กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 457.1 ทะเลสาบซูเจี่ยนที่น้ำลดหินผุด
ระหว่างที่เดินทางกลับขึ้นเหนือ
เฉินผิงอันหยุดม้าบนยอดเขาสูงไม่รู้ชื่อแห่งหนึ่ง เพราะเขาคิดว่าหลังจากนี้จะหาท่าเรือตระกูลเซียนในบริเวณใกล้เคียงแล้วโดยสารเรือข้ามฝากกลับไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี ฉวยโอกาสสุดท้ายที่พระอาทิตย์ส่องแสงแรงจ้านี้นำแผ่นไม้ไผ่ที่นานแล้วไม่ได้เอาออกมานำมาตากแดด มีทั้งแผ่นไม้ไผ่ที่มาจากไม้ไผ่ลูกหลานของภูเขาชิงเสินที่นำมาปลูกบนภูเขาฉีตุน แล้วก็มีไม้ไผ่เขียวตามป่าเขาทั่วไปและไม้ไผ่สีม่วงที่มาจากเกาะแห่งนั้นบนทะเลสาบซูเจี่ยน
เทือกเขาในบริเวณใกล้เคียงสลับสล้าง ทว่าระหว่างภูเขาด้วยกันมีเส้นทางชาม้าโบราณ (The Tea Horse Roadหรือchamadao ซึ่งปัจจุบันเรียกโดยทั่วไปว่าถนนชาม้าโบราณหรือ chamagudao เป็นเครือข่าย เส้นทางคาราวานคดเคี้ยวผ่านภูเขาของมณฑลเสฉวน ยูนนานและทิเบตในจีนตะวันตกเฉียงใต้ เป็นเส้นทางการค้าชา บางครั้งเรียกอีกอย่างว่าเส้นทางสายไหมใต้หรือเส้นทางสายไหมตะวันตกเฉียงใต้) ที่ขบวนพ่อค้าใช้เดินทาง หลังจากเข้ามาในภูเขาแล้วก็ยังพอจะมองเห็นกลุ่มพ่อค้าที่กำลังเดินทางกันอย่างรีบเร่งได้ลางๆ
เฉินผิงอันจงใจเลือกทางเส้นเล็กที่แยกตัวออกไป เดินไปบนสันหลังเขาสองสามลี้ แล้วนำแผ่นไม้ไผ่มาตากบนยอดเขาแห่งนี้
พลิกกลับแผ่นไม้ไผ่ทั้งหมด เฉินผิงอันนั่งอยู่ด้านข้างอย่างเหม่อลอย
พอคิดถึงหนี้มากมายที่ติดค้างเอาไว้ก็ให้ปวดหัว
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก ปลอบใจตัวเองอย่างต่อเนื่องว่าเมื่อกลับไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียน ภายใต้ความช่วยเหลือจากเว่ยป้อ ตนก็จะกลายเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่แล้ว ก็ควรมีมาดสักหน่อย และการมีหนี้อยู่ภายนอกมากหน่อยจะนับเป็นอะไรได้
เฉินผิงอันลูบคลึงข้างแก้ม รู้สึกว่านี่คือเหตุผลที่ถูกต้องแล้ว ถึงอย่างไรเงินทองก็ยังเป็นทรัพย์สินนอกกาย วิญญูชนจะหาเงินที่สมควรได้มาเท่านั้น…แล้วเฉินผิงอันก็ตบแก้มตัวเองหนึ่งที คิดว่าตัวเองเป็นกุมารแจกทรัพย์จริงๆ หรือไร?
จากนั้นเฉินผิงอันก็หันหน้าไปมอง เห็นว่าผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่เจอกันระหว่างทางก่อนหน้านี้กำลังยืนหอบแฮ่กๆ อยู่ไกลๆ พอเห็นตนแล้วก็ราวกับกลัวว่าตัวเองจะมาเจอคนบ้า เลยเตรียมตัวจะหมุนกายเดินลงไปจากภูเขา
ตอนนั้นเฉินผิงอันขี่ม้าเดินผ่านข้างกายผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อและเด็กรับใช้ของเขามา ดูจากฝีเท้าและลมหายใจแล้วล้วนเป็นคนธรรมดาทั้งคู่ แน่นอนว่าหากอีกฝ่ายคือยอดฝีมือที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำ เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะไปสืบเสาะตรวจสอบ
เด็กหนุ่มที่เป็นเด็กรับใช้ซึ่งแบกหาบไว้บนไหล่ไม่ได้ติดตามผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อมาด้วย บางทีอาจเป็นเพราะบัณฑิตผู้เฒ่านึกอยากจะขึ้นมาประพันธ์ผลงานบนยอดเขาสูง หลังจากระบายความในใจเสร็จสิ้นแล้วก็จะกลับไป แล้วออกเดินทางต่ออีกครั้ง
แน่นอนว่าก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ที่เก็บงำตัวตนอย่างลึกล้ำ ภายนอกห่มกายด้วยชุดของชาวลัทธิขงจื๊อ เห็นเขาเฉินผิงอันเป็นแกะตัวอ้วน คิดจะมาฆ่าคนเพื่อปล้นทรัพย์?
เฉินผิงอันไม่สนใจ
ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อจะเถียงกับตัวเองอยู่ในใจพักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังคงตัดสินใจมาหยุดยืนอยู่ห่างจากเฉินผิงอันไปสิบกว่าก้าว ค้อมกายมองแผ่นไม้ไผ่เหล่านั้น ดูอยู่พักหนึ่งก็ทำท่าเหมือนยกภูเขาออกจากอก หันหน้ามายิ้มถาม “เจ้าหนุ่ม เจ้าเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อหรือ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถือว่าใช่กระมัง อยากเดินทางให้มากสักหน่อย”
“อืม ไม่เลวๆ เดินทางไกลพันลี้ อ่านตำราหมื่นเล่ม เด็กรุ่นหลังทุกวันนี้ ไม่ว่าจะซื้อหนังสือหรืออ่านหนังสือ ยิ่งนานวันก็ยิ่งพยายามหาทางลัด ยิ่งนานวันก็ยิ่งทนกับความยากลำบากไม่ไหวขึ้นทุกที”
ชายชราพยักหน้าก่อน จากนั้นจึงถามว่า “คงไม่ถือสากระมังหากข้าจะขอเดินดูแผ่นไม้ไผ่ที่มีค่าเหล่านี้ของเจ้าสักหน่อย?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านผู้เฒ่าเชิญดูได้ตามสบาย”
แต่ทว่าไม่นานเฉินผิงอันก็ต้องเสียใจภายหลัง ผู้เฒ่าไม่เพียงแต่ดูแผ่นไม้ไผ่อย่างเดียว ยังคอยหยิบคอยพลิก แล้วก็ชอบถามโน่นถามนี่ อีกทั้งคำถามของเขายังมากมายอย่างถึงที่สุด เช่นว่าคำพูดประโยคนี้เอามาจากที่ใด บางครั้งพอเฉินผิงอันบอกชื่อหนังสือและชื่อเจ้าของประโยคออกไป ผู้เฒ่าก็ยิ่งเกิดความสนใจ ถามเฉินผิงอันว่ารู้รากฐานและจุดประสงค์เป้าหมายของความรู้คนผู้นั้นหรือไม่ เฉินผิงอันตอบคำถามอย่างค่อนข้างจะกินแรง คำพูดคำจาของผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อไม่ค่อยจะเกรงใจกันสักเท่าไหร่ หากเป็นความรู้บางอย่างที่เฉินผิงอันไม่คุ้นเคย แต่ผู้เฒ่าเข้าใจอย่างกระจ่างชัด ฝ่ายหลังก็จะต้องตำหนิสั่งสอนที่เฉินผิงอันรู้อย่างงูๆ ปลาๆ ไปคำรบหนึ่ง นี่ทำให้เฉินผิงอันได้แต่พยักหน้ารับรัวๆ ยอมรับคำวิจารณ์จากผู้เฒ่าอย่างคนร้อนตัว
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อไม่กลัวปัญหาเลยจริงๆ เด็กหนุ่มที่เป็นเด็กรับใช้ของเขาตะโกนเรียกอยู่ไกลๆ สองรอบ ผู้เฒ่าล้วนปฏิเสธไปทุกรอบ สุดท้ายเด็กรับใช้จึงได้แต่วางหาบลง นั่งทอดถอนใจอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
เวลาหนึ่งชั่วยามกว่า ในที่สุดผู้เฒ่าก็อ่านแผ่นไม้ไผ่จนครบหมด แล้วก็ถามคำถามทุกอย่างจนหมดสิ้น
ผู้เฒ่าพลันถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าหนุ่ม ข้าชอบแผ่นไม้ไผ่ยี่สิบสี่แผ่นในนั้นมากเป็นพิเศษ เจ้าจะตัดใจมอบของรักให้ข้าได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้”
เขาไม่สนิทกับอาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้สักหน่อย
เฉินผิงอันเพิ่งจะตัดสินใจเองว่า ช่วงนี้ต่อให้ตายก็จะไม่เป็นกุมารแจกทรัพย์อีกแล้ว
ผู้เฒ่าเริ่มร้อนใจ “เจ้าคนนี้ อ่านเหตุผลหลักการจากตำรามามากมายถึงเพียงนั้น เหตุใดถึงยังขี้เหนียวขนาดนี้ บัณฑิตใต้หล้าล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน แค่ยกไม้ไผ่ไม่กี่แผ่นให้ข้าจะนับเป็นอะไรได้”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ไม่บังเอิญเลย ท่านผู้เฒ่าคือบัณฑิตที่มีความรู้ลึกล้ำ แต่ข้าในตอนนี้ยังไม่ถือว่าเป็นบัณฑิต อีกอย่าง อะไรที่ตัวเองไม่ชอบก็จงอย่าไปทำกับคนอื่น นี่ก็คือหลักการเหตุผลในตำราเหมือนกัน ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าอย่าได้ทำให้คนอื่นลำบากใจเลย ไม่อย่างนั้นจะไม่ค่อยดีงามสักเท่าไหร่”
ผู้เฒ่ายื่นนิ้วชี้หน้าเฉินผิงอัน “เจ้าตัวดี อ่านตำราดันเลือกอ่านแต่หลักการเหตุผลบิดๆ เบี้ยวๆ ช่างเถิดๆ ในเมื่อเจ้าถึงขั้นเอาหลักการยิ่งใหญ่อย่าง ‘อะไรที่ตัวเองไม่ชอบก็จงอย่าไปทำกับคนอื่น’ นี้มาข่มทับข้า ข้าก็ได้แต่ฝืนใจเอ่ยประโยคว่า ‘วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของคนอื่น’ มาใช้ปลอบใจตัวเองเท่านั้น”
เฉินผิงอันเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด
เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่ายังไม่ถอดใจ พอเห็นว่าเฉินผิงอันไม่หลงกลแม้แต่น้อย ก็ได้แต่ทำหน้าหนาถามอีกว่า “ไม่มอบให้ข้าจริงๆ หรือ? หากแผ่นไม้ไผ่ยี่สิบสี่แผ่นมากเกินไป ถ้าอย่างนั้นก็ลดครึ่งหนึ่งเหลือสิบสองแผ่นก็ได้”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ท่านผู้เฒ่า ข้ามอบให้ท่านไม่ได้จริงๆ แผ่นไม้ไผ่และเนื้อหาที่บันทึกไว้บนนั้น สำหรับข้าแล้วมีความหมายที่ไม่ธรรมดา จะต้องนำกลับไปเก็บรักษาไว้ที่บ้านให้ดีๆ แผ่นไม้ไผ่ทุกแผ่นล้วนเป็นสภาพจิตใจของข้าในแต่ละช่วงเวลาและแต่ละสถานที่ ทุกครั้งที่เอาออกมาตากแดดก็ล้วนสามารถทบทวนตัวเองได้หนึ่งครั้ง”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างขุ่นเคือง “นั่นก็หมายความว่าเจ้าเอาแต่ท่องจำอย่างเดียว หากเจ้าอ่านมันเข้าท้องไปจริงๆ ไหนเลยจะยังต้องคอยพลิกเปิดไม้ไผ่ออกมาดู”
เฉินผิงอันขำคำพูดของอีกฝ่าย มารดาเจ้าเถอะ หลักการเหตุผลของตาเฒ่าอย่างเจ้าช่างมีมาไม่ขาดสายจริงๆ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ไม่ใช่เพราะว่าอยากได้แผ่นไม้ไผ่ยี่สิบสี่แผ่นเข้าไปอยู่ในกระเป๋าตัวเองโดยไม่ต้องเสียเงินหรือไร? เฉินผิงอันสังเกตเห็นตั้งนานแล้วว่า ในบรรดาแผ่นไม้ไผ่ยี่สิบสี่ยี่สิบห้าแผ่นที่อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ชื่นชอบจนวางไม่ลง มีเกินครึ่งที่เป็นไผ่เขียวภูเขาชิงเสินและไม้ไผ่ม่วงตระกูลเซียนของเกาะไผ่ม่วง หากเฉินผิงอันพยักหน้าตกลง ก็จะต้องถูกอาจารย์ผู้เฒ่าเอาแผ่นไม้ไผ่ที่มีปราณวิญญาณล้อมเวียนวนไปหมด หากอีกฝ่ายชอบเนื้อหาที่อยู่บนนั้นจริงก็ช่างเถิด แต่หากเป็นผู้ฝึกตนที่ตาพอจะมีแววแล้วละโมบในปราณวิญญาณเหล่านั้น เฉินผิงอันจะยังชักสีหน้าทวงเอาแผ่นไม้ไผ่คืนมาได้อีกหรือ?
ผู้เฒ่าเห็นว่าเฉินผิงอันยืนกรานหนักแน่นก็ได้แต่ยอมถอดใจ ทว่าปากก็ยังพึมพำบ่นไม่หยุด
เฉินผิงอันเริ่มเก็บแผ่นไม้ไผ่ ทำเอาอาจารย์ผู้เฒ่าที่มองดูอยู่ทำหน้าเสียดายราวกับว่าเหรียญเงินกลิ้งผ่านมือตัวเองไปเหรียญแล้วเหรียญเล่าอย่างไรอย่างนั้น
เฉินผิงอันเห็นสีหน้าของเขาก็อดสงสารไม่ได้ คิดจะเอาแผ่นไม้ไผ่ไปยี่สิบสี่แผ่นนั้น ไม่ได้แน่นอน สิบสองแผ่นก็ไม่ได้ หรือว่าควรจะมอบให้อีกฝ่ายสักหกแผ่นพอเป็นมารยาทดี? ไม่อย่างนั้นหนึ่งชั่วยามกว่าที่อาจารย์ผู้เฒ่าเสียเวลาอยู่ที่นี่ ขนาดเฉินผิงอันยังเหนื่อยใจแทน คิดดูแล้วอาจารย์ผู้เฒ่าเองก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ต่อให้ละโมบอยากได้แผ่นไม้ไผ่พวกนั้นจะไม่ทำให้เหนื่อยใจ ทว่าคนอายุปูนนี้แล้ว นั่งยองพร่ำพูดมาเกินครึ่งวันก็คงจะเหนื่อยน่าดู อีกอย่างความรู้ที่มีอยู่เต็มท้องของผู้เฒ่า ยามที่เอ่ยเอื้อนออกมาก็รู้ได้ว่าเป็นของจริง ก็แค่หลงใหลในทรัพย์สมบัติไปสักหน่อย ทว่าข้อนี้ก็ถือเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับตน
ผู้เฒ่าที่ใช้ทุกวิถีทางที่มีแล้วรีบเอ่ยห้ามปรามเฉินผิงอันด้วย ‘ความหวังดี’ “เจ้าหนุ่ม แดดแรงขนาดนี้ อย่าเพิ่งรีบร้อนเก็บไปสิ ฉวยโอกาสตอนที่อากาศกำลังดี ตากแดดให้นานอีกหน่อย แผ่นไม้ไผ่กลัวการถูกมอดแมลงกัดแทะหรือเปียกน้ำมากที่สุด…หากเจ้ากังวลว่ารอให้พระอาทิตย์ตกแล้วค่อยเก็บจะเก็บไม่ทันล่ะก็ ข้าจะช่วยเจ้าเอง เจ้าทำแบบนี้จะไม่ผิดต่อแผ่นไม้ไผ่และตัวอักษรที่ดีงามมากมายพวกนี้หรอกหรือ!”
เฉินผิงอันยอมแพ้อีกฝ่ายจริงๆ เขาหยุดมือที่กำลังเคลื่อนไหว ยิ้มถามว่า “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่า ข้าขอถามคำถามที่เป็นการละลาบละล้วงสักคำ ได้หรือไม่?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า ถามหยั่งเชิงว่า “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าถามเลยดีกว่าไหม? บัณฑิตอย่างพวกเรารักหน้าตาจะตายไป”
เฉินผิงอันถาม “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่ายังอยากได้แผ่นไม้ไผ่อยู่อีกหรือไม่?”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “งั้นก็ถามมาได้เลย!”
เฉินผิงอันลูบหน้า รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเพิ่งหล่นลงไปในหลุมพรางอย่างไรอย่างนั้น
ผู้เฒ่าแอบเอื้อมมือไปหยิบแผ่นไม้ไผ่สีเขียวแผ่นหนึ่งที่อยู่ข้างกายขึ้นมา พึมพำว่า “ดินทับถมเป็นภูเขาสูง ลมฝนเกิดขึ้นที่นี่ พูดได้ดีจริงๆ …แต่ตัวอักษรที่สลักแย่ไปสักหน่อย มีแรงไร้กำลัง ไม่เข้าตาเลยสักนิด แล้วยังจะเห็นไม้กวาดผุๆ เป็นของล้ำค่าอีก (เปรียบเปรยว่าของไม่ดี แต่ตัวเองรักและทะนุถนอมอย่างมาก) ไม่สู้มอบให้คนอื่นแล้วค่อยแกะสลักขึ้นมาใหม่…”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างอ่อนใจ “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่า ข้าหูดี ได้ยินชัดเลย”
ผู้เฒ่าทำสีหน้าตื่นตะลึง “ข้าไม่ได้พูดอะไรนะ เจ้าได้ยินได้อย่างไร? เจ้าหนุ่ม หรือว่าเจ้าเป็นเทพเซียนบนภูเขา เลยได้ยินเสียงในใจของข้า?”
เฉินผิงอันมองสีหน้าและดวงตาของท่านอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้
คล้ายจะจริงใจอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันประหลาดใจเล็กน้อย หรือเขาจะเป็นแค่ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่ผ่านทางมาจริงๆ
แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ผู้ฝึกตนของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยนและเซียนซือบนภูเขาแล้วก็มีน้อยมากจริงๆ
อีกทั้งการที่เขาไม่เผยพิรุธออกมาแม้แต่นิดเดียวตลอดหนึ่งชั่วยามกว่าที่ผ่านมา เกรงว่าต่อให้เป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาก็คงทำไม่ได้ เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าอริยะของสำนักศึกษากวานหูจะมีเวลาว่างมาเล่นสนุกอยู่กับตน
ผู้เฒ่าทำสีหน้าเสียดาย “ไม่สัมผัสถึงความอบอุ่นเย็นชาของผู้คนบนโลกมนุษย์ก็ไม่เป็นไร แต่หากมือไม่ได้พลิกตำราก็ช่างน่าเสียดายอย่างสุดแสน”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
อาจารย์ผู้เฒ่ากล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าหนุ่ม ไม่เห็นหูดีอย่างก่อนหน้านี้บ้างเล่า?!”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็แหงนหน้ามองสีท้องฟ้า “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่า ข้ายอมแพ้ ท่านเลือกแผ่นไม้ไผ่เอาเองเถอะ ข้ายังต้องเดินทางต่อ แต่จำไว้ว่าเลือกแผ่นไหนก็ไม่ต้องมาบอกข้า ข้ากลัวว่าจะอดเปลี่ยนใจไม่ได้”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อเอ่ยถาม “ยี่สิบสี่แผ่น?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “น้อยกว่านี้ได้ แต่ห้ามมากกว่านี้”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊ออืมรับหนึ่งที แล้วเอ่ยอย่างปลาบปลื้มใจว่า “ถูกต้องแล้ว เจ้าหนุ่ม เจ้าต้องใจกว้างให้มาก ควรจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ทองพันชั่งก็ยากจะซื้อเวลากลับคืนมาได้ เจ้าดูสิ พวกเราเสียเวลาอยู่ที่นี่กันไปตั้งเท่าไหร่ มันไม่มีค่ายิ่งกว่าแผ่นไม้ไผ่แค่ไม่กี่แผ่นหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ใช่ๆๆ ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าพูดถูกทุกอย่างนั่นแหละ”
นอกจากแผ่นไม้ไผ่ที่อยู่ในมือแล้ว ผู้เฒ่าก็เริ่มลุกขึ้นเดินไปเลือกไม้ไผ่แผ่นอื่นๆ ที่ตัวเองชื่นชอบ แล้วก็จงใจเลือกอย่างอืดอาด
เฉินผิงอันพลันกระแอมขึ้นมาหนึ่งที
ผู้เฒ่าแสร้งทำเป็นหูหนวก
เฉินผิงอันจึงได้แต่ยิ้มเฝื่อนเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่า บวกกับไม้ไผ่แผ่นที่อยู่ในมือของท่านก็ใกล้จะสามสิบแผ่นแล้ว ในเมื่อเป็นบัณฑิตก็ควรจะทำตัวให้น่าเชื่อถือหน่อยไม่ใช่หรือ?”
อาจารย์ผู้เฒ่าพลันทำท่ากระจ่างแจ้ง เก็บไม้ไผ่แผ่นสุดท้ายไว้ในชายแขนเสื้อ ตำแหน่งที่ผู้เฒ่ายืนอยู่ห่างจากเฉินผิงอันมาค่อนข้างไกล เขาเอ่ยคำพูดตามมารยาทอย่างคลุมเครือสองสามคำก็เดินจากไป
พอเดินไปถึงตำแหน่งที่เด็กรับใช้นั่งอยู่ ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อก็รีบเอ่ยเร่ง “ไปๆๆ รีบไปเร็วเข้า!”
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มวิ่งปรู๊ดเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับใต้ฝ่าเท้าทาด้วยน้ำมัน
คราวนี้เฉินผิงอันถึงพอจะแน่ใจว่าตัวเองเจอเข้ากับ ‘ยอดฝีมือ’ จริงๆ แล้ว
เฉินผิงอันหัวเราะ เก็บไม้ไผ่ทั้งหมดที่เหลือไปเงียบๆ จากนั้นก็จูงม้าเดินลงมาจากยอดเขา มาถึงเส้นทางชาม้าโบราณเส้นนั้น เขาขี่ม้าออกเดินทางต่อไปอย่างเนิบช้าอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกับผู้เฒ่าคนนั้นอีก เขาเชื่อว่าป่านนี้อีกฝ่ายคงกำลังแอบหัวเราะชอบใจอยู่ที่ใดที่หนึ่งกระมัง
เฉินผิงอันงีบหลับอยู่บนหลังม้า
โดยที่ไม่รู้ตัวสักนิดว่า
มีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังช่วยจูงม้าเขาให้เดินไปข้างหน้า
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มถาม “เฉินผิงอัน คนผู้หนึ่งเดินอยู่บนเส้นทางหัวใจของตัวเอง เจอน้ำก็สร้างสะพาน เจอภูเขาก็ปูถนน นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก ถ้าเช่นนั้นมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะสามารถทำให้คนรุ่นหลังเดินข้ามสะพานเดินผ่านถนน เพื่อผ่านด่านที่ยากลำบากในชีวิตของพวกเขา?”
เฉินผิงอันยังคงไม่รู้ตัว แต่เขากลับใช้เสียงในใจตอบไปอย่างเนิบช้าว่า “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่า ข้าเป็นแค่นักบัญชีที่คิดคำนวณอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ใช่อาจารย์สอนหนังสืออะไร ไม่กล้าคิดเช่นนี้เด็ดขาด”
หลังจากนั้นก็เป็นการถามตอบระหว่างคนทั้งสอง
“กระดานถามใจตัวเองครั้งนี้ เจ้าเคยยอมแพ้หรือไม่?”
“แน่นอนว่าต้องแพ้อยู่แล้ว”
“แล้วผิดหวังหรือไม่?”
“ผิดหวังต่อตัวเองเล็กน้อย ผิดหวังที่ตัวเองทำได้ไม่ดีพอ แต่ไม่ได้ผิดหวังต่อวิถีทางโลกสักเท่าไหร่”
“แบบนี้เองหรือ”
หลังจากนั้นก็เป็นการ ‘คุยเล่น’
อาจารย์ผู้เฒ่าพูดออกนอกเรื่องไปไกล นึกถึงเรื่องไหนก็พูดเรื่องนั้น
‘เฉินผิงอัน’ ที่อยู่บนหลังม้าก็รับฟังไป
“ลัทธิเต๋ามีคำกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำกล่าวของมรรคาจารย์เต๋าที่ว่า ชาวบ้านที่โง่เขลาไม่รู้ความ หรือชาวบ้านที่เฉลียวฉลาดมีสติปัญญา วิถีทางโลกสองอย่างที่อยู่กันคนละขั้วถึงจะสามารถนำมาดำเนินการได้ ถึงจะมีหวังกลายมาเป็นสายหลักของความรู้ทั้งหมดบนโลกอย่างแท้จริง ดังนั้นถึงได้บอกว่าความรู้ของลัทธิเต๋านั้นสูง คิดดูแล้วมรรคกถาของมรรคาจารย์เต๋าก็ต้องสูงจนไร้เหตุผล น่าเสียดายก็แต่ ธรณีประตูสูงเกินไป”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้
ประโยคนี้ช่างกล่าวได้…
ช่างเถิด ถือซะว่านี่คือหลักการที่อาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้ใคร่ครวญออกมาได้ด้วยตัวเองก็แล้วกัน รับฟังไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ห้ามตอบโต้เด็ดขาด ห้ามพูดอะไรทั้งนั้น
เฉินผิงอันไม่อยากทะเลาะกับใคร
ตอนนี้เขายังไม่มีอารมณ์นั้นจริงๆ
หากได้กินซาลาเปาเนื้อลูกใหญ่ที่ทั้งราคาถูกและรสชาติดีของนครลวี่ถงอีกสักสี่ลูก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะลองทำดู
—–