กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 447.1 ลมหิมะสอดผสาน
ยามที่หิมะละลาย อากาศจะหนาวเย็นมากเป็นพิเศษ
หากไม่ต้องเดินอยู่บนเส้นทางดินของถนนทางหลวง ก็ต้องเดินอยู่บนทางสายเล็กเปลี่ยวร้างที่หิมะทับถมเป็นกอง เวลาที่ก้าวเดินจึงเกิดเสียงดังสวบสาบ
อีกทั้งจากการคำนวณของเซียนดินหลายคนในทะเลสาบซูเจี่ยน ปลายปีนี้ทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่จะยังต้องเจอกับหิมะที่ตกหนักกว่าเดิม ถึงเวลานั้นนอกจากทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว หิมะใหญ่ที่ร้อยปียากพานพบนี้จะยังครอบคลุมไปถึงแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งอีกหลายแห่งซึ่งรวมถึงแคว้นสือหาวด้วย แน่นอนว่าผู้ฝึกตนทะเลสาบซูเจี่ยนย่อมยินดีที่จะให้เป็นเช่นนี้ ทว่าแคว้นใต้อาณัติทั้งหลายคงต้องเจอกับภิบัติภัยแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าหิมะใหญ่สามครั้งที่ตกลงมาหลังจากเข้าฤดูหนาวจะกลายเป็นอุปสรรคที่มองไม่เห็นต่อความเร็วในการเคลื่อนพลลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี มอบโอกาสให้ราชวงศ์จูอิ๋งที่นับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นมาก็เพิ่งเคยใช้กลยุทธ์เสริมกำแพงค่ายคู ย้ายผู้คนข้าวของได้ช่วงชิงเวลาให้หายใจหายคอได้เพิ่มขึ้นหรือไม่
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าเหล่านี้ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ฝึกตนบนภูเขาที่มีความมั่นคงสักเท่าไหร่ ถึงอย่างไร ‘ใต้หล้า’ ก็มีการแบ่งแยกบนภูเขากับล่างภูเขาอยู่แล้ว
ในตำหนักหลักของอารามหลิงกวาน เจิงเย่ไปเก็บฟืนบริเวณรอบด้านมาก่อเป็นกองไฟ
เฉินผิงอันยังคงสวมชุดผ้าฝ้ายตัวหนาไม่ต่างจากตอนที่อยู่บนเกาะชิงเสีย เพียงแต่เขาไม่ได้สะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง แต่ใช้วิธีเตาเจี้ยนชั่วที่เผยเฉียนเป็น ‘ผู้บุกเบิก’ นั่นก็คือนำดาบไม้ไผ่ที่ทำเองเล่มหนึ่ง และดาบเลียนแบบฉวีหวงที่ซื้อมาจากถนนวานรร่ำไห้มาห้อยคู่กันตรงเอวด้านหนึ่ง
คนทั้งสองกินอาหารแห้ง การเดินทางครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เจิงเย่ได้ออกเดินทางไกล ดังนั้นเมื่อเทียบกับเฉินผิงอันที่เงียบขรึมพูดน้อยแล้ว เจิงเย่ที่ยังมีสภาพจิตใจของเด็กหนุ่มจึงอดที่จะลิงโลดเบิกบานไม่ได้ ตอนที่ผ่านด่านแล้วต้องมอบเอกสารทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ทหารชายแดนแคว้นสือหาวมอบให้ศาลบรรพจารย์บนเกาะชิงเสียก็ยังทำให้เจิงเย่รู้สึกแปลกใหม่ได้ เพียงแต่เขาไม่กล้าแสดงความรู้สึกออกมา ดูเหมือนท่านเฉินมีเรื่องในใจ อีกทั้งเจิงเย่ก็ไม่ได้ตาบอด เรื่องราวและความรู้สึกของคนบนโลกประเภทนี้ เจิงเย่ยังพอจะเข้าใจอยู่บ้าง
คนทั้งสองต่างก็เงียบงัน
หลังจากกินอาหารแห้งแล้ว เฉินผิงอันก็เริ่มกางแผนที่ภูมิศาสตร์ของเขตการปกครองแคว้นสือหาวออกมา ตอนนี้อาณาเขตทางทิศใต้ของแคว้นสือหาวยังนับว่าดี เพราะมีเพียงหน่วยลาดตระเวนของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีจำนวนบางตาเท่านั้นที่ควบม้าผ่านทางมา เฉินผิงอันกับเจิงเย่เคยเห็นอยู่สองครั้ง ทว่าทิศใต้ที่แท้จริงแล้วยังไม่ถูกไฟสงครามลุกลามมาโดนกลับเกิดลางของกลียุคขึ้นมาแล้ว เช่นอารามกวานหลิงที่คนทั้งสองพักอยู่ในเวลานี้ก็คือตัวอย่าง
นี่คืออารามกวานหลิงเก่าแก่แห่งหนึ่งที่ไม่ถูกซ่อมแซมมานานปี สภาพจึงค่อนข้างทรุดโทรม จากคำอธิบายของชาวบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียง คนเฝ้าอารามที่คอยดูแลเรื่องควันธูปได้จากโลกนี้ไปตั้งแต่ตอนเข้าฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้แล้ว เดิมทีทางที่ว่าการอำเภอได้เลือกคนเฝ้าอารามคนใหม่มาไว้แล้ว โดยทั่วไปขอแค่เป็นคนที่มีชาติกำเนิดบริสุทธิ์ อีกทั้งยังมีนักพรตเต๋าในทำเนียบวงศ์ตระกูลช่วยลงนามให้ ทางที่ว่าการเขตการปกครองย่อมต้องพยักหน้าตกลง เรื่องเล็กเท่าเมล็ดงาเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนกรมพิธีการในเมืองหลวง แต่พอคนเถื่อนต้าหลีมาเยือน โลกก็วุ่นวายอลหม่าน จึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้อีก ถึงอย่างไรชาวบ้านพากันหนีภัย หลังจบเรื่องหากย้อนกลับมาที่บ้านเกิด ราชสำนักก็ไม่มีทางกล่าวโทษ ทว่าทำหน้าที่คนเฝ้าศาลที่เหมือนซี่โครงไก่นี้ก็ไม่ต่างจากการเป็นนายอำเภอ ที่มีหน้าที่ ‘รับผิดชอบปกป้องดินแดน’ ดังนั้นตัวเลือกสองคนที่ทางที่ว่าการอำเภอเลือกไว้ ต่อให้ที่ว่าการอำเภอจะยอมถอยให้ก้าวใหญ่ บอกกล่าวเป็นการส่วนตัวอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องให้คนทั้งสองใช้เงินส่วนตัวไปผูกความสัมพันธ์กับนักพรตเต๋าทำเนียบวงศ์ตระกูลบางคนที่สูงส่งเหนือผู้ใดในอำเภอ กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ยอมรับตำแหน่ง เรื่องนี้จึงถูกลากยาวมาอยู่อย่างนี้ คาดว่ารอให้คนเถื่อนต้าหลีล้อมเมืองหลวงแคว้นสือหาวได้จนมีเวลาให้ดึงกำลังคนมุ่งหน้าลงใต้มาได้อีกนิด อารามกวานหลิงที่เดิมทีควันธูปก็เบาบางแห่งนี้ ปีหน้าก็คงไม่เหลือควันธูปล่องลอยให้เห็นอีกแล้ว
ท่ามกลางกลียุค
ชาวบ้านยังแทบจะเอาตัวเองไม่รอด ไหนเลยจะสนใจเรื่องเข้าวัดมาจุดธูป เมื่อตนกินอิ่มแล้วถึงจะมีเวลาไปสนใจว่าเทวรูปเทพเซียนกินอิ่มหรือไม่ นี่ก็คือความรู้สึกปกติทั่วไปของมนุษย์
เฉินผิงอันมอบหีบไม้ไผ่ให้เจิงเย่เป็นผู้สะพาย ด้านในเก็บตำหนักพญายมราช ‘คุกล่าง’ สมบัติอาคมวิถีผีชิ้นที่เชื่อมาจากคลังลับเกาะชิงเสีย
ส่วนอาวุธวิเศษชั้นเยี่ยมเลียนแบบหอแก้วที่อวี๋กุ้ยนำมาขายให้เฉินผิงอันตอนที่มาเยือนเกาะชิงเสียนั้น เฉินผิงอันเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อชั่วคราว ห้องพักสิบสองห้องสามารถหล่อเลี้ยงให้ความอบอุ่นพวกภูตผีได้ ตอนนี้ก็มีจิตหยินและภูตผีที่จิตวิญญาณค่อนข้างสมบูรณ์แบบพักอาศัยอยู่จนเต็มแล้ว นอกจากห้องหนึ่งในนั้น วัตถุหยินอีกสิบเอ็ดตนที่เหลือล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่ตอนมีชีวิตอยู่เป็นห้าขอบเขตกลาง แต่กระนั้นก็ยังต้องมาตายด้วยน้ำมือของถานเซวี่ย ปราณดุร้ายค่อนข้างเข้มข้น และความอาฆาตทิฐิก็ค่อนข้างลึกล้ำ
แม้พรสวรรค์ในการฝึกตนของเจิงเย่จะธรรมดา อีกทั้งยังมีนิสัยทึ่มทื่อ แต่กลับเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มือเท้าคล่องแคล่ว ขยันทำงาน พอออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยน ตลอดทางที่ขึ้นเหนือมานี้ เจิงเย่ก็ทำเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปไม่น้อย
แต่เฉินผิงอันไม่ใช่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุขสบาย จึงไม่ต้องให้เจิงเย่มาคอยปรนนิบัติ ดังนั้นคนสองคนที่มองดูเหมือนอาจารย์กับศิษย์แต่ไม่ใช่อาจารย์กับศิษย์จึงเดินทางร่วมกันมาอย่างกลมเกลียว ผ่านด่านเข้ามาในแคว้นสือหาวคราวนี้จำเป็นต้องไปเยือนสถานที่มากถึงสี่สิบกว่าแห่ง เกี่ยวพันกับแปดมณฑลและอีกยี่สิบกว่าเมืองของแคว้นสือหาว จุดที่ทำให้เจิงเย่ค่อนข้างปวดหัวก็คือสถานที่ครึ่งหนึ่งนี้ตั้งอยู่แถบทิศเหนือของแคว้นสือหาว ซึ่งเวลานี้มีสงครามวุ่นวาย ไม่แน่ว่ายังต้องคบค้าสมาคมกับพวกคนเถื่อนต้าหลีทางเหนือด้วย เพียงแต่พอคิดได้ว่าท่านเฉินคือเทพเซียนคนหนึ่ง เจิงเย่ก็พอจะโล่งใจได้บ้าง เด็กหนุ่มยากจนถูกพาตัวไปอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนตั้งแต่เด็ก เติบโตกลายเป็นเด็กหนุ่มอยู่บนเกาะเหมาเยว่ เมื่อก่อนไม่เคยติดตามเหล่าผู้อาวุโสในสำนักออกเดินทางมาก่อน จึงไม่เคยลิ้มรสชาติของ ‘เซียนซือบนภูเขา’ จึงยังคงมีความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติต่อราชสำนักและกองทัพอยู่เสี้ยวหนึ่ง
มองดูเหมือนอ่อนด้อย แต่ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันมองว่าเป็นแบบนี้จึงจะถูก ไม่อย่างนั้นเมื่อเจอกับกองทัพม้าเหล็กแปลกหน้าที่เดินทางไกลมาจากทิศเหนือแล้วเข้าใจผิดคิดว่าเป็นทหารม้าทั่วไปของพื้นที่ภาคกลางแจกันสมบัติทวีป แล้วเกิดปัญหาขัดแย้งกันขึ้นมา อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างอย่างเจิงเย่เลย ขนาดเซียนดินโอสถทองของแคว้นสือหาวที่อยู่ใต้คนคนเดียวอยู่เหนือคนนับหมื่นก็ยังต้องมาชนตอกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลี ไม่แน่ว่าอาจมีจุดจบเป็นกายดับมรรคาสลาย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฉินผิงอันไม่ได้จงใจเอ่ยเตือนเจิงเย่ หลักการมากมายที่มองดูเหมือนตื้นเขิน ถึงอย่างไรก็ควรต้องผ่านประสบการณ์ด้วยตัวเองถึงจะสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่า อย่างน้อยก็ควรเห็นกับตาและได้ยินกับหูตัวเอง
เจิงเย่เริ่มฝึกตนโดยใช้วิชาลับตระกูลเซียนที่ท่านเฉินถ่ายทอดให้มาเข้าฌานทำสมาธิ ใช้ความมานะบากบั่นมาชดเชยข้อด้อย ยิ่งเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่มีชาติกำเนิดยากจนเท่าไหร่ก็ยิ่งทะนุถนอมและเห็นค่าโชควาสนาที่ได้มาไม่ง่ายนี้มากเท่านั้น
ตอนนี้สภาพจิตใจของเฉินผิงอันไม่เหมาะกับการฝึกตน เรื่องการฝึกกำลังก็ย่อมหยุดชะงักไม่เดินหน้า วิชาหมัด วิชากระบี่ รวมไปถึงการดึงดูดปราณวิญญาณ ล้วนเป็นเหมือนกันทั้งหมด
เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืน ก้าวข้ามธรณีประตู เดินไปด้านนอกห้องโถงหลักของอารามหลิงกวาน เขาขมวดคิ้วน้อยๆ
มีประโยคเก่าแก่ในหมู่ชาวบ้านที่ค่อนข้างแพร่หลายบอกว่า คนเดียวไม่พักอยู่ในวัด สองคนไม่มองบ่อน้ำ
ชาวบ้านอาจจะไม่เข้าใจความลี้ลับของประโยคนี้เสมอไป แต่ผู้ฝึกตนกลับสัมผัสได้อย่างลึกล้ำ
เมื่อความคิดดีๆ ในห้องหัวใจของคนคนหนึ่งกระจัดกระจายเหมือนไม้ใหญ่โค่นวานรแตกฮือ ความคิดชั่วร้าย ความคิดสะเปะสะปะก็จะพากันกรูเข้ามา และในทางกลับกันก็เป็นเช่นนี้
สถานที่ที่เดิมทีมีควันธูปโชติช่วงอย่างวัดวาอารามก็ไม่ต่างกัน สถานที่ที่เดิมทีมีองค์เทพนั่งพิทักษ์ มีกฎมีเกณฑ์ให้ภูตผีหวาดเกรง หากไม่มีควันธูป ปราณวิญญาณกระจัดกระจายก็ยิ่งง่ายที่จะชักนำให้พวกภูตผีวิญญาณคอยลอบมองมาด้วยความละโมบ
ผลงานการประพันธ์ส่วนตัวของปัญญาชนหลายคนบันทึกเรื่องราวประหลาดมากมายที่เกิดขึ้นในวัดร้างก็เพราะสาเหตุนี้
ระหว่างที่เดินทางอยู่ในแคว้นไฉ่อีและแคว้นซูสุ่ย เฉินผิงอันก็เคยเจอปีศาจจิ้งจอกตนหนึ่งในวัดร้างผุพังแห่งหนึ่ง
ครั้งนั้นมีพบ แล้วก็ต้องมีจากลา
เฉินผิงอันก้มหน้ากอบกุมมือทั้งสอง เป่าลมหายใจที่มีไอสีขาวใส่ลงกลางฝ่ามือเบาๆ ถูฝ่ามือเข้าด้วยกันหาความอบอุ่น คิดแล้วก็เดินไปปิดประตู หลีกเลี่ยงไม่ให้รบกวนการฝึกตนของเจิงเย่
เจิงเย่มีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ แต่กลับไม่มีความอดทนมุ่งมั่นในการฝึกตนมากนัก ง่ายที่จะวอกแวกเสียสมาธิ ถ้าการหล่อหลอมปราณวิญญาณมาหล่อเลี้ยงช่องโพรงลมปราณให้อบอุ่นคืนนี้เพิ่งจะเริ่มต้นก็ถูกขัดจังหวะเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำซ้ำใหม่อีกครั้ง ครั้งสองครั้งย่อมไม่เป็นไร แต่หากหลายครั้งเข้าแล้วก่อตัวกลายมาเป็นทิศทางการโคจรของเส้นทางในหัวใจโดยที่เจิงเย่ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย นั่นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ นิสัยใจคอของคน ความละโมบโลภมาก ฯลฯ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ มองดูเหมือนเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน แต่ในความเป็นจริงแล้วคนข้างกายกลับมองเบาะแสออกมาตั้งแต่แรกแล้ว
ดังนั้นก่อนหน้าที่เจิงเย่จะเริ่มฝึกตน เฉินผิงอันจึงจำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงใจ ให้การดูแลเด็กหนุ่มมากหน่อย
แม้จะไม่ใช่อาจารย์ แต่ก็คล้ายกับผู้ปกป้องมรรคาคนหนึ่ง
คิดมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หลุดหัวเราะพรืด
อารมณ์ของเฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่หนักอึ้ง กลับกันยังผ่อนคลายได้หลายส่วน คงเป็นเพราะนึกถึงเรื่องที่ทำให้อารมณ์ดีในอดีต เป็นเหตุให้หัวคิ้วคลายออกโดยไม่ทันรู้ตัว เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ออกมาเถอะ ข้ารู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเจ้า แม้ว่าสาเหตุเพราะควันธูปในอารามกวานหลิงเบาบางจึงเป็นเหตุให้หนึ่งในร่างจำแลงของกายธรรมร่างทองซ่อนตัวเงียบหายไปนานหลายปีแล้ว และความศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่เพียงเสี้ยวเดียวขององค์เทพหลิงกวานก็ไม่มากพอจะให้มันปรากฎตัวมาปกป้องโชคชะตาของพื้นที่แถบนี้ได้ แต่พวกเจ้าสองฝ่ายไร้ความแค้นไร้อาฆาต น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ถึงอย่างไรก็คงดีกว่ากลายมาเป็นศัตรูคู่แค้นกันโดยไม่จำเป็นกระมัง? หากเจอเข้ากับองค์เทพหลิงกวานบางท่านที่อารมณ์ร้าย ยอมเผาผลาญความศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลืออยู่ ยอมให้ร่างทองแหลกสลาย ก็ยังสังหารพวกเจ้าได้อยู่ดี พวกเจ้าสามารถกินเศษซากควันธูปที่เหลืออยู่นอกตำหนักใหญ่ได้ เชื่อว่าองค์เทพหลิงกวานท่านนี้คงไม่โกรธ หยินหยางมีความต่าง คนธรรมดามักจะชอบหยางไม่ชอบหยิน ทว่าหลิงกวานของลัทธิเต๋าอาจไม่ได้เป็นเช่นนี้เสมอไป พวกเจ้าตายไปแล้วแต่ดวงจิตยังคงอยู่ เดิมทีนี่ก็เกิดจากเจตนารมณ์สวรรค์และโชควาสนา ดังนั้นพวกเจ้าสามารถวนเวียนอยู่นอกตำหนักใหญ่เพื่อรักษาสติปัญญาเสี้ยวหนึ่งของตนเอาไว้ได้ แต่อย่าเข้าไปข้างในเด็ดขาด”
เฉินผิงอันอธิบายละเอียดอย่างอดทน เพราะภูตผีวัตถุหยินจำนวนมากที่ตายไปยังคงมีความดุร้าย ความเคียดแค้นหรือไม่ก็ทิฐิที่ยังรวมตัวกันไม่จางหาย สติไม่แจ่มชัด การรับรู้ที่มีต่อโลกใบนี้จึงไม่มากเท่าตอนที่มีชีวิตอยู่ เกรงว่ายังเทียบกับผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตล่างอย่างเจิงเย่ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ในสายตาของเฉินผิงอัน บริเวณประตูหลังของตำหนักหน้ามีวัตถุหยินหลายตนซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ลมหยินพัดโชยเป็นระลอก แต่ไม่ได้เข้มข้นมากนัก ตอนนี้เป็นช่วงที่อากาศหนาวเหน็บที่สุด ชาวบ้านที่มีพลังหยางมากหน่อย ยกตัวอย่างเช่นพวกชายฉกรรจ์ หากมายืนอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเฉินผิงอันก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายดุร้ายอึมครึมที่วัตถุหยินแผ่ออกมา แต่หากเป็นคนที่มีพลังหยางอ่อนแอก็ง่ายที่จะเรียกหายนะมาสู่ตัว ไม่แน่ว่าอาจโดนพลังหยินแทรกซอนเข้ามาในร่างกาย ง่ายที่จะถูกลมหนาวแล้วเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ยาบำรุงของหมอพื้นบ้านก็อาจจะใช้ไม่ผล เพราะรักษาปลายเหตุไม่ได้รักษาต้นเหตุ คนป่วยได้รับบาดเจ็บทางจิตวิญญาณ กลับกลายเป็นว่าวิชาเรียกขวัญที่เป็นอุบายทำให้จิตใจคนสงบของพวกหมอผีพื้นบ้านเสียอีกที่อาจจะใช้ได้ผล
ไม่รู้ว่ากริ่งเกรงเฉินผิงอันหรือเข้าใจเหตุผล วัตถุหยินเหลานั้นจึงค่อยๆ พากันถอยไป ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปในตำหนักหลักอารามกวานหลิง
ในเมื่อพวกมันยอมหยุด เฉินผิงอันจึงไม่ได้พูดอะไรให้มากความอีก
สถานที่แห่งแรกที่พวกเขาต้องไปเยือนในครั้งนี้ก็คือตระกูลเซียนบนภูเขาลูกเล็กแห่งหนึ่งของแคว้นสือหาว วัตถุหยินที่เป็นสตรีจึงเผยกายบนโลก มาท่องอยู่ในโลกคนเป็น และเฉินผิงอันก็มักจะถามความเห็นของพวกนางว่าจะสิงร่างเจิงเย่หรือไม่ แต่หากรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจก็สามารถไปพักพิงอยู่ในยันต์หญิงงามหนังจิ้งจอกที่เฉินผิงอันได้มาจากสกุลสวี่นครลมเย็นได้ชั่วคราว อยู่ในรูปลักษณ์ของหญิงสาวแผ่นยันต์ที่งดงาม ตอนกลางวันจะต้องถูกเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อหรือไม่ก็ชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน ส่วนตอนกลางคืนนั้นสามารถเผยกายได้ พวกนางสามารถติดตามเฉินผิงอันและเจิงเย่ออกท่องเที่ยวในยามค่ำคืน
กระดาษยันต์หญิงงามหนังจิ้งจอกสิบสองแผ่นก็เหมือนโรงเตี๊ยม ตอนนี้ล้วนมีคนมาพักค้างแรม อีกทั้งล้วนเป็นคนของแคว้นสือหาว ดังนั้นพอถึงยามค่ำคืน รอบด้านไร้ผู้คน เฉินผิงอันจึงจะนำกระดาษยันต์ที่พวกนางพักพิงอยู่ออกมา แต่เฉินผิงอันก็จำเป็นต้องเผาผลาญเงินเกล็ดหิมะส่วนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นกระดาษยันต์จะปิดประตู ทำให้พวกนางไม่สามารถย้อนกลับมายังโลกมนุษย์ ไม่อาจเห็นทัศนียภาพหลังหิมะตกที่งดงามชวนประทับใจโดยที่ร่างวัตถุหยินของพวกนางไม่ต้องเหน็บหนาวได้อีก
หากเป็นค่ำคืนในยามปกติ รอบกายของเฉินผิงอันกับเจิงเย่จะต้องมีเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้ว เสียงหัวร่อต่อกระซิก ครึกครื้นอย่างมาก ในยันต์ทั้งสิบสองแผ่น ต่อให้เป็นวัตถุหยินที่เดิมทีไม่ชอบพูดคุยกับใคร แต่ตลอดทางที่อยู่ร่วมกันมานี้ ข้างกายก็พอจะมีผีสาวที่สนิทสนมคุ้นเคยกันอยู่คนสองคน พวกนางจึงจับกลุ่มพูดคุยกันเรื่องของสตรี ส่วนเรื่องของมหามรรคาและการฝึกตนกลับไม่พูดถึงแม้แต่คำเดียว เพราะพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ มีแต่จะทำให้เสียใจเท่านั้น
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดคืนนี้พวกนางถึงถูกเฉินผิงอันเชิญกลับเข้าไปในยันต์ไม่ให้ปรากฏตัว ก็เพราะเขาต้องค้างคืนอยู่ในอารามกวานหลิง เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ไม่อาจละเมิดกฎเกณฑ์ของศาลแห่งนี้ได้ มีวัตถุหยินบางตนที่ใจกล้าหน่อยยังเอ่ยสัพยอกและบ่นเฉินผิงอัน บอกว่ากฎเกณฑ์พวกนี้ให้ชาวบ้านปฏิบัติตามก็แล้วไปเถอะ ท่านเฉินเป็นถึงเทพเซียนผู้ถวายงานบนเกาะชิงเสีย ไหนเลยจะต้องสนใจ ก็แค่องค์เทพหลิงกวานองค์เล็กๆ หากกล้าเดินออกมาจากเทวรูปจริงๆ ท่านเฉินก็เล่นงานให้ย้อนกลับเข้าไปในรูปปั้นเสียสิ เพียงแต่เฉินผิงอันยืนกราน พวกนางจึงได้แต่กลับเข้าไปในยันต์หนังจิ้งจอกที่สกุลสวี่ตั้งใจสร้างขึ้นอย่างว่าง่าย
—–