กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 448.4 บังเอิญยิ่งนัก ข้าก็เป็นมือกระบี่เหมือนกัน
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 448.4 บังเอิญยิ่งนัก ข้าก็เป็นมือกระบี่เหมือนกัน
พลังหมัดที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจของคนหนุ่มมองดูเหมือนว่าจะสู้สุดใจกับเขาให้ตายกันไปข้าง ทว่าแท้ที่จริงแล้วกลับเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ แค่สัมผัสก็หยุดลงทันที เหมือนเด็กที่ในมือถือค้อนเหล็ก พอใช้แรงทั้งหมดยกค้อนขึ้นทุบลงบนพื้นดิน พอค้อนอยู่ห่างจากพื้นอีกแค่ชุ่นกว่าๆ กลับหยุดชะงักลอยค้างอยู่กลางอากาศไม่ขยับต่อ ประเด็นสำคัญคือตอนที่เด็กคนนั้นเหวี่ยงค้อนขึ้นคล้ายจะเปลืองแรงอย่างมาก ทว่ารอจนกระทั่งยกค้อนขึ้นจริงๆ กลับไม่รู้สึกเปลืองแรงเลยแม้แต่น้อย
บงทีหากหูหานไม่ถอยหนี แต่ฉวยโอกาสนี้ขยับเข้าประชิดตัวมากกว่าเดิม ไม่แน่ว่าหมัดนั้นของเขาอาจจะต่อยทะลุหน้าอกของคนหนุ่มได้จริงๆ
แต่หูหานก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ความเป็นไปได้มากกว่านั้นคืออีกฝ่ายมีวิธีรับมือรอตนอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นมือที่คนหนุ่มซ่อนไว้ด้านหลังนั่น
อีกฝ่ายสามารถควบคุมพายุหมัดของตัวเองได้เชี่ยวชาญถึงขั้นนี้ ต่อให้ขอบเขตไม่สูง แต่ก็ต้องมียอดฝีมือช่วยหล่อหลอมเรือนกายให้เขานับร้อยนับพันครั้งแน่นอน หรือไม่ก็เคยผ่านประสบการณ์ตัดสินเป็นตายที่อันตรายอย่างใหญ่หลวงมาครั้งแล้วครั้งเล่า
เฉินผิงอันสะบัดข้อมือ พูดด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “อย่าว่าแต่คนบ้าคลั่งวรยุทธผู้นั้นเลย แม้ขอบเขตของเจ้าจะสูง แต่แท้จริงแล้วพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธของเจ้ายังสู้หน้ายิ้มที่ข้าเคยเจอในอดีตไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแนวทางเดียวกันกับเจ้า ปณิธานหมัดไม่เพียงพอ แต่วิชาต่อสู้ประชิดตัวใช้ได้”
หูหานมีสีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
ไม่ได้บอกว่าอันดับหนึ่งวิถีวรยุทธของแคว้นสือหาวผู้นี้เพิ่งจะประมือกับศัตรูก็เกิดใจหวาดกลัวเสียแล้ว นี่ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
แต่มือที่คนหนุ่มไพล่ไว้ด้านหลัง รวมไปถึงดาบและกระบี่ที่เขาพกไว้ตรงเอวต่างก็ทำให้เขาหงุดหงิดใจ
นี่คือลางสังหรณ์ตามสัญชาตญาณที่ปรมาจารย์วิถีวรยุทธผู้หนึ่งขัดเกลามาจากเส้นแบ่งเป็นแบ่งตาย
นี่ต่างหากจึงจะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงถึงชีวิตอย่างแท้จริง
ส่วนคำพูดเหลวไหลที่บอกว่า ‘รากฐานเหยาะแหยะ ขอบเขตร่างทองเหมือนกระดาษเปียก’ ‘ปณิธานหมัดไม่เพียงพอ วิชาต่อสู้ประชิดตัวพอใช้ได้’ อะไรพวกนั้น หูหานไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจนัก
“ขอแค่มือและใจสอดประสานก็สามารถเก็บและปล่อยได้ตามใจปรารถนา การฝึกหมัดก็ต้องพิถีพิถันในเรื่องการฝึกจิตใจเช่นเดียวกัน ความสำคัญของมันไม่เป็นรองผู้ที่ฝึกตนบำเพ็ญตบะเลยแม้แต่น้อย เบื้องล่างปณิธานหมัดก็คือโครงท่าของหมัด ต่อจากโครงท่าของหมัดถึงจะเป็นเคล็ดวิชา ขอบเขตร่างทองนี้ของเจ้า หากโยนไปไว้ที่นั่นก็คงมีชีวิตอยู่ได้แค่ไม่กี่วัน มีแต่จะกลายไปเป็นหินลับมีดที่ดีที่สุดของผู้ฝึกยุทธที่นั่นเท่านั้น”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เอาล่ะ พูดคุยกันมาถึงตรงนี้ ข้าก็พอจะรู้ตื้นลึกของเจ้าแล้ว”
หูหานก็เอามือข้างหนึ่งไพล่หลังเหมือนกัน มืออีกข้างหนึ่งของเข้ากระดกงอนิ้ว ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “มีรับก็ต้องมีมอบกลับคืน ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นเจ้าที่ลงมือก่อนบ้าง เจ้าจะได้ไม่รู้สึกว่าข้าอาศัยความอาวุโสมารังแก ไม่มีมาดที่คนเป็นผู้ใหญ่สมควรมี”
อันที่จริงขอแค่ต่อสู้ประชิดตัวกัน ไม่ว่าอย่างไรหูหานที่มีฉายาว่า ‘ช่างตีเหล็ก’ ก็ต้องได้เปรียบอยู่แล้ว
มีเพียงพ่อแม่ตั้งชื่อให้ผิดเท่านั้น ไม่มียุทธภพที่ตั้งฉายาให้ผิด
พอได้ยินประโยค ‘ขอแค่มือและใจสอดประสานก็สามารถเก็บและปล่อยได้ตามใจปรารถนา’ นี้ของเฉินผิงอัน หม่าตู่อี๋ก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
แรกเริ่มนางนึกว่าท่านเฉินพูดจาคุยโวหลอกฝ่ายตรงข้ามไปส่งเดช แต่จู่ๆ หม่าตู่อี๋ก็เก็บสีหน้าทั้งหมด มองแผ่นหลังของคนผู้นั้นแล้วคิดว่า เขาคงไม่คิดว่าความรู้และวิชาหมัดเชื่อมโยงสอดประสานกัน ก็เลยเป็นตัวพิสูจน์กันและกันจริงๆ หรอกใช่ไหม?
หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น หม่าตู่อี๋ไม่มีทางเกิดความคิดประหลาดเช่นนี้ขึ้นมาแน่นอน แต่เมื่อคนผู้นี้คือเฉินผิงอัน หม่าตู่อี๋กลับรู้สึกว่าหนึ่งในหมื่นที่เกิดขึ้นได้ยากของเรื่องราวบนโลก เมื่อมาอยู่บนร่างของเฉินผิงอันก็คล้ายว่าหนึ่งนั้นจะเกิดขึ้นจริง
ยกตัวอย่างเช่นมีใครจะยอมมานั่งเฉยๆ อย่างน่าเบื่อหน่ายอยู่ในห้องตรงประตูภูเขาของเกาะชิงเสียอย่างเขาบ้าง?
แล้วยังออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนจนมีการเดินทางในครั้งนี้จริงๆ?
เฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว
ยังคงมีท่าทางผ่อนคลายสบายๆ ไม่มีมาดของปรมาจารย์เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเทียบกับหูหานที่ทุกครั้งที่ลงมือพายุหมัดล้วนสั่นสะเทือน โจมตีให้เกล็ดหิมะรอบด้านแหลกสลายแล้ว ก็เรียกได้ว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
หูหานพอจะขบคิดจนเข้าใจอะไรบางอย่าง
คนหนุ่มที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำผู้นี้ต้องมีอาการบาดเจ็บสาหัสอยู่บนกายอย่างแน่นอน ดังนั้นทุกครั้งที่ลงมือจึงคล้าย…นักบัญชีที่ทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ ถึงได้คอยคิดถึงผลกำไรก้อนเล็กเท่าหัวแมลงวันอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีความกล้าหาญของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอยู่แม้แต่นิดเดียวเลยจริงๆ!
ปราณสังหารท่วมท้นอยู่เต็มอกของหูหาน ครั้นจึงตัดสินใจแสดงฝีมืออย่างเต็มที่เพื่อสังหารอีกฝ่าย
พริบตานั้นเส้นหัวใจของหูหานขมวดตึงแน่น ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่าไม่ควรปล่อยให้คนผู้นั้นปล่อยหมัดใส่ตน แต่หลักการทั่วไปในการเรียนวรยุทธและประสบการณ์ในยุทธภพกลับบอกหูหานอีกว่า หลังจากเข้าประชิดตัวแล้ว ขอแค่ตนไม่ออมมืออีก ไม่ช้าก็เร็วอีกฝ่ายจะต้องตายสถานเดียว
จิตใจของเขาจึงเริ่มไม่มั่นคง
หมัดหนึ่งพุ่งมาถึง
หลังจากโดนไปหนึ่งหมัดแล้ว หูหานก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “นี่มันการเกาของสตรีหรืออย่างไร…”
แต่แล้วหูหานก็หัวเราะไม่ออก
หนึ่งหมัดมาถึง หมัดต่อมาก็ตามมาติดๆ
พลังอำนาจประหนึ่งน้ำตกที่ไหลซัดสาดสามพันฉื่อ
หูหานได้แค่ต้านรับไปทีละหมัด เงาร่างของคนทั้งสองเลื่อนลอยไม่หยุดนิ่ง ลมพายุม้วนตัวพัดอย่างบ้าคลั่งอยู่บนทางเดิน
ต่อให้เป็นขอบเขตร่างทองที่เหมือนกระดาษเปียกจริงๆ แต่นั่นก็เป็นขอบเขตร่างทองที่มองเหยียดยุทธภพของหนึ่งแคว้นได้!
หลังจากเจ็ดแปดหมัดผ่านไป หน้าผากของหูหานก็มีเหงื่อซึมออกมาบางๆ
สิบเอ็ดหมัดผ่านไป หูหานไม่เพียงแต่เหงื่อท่วมเต็มตัว มุมปากยังมีเลือดซึมออกมาแล้วด้วย
ส่วนคนหนุ่มที่การออกหมัดแต่ละครั้งเร็วกว่าครั้งล่าสุดเสมอผู้นั้นกลับไม่มีลางว่าลมปราณจะแห้งเหือดและคิดจะหยุดมือเลย
หูหานผู้ฝึกตนขอบเขตเจ็ดผู้ยิ่งใหญ่ที่อัดอั้นตันใจสุดขีดถึงขั้นล้มเลิกความคิดที่จะเอาคืน พายุลมกรดกระจายไปทั่วทุกเส้นชีพจรในร่าง ปกป้องช่องโพรงใหญ่ที่สำคัญเอาไว้ ปล่อยให้คนหนุ่มปล่อยหมัดต่อไป ปณิธานหมัดสามารถยืนหยัดได้นาน ทว่าปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธต้องมีช่วงเวลาที่หมดสิ้นลง ถึงเวลานั้นก็คือเวลาที่ดีที่สุดในการปล่อยหมัดของหูหาน
แต่หูหานกลับได้ยินท่านเจิงที่อยู่ห่างไปไกลด้านหลังระเบิดเสียงคำรามออกมาว่า “แม่ทัพสวี่ รีบช่วยหูหานสะบั้นปณิธานหมัดของคนผู้นี้!”
แม่ทัพแซ่สวี่ขมวดคิ้ว แต่กลับควบม้าพุ่งออกไปโดยไม่มีความลังเลใดๆ
เขาสามารถถูกเรียกว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งที่มีฝีมือในการรบบนหลังม้าของแคว้นสือหาวได้ก็เพราะยามที่นั่งอยู่บนหลังม้า มือถือหอกยาว พลังการต่อสู้เลิศล้ำโดดเด่น ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธในความหมายธรรมดาทั่วไป
ก่อนหน้านี้หูหานยินดีขี่ม้าเคียงบ่าอยู่กับคนผู้นี้ แล้วยังพูดคุยกันอย่างถูกคอ แน่นอนว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นสาเหตุที่แท้จริง ทุกอย่างล้วนอาศัยความสามารถที่แท้จริงเท่านั้น
ส่วนคำเรียกขานว่า ‘นักกวีผู้ถือหอก’ ที่เลื่องลือไปทั่วราชสำนักแคว้นสือหาวนั้น เนื่องจากครั้งแรกที่คนผู้นี้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ได้ถือพระราชโองการที่อนุญาตให้พกหอกยาวเข้าไปในวังด้วย จากนั้นช่วงท้ายของการประชุมขุนนางในวันนั้น ฮ่องเต้ได้ออกคำสั่งให้คนจูงม้าพยศที่ยังไม่ถูกกำราบตัวหนึ่งเข้ามาในท้องพระโรงต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อย บอกให้เขาขี่ม้าถือหอก ใช้ปลายหอกที่แหลมคมเขียนบทกวีเลื่องชื่อบทหนึ่งของนักประพันธ์ใหญ่แคว้นสือหาวลงบนแผ่นหินทรงยาวแผ่นหนึ่ง อีกทั้งยังต้องควบม้าไม่หยุด ไม่อย่างนั้นจะยึดหอกยาวที่สืบทอดมาจากรุ่นบรรพบุรุษของเขาไป อีกทั้งยังจะขับไล่เขาออกจากกองทัพ แต่หากทำสำเร็จจะตบรางวัลใหญ่ด้วยการเลื่อนขั้นเขาเป็นขุนนางบู๊ผู้มีคุณูปการระดับสี่ชั้นเอก!
สุดท้ายชื่อเสียงของเขาก็เลื่องลือไปทั้งแคว้น
เขาวางหอกยาวเล่มนั้นลงเบาๆ คุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้อยู่บนบันไดขั้นล่างสุด
ตอนนั้นแม่ทัพหนุ่มสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าคนหนุ่มที่ชะตาบู๊โชติช่วงผู้นี้ตื้นตันใจจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้
ฮ่องเต้เองก็สำราญพระทัย ตั้งฉายาให้เขาด้วยตนเองว่า ‘นักกวีผู้ถือหอก’
แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาเคียดแค้นและรู้สึกไม่เป็นธรรมมาโดยตลอด มองว่ามันเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต!
บรรพบุรุษสี่รุ่น หอกยาวหนึ่งเล่มที่อาบเลือดสดของศัตรูมานับไม่ถ้วน ส่งต่อจากบิดาสู่บุตรมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อถูกส่งมอบมาถึงมือเขา กลับกลายมาเป็นว่าไม่ต่างจากสตรีที่ใช้เข็มปักลายบุปผา!
เขาสวี่เม่าจงรักภักดีกันมาหลายชั่วคน เหล่าบรรพบุรุษต่างกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ บนสนามรบไม่เคยมีเสียงปรบมือหรือเสียงร้องให้กำลังใจจากผู้ใด แล้วเขาสวี่เม่าจะกลายมาเป็นนักแสดงงิ้วที่ผู้คนโปรดปรานได้อย่างไร!
หนึ่งคนหนึ่งม้าหนึ่งหอก ยามที่พุ่งเข้าเข่นฆ่าสังหารกลับมีภาพปรากฎการณ์แห่งสมรภูมิรบที่ภูเขาพังทลายผืนแผ่นดินแตกสลาย
แม้ว่าเงาร่างของทั้งเฉินผิงอันและหูหานจะพัวพันกันจนแยกไม่ออก แต่ปลายหอกของสวี่เม่าที่ชี้ไปกลับยังตรงกับลำคอของเฉินผิงอันที่ออกหมัดครั้งที่ยี่สิบอย่างพอดิบพอดี
เฉินผิงอันไม่ฝืนปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าอีก
ทุกอย่างนี้ล้วนอยู่ในการคาดการณ์
หากไม่ใช่แม่ทัพบนหลังม้าที่ถือหอกยาวพุ่งมาถึง ก็ต้องเป็นกระบี่ยาวของชายวัยกลางคนผู้นั้น
เฉินผิงอันเพียงแค่ใช้หนึ่งฝ่ามือตบหูหานที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นใกล้ตายให้เซถอยออกไป สกัดกั้นประกายคมกริบจากหอกยาวของแม่ทัพบู๊ได้พอดี ส่วนตัวเขาก็ขยับเบี่ยงหลบไปด้านข้างหลายก้าว
สวี่เม่าบิดข้อมือเบาๆ ประกายคมกริบของหอกยาวที่เกือบจะเสียบทะลุร่างหูหานกลายเป็นถังหูลู่ก็จ้วงโดนความว่างเปล่าใต้รักแร้ของฝ่ายหลังอย่างพอดิบพอดี
เฉินผิงอันกระทืบเท้าลงพื้นหนักๆ หนึ่งครั้ง
บนพื้นดิน ในรัศมีเจ็ดแปดจั้งที่มีเฉินผิงอันเป็นจุดศูนย์กลาง เกล็ดหิมะที่ทับถมพลันปลิวกระจาย
สวี่เม่าหลับตาลงแทบจะในทันที
แล้วเขาก็พลันเบิกตากว้าง ชูหอกยาวขึ้นสูงแล้วจ้วงแทงออกไป
หอกยาวเกิดหนักอึ้ง
เงาร่างสีเขียวของคนผู้หนึ่งเหยียบอยู่บนหอกยาว ไถลร่างลงมาตามความยาวของหอก ตีเข่าเข้าที่หน้าอก ทำให้สวี่เม่ากระเด็นหวือออกไปจากหลังม้า
เพียงแต่ว่าสวี่เม่ากำหอกยาวเอาไว้แน่น ให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ เขากระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ สวี่เม่าลุกขึ้นยืน แต่กลับพบว่าคนผู้นั้นยืนอยู่บนหลังม้าของตน ไม่ได้ฉวยโอกาสตามมาไล่โจมตีเขาต่อ
สวี่เม่าถึงได้หันไปมองหูหานที่ดึงตัวออกห่างจากสนามรบแล้วคำรามอย่างเดือดดาล “หูหาน! ข้าเป็นคนช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบาก แต่เจ้ากลับเลือกที่จะนิ่งดูดาย จงใจทำร้ายข้าอย่างนั้นรึ?!”
เฉินผิงอันไม่ได้มองสวี่เม่า แต่มองไปทางหันจิ้งซิ่นและมือกระบี่วัยกลางคนที่ยืนอยู่ห่างไปไกล ยิ้มกล่าวว่า “แนะนำพวกเจ้าว่าอย่าฝากความหวังไว้ที่เขาอีกเลย ขอบเขตร่างทองกระดาษเปียกที่ขวัญกระเจิงคนหนึ่ง พึ่งพาไม่ได้หรอก”
หันจิ้งซิ่นเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียด ขนาดสวี่เม่าและหานหูก็ยังพ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ? การต่อสู้ตัวต่อตัวสองครั้ง หากต่างก็แพ้ให้อีกฝ่าย นี่ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ที่น่ากลัวก็คือคนหนุ่มผู้นั้นกลับจับจุดสำคัญทำให้สวี่เม่าและหานหูเกิดแตกแยกกัน หากหานหูไม่มีจิตกล้าหาญของปรมาจารย์อยู่จริง การต่อสู้หลังจากนี้ยังจะสู้กันอย่างไรได้อีก หรือจะให้อาศัยท่านเจิงที่อยู่ข้างกายผู้นี้? ถึงอย่างไรหูหานก็น่าเชื่อถือกว่าสวี่เม่า แต่หันจิ้งซิ่นมีรางลูกคิดเป็นของตัวเอง หากท่านเจิงไม่ลงมือสังหารคนผู้นั้นด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องลงมือ เอาแต่ปกป้องตนอย่างเดียวเท่านั้น
หากท่านเจิงไม่ลงมือ สถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนก็ยังเหลือพื้นที่ให้ย้อนกลับ แต่หากท่านเจิงลงมือแล้วพ่ายแพ้ ถึงเวลานั้นจะต้องให้ตนไปขออภัยอีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ?
และจะทำอย่างนั้นก็ต้องดูว่าอีกฝ่ายจะให้โอกาสตนได้แก้ไขความสัมพันธ์หรือไม่ด้วย
ว่ากันว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ดื้อดึงบางส่วน หากตัดสินใจจะอำมหิตขึ้นมา เพื่อมหามรรคาอะไรนั่น พวกเขาก็เรียกได้ว่าไม่เห็นญาติมิตรอยู่ในสายตาอย่างแท้จริง
ท่านเจิงเอ่ยเบาๆ ว่า “องค์ชาย หากข้าไม่ลงมือ ขวัญกำลังใจของคนก็จะแตกแยก ปล่อยให้อีกฝ่ายฆ่าแกงได้ตามใจชอบ หากลงมือจึงจะมีโอกาสให้หูหานและสวี่เม่าร่วมมือกับข้าล้อมสังหารคนผู้นี้ แต่เงื่อนไขก็คือข้าต้องไม่พ่ายแพ้ให้เขาในกระบวนท่าเดียว”
รอยยิ้มของหันจิ้งซิ่นค่อนข้างจะฝืดฝืน “ท่านเจิงล้อเล่นแล้ว”
สวี่เม่าถอยกลับเข้าไปในกลุ่ม เปลี่ยนม้าศึกตัวใหม่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาลผิดปกติ
หูหานเองก็อยากกลับไป แต่เขาเพิ่งจะขยับตัว คนหนุ่มผู้นั้นก็หันหน้ามามองทันที
หูหานเหมือนคนที่ขวัญหนีดีฝ่อจริงๆ จึงยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างขุ่นเคือง
เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นหูหานก็ดี หรือสวี่เม่าก็ช่าง พวกเขาต่างก็ไม่ได้ฝีมืออ่อนด้อยเพียงนี้
เพียงแต่สถานการณ์ครั้งนี้ค่อนข้างจะละเอียดอ่อน แต่ละคนต่างก็ซ่อนเร้นอำพรางฝีมือ ไม่ยินดีจะทุ่มสุดชีวิตสักเท่าไหร่
ดูท่าจิตใจของทหารใต้บังคับบัญชาของหันจิ้งซิ่นกองนี้ชวนให้คนขบคิดใคร่ครวญอยู่ไม่น้อย
มือกระบี่วัยกลางคนที่ไม่เคยลงมือมาก่อนค่อยๆ ขี่ม้าออกมาช้าๆ
ม้าสองตัวอยู่ห่างกันประมาณสามสิบกว่าก้าว
เฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนหลังม้าตลอดเวลาถามว่า “อาจารย์ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ เป็นอาจารย์กระบี่กระมัง?”
มือกระบี่วัยกลางคนส่ายหน้า “ข้าไม่คู่ควรกับคำเรียกขานว่าอาจารย์แม้แต่น้อย ข้าแซ่เจิง ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ ที่ไหนมีข้าวให้กิน ก็ไปขอข้าวกินที่นั่น”
บุรุษยิ้มกล่าว “หลังจากนี้อาจจะทำในสิ่งที่ไร้คุณธรรมแล้ว”
เฉินผิงอันมือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งผายออก “ตามสบาย”
คนผู้นั้นมองไปทางหูหาน “รบกวนละทิ้งความขัดแย้งระหว่างพวกเราสามคนชั่วคราว เจ้า ข้าและแม่ทัพสวี่ร่วมมือกันอย่างจริงใจ ช่วยกันสังหารศัตรู”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่อผู้อาวุโสเจิงคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก็น่าจะมองออกว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของเพื่อนเจ้าคนนี้ค่อนข้างจะเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ ผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงจะใช้ลมปราณเฮือกหนึ่งมาฝืนดึงสภาพจิตใจของตนให้สูงขึ้น ยามที่เผชิญหน้ากับศัตรูที่ขอบเขตสูงกว่าตนหนึ่งระดับจะไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย หากต้องตัดสินเป็นตายก็คือตัดสินเป็นตาย เขากลับดีนัก ไม่เพียงแต่รากฐานย่ำแย่ ยังขาดลมปราณเฮือกนั้นอีกต่างหาก เวลาเข่นฆ่ากับคนอื่นยังชอบดึงขอบเขตของตนให้ต่ำลงหนึ่งระดับ ยุทธภพของแคว้นสือหาวพวกเจ้าช่างน่าสนใจจริงๆ หากไม่เป็นเพราะคนผู้นี้นั่งอยู่บนเก้าอี้อันดับหนึ่งของยุทธภพแคว้นสือหาวพอดี คาดว่าหนึ่งวันที่เขาอยู่บนโลก ยุทธภพในแคว้นสือหาวก็คงถูกเขาถ่วงความเจริญไปหนึ่งวัน”
—–