กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 453.2 ขี่ม้าลงใต้เพียงลำพัง
เฉินผิงอันจนใจ เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าเพื่อให้ตัวเองสดชื่น
ต่อให้จะแค่ได้ฟังเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงบนเกาะชิงเสียก็สิ้นเปลืองแรงใจมากขนาดนี้แล้ว กระตุกผมเส้นเดียวสั่นสะเทือนไปทั้งร่าง การวางแผนมากมายหลังจากนี้ยังต้องเหนื่อยใจอีกมาก
เฉินผิงอันเอ่ย “ทางทิศตะวันออกสุดของภูเขาหูลั่วมีภูเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่คนเพิ่งย้ายกันเข้ามา ข้าเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดบางอย่างของที่นั่น หากผู้อาวุโสจางเหล่าเชื่อใจข้า ไม่สู้ไปพักอยู่ทางแถบนั้นก่อน ถือซะว่ามาผ่อนคลายอารมณ์ ตอนนี้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็แค่หลิวจื้อเม่ากายดับมรรคาสลายอยู่บนเกาะกงหลิ่ว เป็นไก่ที่ถูกเชือดให้ลิงดู ถึงเวลานั้นผู้อาวุโสควรจะทำอย่างไร ไม่ว่าใครก็ขัดขวางไม่ได้ ข้าก็ยิ่งไม่มีทางห้ามปราม แต่อย่างไรก็ดีกว่ากลับไปตอนนี้ เพราะบางทีอาจถูกมองเป็นการท้าทายอย่างหนึ่ง แล้วจะถูกจับขังคุกน้ำบนเกาะกงหลิ่วไปพร้อมกันด้วย บางทีผู้อาวุโสอาจจะไม่กลัวเรื่องนี้ กลับกันยังอาจรู้สึกว่าแค่ได้เห็นหลิวจื้อเม่าสักครั้งก็สบายใจแล้ว ทว่าในเมื่อตอนนี้มีเพียงจวนเหิงโปของเกาะชิงเสียเท่านั้นที่เจอหายนะ ทั้งเกาะไม่ได้ล่มสลายลงมา แม้แต่เกาะใต้อาณัติอย่างเกาะซู่หลินก็ยังไม่ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย นี่หมายความว่าวันหน้าหากเกิดโอกาสพลิกผัน เกาะชิงเสียก็ต้องการให้มีคนที่สามารถหยัดยืนขึ้นมาได้ ข้า คงไม่ได้ แล้วก็ไม่ยินดีจะทำด้วย แต่ผู้เฒ่าบนเกาะชิงเสียอย่างจางเย่ที่หลิวจื้อเม่าไว้วางใจที่สุด ต่อให้ขอบเขตไม่สูงมากพอก็ยังสามารถโน้มน้าวให้ผู้คนสยบยอมได้อยู่ดี”
จางเย่ใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบหนึ่งก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “ข้ามันมีชะตากรรมที่ต้องยุ่งวุ่นวายซะจริง”
แล้วจู่ๆ จางเย่ก็ใช้เสียงในทะเลสาบหัวใจบอกกับเฉินผิงอันว่า “ระวังทางฝ่ายของเกาะกงหลิ่วไว้ให้ดี มีคนกำลังใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อ หากเป็นจริง เหตุใดอีกฝ่ายถึงทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น ไม่เอากู้ช่านและจวนชุนถิงเป็นเหยื่อล่อเสียเลย ข้อนี้ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ คาดว่าในเรื่องครั้งนี้ย่อมต้องมีหลักการเหตุผลที่พลิกเปลี่ยนร้อยรอบพันตลบซ่อนอยู่ แน่นอนว่าท่านเฉินน่าจะคิดได้แล้ว ข้าก็แค่ได้เปรียบแล้วยังทำเรื่องไร้คุณธรรมเพื่อให้ตัวเองสบายใจเท่านั้น ภาระนี้ นาทีที่ข้าออกมาจากเกาะชิงเสียก็ถูกข้านำไปวางไว้บนไหล่ของท่านเฉินแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ “คำพูดเกรงอกเกรงใจบางอย่าง บางครั้งก็ยังต้องควรพูด อย่างน้อยก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นได้เยอะ นี่ก็เป็นหลักการเล็กๆ ข้อหนึ่งที่ข้าเพิ่งรู้มาจากคนหนุ่มแซ่กวนคนหนึ่ง”
จางเย่เอ่ยสัพยอก “ท่านเฉินยังต้องเรียนรู้หลักการเหตุผลมาจากคนอื่นอีกหรือ?”
เฉินผิงอันชี้จางเย่ จากนั้นจึงชี้ไปยังหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่ ก่อนจะโบกมือวาดวงกลมวงหนึ่งโดยหันไปทางหมู่บ้านตีนเขาของภูเขาหูลั่วคล้ายไม่ใส่ใจ “หลักการเหตุผลนอกตำรามีมากมายมหาศาล หากจะพูดถึงเรื่องเล็กเมื่อครู่นี้ ก็อย่างเช่นที่ชาวบ้านในบ้านป่ารู้จักมารยาทในการข้ามสะพาน ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่อยู่สูงส่งเหนือผู้ใดจะมีสักกี่คนที่ยินดีปฏิบัติตามหลักการเหตุผลเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้? ถูกไหม?”
ความกลัดกลุ้มในใจของจางเย่ลดทอนหายไปหลายส่วน “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเยือนภูเขาเล็กๆ ที่ท่านเฉินพูดถึง ลองไปเดินและตามหาหลักการเหตุผลดูสักข้อ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ทำไมจะทำไม่ได้เล่า?”
จางเย่กวาดตามองไปรอบด้าน กี่ปีแล้วที่เขาไม่เคยสงบใจหันมามองทัศนียภาพในโลกมนุษย์ตามตีนเขาเหล่านี้
เฉินผิงอันเอ่ย “ข้าไม่มีทางรีบกลับไปที่ทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อหลิวจื้อเม่า ข้ายังมีธุระของตัวเองให้ต้องทำ ต่อให้กลับไปแล้วก็ได้แต่ทำในเรื่องที่ตัวเองมีความสามารถเท่านั้น”
จางเย่พยักหน้ารับ “หากเพิ่งได้รู้จักกันแล้วได้ยินคำตอบนี้ ข้าต้องร้อนใจราวกับมีไฟลนแน่นอน แต่ตอนนี้ไม่เหลือกะจิตกะใจอะไรแล้ว ทั้งไม่กล้าและไม่ยินดีจะสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่น ท่านเฉินแค่ทำเรื่องตามแผนการของตัวเองไปเถิด”
เฉินผิงอันกับจางเย่พูดขึ้นแทบจะพร้อมกัน “คำพูดเกรงอกเกรงใจบางอย่าง บางครั้งก็ต้องควรพูดบ้าง”
คนทั้งสองหันมายิ้มให้กัน
จางเย่จัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบแล้วจึงจากไป ไม่ได้จำแลงร่างเป็นสายรุ้งทะยานลม แต่แค่เดินช้าๆ ข้ามสะพานเล็กแห่งนั้นไป
เฉินผิงอันพาหม่าตู่อี๋และเจิงเย่จูงม้าเดินผ่านทางสายเล็กหินสีเขียวของหมู่บ้าน พอขึ้นเขามาแล้วก็ผ่านประตูภูเขาหูลั่ว ประตูแห่งนี้เป็นเพียงแค่ซุ้มหินเล็กๆ ไม่ได้ปฏิเสธผู้มาเยือนให้อยู่ห่างไปไกลเป็นพันลี้ แม้กระทั่งผู้ฝึกตนเฝ้าประตูก็ยังไม่มี ผู้ฝึกตนของภูเขาหูลั่วสืบทอดจากอาจารย์สายเดียว ต่อให้ศาลบรรพจารย์จะไม่ได้มีแค่หนึ่งสาย แต่กระนั้นก็ยังมีคนน้อยจนนับนิ้วได้ หากไม่นับผู้ถวายงานและเค่อเชิง ผู้ฝึกตนที่แท้จริงของภูเขาหูลั่วคาดว่ารวมกันแล้วคงมีไม่ถึงยี่สิบคน แต่บนภูเขาหูลั่วก็ยังมีสถานที่แห่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกับถนนเรียกสวรรค์ของใบถงทวีปหรือไม่ก็ถนนวานรร่ำไห้ของนครน้ำบ่อ ถึงอย่างไรการฝึกตนของผู้ฝึกตนก็ต้องใช้เงินในการบุกเบิกเส้นทาง นี่คือหลักการที่ต่อให้ผ่านไปหมื่นปีก็ไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นภูเขาหูลั่วจึงไม่ถือว่าเงียบสงัดวังเวงเกินไปนัก
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง
ก็มองไม่เห็นเงาร่างของจางเย่แล้ว
หากจะบอกว่าจางเย่ไม่ได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการจากตน หลิวจื้อเม่าตกอับ กลายเป็นนักโทษชั้นต่ำของเกาะกงหลิ่ว และมีความเป็นไปได้อย่างสูงสุดว่ามหามรรคาอาจจะต้องขาดสะบั้นไปนับแต่นี้ จางเย่ไม่ผิดหวังงั้นหรือ? แน่นอนว่าต้องผิดหวังอย่างถึงที่สุด
แต่ว่า
เรื่องของความผิดหวัง เมื่อความรู้สึกผิดหวังผ่านไปแล้วควรจะทำเช่นไรก็ยังจำเป็นต้องทำเช่นนั้น และนี่ยังต้องดูที่สภาพจิตใจและความสามารถของตัวบุคคลเองด้วย
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงรู้สึกเคารพเลื่อมใสคนอย่างจางเย่และกวนอี้หราน รวมไปถึงแม่ทัพผีแคว้นสือหาวที่พบเจอกันโดยบังเอิญในอารามหลิงกวาน และซูซินไจแห่งภูเขาหวงหลีเป็นอย่างยิ่ง
พวกเราไม่มีทางรู้เลยว่า เมื่อพวกเราเดินอยู่บนทางดินเละเฉอะแฉะที่เดินได้ยากลำบากอย่างถึงที่สุด จะพบเจอกับลมมรสุมที่ใหญ่ยิ่งกว่าหรือไม่ จะพบเจอคนดีสักคนสองคนโดยบังเอิญที่เป็นเหมือนเปลวไฟส่ายไหวในตะเกียงดวงแล้วดวงเล่าหรือไม่
เฉินผิงอันเชิญผีที่ตอนมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนนั้นออกมาช่วยพวกหม่าตู่อี๋และเจิงเย่ดูของ หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาถูกหลอก
บนถนนเส้นนั้นของภูเขาหูลั่ว หม่าตู่อี๋เดินเข้าออกร้านน้อยใหญ่จนทั่ว เปรียบเทียบของอย่างน้อยสามร้าน ทั้งสามารถขายวัตถุดิบวิเศษออกไปได้ แล้วก็มีทั้งที่ซื้อมาเพิ่มใหม่ นางกับเจิงเย่ ‘แบ่งอามิส’ กันไปนานแล้ว นางยังช่วยเจิงเย่วางแผนอีกด้วยว่าด้วยขอบเขตในเวลานี้ควรจะซื้อวัตถุวิเศษชิ้นใดถึงจะคุ้มค่ามากที่สุด ไม่ได้หวังจะเอาแต่ของดีหรือระดับขั้นสูงๆ อย่างเดียว แม้ว่าเจิงเย่จะเลือกจนตาลาย แล้วก็มักจะถูกใจอยู่หลายชิ้น แต่ก็ยังคงฟังความเห็นของหม่าตู่อี๋ แล้วก็เป็นเช่นนี้ หนึ่งคนหนึ่งผีจึงกลายมาเป็นสหายกันจริงๆ
เฉินผิงอันเห็นอยู่ในสายตา แล้วก็ยิ้มอยู่ในใจ
เนื่องจากเป็นร้านตระกูลเซียน ของสะสมล้ำค่าในโลกมนุษย์ที่กินฝุ่นมานานหลายสิบปีหรือเป็นร้อยปี หรือเป็นของที่เพิ่งซื้อมาในราคาถูก ส่วนใหญ่มักจะถือว่าเป็นของรางวัลที่ได้เพิ่มเติมมาจากการค้าขายด้วยเงินเทพเซียนก้อนหนึ่ง นี่ก็ไม่ต่างจากตอนที่เฉินผิงอันซื้อภาพวาดสาวงามและเลียนแบบชวีหวงมาจากร้านบนถนนวานรร่ำไห้ แล้วเจ้าของร้านมอบของชิ้นเล็กสามชิ้นให้เฉินผิงอันโดยไม่เก็บเหรียญทองแดงเพิ่มแม้แต่เหรียญเดียว ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ผีผู้เฒ่าก็จะต้องแสดงฝีไม้ลายมือ ผู้ฝึกตนที่ตัดขาดเรื่องทางโลก ต่อให้เป็นการค้าขายกับพวกพ่อค้า แต่ก็ไม่แน่เสมอไปที่จะมองออกว่าของสะสมโบราณเก่าแก่ในราชวงศ์โลกมนุษย์จะดีหรือเลว หรือควรมีมูลค่าเท่าไหร่ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมีอีกอาชีพเป็นการเก็บตกของเก่า
ออกจากภูเขาหูลั่วไปด้วยผลประโยชน์เต็มสองมือ
เฉินผิงอันยังคงอิงตามเส้นทางเดิน นั่นคือเดินเลียบไปบนเส้นเขตชายแดนของแคว้นสือหาว เดินผ่านเมืองหน้าด่านเมืองแล้วเมืองเล่า ช่วยทำตามความปรารถนาทั้งเล็กและใหญ่ให้วัตถุหยินภูตผีเหล่านั้นจนสำเร็จ
ทว่าช่วงเวลาระหว่างนี้เขาก็คอยจับตามองความเคลื่อนไหวของทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าข่าวเกี่ยวกับทะเลสาบซูเจี่ยนที่ซื้อมาในรูปแบบของรายงานเก่าๆ ราคาถูกปึกหนึ่งจากร้านผู้ฝึกตนบนภูเขาหูลั่ว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข่าวเล็กข่าวน้อยที่ไม่เจ็บไม่คัน
ในช่วงเสี่ยวหม่าน (หนึ่งในยี่สิบสี่เทศกาลของจีน เป็นช่วงที่ข้าวเต็มรวง) ที่ ‘รวงข้าวน้อยเอิบอิ่มเต็มที่’ ของเดือนสี่ หากอยู่ในเมืองเล็กบ้านเกิดของถ้ำสวรรค์หลีจู ในผืนนาเวลานี้ ยามที่ต้องแย่งน้ำจำเป็นต้องตั้งใจและระมัดระวังอย่างมาก ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อผลเก็บเกี่ยวของหนึ่งปี
ในช่วงเวลาที่เฉินผิงอันเตรียมจะกลับไปยังทะเลสาบซูเจี่ยนก็ได้รับรายงานข่าวตระกูลเซียนที่ค่อนข้างแพร่หลายในชายแดนเหนือของแคว้นสือหาวมาหนึ่งฉบับ ด้านบนบันทึกข่าวหลายข่าวที่ใหญ่เทียมฟ้า
เฉาผิงแม่ทัพหลักของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีอีกกองหนึ่ง รวมไปถึงทหารของเขาที่ใจกล้าอย่างถึงที่สุดยอมเสี่ยงอันตรายแบ่งทหารออกเป็นสามทาง ทิ้งไว้แค่กองบัญชาการกลางให้อยู่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่แห่งเดิมเพื่อคอยคุมเชิงกับทัพใหญ่ชายแดนของราชวงศ์จูอิ๋งเท่านั้น ส่วนกองทัพม้าสองกองที่เหลือก็พากันไปโจมตีแคว้นใต้อาณัติราชวงศ์จูอิ๋งได้ติดต่อกันสองแห่ง แน่นอนว่าไม่ได้คิดจะฮุบกลืน แค่ต้องการทำลายพลังการต่อสู้ของแคว้นใต้อาณัติทั้งสองที่สามารถโยกย้ายกำลังพลได้อย่างอิสระให้สลายไปอย่างสิ้นเชิง ทหารม้าจำนวนมากจึงจำต้องร่นอาณาเขตเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อาศัยเมืองใหญ่กำแพงสูงเป็นฐานที่ตั้งของตัวเอง เฝ้าปกปักษ์พิทักษ์พื้นที่หนึ่ง นี่จึงทำให้กองทัพม้าเหล็กใต้บัญชาการณ์ของเฉาผิงยิ่งมีอิสระมากขึ้น
ชาวบ้านลี้ภัยของสองแคว้นพากันกรูเข้ามายังแถบชายแดนของราชวงศ์จูอิ๋ง ราชสำนักของแคว้นใต้อาณัติคอยส่งทูตไปยังเมืองหลวงราชวงศ์จูอิ๋งอย่างต่อเนื่อง แต่ละคนร้องไห้พร่ำเรียกหาบิดามารดา โขกหัวจนเลือดไหลนองเป็นสาย คร่ำครวญหวนไห้อย่างน่าสงสาร ขอร้องให้กองทัพใหญ่จูอิ๋งช่วยชาวบ้านให้หลุดพ้นจากหลุมเพลิง ตัดสินใจโจมตีเปิดศึกตัดสินแพ้ชนะกับคนเถื่อนต้าหลีนอกกำแพงเมืองอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้แม่ทัพใหญ่ที่เฝ้าพิทักษ์ชายแดนจูอิ๋งซึ่งคอยคุมเชิงอยู่กับเฉาผิงจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถูกด่าประณามว่าขี้ขลาดที่จะสู้รบ เรื่องนี้เล่าลือกันไปทั่วราชวงศ์จูอิ๋ง อีกทั้งยังมีคำกล่าวหาว่าคนผู้นี้แอบสมคบคิดกับต้าหลีที่ถูกนำมาถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนดุเดือด ในราชสำนักของแคว้นจูอิ๋งจึงแบ่งออกเป็นสองฝ่ายใหญ่ บุ๋นบู๊ปะปนกัน บนภูเขาล่างภูเขาก็วุ่นวาย ในท้องพระโรงเหล่าขุนนางทะเลาะกันจนฮ่องเต้จูอิ๋งแสดงอาการกริ้วโกรธอยู่หลายครั้ง ถึงขั้นสะบัดชายแขนเสื้อ บอกให้เลิกประชุมแล้วไว้ค่อยปรึกษากันคราวหน้า
หากจะบอกว่านี่เป็นเพียงเรื่องใหญ่ในโลกมนุษย์
ถ้าเช่นนั้นช่วงนี้ที่พอเข้าหน้าร้อนก็เกิดเรื่องใหญ่บนภูเขาที่น่าตะลึงพรึงเพริดเรื่องหนึ่ง
เว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนศาลลมหิมะไปเจอกับผู้ฝึกตนใหญ่ต่างทวีปที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ในภาคกลางแจกันสมบัติทวีปชั่วคราวอย่างเซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีป
หลังการต่อสู้ครั้งหนึ่งผ่านไป เว่ยจิ้นไปจากแจกันสมบัติทวีป ขี่กระบี่ไปยังภูเขาห้อยหัวเพียงลำพัง
ศึกบนยอดเขาที่มีผู้ชมศึกแค่ไม่กี่คนครั้งนั้น ผลแพ้ชนะไม่มีปรากฏ แต่ในเมื่อเซี่ยสือได้อยู่ต่อในแจกันสมบัติทวีป นี่ก็หมายความว่าเทียนจวินลัทธิเต๋าที่สร้างความโกรธแค้นให้แก่ผู้คนในแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ต้องไม่ได้พ่ายแพ้อย่างแน่นอน
แต่ต่อให้เว่ยจิ้นไม่สามารถเอาชนะเซี่ยสือได้ด้วยกระบี่เดียว ผู้ฝึกตนในแจกันสมบัติทวีปก็ยังไม่มีคำตำหนิต่อเซียนกระบี่พสุธาที่เพิ่งเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนผู้นั้นแม้แต่น้อย มีแต่จะรู้สึกเป็นเกียรติที่เป็นผู้ฝึกตนในทวีปเดียวกันกับเขา โดยพาะอย่างยิ่งพวกผู้ฝึกกระบี่ของแจกันสมบัติทวีปที่ยิ่งภาคภูมิใจอย่างถึงที่สุด
นี่ก็คือเรื่องใหญ่บนภูเขาที่คนทั้งทวีปให้ความสนใจ
และหนึ่งในนั้นยังมีเรื่องบนภูเขาอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นที่จับตามองของคนในภาคกลางแจกันสมบัติทวีป
ผู้ฝึกตนจากภูเขาเจินอู่คนหนึ่งที่ชื่อว่าหม่าขู่เสวียน อายุไม่ถึงยี่สิบปี เพิ่งจะฝึกตนได้แค่ไม่กี่ปีกลับสามารถสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองสองคนจากศึกตัดสินเป็นตายสองครั้งที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน ว่ากันว่านี่ยังเป็นเพราะหม่าขู่เสวียนจงใจเก็บงำความสามารถก้นกรุของตัวเองเอาไว้ด้วย สำหรับเรื่องนี้ราชวงศ์จูอิ๋งเลือกที่จะเงียบงัน เพราะศึกใหญ่สองครั้งนั้นมีทั้งผู้ปกป้องมรรคาบนภูเขาเจินอู่ของหม่าขู่เสวียนคอยดูอยู่ข้างกายเขา แล้วก็มีหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์จูอิ๋งคอยจับตามองเช่นกัน การลงมือของหม่าขู่เสวียนไม่มีปัญหาใดๆ ตรงไปตรงมา เปิดเผยโจ่งแจ้ง
ทันใดนั้นนามของหม่าขู่เสวียนก็เลื่องระบือไปทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีป
หลังช่วงเสี่ยวหม่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเข้าสู่ช่วงเหมยอวี่ (ฝนที่ตกเมื่อต้นเหมยเป็นสีเหลือง หนึ่งในยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาลของจีน ช่วงประมาณเดือนหกเดือนเจ็ด) เมื่อไหร่ อากาศจะอับชื้นเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือคนธรรมดาก็ล้วนต้องระมัดระวัง ต้องบำรุงพลังหยางปราณที่เที่ยงแท้ให้ดีเพื่อจะได้นำมาต้านทานความชื้นซึ่งเป็นที่มาของปราณชั่วร้าย
ตอนที่ม้าสามตัวของเฉินผิงอันเดินทางขึ้นเหนือได้ใช้เส้นทางทางทิศตะวันออกของเมืองหลวงแคว้นสือหาว ตอนที่เดินทางลงใต้กลับเปลี่ยนเส้นทางใหม่
วันนี้ในขณะที่ฝนตกกระหน่ำ เฉินผิงอันสามคนจูงม้าเข้าไปพักในศาลาผุพังแห่งหนึ่ง หัวใจของเฉินผิงอันพลันบีบรัดตัว กล่องไม้ในชายแขนเสื้อร้อนลวกเล็กน้อย
กระบี่บินส่งข่าวเล่มหนึ่งที่ไม่ควรจะปรากฏตัวในเวลานี้ที่สุด กลับถูกส่งมา
ในเมื่อหลิวจื้อเม่าถูกจับขังอยู่ในคุกน้ำก็ไม่ทางมีปัญญาควบคุมเนินกระบี่ขนาดเล็กของตัวเองให้ส่งข่าวกระบี่บินมาให้ตนภายใต้เปลือกตาของหลิวเหล่าเฉิงและผู้ฝึกตนประหลาดกลุ่มนั้นได้
เฉินผิงอันถึงขั้นคิดว่าจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นมัน
เพียงแต่ว่าหลังจากชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้ว เขาก็ยังรับเอากระบี่บินส่งข่าวที่เป็นของหลิวจื้อเม่าจริงๆ เล่มนั้นมาอย่างระมัดระวังแล้วเปิดตราผนึกออก
ในจดหมายลับมีแค่สามประโยค
‘เดินทางกลับทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนี้ เจ้าต้องระวังแล้ว’
‘คำเตือนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเฉินผิงอัน แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้เรียบร้อยแล้วของพวกเรา แต่เป็นเพราะทนเห็นสีหน้าคนบางคนไม่ได้ เพื่อแสดงความจริงใจจึงยืมใช้กระบี่บินของหลิวจื้อเม่า”
‘เก็บกระบี่บินไว้ ไม่ต้องตอบกลับ’
—–