจะปกป้องท่านแม่ได้? รู้หรือไม่ว่าข้ากับท่านแม่ที่อยู่บนเกาะชิงเสียต้องเกือบตายกันมาแล้วกี่ครั้ง?”
สตรีแต่งงานแล้วใจสั่น สีหน้าแข็งค้าง สองมือที่วางอยู่ใต้โต๊ะบิดชายอาภรณ์อย่างแรง
กู้ช่านเอ่ยต่อ “ให้สังหารแค่คนที่ลงมือทำร้ายข้าเท่านั้น? แล้วผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังนักฆ่าคนนั้นล่ะ? พวกคนชั่วร้ายที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ หลบซ่อนตัวอยู่ไกลยิ่งกว่าล่ะ?”
“จะให้ข้าไล่หาไปทีละคน แล้วไปบอกกล่าวแก่พวกเขาก่อนหรือ? บอกกับพวกเขาว่าข้ากู้ช่านร้ายกาจอย่างมาก หนีชิวน้อยก็ยิ่งร้ายกาจมากกว่า ดังนั้นพวกเจ้าห้ามมาแหยมกับข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้ตาย?”
“เจ้าคิดว่านักฆ่าบนเกาะชิงเสียพวกนั้นล้วนเป็นฝีมือของคนนอกงั้นหรือ? ล้วนเป็นศัตรูที่มารนหาที่ตาย?”
“เจ้าคิดว่าไม่มีความเป็นไปได้ที่หลิวจื้อเม่า อาจารย์คนดีของข้าเป็นคนจัดการบ้างหรือ? เป็นเขาที่อำพรางตัวอยู่ท่ามกลางการลอบสังหารครั้งใดครั้งหนึ่ง?”
“เจ้าเฉินผิงอันอาจจะพูดว่า ไม่แน่เสมอไปว่าจะใช่ ใช่ เป็นอย่างนั้นก็จริง และข้าก็ไม่คิดจะโกหกเจ้าด้วยการบอกเจ้าว่าหลิวจื้อเม่าต้องมีส่วนร่วมอย่างแน่นอน! แต่ท่านแม่ข้ามีแค่คนเดียว ข้ากู้ช่านมีแค่ชีวิตเดียว ทำไมข้าต้องเดิมพันกับคำว่า ‘ไม่แน่เสมอไป’ อะไรนั่นด้วย?”
กู้ช่านลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างเดือดดาล “เฉินผิงอัน! วันนี้หากเจ้าจะตีข้าให้ตาย ข้าก็จะไม่ตอบโต้ แต่ก่อนที่ข้าจะถูกเจ้าตีจนตาย ข้าจะบอกเจ้าว่า ข้ากู้ช่านไม่ได้ทำผิด! ต่อให้ข้าทำผิด ข้าก็ไม่ยอมรับ! แล้วข้าก็ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองด้วย! ข้าจะไม่เปลี่ยนไปชั่วชีวิต! ให้ตายก็ไม่เปลี่ยน!”
กู้ช่านสีหน้าดุร้าย แต่สายตาของเขากลับไม่มีแววโกรธแค้นอย่างที่เคยใช้มองผู้คนในอดีต แต่เป็นสายตาของคนที่เกลียดตัวเอง เกลียดทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน เกลียดทุกคน แล้วก็น้อยเนื้อต่ำใจที่คนที่ตัวเองใส่ใจมากที่สุดไม่สนใจตน
“ข้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างจากฝากเนื้อไว้กับเสือ หากไม่ถลกหนังพวกเขาลงมาสวมไว้บนร่างตัวเอง ข้าก็จะต้องหนาวตาย ไม่ดื่มเลือดไม่กินเนื้อของพวกเขา ข้ากับท่านแม่ก็จะต้องหิวตาย กระหายตาย! เฉินผิงอัน ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ ที่นี่ไม่ใช่ตรอกหนีผิงของพวกเรา ไม่มีทางที่จะมีแค่ผู้ใหญ่จิตใจชั่วร้ายมาขโมยเสื้อผ้าของท่านแม่ข้า แต่คนของที่นี่จะกินท่านแม่ข้าจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก พวกเขาจะทำให้นางอยู่ไม่สู้ตาย! ข้าอยู่ที่นี่จะไม่มีทางเจอแค่คนสารเลวที่พอดื่มเหล้าแล้วเมามาย เห็นข้าเกะกะตาก็ถีบให้ข้าล้มกลิ้งอยู่ในตรอก!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้าอยู่ที่นี่ต้องหวาดกลัวแค่ไหน?”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้าหวังให้เจ้ามาอยู่ข้างกายข้า ปกป้องข้า ปกป้องแม่ข้าให้ดีเหมือนเมื่อก่อนมากแค่ไหน?”
“เฉินผิงอัน เจ้าไม่รู้อะไรเลย!”
“เจ้ารู้แต่จะตีข้าด่าข้า!”
สุดท้ายกู้ช่านน้ำตานองเต็มใบหน้า พูดเสียงสะอื้นไห้ “ข้าไม่ต้องการให้คราวหน้าที่เจ้าเฉินผิงอันได้พบข้ากับท่านแม่ก็คือมาจุดธูปหน้าหลุมศพของพวกเราที่ทะเลสาบซูเจี่ยน! ข้ายังอยากพบเจ้าอีกครั้ง เฉินผิงอัน…”
กู้ช่านเดินสะอื้นออกไปนอกห้อง แต่ไม่ได้เดินไปไกล เขาไปนั่งแปะอยู่บนธรณีประตู
เฉินผิงอันนั่งอยู่ที่เดิม เงยหน้าขึ้น พูดกับสตรีแต่งงานแล้วด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ท่านอา ข้าไม่ดื่มเหล้าแล้ว ช่วยตักข้าวให้ข้าสักถ้วยได้ไหม?”
สตรีแต่งงานแล้วที่ในใจหวาดหวั่นกระสับกระส่ายรีบเช็ดน้ำตา พยักหน้าให้แล้วลุกขึ้นเดินไปยกข้าวหนึ่งถ้วยมาให้เฉินผิงอัน เฉินผิงอันลุกขึ้นรับข้าวถ้วยนั้นมาแล้วก็วางลงบนโต๊ะ จากนั้นนั่งลง
บนโต๊ะมีข้าวเพิ่มมาอีกถ้วย
ปีนั้นในบ้านคนอื่นของตรอกหนีผิง เฉินผิงอันยังเป็นเด็กที่อายุน้อยยิ่งกว่ากู้ช่านตอนนี้เสียอีก ตอนนั้นก็มีข้าวถ้วยหนึ่งวางไว้บนโต๊ะเช่นนี้
เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งที่สั่นเทาขึ้นเบาๆ แต่สุดท้ายเขากลับไม่ได้หยิบตะเกียบ แต่ควักตำราเล่มหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ วางลงด้านข้างถ้วยข้าว
ตำราเล่มนี้ก็คือตำราหมัดที่เก่าแก่จนออกเป็นสีเหลืองเล่มนั้น
เฉินผิงอันเอามือไปลูบให้มันเรียบเบาๆ
มันอยู่เคียงข้างยามที่เฉินผิงอันเดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำ ยามที่เขาเห็นโลกอันยิ่งใหญ่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ เคยผ่านความทุกข์สุขจากการพบพรากทั้งหมดมาพร้อมกับเฉินผิงอัน
เคยเปิดอ่านมาหลายครั้งขนาดนั้น แต่หนังสือกลับยังเป็นระเบียบเรียบร้อย แทบไม่มีรอยยับย่นใดๆ
แค่เคยให้ผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่อ่านหนึ่งครั้ง ทว่าคราวนั้นเฉินผิงอันต้องคอยบอกให้ผู้เฒ่าเปิดอย่างระวังในทุกๆ หน้า พูดมากเข้าหลายรอบ สุดท้ายก็ถูกผู้เฒ่าประเคนหมัดให้ชุดใหญ่ พูดสั่งสอนว่าผู้ฝึกวรยุทธ แค่ตำราเก่าๆ เล่มเดียวก็ยังวางไม่ลง ยังคงจะเก็บใต้หล้าไว้ในปณิธานหมัดได้อีกหรือ?
เคยให้แม่นางที่รักอ่าน ตอนนั้นพวกเขายังไม่ได้ชอบพอกัน แต่เพราะอยากรู้ตัวหนังสือ อยากรู้ว่าตำราหมัดเขียนอะไรไว้บ้าง ถึงได้ให้นางอ่าน แล้วก็เคยทำให้นางไม่พอใจเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเฉินผิงอันดูแคลนนาง คิดว่านางโลภมากอยากได้วิชาหมัดอันน้อยนิดในตำรา อยากลักจำวิชาหมัดไปใช้
บุญคุณข้าวหนึ่งถ้วย คือบุญคุณที่ช่วยให้อยู่รอด
บุญคุณตำราหมัดหนึ่งเล่ม คือบุญคุณที่ช่วยต่อชีวิต
เฉินผิงอันกัดริมฝีปาก ไม่ได้หันหน้ากลับไป เพียงพูดเบาๆ ว่า “กู้ช่าน ตอนนั้นตกลงกันไว้แล้วว่าตำราหมัดเล่มนี้ ข้าแค่ขอยืมเจ้าเท่านั้น สักวันหนึ่งต้องมอบมันกลับคืนให้เจ้า”
กู้ช่านลุกพรวดขึ้นยืน คำรามอย่างเดือดดาล “ข้าไม่ต้องการ มอบให้เจ้าแล้วมันก็เป็นของเจ้า ตอนนั้นเป็นเจ้าที่พูดว่าจะคืน แต่ข้าไม่ได้รับปาก! เจ้าหัดมีเหตุผลซะบ้าง!”
สุดท้ายกู้ช่านร้องไห้อ้อนวอน “เฉินผิงอัน เจ้าอย่าทำแบบนี้ ข้ากลัว…”
ในสายตาของเด็กที่นิสัยร้ายกาจสุดโต่งแต่กลับเฉลียวฉลาดเกินวัย ใต้หล้านี้มีเพียงเฉินผิงอันเท่านั้นที่มีเหตุผล และเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบตะเกียบคู่นั้นขึ้นมา ก้มหน้าพุ้ยข้าว
จนกว่าจะกินข้าวถ้วยนั้นหมด เขาไม่เงยหน้าขึ้นมาอีกเลย
—–