กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 453.3 ขี่ม้าลงใต้เพียงลำพัง
หลังจากเก็บกล่องไม้ลงไปแล้ว เฉินผิงอันก็จมสู่ภวังค์การครุ่นคิด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือฝีมือของหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว แต่เหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้ นี่คู่ควรแก่การขบคิดอย่างจริงจังแล้ว
‘คำเตือน’ ที่หลิวเหล่าเฉิงบอกอย่างตรงไปตรงมานี้ต้องไม่ด้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างที่มองเห็นภายนอกแน่นอน นี่ไม่จำเป็นต้องให้หลิวเหล่าเฉิงมาบอกเฉินผิงอันเลยสักนิด เฉินผิงอันไม่ได้หูหนวกตาบอด อีกทั้งยังมีจางเย่มาส่งข่าวให้เขาด้วยตัวเอง ด้วยความละเอียดรอบคอบและจิตใจที่ทะเยอทะยานของหลิวเหล่าเฉิงแล้ว เขาไม่มีทางทำเรื่องที่เกินความจำเป็นหรือต้องเปลืองน้ำลายโดยใช่เหตุเช่นนี้แน่ ถ้าอย่างนั้นคำว่าคำเตือนและคำว่าระวังของหลิวเหล่าเฉิงก็จะต้องเป็นจุดที่ละเอียดอ่อนยิ่งกว่านั้น มีความเป็นไปได้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับเขาเฉินผิงอันโดยตรง
เฉินผิงอันยืนอยู่ริมขอบของศาลาหลังเล็กที่มีน้ำรั่วลงมาอย่างต่อเนื่อง มองไปยังม่านฝนหนาหนักมืดทะมึนด้านนอก ตอนนี้มีผลลัพธ์อีกอย่างหนึ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่ารอเขาอยู่
การที่จางเย่อาศัยช่องทางลับของเกาะชิงเสียที่เป็นดั่งกระต่ายเจ้าเล่ห์มีโพรงสามโพรงหลบหนีออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยน ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่ในการคาดการณ์และแผนการของคนเบื้องหลังบางคนอยู่แล้ว
แล้วทำไมถึงไม่ได้ลงมือกับกู้ช่านและจวนชุนถิงโดยตรง ไม่เลือกวิธีการที่ง่ายดายและประหยัดเวลามากกว่า อีกทั้งยังเห็นผลทันตาเพื่อบีบให้ตนต้องรีบร้อนกลับไปยังทะเลสาบซูเจี่ยน แล้วสังหารตนทิ้งก็สิ้นเรื่อง
เฉินผิงอันถอนหายใจ พึมพำเบาๆ ว่า “เป็นการช่วงชิงบนมหามรรคาอีกแล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ฝีมือของสำนักที่มีอักษรคำว่าจงในชื่อของแจกันสมบัติทวีปแล้ว สำนักใบถงของตู้เม่า? หรือว่า ภูเขาไท่ผิง? ไม่ใช่แน่นอน สำนักใหญ่แห่งแรกที่ต้องผ่านทางหากไปเยือนใบถงทวีปอย่างสำนักฝูจี? แต่ตอนนั้นข้ากับลู่ไถก็แค่เดินทางผ่านเท่านั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องพัวพันอะไรกับพวกเขาแม้แต่น้อย การช่วงชิงบนมหามรรคาก็มีการแบ่งสูงต่ำ แคบกว้าง สามารถไล่ตามมาถึงแจกันสมบัติทวีปอย่างไม่ยอมเลิกรา อีกฝ่ายต้องเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนหนึ่งแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะเป็นสำนักฝูจีจึงมีไม่มาก”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วแน่น “แต่หากจะบอกว่าเป็นเจ้าอารามผู้เฒ่าที่มีวิชาอภินิหารสูงส่งผู้นั้นก็ไม่เหมือนอีกเหมือนกัน เมื่ออยู่กับเขา มหามรรคาก็ไม่ควรจะเล็กขนาดนี้”
เฉินผิงอันพลันหันหน้าไปมองด้านหลัง “เจิงเย่ หม่าตู่อี๋ พวกเจ้าไม่ต้องกลับทะเลสาบซูเจี่ยนไปพร้อมกับข้า แต่ไปยังชายแดนที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างแคว้นสือหาวกับแคว้นเหมยโย่ว รอข้าที่ด่านหลิวเซี่ยของที่นั่น”
เจิงเย่ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกหม่าตู่อี๋กระตุกชายแขนเสื้อห้ามไว้
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมองม่านฝนต่อ
พวกเขาจากลากันที่ศาลาริมทาง
แล้วเฉินผิงอันก็ขี่ม้าลงใต้ไปเพียงลำพัง
เปลี่ยนจากชุดผ้าฝ้ายสีเขียวหนาหนักมาเป็นชุดสีเขียวบางๆ พอดีตัว
เฉินผิงอันมาถึงเมืองลวี่ถงซึ่งอยู่ในอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยนได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
ถึงอย่างไรเมืองลวี่ถงก็เป็นกองกำลังริมชายแดนของทะเลสาบซูเจี่ยน คลื่นใต้น้ำ คลื่นมรสุมที่เกิดขึ้นในทะเลสาบซูเจี่ยน รวมไปถึงคำพูดและการกระทำที่สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้แก่ผู้คนของซูเกาซาน สำหรับชาวบ้านในพื้นที่ของเมืองลวี่ถงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่อาจครอบครองเกาะบุกเบิกก่อตั้งสำนักเป็นของตัวเอง หรือพวกชาวบ้านที่ทำงานหาเลี้ยงชีพไปวันๆ หลายครั้งที่เหตุการณ์ยิ่งใหญ่โตเท่าไหร่ พวกเขากลับอยู่กันอย่างสงบสุขมากเทานั้น เพราะภายใต้สถานการณ์ใหญ่ หากไม่ยอมรับชะตากรรม แล้วยังจะทำอย่างไรได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนธรรมดาที่เกิดและเติบโตมาในท้องถิ่น โลกภายนอกวุ่นวายขนาดนั้น ต่อให้มีสมบัติสะสมไว้เล็กน้อย แต่จะย้ายไปอยู่ที่ไหนได้ กล้าหรือ?
เมืองลวี่ถงมีอาหารอร่อยมากมาย
เฉินผิงอันจึงแวะร้านขายซาลาเปาร้านหนึ่ง มีเรื่องน่ายินดีเล็กๆ เกิดขึ้น เขาซื้อซาลาเปามาสองลูก กินแล้วอร่อยก็เลยซื้อมาอีกสองลูก นานมากแล้วที่เฉินผิงอันไม่เคยกินอิ่มถึงเก้าส่วนเช่นนี้
ร้านนี้เป็นร้านเปิดใหม่ เถ้าแก่ยังหนุ่มอยู่มาก เป็นคนหนุ่มที่เพิ่งจะพ้นวัยเด็กหนุ่มมา
กิจการก็นับว่าไม่เลว
ระหว่างทางที่เฉินผิงอันอ้อมจากนครลวี่ถงไปยังนครน้ำบ่อของทะเลสาบซูเจี่ยนก็ได้ยินข่าวบางอย่างมาเพิ่ม เมื่อเทียบกับตอนอยู่ในแคว้นสือหาวที่เกิดสงครามวุ่นวายไม่หยุดหย่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่าข่าวเล็กๆ ของที่นี่ขยับเข้าใกล้ความจริงมากกว่า
ตรงท่าเรือที่คุ้นเคยของนครน้ำบ่อ เวลาผ่านไปเกินครึ่งปีแล้ว แต่เรือข้ามฝากลำนั้นก็ยังถูกผูกอยู่ริมฝั่งอย่างสงบ
ต่อให้หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสียจะสูญเสียอำนาจไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ทว่าสถานะผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสียก็ยังถือว่าพอมีน้ำหนักอยู่บ้าง
ระหว่างที่เดินทางมา เฉินผิงอันได้ทิ้งม้าตัวนั้นไว้ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง และยังทิ้งเงินก้อนหนึ่งให้ทางโรงเตี๊ยมช่วยเลี้ยงม้าแทนให้
ยามที่กลุ่มดาวกระบวยใหญ่เรียงตัวเป็นรูปคล้ายหูกาเหล้า นั่นก็คือช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด ตลอดทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนมีแต่ไอร้อนลอยระอุ ราวกับกลายมาเป็นเตานึ่งขนาดใหญ่
ยากที่จะจินตนาการได้ว่าตอนที่ออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน สถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นดั่งม้วนภาพวาดขุนเขาและสายน้ำที่มองไปทางใดก็เห็นแต่หิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา
เฉินผิงอันถ่อเรือกลับไปยังเกาะชิงเสียเพียงลำพัง
หลังจากจอดเรือริมฝั่งแล้วก็เดินข้ามประตูภูเขา ผู้ฝึกตนเฒ่าที่อยู่ตรงเรือนหน้าประตูยังคงไม่มีชีวิตกะจิตกะใจเช่นเดิม พอเห็นนักบัญชีที่ย้อนกลับมายังเกาะชิงเสีย ใบหน้าก็ยังคงมีรอยยิ้ม
ราวกับว่าการหายไปของหลิวจื้อเม่าและจวนเหิงโปที่กลายเป็นซากปรักหักพังแห่งนั้น รวมไปถึงทะเลสาบซูเจี่ยนที่แม่ทัพหลักแคว้นต้าหลีวางอำนาจบารมีเข้าข่ม ล้วนไม่สามารถส่งผลกระทบใดๆ ต่อชีวิตอันเรื่อยเปื่อยผ่อนคลายของผู้ฝึกตนเฒ่าคนนี้ได้
เฉินผิงอันทักทายผู้ฝึกตนเฒ่าคนเฝ้าประตู คุยเล่นกันอยู่สองสามคำก็เดินไปเปิดประตูเรือน ไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเดิม ก็แค่มีฝุ่นเกาะเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย เพราะก่อนที่เขาจะออกไปจากชิงเสียได้เคยบอกไว้ว่าไม่ต้องให้คนมาทำความสะอาดที่นี่
เฉินผิงอันไปเยือนจวนเหิงโปที่เหลือแต่ซากจนถึงขั้นไม่มีความเป็นไปได้ที่จะสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เขายืนอยู่ริมขอบซากรกร้าง เงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้หมุนตัวเดินไปยังจวนชุนถิงที่ยังคงความโอ่อ่าหรูหราดังเดิม
ตอนนี้เกาะชิงเสียเป็นฝูงมังกรที่ไร้หัว จางเย่ที่พอจะประคับประคองสถานการณ์ได้กลับหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ทว่าเถียนหูจวินลูกศิษย์ใหญ่ของหลิวจื้อเม่าบนเกาะซู่หลินที่เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองในพื้นที่คนหนึ่งกลับเลือกจะปิดด่านในช่วงเวลานี้ บวกกับที่กู้ช่านสูญเสียหนีชิวน้อยตัวนั้นไป พวกผู้ถวายงานใหญ่บนเกาะใต้อาณัติอย่างอวี๋กุยก็ได้แอบไปมาหาสู่กันอย่างลับๆ ระหว่างบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลิวจื้อเม่า รวมไปถึงระหว่างผู้ถวายงานที่อยู่บนเกาะใต้อาณัติด้วยกัน ต่างคนต่างก็มีแผนการเป็นของตัวเอง
เชื่อว่าเมื่อไม่มีจวนเหิงโปและหลิวจื้อเม่าที่คอยกดหัวอยู่อีกแล้ว แม้ภายนอกช่วงที่ผ่านมานี้มองดูเหมือนจวนชุนถิง จะมีหน้ามีตา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับต้องทุกข์ทรมานอยู่มาก
ฟ้าถล่มลงมาแล้ว คนที่มีหมวกสูงก็ต้องต้านรับไว้ ตอนนี้หลิวจื้อเม่าเป็นแบบนี้ไปแล้ว อันดับต่อไปจะเป็นคราวของใคร?
ต่อให้คนตลอดทั้งจวนชุนถิงจะไม่เข้าใจสถานการณ์ใหญ่แค่ไหน ในเวลานี้ก็ต้องรู้กระจ่างชัดกันดีอยู่แก่ใจแล้ว
มารดาของกู้ช่านได้พาสาวใช้ผู้รู้ใจสองคนที่อายุน้อยและหน้าตางดงามออกมายืนรอที่หน้าประตูใหญ่แล้ว
การรายงานข่าวเล็กน้อยแค่นี้ จวนชุนถิงยังพอมีความสามารถอยู่บ้าง
สตรีแต่งงานแล้วเดินเร็วๆ เข้าหาเฉินผิงอัน เอ่ยเสียงเบาว่า “ผิงอัน เหตุใดยิ่งนานวันเจ้าก็ยิ่งผ่ายผอมลงเรื่อยๆ แล้ว”
เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ แต่ก็ยังยิ้มกล่าวว่า “เตร็ดเตร่ไปทั่วแคว้นสือหาวอยู่ตลอดเวลา มักจะต้องนอนกลางดินกินกลางทรายบ่อยๆ แต่ก็ชินแล้ว อันที่จริงก็ยังสบายดีอยู่ กู้ช่านล่ะ?”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มเอ่ย “หลังจากเจ้าไปจากเกาะชิงเสีย เขาก็ชอบไปเดินเล่นบนเกาะชิงเสียเพียงลำพัง เวลานี้ไม่รู้ไปเที่ยวเล่นอยู่ที่ไหนแล้ว สุนัขไม่เปลี่ยนสันดานกินอาจม เขานิสัยอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่ถึงเวลากินข้าวก็ต้องให้ข้าไปตะโกนเรียกที่หน้าประตูเขาถึงจะกลับมา แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่แล้ว ต่อให้ตะโกนเสียงดังแค่ไหน ช่านช่านออกจากบ้านไปไกลหน่อยก็ไม่ได้ยินแล้ว ตอนแรกอาก็ยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอเขาอยู่ตรงนี้ หลังจากคุยธุระจบแล้ว ข้าจะต้องออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนทันที”
สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง “รีบร้อนขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
สตรีแต่งงานแล้วจึงยืนคุยเล่นเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน ส่วนใหญ่ล้วนคุยกันเรื่องสัพเพเหระในตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาของบ้านเกิด เฉินผิงอันเองก็เล่าเรื่องของหม่าขู่เสวียนที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้ให้นางฟัง
สตรีแต่งงานแล้วทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง บอกว่าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าเด็กโง่ที่ปีนั้นถูกคนรังแกอย่างน่าสังเวช ทุกวันนี้จะได้ดิบได้ดีถึงเพียงนี้ น่าเสียดายก็แต่ยายหม่าที่ปากคอเราะร้ายที่สุดคนนั้น ไม่ทันได้เห็นความเจริญของหลานชายตัวเอง ไม่มีชะตาได้เสพสุข กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วก็คล้ายจะสะเทือนใจตามไปด้วย จึงหันหน้าไปใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหัวตาของตัวเอง
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา กู้ช่านก็เดินเอื่อยเฉื่อยกลับมาถึงจวนชุนถิง
พอเห็นมารดาและเฉินผิงอันที่รออยู่หน้าประตู กู้ช่านที่ตัวสูงสมกับเป็นเด็กหนุ่มของทางเหนือ มารร้ายแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่ง่ายจะทำให้คนหลงลืมอายุที่แท้จริงก็ยังคงไม่ได้เพิ่มความเร็วฝีเท้าให้มากขึ้น
พอเดินมาถึงหน้าประตู กู้ช่านก็เอ่ยทักทายสตรีแต่งงานแล้ว จากนั้นจึงหันมาจ้องมองเฉินผิงอัน ถามเบาๆ ว่า “กลับมาแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะชิงเสียแห่งนี้ ข้ารู้แล้ว จึงมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดกับเจ้า”
สตรีแต่งงานแล้วจึงจากไปอย่างรู้กาลเทศะ
เฉินผิงอันพากู้ช่านเดินไปยังซากปรักของจวนเหิงโปพลางเอ่ยเนิบช้าว่า “ยิ่งเหตุการณ์วุ่นวาย ยิ่งไม่ควรร้อนใจ ความผิดพลาดที่เกิดจากความยุ่งวุ่นวาย เป็นสิ่งที่ไม่ควรมีมากที่สุด”
กู้ช่านพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันถามว่า “หยวนหยวนแห่งเกาะหวงหลีเลือกสวามิภักดิ์ต่อต้าหลีแล้ว รู้หรือไม่?”
กู้ช่านยังคงพยักหน้า “ได้ยินมาบ้างแล้ว ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงใดที่ลมไม่ลอดผ่าน คราวก่อนหลังจากได้พบกับเจ้า ลวี่ไช่ซางก็ไม่เคยมาแม้แต่ครั้งเดียว กลับเป็นหันจิ้งหลิงกับหวงเฮ้อที่พอซูเกาซานปรากฏตัวและเกิดเรื่องกับหลิวจื้อเม่าแล้วได้มาเยือนเกาะชิงเสียโดยเฉพาะ หวงเฮ้อยังคิดจะเข้าไปดูในห้องของเจ้า แต่ข้าปฏิเสธ ตอนนั้นสีหน้าของเขาดูไม่ดีเท่าไหร่”
เฉินผิงอันหันมามองกู้ช่าน
กู้ช่านยิ้มกล่าว “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าตัวเองไม่ฉลาด แต่ก็คงไม่ได้โง่จนเกินไปกระมัง?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ไม่ต้องรู้สึกผิดหวังต่อคนอย่างหันจิ้งหลิงและหวงเฮ้อ เพราะนั่นแหละที่จะเรียกว่าโง่ ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องผิดหวังต่อลวี่ไช่ซางมากเกินไปนัก เพราะนั่นไม่ฉลาดมากพอ พวกเจ้าคือเพื่อนกันที่แท้จริง ในเมื่อเป็นเพื่อนกันก็ต้องลองเอาตัวไปอยู่ในมุมของเขา พิจารณาถึงสภาพการณ์ที่อีกฝ่ายต้องเผชิญให้มาก ลวี่ไช่ซางเองก็มีสำนักและหน้าที่รับผิดชอบของตน สหายที่แท้จริงต้องรู้จักให้อภัยกันและกัน เรื่องราวทางโลกซับซ้อน อย่าคาดหวังถึงความสมบูรณ์แบบและดีงามมากเกินไป หากมีย่อมดีที่สุด แต่หากไม่มีก็เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ ไม่แน่ว่าวันใดในอนาคตอาจจะได้เจอกับมิตรภาพจากสหายที่ดีที่สุดได้จริงๆ ถึงเวลานั้นก็ค่อยดื่มมันเหมือนเหล้าหมักกาหนึ่งให้เต็มคราบก็ยังไม่สาย”
กู้ช่านเงียบงันไปนาน ก่อนจะพูดว่า “เฉินผิงอัน ตอนนี้ข้ารับฟังหลักการและเหตุผลของเจ้าเข้าหูแล้ว แต่มันสายไปแล้วใช่ไหม”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่สาย”
กู้ช่านกล่าว “แต่ข้าก็ยังคงเป็นกู้ช่านคนนั้น จะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “ดีขึ้นมาหน่อยก็คือดีขึ้น หลักการเหตุผลมากขึ้นหน่อยก็คือมากขึ้น”
คนทั้งสองไม่เอ่ยอะไรกันอีก เพียงเดินต่อไปจนกระทั่งไปถึงที่ตั้งเก่าของจวนเหิงโปซึ่งตอนนี้กำแพงแตกพังเรือนถล่มล่มสลาย
เฉินผิงอันถาม “เจ้าอยากไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนพร้อมกับข้าหรือไม่ สุดท้ายยังต้องกลับมาอยู่ดี ก็เหมือนข้าคราวนี้”
กู้ช่านถามกลับ “แล้วท่านแม่ข้าจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบ
เขาแค่ให้ทางเลือกเท่านั้น
กู้ช่านจึงส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีต่อข้า แต่ข้าไม่ไป หากข้าไปแล้วก็คงไม่วางใจ ต่อให้ข้าอยู่ที่นี่แล้วจะไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย แต่หากข้าจากไปทั้งอย่างนี้ ข้าคงรู้สึกผิด ทำผิดต่อเจ้าไปแล้ว ยังทำผิดต่อหนีชิวน้อย ข้าไม่อาจทำผิดต่อท่านแม่ข้าได้อีก ข้ายังคงไม่เสียใจภายหลัง เฉินผิงอัน เจ้าอยากด่าข้าก็ด่าเถอะ”
เฉินผิงอันไม่ได้ยืนกรานในความคิดของตัวเอง ยิ่งไม่ได้ด่ากู้ช่าน
กู้ช่านรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันสอดสองมือประสานกันไว้ในชายแขนเสื้อ มองกู้ช่านที่มีใบหน้ากังขาแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เฉินผิงอันเคยด่าเจ้าเด็กขี้มูกยืดของตรอกหนีผิงหรือ?”
กู้ช่านยิ้มได้ทันใด
แล้วก็ร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ที่แท้หลักการเหตุผลของเฉินผิงอันก็เรียบง่ายเพียงเท่านี้เอง
—–