กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 437.1 ระบายความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา รับรู้ในข้อหนึ่ง
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 437.1 ระบายความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา รับรู้ในข้อหนึ่ง
ในห้องของเรือนที่ตั้งอยู่ตรงประตูภูเขาเกาะชิงเสีย แผนที่ภูมิศาสตร์ของเกาะบนทะเลสาบซูเจี่ยนและนครเขตการปกครองที่อยู่ใกล้เคียง ผังรายชื่อศาลบรรพชนของเกาะใหญ่แห่งต่างๆ เอกสารคดีความ สำมะโนครัวที่เก็บไว้ในห้องควันธูป บวกกับสำเนาคัดเลือกอีกเกือบสองแสนตัวอักษรถูกนำมาแยกประเภท ส่วนใหญ่ถูกวางเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะที่คล้ายกับลิ้นชักยาในร้านยาตระกูลหยางและร้านยาฮุยเฉิน ทว่าตำราที่วางในนั้นกลับยังสามารถกองกันได้เป็นภูเขา
ในห้องมีโต๊ะหนังสือหนึ่งตัว ชั้นวางเรียงรายติดผนังเป็นแถบ โต๊ะอาหารหนึ่งตัว นอกจากนี้ก็มีเก้าอี้หนึ่งตัว ม้านั่งยาวสองตัวและม้านั่งเล็กหนึ่งตัว มีของตกแต่งเพียงแค่นี้เท่านั้น
ภายหลังเพราะกู้ช่านมักจะมาหาที่ห้องบ่อยๆ ตั้งแต่ปลายฤดูใบไม้ร่วงจนเข้าหน้าหนาว เขาก็ชอบที่จะมานั่งอยู่ตรงหน้าประตูห้องนานๆ หากไม่อาบแดดงีบหลับ ก็จะนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่กับหนีชิวน้อย ตอนที่เฉินผิงอันไปเยือนเกาะไผ่ม่วงจึงขอไผ่ม่วงสามลำมาจากเจ้าของเกาะที่บนร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของตำรา สองลำใหญ่หนึ่งลำเล็ก อย่างแรกนำมาผ่าทำเป็นเก้าอี้ไม้ไผ่ขนาดเล็กสองตัว อย่างหลังนำมาเผาแล้วเหลาให้เป็นคันเบ็ดตกปลา เพียงแต่ว่าแม้จะทำคันเบ็ดตกปลาแล้ว อีกทั้งยังอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ทว่ากลับไม่มีโอกาสได้ไปตกปลาเสียที
คืนนี้เฉินผิงอันเปิดกล่องอาหารแล้วนั่งกินอาหารมื้อดึกอยู่เงียบๆ
เฉินผิงอันยังคงรอฟังข่าวที่จะตอบกลับมาจากภูเขาไท่ผิงใบถงทวีป
ต่อให้เว่ยป้อจะให้คำตอบทั้งหมดมาแล้ว ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่เชื่ออดีตองค์เทพแคว้นเสินสุ่ยที่ลึกลับผู้นี้ แต่เป็นเพราะเรื่องที่เฉินผิงอันจำเป็นต้องทำต่อจากนี้ ไม่ว่าจะในด้านของความครบถ้วนหรือในด้านของความจริงก็ล้วนไม่ถือว่าเกินกว่าเหตุ
เพียงแต่กระบี่บินที่ส่งข่าวข้ามทวีป มีความเป็นไปได้มากว่าจะกลายเป็นวัวปั้นดินที่ผลุบหายลงไปในมหาสมุทร บวกกับที่ทุกวันนี้ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ถือเป็นสถานที่ที่ไร้กฎหมายอยู่แล้ว อีกทั้งกระบี่บินส่งข่าวยังออกมาจากเกาะชิงเสียอันเป็นสถานที่ที่ผู้คนหมายหัว เฉินผิงอันจึงเตรียมใจรอรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว หากไม่ได้จริงๆ ก็ต้องขอให้เว่ยป้อช่วยเขียนจดหมายให้หนึ่งฉบับ แล้วส่งจากภูเขาพีอวิ๋นไปถึงจงขุยที่อยู่ภูเขาไท่ผิง
หากเป็นเฉินผิงอันเมื่อครั้งที่ออกท่องยุทธภพครั้งแรก ต่อให้มีเส้นสายความสัมพันธ์เช่นนี้ เขาก็คงเอาแต่ใช้วิธีอ้อมค้อมวกวนอยู่กับตัวเอง ไม่มีทางไปรบกวนคนอื่น เพราะนั่นทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ทว่าตอนนี้กลับไม่เหมือนเดิมแล้ว
เฉินผิงอันไม่อยากใช้ชีวิตจนกลายเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างที่นักพรตผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าพูดถึง ติดค้างน้ำใจของคนบางส่วนไม่ได้น่ากลัว มียืมก็ต้องมีคืน ในอนาคตเมื่อสหายเจอเรื่องยุ่งยากถึงจะยิ่งเปิดปากได้อย่างสบายใจ ขอแค่ไม่ยืมง่ายคืนยากก็พอแล้ว
เฉินผิงอันกินอาหารมื้อดึกอิ่มก็เก็บกล่องอาหาร เปิดรายงานฉบับหนึ่งที่วางอยู่ข้างมือแล้วเริ่มไล่สายตาอ่าน
ด้านบนเขียนเรื่องราวน่าสนใจที่เกิดขึ้นในทะเลสาบซูเจี่ยนช่วงที่ผ่านมา ลักษณะของมันคล้ายคลึงกับรายงานที่ขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาส่งรายงานไปให้แก่หน่วยงานราชการกลาง อันที่จริงระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว ตอนนั้นที่อยู่ในโรงเตี๊ยมสวนร้อยบุปผาของแคว้นชิงหลวน เฉินผิงอันก็เคยได้เห็นความมหัศจรรย์ของการรายงานข่าวตระกูลเซียนประเภทนี้มาก่อนแล้ว อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนนานวันเข้า เฉินผิงอันก็เข้าเมืองตาหลิ่วแล้วหลิ่วตาตาม เขาให้กู้ช่านช่วยขอรายงานตระกูลเซียนมาฉบับหนึ่ง ขอแค่มีข่าวใหม่ๆ ก็จะให้คนมาส่งที่เรือนพักทันที
บนเกาะกงหลิ่วมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นแทบทุกวัน เหตุการณ์เกิดขึ้นวันนี้ วันต่อมาก็อาจจะแพร่ไปทั่วทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว
นี่ต้องยกคุณความชอบให้แก่สถานที่ที่มีชื่อว่าเกาะปุยหลิว ผู้ฝึกตนบนเกาะนั้น ตั้งแต่เจ้าเกาะไปจนถึงลูกศิษย์ฝ่ายนอก หรือแม้กระทั่งนักการภารโรง ล้วนไม่ได้ฝึกตนอยู่บนเกาะ แต่จะชอบไปเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอก ช่องทางทำเงินทั้งหมดล้วนอาศัยสิ่งที่พบเห็นและได้ยินมาจากเหตุการณ์ต่างๆ บวกกับการปั้นน้ำเป็นตัวอีกเล็กน้อย ใช้สิ่งนี้มาขายเป็นข่าวเล็กๆ และยังคอยส่งรายงานตระกูลเซียนไปให้แก่คนครึ่งหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน รวมไปถึงตระกูลใหญ่มีฐานะในสี่นครใหญ่รอบทะเลสาบอย่างนครน้ำบ่อ อวิ๋นโหลว ลวี่ถงและจินจุนอยู่เป็นระยะ ช่วงเวลาไม่แน่นอน หากเรื่องราวมีน้อย รายงานก็อาจจะมีขนาดใหญ่เท่าก้อนเต้าหู้ ราคาก็จะต่ำลงไปด้วย ซึ่งราคารับประกันก็คือหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หากเรื่องราวมีมาก รายงานใหญ่ดุจแผนที่ภูมิศาสตร์ก็อาจได้เงินมากถึงหลายสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ
รายงานฉบับนี้หลักๆ แล้วเล่าถึงสถานการณ์ล่าสุดของเกาะกงหลิ่ว แล้วก็แนะนำจุดเด่นของเกาะใหม่บางแห่งที่ได้ลุกผงาด รวมไปถึงเรื่องราวแปลกใหม่ของเกาะเก่าแก่ที่มีความอาวุโส ยกตัวอย่างเช่นบรรพจารย์ของเกาะสะพานมรกตออกเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ ได้นำผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนซึ่งเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกลับมาด้วย เกิดมาเขาก็มีการขานรับกับยันต์ของลัทธิเต๋า หรือยกตัวอย่างเช่นในบรรดาผู้ฝึกตนหญิงของอารามน้ำตกเกาะล่าเหมย มีเด็กสาวคนหนึ่งที่เดิมทีไร้นามไร้สัญชาติ สองปีมานี้จู่ๆ ก็เติบใหญ่งดงาม เกาะล่าเหมยจึงเปิดเส้นทางการหาเงินด้วยวิธีปรากฎตัวกลางบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำให้แก่นางโดยเฉพาะ คิดไม่ถึงว่าเดือนแรก ผู้ชมเงินถุงเงินถังบนภูเขาที่เข้ามาชมเสน่ห์อันเย้ายวนของเด็กสาวคนนี้จะมีมากมหาศาล เงินเทพเซียนที่พวกเขาทุ่มลงมาก็มากมาย เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณบนเกาะล่าเหมยเพิ่มขึ้นพรวดพราดถึงหนึ่งส่วนกว่า และยังมีเกาะอวิ๋นซิ่วที่ ‘ตระกูลตกอับ’ อยู่อย่างเงียบงันกันมาร้อยปี ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดมาจากนักการ ไม่เคยมีใครเห็นดีเห็นงามในตัวเขา กลับได้กลายมาเป็นเซียนดินโอสถทองคนใหม่ของทะเลสาบซูเจี่ยนตามหลังเถียนหูจวินแห่งเกาะชิงเสีย ดังนั้นสองวันมานี้เกาะกงหลิ่วจึงจำเป็นต้องจัดหาเก้าอี้ไว้ให้กับคนของเกาะอวิ๋นซิ่วที่เดิมทีไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะเข้าร่วมงานประชุม ไม่อย่างนั้นไม่ว่าตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพจะเป็นของใคร แต่หากขาดการลงเสียงของเกาะอวิ๋นซิ่วไป คนที่ได้ครองตำแหน่งย่อมไม่ได้รับตำแหน่งอย่างถูกต้องเหมาะสม
เฉินผิงอันอ่าน ‘เรื่องของคนอื่น’ ที่เปี่ยมไปด้วยสีสันน่าสนใจเหล่านี้แล้วก็รู้สึกว่าสนุกอย่างมาก อ่านจบไปรอบหนึ่งก็ยังอดไม่ไหวย้อนกลับมาอ่านอีกรอบหนึ่ง
ในรายงานส่วนที่พูดถึงผู้ฝึกตนเด็กสาวเกาะล่าเหมยผู้นั้น ผู้ฝึกตนของเกาะปุยหลิวที่เป็นคนเขียนรายงานได้เว้นที่ว่างขนาดเท่าฝ่ามือไว้ให้กับนางโดยเฉพาะเพื่อวาดภาพเหมือนของนางลงไป นี่คล้ายคลึงกับวิธีการคัดลอกลายของเรือข้ามฟากภูเขาต่าเจี้ยว บวกกับที่ปีนั้นเฉินผิงอันเคยได้ให้จิตรกรของเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาวาดภาพเหมือนให้จึงเข้าใจวิธีการเช่นนี้เป็นอย่างดี ภาพวาดของเด็กสาวมีชีวิตชีวาประหนึ่งตัวจริง เป็นภาพที่นางยืนหันข้างอยู่ใต้ต้นเหมยของอารามน้ำตก เฉินผิงอันมองอยู่สองสามที เห็นว่าเป็นแม่นางที่หน้าตางดงามบุคลิกชวนให้คนประทับใจได้อย่างแท้จริง เพียงแต่ไม่รู้ว่าได้ใช้วิชาลับ ‘เปลี่ยนหนังลอกกระดูก’ ของตระกูลเซียนมาแปลงโฉมรูปลักษณ์หรือไม่ หากจูเหลี่ยนกับผู้อาวุโสแซ่สวินคนนั้นอยู่ที่นี่น่าจะมองออกในปราดเดียวเลยกระมัง
เฉินผิงอันซื้อรายงานมาค่อนข้างช้า เพิ่งได้อ่านเรื่องราวและบุคคลประหลาดที่เกิดขึ้นบนเกาะต่างๆ รวมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของทะเลสาบซูเจี่ยนเอาตอนนี้ จึงไม่รู้ว่าก่อนที่จะเกิดโศกนาฎกรรมล้างสำนักที่ภูเขาพุดตาน ข่าวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับนักบัญชีเกาะชิงเสียอย่างเขาได้กลายเป็นข่าวที่ทำเงินได้ก้อนใหญ่ที่สุดสำหรับเกาะปุยหลิวในช่วงที่ผ่านมา
แน่นอนว่าเกาะปุยหลิวไม่กล้าเขียนใส่ไฟเกินไปนัก อีกทั้งโดยมากยังเลือกใช้ถ้อยคำไพเราะเสนาะหู ไม่อย่างนั้นคงต้องเป็นกังวลว่ากู้ช่านจะพาหนีชิวใหญ่ตัวนั้นมาตบให้เกาะปุยหลิวแหลกสลายด้วยไม่กี่ฝ่ามือ ในประวัติศาสตร์ก็ใช่ว่าผู้ฝึกตนเกาะปุยหลิวจะไม่เคยขาดทุนครั้งใหญ่มาก่อน หากนับกันตั้งแต่ที่ก่อตั้งศาลบรรพชนมาเป็นเวลาห้าร้อยปี พวกเขาก็ต้องย้ายถิ่นฐานกันมาแล้วถึงสามครั้ง ครั้งที่อเนจอนาถที่สุดถึงขั้นเสียพลังต้นกำเนิดไปมหาศาล ทรัพย์สินเงินทองไม่พอใช้ ได้แต่เช่าพื้นที่เล็กๆ อยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง
‘หายนะที่มาจากคำพูด’ สามครั้ง ครั้งหนึ่งคือช่วงแรกๆ ที่ผู้ฝึกตนของเกาะปุยหลิวใช้ถ้อยคำบรรยายไม่รู้จักหนักเบา รายงานฉบับหนึ่งได้สร้างความขุ่นเคืองให้แก่บุตรนอกสมรสของเจ้าแห่งยุทธภพในเวลานั้น ครั้งที่สองคือเมื่อสามร้อยปีก่อนที่ทำให้เจ้าเกาะกงหลิ่วไม่พอใจ ตีไข่ใส่สีเรื่องราวระหว่างเทพเซียนผู้เฒ่ากับผู้ฝึกตนหญิงซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเขา ต่อให้ถ้อยคำที่ใช้จะสละสลวยไพเราะ ทำนองว่าอิจฉาที่อาจารย์และศิษย์ผูกสมัครรักใคร่จนได้เป็นคู่รักเทพเซียน แต่กระนั้นก็ถึงกับชักนำให้หลิวเหล่าเฉิงมาเยือนถึงเกาะ แม้ว่าจะไม่ได้สังหารใคร แต่กลับทำให้เกาะปุยหลิวตกใจจนรีบเปลี่ยนเกาะที่อยู่ใหม่ในวันถัดมาทันที ถือเป็นการขออภัยอย่างหนึ่ง
ครั้งที่สามก็คือหลิวจื้อเม่า ในรายงานไม่ทันระวังเปลี่ยนฉายาสกัดคงคาเจินจวินของหลิวจื้อเม่าให้เป็นสกัดคงคาเทียนจวิน (เจินจวินตำแหน่งสูงกว่าเทียนจวิน) เป็นเหตุให้หลิวจื้อเม่ากลายเป็นตัวตลกของคนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนภายในค่ำคืนเดียว
หลิวจื้อเม่าบุกมาสังหารถึงเกาะปุยหลิว รื้อถอนศาลบรรพชนของอีกฝ่ายทิ้งโดยตรง ครั้งนี้เป็นครั้งที่เกาะปุยหลิวเสียหายลึกล้ำถึงเส้นเอ็นและกระดูกมากที่สุด รอจนมาคิดบัญชีย้อนหลังกับผู้ฝึกตนของเกาะปุยหลิวที่ถูกเล่นงานจนมึนงงกันไปหมด ถึงจะค้นพบว่าคนที่เป็นผู้เขียนรายงานฉบับนั้นได้หนีไปแล้ว ที่แท้คนผู้นั้นก็คือเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งของในบรรดาคนมากมายที่ต้องตายไปอย่างอยุติธรรมภายใต้น้ำมือผู้ฝึกตนใหญ่คนหนึ่งของเกาะปุยหลิว เขาแฝงตัวอยู่ในเกาะปุยหลิวมานานถึงยี่สิบปี และเพียงคำพูดเดียวของเขาก็ผลักให้คนทั้งเกาะปุยหลิวลงหลุมได้อย่างน่าสังเวช ส่วนผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งที่รับผิดชอบตรวจสอบความถูกผิดของตัวอักษร แม้ว่าเขาจะบกพร่องต่อหน้าที่ก็จริง แต่อย่างไรก็ไม่ถือว่าเป็นตัวการสำคัญ กระนั้นก็ยังถูกลากมาเป็นตัวตายตัวแทนอีกฝ่าย
เฉินผิงอันได้ยินเสียงเคาะประตูซึ่งค่อนข้างจะหาฟังได้ยาก ฟังจากเสียงซอยฝีเท้าที่คุ้นเคยก่อนหน้านั้น น่าจะเป็นหงซูคนเฝ้าประตูของจวนจูเสียน
เขารีบลุกขึ้นไปเปิดประตู หงซู ‘หญิงชรา’ ที่มีเส้นผมสีนิลเต็มศีรษะปฏิเสธคำเชื้อเชิญเข้าไปในห้องของเฉินผิงอันอย่างละมุนละม่อม นางลังเลอยู่ชั่วขณะก็ถามเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน จะไม่เขียนเรื่องราวระหว่างนายท่านของข้ากับเจ้าเกาะหลิวแห่งเกาะจูไชจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มอ่อน “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าที่ไปเยือนจวนของพวกเจ้า ข้าจะลองรับฟังเรื่องราวในอดีตของหม่าหยวนจื้อดู”
แม้ว่าใบหน้าของหงซูจะแก่ชรา เต็มไปด้วยริ้วรอยร่องยับย่น อีกทั้งไม่รู้ว่าทำไมถึงมีปราณดุร้ายเข้มข้นที่มาขมวดรวมกันอยู่เฉพาะบนใบหน้าของนาง ถึงทำให้นางดูอัปลักษณ์เช่นนี้ แต่อันที่จริงแล้วหากนางดูดซับปราณวิญญาณจากเงินเทพเซียนเข้าไป รูปโฉมของนางก็ไม่แย่เลย อีกทั้งนางยังมีดวงตาใสกระจ่างงดงาม เวลานี้นางกำลังกะพริบตา ปลุกความกล้าให้ตัวเอง เอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านเฉินจงใจปฏิเสธนายท่านของข้าใช่ไหม? เพราะเดาได้ว่านายท่านของข้าจะต้องให้บ่าวมาหาท่านอีกครั้ง บ่าวจะได้มีความดีความชอบใหญ่นี้ ใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาวางบนริมฝีปาก บอกเป็นนัยให้นางรู้ว่าแค่ฟ้ารู้ดินรู้ เจ้าและข้ารู้ก็พอแล้ว
ภายใต้แสงจันทร์ รอยยิ้มของสตรีที่คลี่กว้างประชันกับแสงจันทร์สุกสกาว
หงซูมองคนหนุ่มที่ค่อนข้างผอมบางตรงหน้า ชูกาเหล้าที่อยู่ในมือขึ้น ตัวกาถูกผนึกด้วยกระดาษสีเหลืองและล้อมพันไว้ด้วยเชือกสีแดง นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่ของที่มีค่าอะไร มันมีชื่อเรียกว่าเหล้าหวงเถิง หมักจากข้าวเหนียวและข้าวจ้าว เป็นสุราของทางการที่บ้านเกิดข้า สตรีชอบดื่มกันมากที่สุด มีชื่อเล่นอีกชื่อว่าเหล้าเติมอาหาร คราวก่อนคุยกับท่านเฉินไปตั้งมากมาย กลับลืมเรื่องนี้ไปเสียได้ ข้าขอให้คนซื้อมาให้ เพิ่งจะส่งมาถึงที่เกาะ หากท่านเฉินดื่มถูกปาก คราวหน้าข้าจะเอามามอบให้ท่านเฉินทั้งหมด”
นางพลันตระหนักได้ถึงความไม่เหมาะสมของคำพูดตัวเอง จึงรีบพูดว่า “เมื่อครู่นี้ที่บ่าวบอกว่าสตรีชอบดื่ม อันที่จริงบุรุษของที่บ้านเกิดก็ชอบดื่มเหมือนกัน”
เฉินผิงอันรับกาเหล้ามา ยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ได้เลย หากดื่มแล้วถูกปากจะต้องไปขอเจ้าที่จวนจูเสียนอีกแน่นอน”
หลังจากหงซูจากไป
เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ได้ดื่มเหล้า ยังโยนเหล้ากานั้นเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อด้วย เป็นเพราะเขาไม่กล้าดื่ม
ใช่ว่าไม่เชื่อใจหงซู แต่เป็นเพราะไม่เชื่อใจเกาะชิงเสียและทะเลสาบซูเจี่ยน ต่อให้เหล้ากานี้ไม่มีปัญหา แต่หากเปิดปากขอเพิ่มก็ไม่รู้ว่าในเหล้ากาไหนจะมีปัญหา ดังนั้นถึงท้ายที่สุดเฉินผิงอันก็คงได้แต่บอกกับนางที่เป็นคนเฝ้าประตูจวนจูเสียนว่ารสชาติของสุราหวานนุ่มเกินไป ไม่ค่อยเหมาะกับตนสักเท่าไหร่ สำหรับข้อนี้เฉินผิงอันไม่คิดว่าตัวเองคล้ายคลึงกับกู้ช่าน
เพื่อคำว่าหนึ่งในหมื่น (เปรียบเปรยถึงส่วนที่น้อยมาก หมายการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงซึ่งมีทางเป็นไปได้น้อยมาก) กู้ช่านสามารถสังหารหนึ่งหมื่นได้อย่างไม่ลังเล
เฉินผิงอันเองก็กลัวหนึ่งในหมื่นนั้นเหมือนกัน จึงได้แต่เอาความปรารถนาดีของหงซูวางไว้ก่อน เก็บไว้ก่อน
มองดูเหมือนสองอย่างนี้คล้ายคลึงกัน แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วคำว่า ‘หนึ่ง’ นี้ก็เหมือนเพียงรูปลักษณ์เท่านั้น เพราะผลลัพธ์ที่ออกมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ขอแค่กู้ช่านยึดมั่นหนึ่งนั้นของตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา การชักคะเย่อทางจิตใจระหว่างเฉินผิงอันกับกู้ช่านก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าเขาจะไม่สามารถดึงกู้ช่านมาอยู่ฝั่งเดียวกับตัวเองได้
และเฉินผิงอันก็ได้ละทิ้งความคิดนี้ไปชั่วคราวแล้ว
เส้นทางในจิตใจอันเป็นพื้นฐานที่สุดที่คนทั้งสองใช้มองและปฏิบัติต่อโลกใบนี้ก็ต่างกันแล้ว ต่อให้เจ้าพูดจนแผ่นฟ้าทะลุก็ยังไร้ประโยชน์อยู่ดี
ดังนั้นกู้ช่านจึงไม่เคยเห็นช่วงเวลาที่เฉินผิงอันมีร่วมกับสี่คนในภาพวาดของพื้นที่มงคลดอกบัว แล้วก็ไม่เคยเห็นคลื่นใต้น้ำที่ถาโถม ไม่เคยเห็นปราณสังหารที่แฝงอยู่รอบด้าน รวมไปถึงการจากลากันด้วยดีในตอนท้าย และท้ายที่สุดจะยังต้องได้กลับมาพบกันด้วยดีอีกครั้ง
นี่อาจจะไม่เหมาะกับทะเลสาบซูเจี่ยนและกู้ช่านเสมอไป แต่อย่างน้อยที่สุดก็แสดงให้รู้ว่ากู้ช่านมองข้ามความเป็นไปได้ข้อหนึ่งไป
หลังจากที่เริ่มเข้าใจเส้นสายสูงต่ำและสลับซับซ้อนส่วนหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว เฉินผิงอันเชื่อว่าหากกู้ช่านเอาความคิดส่วนหนึ่งไปไว้นอกเหนือจากการฆ่าคน ต่อให้เป็นการเรียนรู้วิธีการผูกมัดใจคน วิธีการปลูกฝังกองกำลังของตัวเองมาจากหลิวจื้อเม่า กู้ช่านและมารดาของเขาก็ยังจะมีชีวิตอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนได้ อีกทั้งยังเป็นชีวิตที่ดีกว่าเดิมและยาวนานกว่าเดิม
เพียงแต่ตอนนี้เฉินผิงอันได้เห็นมามาก คิดก็มาก ทว่าเขากลับไม่มีอารมณ์จะไปพูด ‘เรื่องไร้สาระ’ พวกนี้อีกแล้ว
ไม่พูด ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำ
ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เพราะยังมีเรื่องอีกมากมายที่เฉินผิงอันจำเป็นต้องลงมือทำ
ในเมื่อพูดหลักการเหตุผลจนหมดสิ้นแล้ว กู้ช่านก็ยังไม่สำนึกผิด เฉินผิงอันจึงได้แต่ถอยมาเลือกในลำดับรอง หยุดการกระทำผิด
ขอแค่เขายังอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน เป็นนักบัญชีที่อาศัยอยู่ตรงหน้าประตูภูเขาเกาะชิงเสีย อย่างน้อยก็ยังพอจะหยุดยั้งไม่ให้กู้ช่านทำความผิดมหันต์ต่อไปได้
ในเมื่อกู้ช่านไม่สำนึกผิด ยังคงเชื่อมั่นว่าตัวเองทำถูกที่สุดแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมไม่คิดจะปรับปรุงแก้ไข เพื่อบุญคุณข้าวหนึ่งถ้วยและตำราหมัดหนึ่งเล่ม บุญคุณยิ่งใหญ่ทั้งสองนี้ เฉินผิงอันล้วนต้องตอบแทน
ครั้งหนึ่งเพื่อข้ามผ่านหลุมในใจ เขาจำต้องทำลายหัวใจบุ๋นสีทองของตัวเอง ถึงจะสามารถอยู่ต่อในทะเลสาบซูเจี่ยนได้ด้วยความ ‘สบายใจ’ ในระดับขั้นที่ต่ำที่สุด การกระทำทุกอย่างต่อจากนี้ก็เพื่อชดเชยความผิดให้แก่กู้ช่าน
นี่ก็คือลำดับขั้นตอนที่เรียบง่ายอย่างมาก
เพียงแต่ว่าเวลาลงมือทำกลับไม่ง่าย ยิ่งจะยากเป็นพิเศษในก้าวแรก เฉินผิงอันจะโน้มน้าวให้ตัวเองเชื่อได้อย่างไร การระเบิดแตกของหัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้น การคารวะบอกลากับคนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อสีทอง ล้วนเป็นค่าตอบแทนที่เขาจำเป็นต้องจ่าย
คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรื่องของการใช้เหตุผล มองดูเหมือนง่าย แต่กลับทำได้ยากมากที่สุด ยากตรงที่ว่าเมื่อถามมโนธรรมในใจของตนแล้วจะยังใช้เหตุผลที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนเหล่านั้นอยู่อีกหรือไม่ หากยังตัดสินใจว่าจะใช้เหตุผล ถ้าอย่างนั้นเมื่อใช้เหตุผลแล้ว ค่าตอบแทนเหล่านั้นที่ต้องจ่าย ส่วนใหญ่มักไม่มีใครรู้ ความยากลำบากทุกอย่างต้องแบกรับไว้เอง ไม่อาจบอกเล่าสู่ใครได้
นอกจากสองเรื่องนี้แล้ว เฉินผิงอันยิ่งต้องซ่อมแซมแก้ไขสภาพจิตใจของตัวเอง
หากไม่อาจซ่อมแซมได้ถึงครึ่งหนึ่ง จิตใจของเขาจะพังครืนลงไปเสียก่อน
เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง คราวนี้เขาไม่ลืมเป่าตะเกียงสองดวงที่จุดไว้บนโต๊ะหนังสือและโต๊ะอาหารให้ดับ
เดินผ่านประตูภูเขาของเกาะชิงเสียมาที่ท่าเรือ ตรงท่าเรือมีเรือข้ามฟากที่เฉินผิงอันผูกเอาไว้ เขาที่ยืนอยู่ริมทะเลสาบไม่ได้สะพายกระบี่เจี้ยนเซียน แค่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวเท่านั้น
ฟ้าดินเงียบสงัด รอบกายไร้ผู้คน บนทะเลสาบคล้ายปูเศษก้อนเงินที่ส่องประกายระยิบระยับไว้จนเต็ม ลมกลางคืนหลังจากเข้าหน้าหนาวค่อนข้างเย็นเล็กน้อย
ในที่สุดเฉินผิงอันก็ได้สัมผัสกับอากาศอุ่นหนาวตามฤดูกาลของโลกมนุษย์ที่ไม่ได้สัมผัสมานานหลังจากวิชาหมัดเลื่อนสู่ขอบเขตห้า และหลังจากได้สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่
ยิ่งเดินท่องไปในยุทธภพไกลเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เห็นบรรยากาศในวงการขุนนางและทัศนียภาพบนภูเขามากเท่าไหร่ เฉินผิงอันก็ยิ่งรู้สึกเลื่อมใสในวิธีการมองความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์ของช่างหร่วน รวมไปถึงยิ่งเลื่อมใสในการเล่นหมากนอกหมากที่ชุยตงซานสอนเขาในครานั้น
หร่วนฉงรับลูกศิษย์ ไม่ใช่เพื่อว่าหากวันใดที่อาจารย์เกิดพิพาทกับคนอื่น ลูกศิษย์ที่อยู่ด้านข้างจะคอยร้องสนับสนุนให้กำลังใจ โจมตีเล่นงานคู่ต่อสู้อย่างอาจหาญ หรือไม่ก็ก้าวเข้าสู่สนามรบอย่างเด็ดเดี่ยวโดยไม่สนถูกผิด
หร่วนฉงเคยกล่าวไว้ว่า ข้าจะรับแค่ลูกศิษย์ที่เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันเท่านั้น ไม่รับลูกศิษย์ที่ดีแต่จะขายชีวิตเพื่อข้า
ความยากลำบากของชีวิตคน ยากที่มิอาจสมปรารถนา และที่ยากยิ่งกว่านั้นก็อยู่ที่ว่า คนที่ตนให้ความสำคัญมากที่สุดก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เจ้ามิอาจสมปรารถนาเช่นกัน
แต่นี่เป็นเพียงแค่ความยากของคนดีเท่านั้น
ถึงอย่างไรคนที่มากกว่านั้นก็ไม่เคยคิดพิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้
วิถีทางโลกต่อยข้าหนึ่งหมัด แล้วทำไมข้าต้องไม่เตะคืนให้หนึ่งเท้า? คนบนโลกกล้าต่อยจนเลือดอาบเต็มใบหน้าของข้า ทำให้ข้าไม่สบอารมณ์ ข้าก็ต้องต่อยให้คนบนโลกร่างแหลกเป็นผุยผง ส่วนข้อที่ว่าจะเดือดร้อนคนบริสุทธิ์หรือไม่ จะมีคนที่ต้องตายอย่างอยุติธรรมหรือไม่ กลับไม่แม้แต่จะคิดถึง
นี่ไม่ถูกต้อง
การฝึกกำลังคือรากฐานในการหยัดยืน การฝึกจิตใจคือเส้นทางในการเดินสู่ยอดเขาสูง
บนมหามรรคา พกกระบี่เดินตรงไปเบื้องหน้าก็ดี สะพายหีบหนังสือออกทัศนศึกษาก็ช่าง บางครั้งก็ต้องหลบทางให้คนอื่นบ้าง
—–