กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 438.4 ฟ้าสว่างแล้ว
สวินยวนเอ่ยเนิบช้า “พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย สำนักเบื้องล่างเลือกทะเลสาบซูเจี่ยนเป็นที่ตั้ง คือเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง คือกิจการใหญ่พันปีของสำนักกุยหยกข้า หากคนหนุ่มผู้นั้นคิดมาช่วงชิงบนมหามรรคากับสำนักกุยหยก ข้าก็ไม่ถือสาที่จะทำตัวเป็นตู้เม่าคนที่สอง ตู้เม่าโง่ก็โง่ที่หลงลำพองในตบะของตัวเองเกินไป มองแจกันสมบัติทวีปว่าเป็นสถานที่ที่เล็กคับแคบ ลงมืออย่างไร้เหตุผล แต่หากข้าลงมือ อย่างน้อยก็พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง ถึงอย่างไรก็ยังเป็นการกระทำที่อยู่ในกฎเกณฑ์ที่หลี่เซิ่งขีดเส้นขอบเขตเอาไว้ แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นหรือตายก็ต้องอาศัยความสามารถของใครของมัน จะทำตัวเป็นสตรีที่พอเจอเรื่องไม่ได้ดั่งใจก็โทษฟ้าโทษดิน โทษคนอื่นไม่ได้”
เกาเหมี่ยนพยักหน้ารับ “พูดประโยคนี้ออกมาได้ ทำให้ข้าต้องมองเจ้าเสียใหม่แล้ว”
สวินยวนยิ้มบางๆ “หลิวเหล่าเฉิงคิดจะฆ่าคนเพื่อสร้างบารมี อาจจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่น้อย มากกว่าที่เจ้าจินตนาการเอาไว้มากนัก”
เกาเหมี่ยนพูดจี้ใจดำ “คืนนี้จะเล่นงานเด็ก หรือหลังจากนี้จะเล่นงานคนแก่?”
สวินยวนกล่าว “คืนนี้แหละ”
ในที่สุดเกาเหมี่ยนก็บังเกิดความรู้สึกสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาบ้างแล้ว
……
ทางฝั่งของเกาะชิงเสีย
สองนิ้วของเฉินผิงอันคีบยันต์แล้วขว้างออกไปเบาๆ
ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรี ปรากฏตัว
ครั้นจึงมอบเชือกพันธนาการปีศาจสีทองที่ทำมาจากหนวดของเจียวเฒ่าในร่องเจียวหลงให้แก่เทพท่องราตรี
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็พลันคว้าจับเจี้ยนเซียนที่ออกจากฝักเล่มนั้นอย่างแท้จริง
หลิวเหล่าเฉิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ทว่าสายตากลับมืดลึกอย่างถึงที่สุด “ทะเลสาบซูเจี่ยนต่างก็เล่าลือกันว่าเจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ที่ประหลาดมากคนหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังค่อนข้างจะใส่ใจเจ้า ไม่น้อยไปว่าหลิวจื้อเม่าเลย ก็ต้องดูที่ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะทำให้ข้าขาดทุนอีกครั้งจริงๆ หรือไม่?”
ไม่เห็นว่าหลิวเหล่าเฉิงมีการกระทำใด
ทว่าตราประทับเทพวิญญาณเพลิงสีทองที่ลอยอยู่กลางอากาศกลับปลดปล่อยเปลวเพลิงสีทองเป็นหยดๆ ให้ร่วงลงเบื้องล่าง จากนั้นของเหลวสีทองที่เป็นวิญญาณเพลิงทุกหยดก็พลันขยายใหญ่อยู่กลางอากาศ กลายมาเป็นทหารบู๊สวมเกราะสีทองจางๆ ที่ในมือถืออาวุธแตกต่างหลากหลาย มีมากถึงสิบกว่าตน หลังจากพลิ้วกายลงบนเกาะชิงเสียแล้วก็พากันกรูเข้าใส่หุ่นเชิดยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีสองตนนั้น
ไม่เพียงเท่านี้ ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็เหมือนมีเซียนกำลังสูบน้ำ ลำน้ำขนาดหนาใหญ่เท่าปากบ่อหลายลำพุ่งทะยานออกมาจากผิวน้ำ สาดยิงเข้าหาเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเพียงแค่โบกกระบี่เจี้ยนเซียนที่ถืออยู่ในมือครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น
ลำน้ำหลายลำปะทะพัวพันอยู่กับเส้นยาวของปราณกระบี่สีทอง ก่อนจะพากันแหลกสลายกลายเป็นผุยผงอยู่กลางอากาศ
หลิวเหล่าเฉิงเพียงแค่ตั้งท่ารอดู งั้นก็ปล่อยให้เผาผลาญไปแบบนี้ ก็แค่ปราณวิญญาณเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าอีกฝ่ายกลับต้องสู้สุดชีวิตถึงจะสามารถบั่นทำลายเสาน้ำที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่ดุจหน้าไม้คันที่ใหญ่ที่สุดของราชวงศ์โลกมนุษย์ได้
อีกทั้งยังต้องคอยแบ่งสมาธิไปป้องกันการลอบโจมตีจากตราประทับชิ้นนั้นของตนอย่างระมัดระวัง
มือข้างที่กำอาวุธกึ่งเซียนของเฉินผิงอันถูกเสียดสีจนเลือดไหลนอง ผิวเนื้อหดหาย มองเห็นกระดูกขาวของนิ้วมือและฝ่ามือแล้ว
หลิวเหล่าเฉิงเหมือนแมวที่กำลังเล่นไล่จับหนู
บางครั้งก็คอยมอบความประหลาดใจให้กับคนหนุ่มผู้นั้น ยกตัวอย่างเช่นอยู่ดีๆ ก็มีก้อนหินพุ่งออกมาจากหน้าผาของเกาะชิงเสีย บางครั้งก็ใหญ่เท่าศาลา พลังอำนาจน่ากริ่งเกรง แต่บางครั้งก็เล็กเท่ากำปั้นที่พุ่งมาถึงอย่างเงียบเชียบ
ยิ่งมองหลิวเหล่าเฉิงก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ
สีหน้าของคนหนุ่มผู้นั้นสงบนิ่งเกินไปแล้วจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าเรือนกายผ่ายผอมเหลือแต่กระดูก ผืนนาหัวใจแห้งขอด จิงชี่เสินทั้งหมดแผ่วหายเหมือนม้าตีนปลาย
คนยังไม่ตาย แต่ใจตายไปก่อนแล้ว?
ว่างเปล่ากลวงโบ๋
ควรจะสังหารให้จบเรื่องในรวดเดียว หรือว่า?
หลิวเหล่าเฉิงลังเลใจอย่างที่หาได้ยาก
เขากำลังคิดคำนวณผลได้ผลเสียอยู่ในใจตัวเอง ทว่ากลับลงมือไม่อืดอาดเลยแม้แต่น้อย
เขาอยากจะรู้นักว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่จิตวิญญาณบาดเจ็บสาหัสอยู่นานแล้ว และตอนนี้ร่างกายก็สั่นเทิ้มอย่างอดไม่อยู่ จะฝืนประคับประคองลมปราณเฮือกนั้นได้นานเท่าไหร่
ในทะเลสาบซูเจี่ยน กายธรรมร่างทองที่ในมือถือขวานยักษ์ซึ่งเอาไว้กำราบเผ่าพันธ์เจียวหลงโดยเฉพาะต่อสู้อยู่กับหนีชิวใหญ่ที่มีบาดแผลเหวอะหวะทั่วร่างจนน้ำในทะเลสาบถาโถมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง ผืนน้ำมีแต่เลือดสดเนืองนองไปหมด
แสงสีทองบนร่างของยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีสองตนค่อยๆ หม่นหมองลง
ตราประทับวิญญาณเพลิงทองคอยปลดปล่อยของเหลวสีทองของวิญญาณเพลิงออกมาอย่างต่อเนื่อง
สนามต่อสู้ทั้งสองแห่งนี้ ชัยชนะล้วนไม่ต้องคาดเดา
เพียงแต่ว่ารอบกายเฉินผิงอันที่ออกกระบี่ไม่หยุดเกือบจะถูกรัดพันไปด้วยเส้นเล็กๆ สีทองที่ทอแสงยาวนานไม่จางหายเต็มทีแล้ว
หลิวเหล่าเฉิงมองคนหนุ่มที่ไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว จิตสังหารของเขาก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นจนเหนือว่าจิตที่ไม่คิดจะสังหารแล้ว
เฉินผิงอันที่ใช้ฝ่ามือซึ่งมีแต่กระดูกขาวโพลนจับอาวุธกึ่งเซียนเล่มนั้น ในที่สุดก็เผยช่องโหว่อันตรายที่แสดงให้เห็นว่าลมปราณกำลังจะชะงักค้าง
หลิวเหล่าเฉิงควบคุมปราณวิญญาณในมหาสมุทรลมปราณที่ลึกจนแทบจะมองไม่เห็นก้นบึ้งอย่างไม่ลังเล บริเวณโดยรอบเกาะชิงเสียก็เกิดเสียงครืนครั่นสนั่นหวั่นไหว ประหนึ่งอสนีบาตลงบนผิวทะเลสาบ พริบตาเดียวลำน้ำหลายร้อยลำก็พากันพุ่งทะลุผิวน้ำออกมา
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
ในใจท่องคำสองคำ
เพียงแค่กุมเจี้ยนเซียน
ลำน้ำที่ออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนมารวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง กรูกันเข้ามาล้อมสังหารหนึ่งคนหนึ่งกระบี่จากสี่ด้านแปดทิศ
ประหนึ่งมีหยดน้ำสีเขียวมรกตที่ใหญ่เท่าภูเขาลูกหนึ่งมากักตัวเฉินผิงอันไว้ตรงกลาง
มองไม่เห็นร่างที่เล็กจ้อยของนักบัญชีหนุ่มผู้นั้นอยู่นานแล้ว
ในเกาะชิงเสีย ผู้ฝึกตนและนักการสาวใช้หลายพันคนของเกาะใต้อาณัติสิบกว่าแห่งต่างก็คิดว่าคนหนุ่มผู้นั้นต้องตายแน่แล้ว
ห่างออกไปไกลก็มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังจับตามองการเข่นฆ่าสังหารอันน่าตื่นตาตื่นใจครั้งนี้อยู่เช่นกัน
บางคนก็โล่งอก บางคนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น แต่ก็มีผู้ฝึกตนและคนธรรมดาเพียงหยิบมือ คนกลุ่มนี้ที่ต่อให้จะเพิ่งรู้จักนักบัญชีคนนั้นได้ไม่นาน แต่ก็ยังอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นหลิวจ้งรุ่นของเกาะจูไช และยังมีพวกสาวใช้บางส่วนที่เคยพูดจาปราศรัยกับนักบัญชี รู้สึกว่าท่านเฉินผู้นี้ไม่ค่อยเหมือนกับเทพเซียนผู้เฒ่าคนอื่นๆ บางคนก็รู้สึกซับซ้อน อย่างเช่นผู้ฝึกตนผีแห่งจวนจูเสียน และยังมีบางคนที่ถึงขั้นรู้สึกเสียใจ อย่างเช่นหงจูคนเฝ้าประตู
กลางอากาศ
พื้นผิวของหยดน้ำใหญ่ยักษ์สีเขียวมรกตเกิดเสียงปริแตกเบาๆ โดยที่ไม่มีใครได้ยิน
เผยให้เห็นเส้นสีทองเส้นหนึ่ง
ก่อนที่เสียงนั้นจะดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ เขย่าคลอนจิตใจคนขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งเสียงจุดประทัดในวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด
ทันใดนั้นบนเกาะชิงเสียก็คล้ายมีฝนตกในฤดูหนาว
หลิวเหล่าเฉิงสีหน้าเป็นธรรมชาติ ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจถามคนหนุ่มผู้นั้น
พอได้คำตอบ
หลิวเหล่าเฉิงก็พยักหน้า
ส่วนในสายตาของผู้ฝึกตนเกาะชิงเสียที่ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวก็เห็นเพียงว่านักบัญชียังคงลอยตัวอยู่ที่เดิม อีกทั้งยังทำท่าประหลาดท่าหนึ่ง เขาบิดหมุนข้อมือ ถือกระบี่ยาวกลับหัว ยังคงไม่พูดอะไร แต่หันหน้าเข้าหาหลิวเหล่าเฉิง ยกสองมือกุมหมัด คล้ายกำลังขอบคุณ
หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ
เก็บกายธรรมร่างทองที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนตนนั้น รวมไปถึงตราประทับแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้น
แล้วก็ทะยานตัวจากไป
……
ท่ามกลางม่านราตรี
ผู้เฒ่าสามคนทะยานลมเดินทางมุ่งหน้าไปยังเกาะกงหลิ่วพร้อมกัน
หลังจากผ่านศึกใหญ่มา หลิวเหล่าเฉิงกลับยังคงมีสีหน้าท่าทางผ่อนคลายสบายๆ ดุจเดิม
นี่ก็คือรากฐานของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน
แล้วนับประสาอะไรกับที่หลิวเหล่าเฉิงยังไม่ได้เอาท่าไม้ตายที่แท้จริงออกมาใช้เลยด้วยซ้ำ
หากกายธรรมร่างทองตนนั้นเผยร่างจริงกึ่งแก้วใสที่เพิ่งหลอมออกมาได้ไม่นานเมื่อไหร่ นั่นต่างหากถึงจะเป็นช่วงเวลาของการเปิดฉากสังหารใหญ่ไปสี่ทิศ
เกาเหมี่ยนถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมถึงไม่ฆ่าคนหนุ่มผู้นั้น? ตัดรากไม่ถอนโคน ไม่ใช่นิสัยของเจ้าหลิวเหล่าเฉิงเลย”
หลิวเหล่าเฉิงกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าพูดเสียงดังขนาดนั้น จงใจให้ข้าได้ยิน แล้วข้าก็ไม่ได้หูหนวกสักหน่อย”
สวินยวนเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร
หลิวเหล่าเฉิงพาคนทั้งสองพลิ้วกายลงตรงหน้าประตูภูเขาของเกาะกงหลิ่ว จากนั้นคนทั้งสามก็เดินหน้าไปด้วยกันอย่างเชื่องช้า
หลิวเหล่าเฉิงกล่าว “ในเมื่อพอจะมีความเกี่ยวข้องกับร่างทองแก้วใสที่ช่วยให้ข้ามีโอกาสเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสองชิ้นนั้น ข้าก็ต้องเห็นแก่น้ำใจครั้งนี้ อีกอย่าง คนหนุ่มผู้หนึ่งที่สามารถรอดชีวิตมาได้จากเงื้อมมือของตู้เม่า และถึงอย่างไรข้ากับเขาก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกันตรงๆ ถ้าอย่างนั้นเป็นคนก็ควรเว้นที่ว่างไว้เผื่อวันหน้าบ้าง ฆ่าคนสร้างบารมี ทำร้ายคนให้บาดเจ็บก็สร้างบารมีได้เช่นกัน แค่พอสมควรก็พอแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าเด็กนั่นค่อนข้างจะรู้ความ ถึงได้ทำการค้าครั้งหนึ่งกับข้า”
เกาเหมี่ยนหัวเราะร่า “เห็นแก่น้ำใจกับหวาดเกรง อะไรมากว่ากัน?”
หลิวเหล่าเฉิงหน้าดำทะมึน
สวินยวนพลันกล่าวขึ้นว่า “หากตอนนั้นคนหนุ่มผู้นั้นไม่ได้กุมหมัดคารวะ หลิวเหล่าเฉิงต้องเปลี่ยนใจสังหารเขาให้ตายคาที่อย่างแน่นอน”
หลิวเหล่าเฉิงอืมรับหนึ่งที “ความสามารถในการมองคนเช่นนี้ ข้ายังพอจะมีอยู่บ้าง ไม่มีทางเลี้ยงเสือไว้ให้เป็นภัยแก่ตนเอง ไอ้หมอนั่นจริงใจหรือเสแสร้ง ข้าย่อมดูออก”
สวินยวนพลันกล่าวว่า “พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ต่อให้อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน เฉินผิงอันก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานกว่ากู้ช่านผู้นั้น”
เกาเหมี่ยนส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ก็ไม่แน่หรอก ข้ายอมรับในนิสัยใจคอของคนผู้นี้ นี่เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง หมาที่กัดคนมักไม่เห่า การที่ข้าไม่สังหารเขา ยังมีสาเหตุที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่ง”
หลิวเหล่าเฉิงกวาดตามองรอบด้าน “ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรกอย่างทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ ยิ่งคนฉลาดผายลมสุนัขมีมากเท่าไหร่ แต่หากมีคนคนหนึ่งที่ยังยินดีรักษากฎเกณฑ์อย่างโง่งม อีกทั้งยังมีความสามารถมากพอ อย่างน้อยข้าหลิวเหล่าเฉิงก็กล้าที่จะทำการค้าครั้งใหญ่กับเขาอย่างวางใจ”
เกาเหมี่ยนไม่สนใจคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของผู้ฝึกตนอิสระอย่างหลิวเหล่าเฉิง แต่พอได้ยินประโยคหนึ่ง เขาก็คำรามอย่างเดือดดาลทันที “มารดามันเถอะ ขนาดสวินเหล่าเอ๋อร์เจ้าก็ยังประจบเอาใจเขาด้วยหรือ? หัดรู้จักเอาถ่านหน่อยได้ไหม? ทำไมไม่เคยเห็นเจ้าประจบเอาใจข้าผู้อาวุโสมาก่อนเลยเล่า?”
สีหน้าสวินยวนเต็มไปด้วยความระอาใจ
หลิวเหล่าเฉิงชำเลืองตามอง กล่าวว่า “ข้าเคยเห็นสภาพอนาถที่เจ้าถูกคนซ้อมจนฉี่แตกมาก่อน จะกล้าตบตูดม้า (เป็นคำที่แปลตามภาษาจีนตรงๆ ซึ่งแปลเป็นไทยก็คือการประจบสอพลอ) กับเจ้าได้อย่างไร? ข้ากลัวว่าเอาใจจบแล้ว มือจะเปื้อนฉี่เปื้อนอึน่ะสิ”
ดวงตาสวินยวนเป็นประกายวาบ “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ?”
หลิวเหล่าเฉิงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ชายชาตรีไม่พูดวีรกรรมกล้าหาญในอดีต ไม่มีอะไรให้เล่าหรอก”
เกาเหมี่ยนหัวเราะฮ่าๆ “ในอดีตเขาเจอกับปรมาจารย์วิถีวรยุทธขอบเขตปลายทางที่มีเพียงคนเดียวในแจกันสมบัติทวีปเรา คือเจ้าประมุขสกุลชุย พูดไม่เข้าหูกันคำเดียวก็ม้วนแขนเสื้อตีกับคนอื่น หลังจากถูกเขาซัดจนหมอบกระแตก็ยอมแพ้ทั้งกายและใจ หลังจากนั้นมาเขาก็ตั้งฉายาให้ตัวเองว่าอู่สือจิ้ง (วรยุทธขอบเขตสิบ) เพียงแต่ว่าภายหลังผู้ฝึกยุทธคนนั้นหายตัวไป ได้ยินว่าเหมือนจะเดินทางไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมารอบหนึ่ง คาดว่าคงมีจุดจบไม่ต่างจากอู่สือจิ้งท่านนี้สักเท่าไหร่ นั่นคืออยู่ที่นั่นก็มีภูเขาลูกหนึ่งที่สูงกว่าลูกหนึ่งเสมอ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย”
สวินยวนกล่าว “ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวทุกคนที่สามารถเดินได้ถึงขอบเขตเก้า อีกทั้งยังได้สัมผัสกับธรณีประตูขอบเขตสิบ ล้วนเป็นคนที่มีความเพียรพยายามไม่ย่อท้อ ที่ใบถงทวีปของพวกเรา โชคชะตาบู๊ของทวีปไม่ค่อยได้เรื่องสักเท่าไหร่ ถึงขนาดสู้สถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ น่าแปลกไหมล่ะ?”
เกาเหมี่ยนเป็นคนโผงผาง จึงเอ่ยว่า “แปลกบ้าแปลกบออะไร ผู้ฝึกยุทธในใบถงทวีปของพวกเจ้าไม่ได้ความเองต่างหาก ตอนนี้มีกี่คนที่เป็นขอบเขตสิบ? ถึงสองคนไหม? รู้หรือไม่ว่าตอนนี้แจกันสมบัติทวีปของพวกเรามีกี่คนแล้ว? หากรวมคนที่ข้านับถือที่สุดคนนั้น แล้วก็บวกกับรวมกับหลี่เอ้อร์ที่ไปรื้อศาลบรรพชนสำนักใบถง และซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองต้าหลี ก็มีตั้งสามคน!
หลิวเหล่าเฉิงทำท่าคล้ายกระจ่างแจ้ง
สวินยวนหัวเราะ
ดังนั้นเขาถึงได้เป็นสหายกับเจ้าประมุขพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานผู้นี้
ส่วนกับหลิวเหล่าเฉิงที่ฉลาดกว่ากลับเป็นได้แค่พันธมิตร
—–