กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 462.1 ไม่เป็นกุมารแจกทรัพย์อีกแล้ว
เว่ยป้อเงยหน้ามองม่านฟ้า ดวงจันทร์กลมโตลอยอยู่กลางนภา
ตอนนั้นหลังจากได้เป็นองค์เทพแห่งขุนเขาของแคว้นเสินสุ่ยแล้ว เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้อีกใต้หล้าหนึ่งมีทัศนียภาพอันมหัศจรรย์ที่ดวงจันทราสามดวงประชันกันส่องแสง จนถึงทุกวันนี้เว่ยป้อก็ยังไม่อาจจินตนาได้ว่าการโคจรโชคชะตาฟ้าดินของใต้หล้าแห่งนั้นจะมีกฎเกณฑ์แห่งมหามรรคาที่แตกต่างไปจากใต้หล้าไพศาลอย่างสิ้นเชิงเพิ่มขึ้นอีกกี่มากน้อยเพราะการที่มีดวงจันทร์เพิ่มขึ้นมาอีกสองดวง
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า คิดว่าจะเอาสุราดีๆ ที่เก็บรักษาไว้ในวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อออกมาหาสถานที่สักแห่งบนภูเขาลั่วพั่วที่มีรากภูเขาลึกล้ำและโชคชะตาน้ำเข้มข้น แล้วฝังพวกมันไว้ใต้ดิน หลังจากคิดคำนวณอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกว่าประเภทของสุราที่เขามีอยู่ตอนนี้ไม่นับว่าน้อยเลยทีเดียว
เหล้าหมักกุ้ยฮวาที่กุ้ยฮูหยินของนครมังกรเฒ่าหมักด้วยมือของตัวเอง เหล้าหมักเซียนน้ำบ่อของตรอกหางผึ้ง เหล้าอีกาครวญของทะเลสาบซูเจี่ยน เหล้าบุปผาของจวนปี้โหยวที่เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอมอบให้ยังเหลืออีกเกินครึ่งไห แต่ตอนนี้ควรต้องเรียกว่าตำหนักเทพวารีปี้โหยวแล้ว เหล้ามังกรเฒ่าน้ำลายสอที่อู๋ยวนแห่งจวนจื่อหยางมอบให้ เหล้าหวงเถิงที่มีเฉพาะในบ้านเกิดของหงซูเกาะชิงเสีย ซึ่งมีอีกชื่อว่าเหล้าเติมอาหาร เฉินผิงอันเคยดื่มแล้ว รสชาตินุ่มลิ้นกลมกล่อม ดื่มง่ายมาก ปีนั้นเขายังคิดไว้ว่าที่บ้านเกิดมีเผยเฉียนและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูอยู่ ยามที่ถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ พวกนางก็สามารถดื่มได้สักสองจอก ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวจึงไปซื้อเหล้าที่เก็บไว้ในห้องใต้ดินมาอีกชุดหนึ่ง ถึงอย่างไรเหล้าในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ราคาไม่แพงอยู่แล้ว
ท่องอยู่ในยุทธภพ มีหีบหนังสือและกระบี่ สุราและม้าอยู่เคียงข้าง ไม่มีทางเงียบเหงา
การเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปที่ล่าช้ากว่าที่คิดไว้ถึงสามปี ไม่สามารถรั้งรอได้อีกต่อไปแล้ว ปลายปีของปีนี้เขาจะต้องไปเยือนแคว้นไฉ่อีและแคว้นซูสุ่ย ไปพบสหายเก่าบางคนสักรอบหนึ่งก่อน แล้วค่อยนั่งเรือข้ามทวีปมุ่งหน้าไปยังทวีปใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่ามีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ผู้คนใช้หมัดอธิบายเหตุผลแห่งนั้น
เว่ยป้อดึงสายตากลับคืนมา มองข้ามผ่านภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาฉีตุน เพ่งมองไปยังเมืองหงจู๋ที่อยู่ทางทิศใต้ตลอดเวลา ในฐานะองค์เทพแห่งขุนเขา การที่จะมองอาณาเขตใต้การปกครองของตัวเอง ระยะห่างเพียงแค่นี้ เขายังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน ขอแค่เขายินดี ศาลเทพวารีในเมืองหงจู๋ หรือแม้กระทั่งคนเดินถนนทุกคนก็ล้วนเห็นได้ชัดราวกับมองฝ่ามือของตัวเอง ตอนนี้เมื่อเขตการปกครองหลงเฉวียนเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ในฐานะสถานที่อันเป็นจุดที่แม่น้ำใหญ่สามสายอย่างแม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำอวี้เย่และแม่น้ำชงตั้นมาบรรจบกัน เมืองหงจู๋ที่เดิมทีก็เป็นจุดรวมโชคชะตาน้ำอยู่แล้วจึงยิ่งรุ่งโรจน์เฟื่องฟู
ยามเยาว์ไม่รู้จักพระจันทร์ จึงเรียกมันว่าถาดหยกขาว
เซียนในดวงจันทร์ห้อยขาสองข้างลงมาหรือ เหตุใดต้นกุ้ยในดวงจันทร์ถึงกลมเกลี้ยงเช่นนั้น
นี่เคยเป็นบทกวีไม่สมบูรณ์ที่สืบทอดกันมาในแคว้นสู่โบราณ ภายหลังกลายมาเป็นเพลงพื้นบ้านของเมืองหงจู๋ ไม่ว่าคนแก่หรือเด็ก สาวตระกูลชาวเรือทุกคนต่างก็ชอบร้องเพลงพื้นบ้านเพลงนี้
แม้ว่าตอนนี้เขาจะกลายเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือแล้ว ทว่า ‘สัญชาติทาส’ ของชาวเรือทุกคนที่อยู่ในเวิ้งน้ำฟูสุ่ยของเมืองหงจู๋แห่งนั้นกลับยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากสตรีผู้นั้นที่ไปฝึกตนในตำหนักฉางชุนแล้ว คนทุกรุ่นทุกสมัย ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ทายาทห้าแซ่ของแคว้นเสินสุ่ยในปีนั้นก็ยังไม่อาจหลุดพ้นจากความเป็นทาส ถูกกฎเหล็กที่ว่า ‘ไม่อาจขึ้นฝั่ง’ กดตรึงให้อยู่แต่ในอ่าวฟูสุ่ยไปจนตาย
เว่ยป้อปกป้องคุ้มครองห้าแซ่ใหญ่ของอ่าวฟูสุ่ยมานานหลายปี ทว่าหลังจากได้ดิบได้ดีเจริญรุ่งเรืองแล้ว กลับไม่เคยเปิดปากขอร้องต้าหลีในเรื่องนี้เลยสักครั้ง
หลังจากที่เว่ยป้อกลายมาเป็นองค์เทพของต้าหลี เขาก็ทำเรื่องใหญ่ๆ มาไม่น้อย หากคิดจะเปลี่ยนสัญชาติให้กับชาวเรืออ่าวฟูสุ่ย ยังไม่ต้องพูดว่าสุดท้ายแล้วจะสำเร็จหรือไม่ แต่เรื่องเล็กๆ อย่างการทักทายที่ว่าการสองแห่งเช่นกรมครัวเรือนและกองงานเลี้ยงรับรองแขกของเมืองหลวงต้าหลี ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาดีหรือเลวก็หนีไม่พ้นต้องดูว่าเจ้ากรมพิธีการและราชครูชุยฉานจะพยักหน้าตกลงหรือไม่เท่านั้น ทว่าเว่ยป้อกลับไม่เคยเปิดปากพูดถึงเรื่องนี้
เว่ยป้อเงียบงันไปนาน ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “เฉินผิงอัน พูดจาห้าวหาญมีพลังไปแล้ว พวกเราควรมาคุยเรื่องธุระการงานกันแล้วหรือไม่”
ก่อนหน้านี้เว่ยป้อไปต้อนรับเฉินผิงอันที่ประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว ตอนที่เดินขึ้นเขา คนทั้งสองพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ซึ่งเป็นเรื่องยิบย่อยไม่สลักสำคัญจริงๆ เนื่องจากบนภูเขาลั่วพั่วมีศาลเทพภูเขาแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ซึ่งชัดเจนว่าเป็นตะปูตัวใหญ่ที่ราชสำนักต้าหลีตั้งใจตอกเอาไว้ อีกทั้งสกุลซ่งต้าหลีเองก็ไม่คิดจะปิดบังเลยแม้แต่น้อย นี่คือท่าทีอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องใช้คำพูดมาบรรยาย หากเว่ยป้อสร้างฟ้าดินเล็กๆ ขึ้นมาสกัดกั้นก็ย่อมตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าทำตัวมีพิรุธ ด้วยความจงรักภักดีและนิสัยซื่อตรง ตายไปก็ยังยินดีเป็นเทพผู้ซื่อสัตย์ของเทพภูเขาซ่งบนยอดเขาท่านนั้น ย่อมต้องบันทึกเรื่องนี้เอาไว้แล้วส่งข่าวไปให้แก่กรมพิธีการอย่างแน่นอน
มีเรื่องเพิ่มมาเรื่องหนึ่ง ไม่สู้มีเรื่องน้อยลงเรื่องหนึ่ง
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันได้คิดคำพูดไว้คร่าวๆ นานแล้ว เขาถามว่า “หากลงนามสัญญากับราชสำนักต้าหลีได้อย่างราบรื่น ควรจะใช้ภูเขาลูกไหนเป็นภูเขาที่ตั้งศาลบรรพจารย์? รากฐานของภูเขาลั่วพั่วดีที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ไกลไปหน่อย ตั้งอยู่ทางทิศใต้สุดเลย อีกทั้งข้าไม่เชี่ยวชาญในเรื่องภูมิศาสตร์ชัยภูมิ ตอนนี้ข้ามีค่ายกลอยู่สองชุด ระดับขั้น…น่าจะถือว่าสูงมาก หนึ่งคือค่ายกลกระบี่ เหมาะแก่การโจมตีให้ศัตรูถอยร่น อีกหนึ่งคือค่ายกลพิทักษ์ภูเขา เหมาะแก่การป้องกัน หากฝังรากลงไปบนภูเขาเมื่อไหร่ก็เคลื่อนย้ายได้ยากลำบากอย่างยิ่ง ควรจะจัดวางค่ายกลพิทักษ์ภูเขาสองอย่างไว้บนภูเขาลูกเดียวกัน หรือว่าให้เหนือขานรับกับใต้ แบ่งแยกกันสร้างคนละแห่ง? แต่ว่าก็ยังมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง ค่ายกลใหญ่สองแห่ง ตอนนี้ข้ามีภาพค่ายกล เงินเทพเซียนก็มากพอ แต่ยังขาดวัตถุใหญ่สองชิ้นที่จะใช้เป็นแกนกลาง ดังนั้นต่อให้สามารถสร้างขึ้นได้ในเร็วๆ นี้ ก็ยังเป็นแค่โครงร่างที่ว่างเปล่าเท่านั้น”
เว่ยป้อเองก็ไม่ทำตัวเป็นคนนอกกับเฉินผิงอัน เอ่ยถามเข้าประเด็นตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ “ระดับขั้นสูงแค่ไหน? บอกได้ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นอกจากแผ่นหยกวัตถุจื่อชื่อที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้ข้าแล้ว อันที่จริงข้ายังมีใบอู๋ถงแผ่นหนึ่งที่ได้มาจากสำนักใบถง เป็นวัตถุจื่อชื่อเหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนที่ได้รับของชิ้นนี้มา ได้มีคนเตือนไว้ก่อน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจึงไม่เคยเปิดมันออก ด้านในนอกจากจะมีเงินฝนธัญพืชกองโตที่สำนักใบถงควักจ่ายให้แล้ว ที่สำคัญที่สุดคือยังเก็บภาพค่ายกลที่ล้ำค่าซึ่งมีค่ายกลใหญ่แห่งขุนเขาสองชุดอยู่ในนั้น หนึ่งคือค่ายกลกระบี่สำหรับโจมตีที่จำลองมาจากภูเขาไท่ผิงแห่งใบถงทวีป อีกหนึ่งคือค่ายกลใหญ่พิทักษ์ขุนเขาที่เลียนแบบสำนักฝูจี เงินฝนธัญพืชก้อนนั้นมากพอสำหรับนำมาสร้างค่ายกลใหญ่ทั้งสองค่าย อีกทั้งยังสามารถรักษาการโคจรของค่ายกลทั้งสองไว้ได้นานเป็นร้อยปี”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “เพียงแต่วัตถุแกนกลางที่ใช้ประคับประคองค่ายกลใหญ่ทั้งสองซึ่งได้แก่กระบี่ชั้นสูงเก้าเล่ม และหุ่นเชิดร่างทองอีกห้าตน ล้วนจำเป็นต้องอาศัยโชควาสนาของตัวเองไปตามหามา ไม่อย่างนั้นก็ต้องซื้อหามาด้วยเงินเทพเซียน ข้าคาดว่าต่อให้โชคดีเจอคนที่ขายของสองอย่างนี้ ราคาก็คงสูงเทียมฟ้า เงินฝนธัญพืชที่อยู่ในใบอู๋ถงไม่แน่ว่าอาจหมดเกลี้ยง ต่อให้สร้างค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาที่สมบูรณ์แบบสองแห่งขึ้นมาได้ก็อาจจะไม่เหลือกำลังให้มันโคจร ไม่แน่ว่าตัวเองอาจต้องทุบหม้อขายเหล็ก รื้อกำแพงตะวันออกมาเสริมกำแพงตะวันตก ถึงจะไม่ทำให้ค่ายกลใหญ่ได้เพียงแค่ตั้งอยู่เปล่าๆ แค่คิดถึงเรื่องนี้ข้าก็ปวดใจแล้ว นี่เป็นการบีบให้ข้าต้องไปตามหาโชควาสนาในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตกทั้งหลาย หรือไม่ก็เลียนแบบผู้ฝึกตนอิสระที่พาตัวไปเสี่ยงอันตรายเพื่อแสวงหาโชคจริงๆ”
หลังจากเฉินผิงอันกล่าวจบก็มองจ้องเว่ยป้อ
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “ไม่มีใครลอบสังเกตการณ์จริงๆ”
เฉินผิงอันถึงได้หยิบใบอู๋ถงที่ออกเป็นสีเหลืองใบนั้นออกมา มองดูเหมือนธรรมดา แต่หากผู้ฝึกตนพินิจมองอย่างละเอียดจะสังเกตเห็นว่าใบอู๋ถงเล็กๆ ใบนี้ แท้จริงแล้วกลับซุกซ่อนความลี้ลับมหัศจรรย์ แฝงเร้นภาพปรากฎการณ์นับพันนับหมื่นเอาไว้
เฉินผิงอันยื่นส่งให้เว่ยป้อพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “การที่ข้าไม่กล้าเปิดออก เพราะด้านในมีเศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสของตู้เม่าที่หล่นลงมาในสำนักใบถงหลังจากการบินทะยานล้มเหลวซ่อนอยู่สองชิ้น ชิ้นหนึ่งเล็กเท่านิ้วหัวแม่มือ อีกชิ้นหนึ่งใหญ่เท่ากำปั้นเด็ก เมื่อเทียบกับเศษชิ้นส่วนร่างทองชิ้นอื่นๆ ของตู้เม่าที่หล่นลงในสำนักใบถงและพื้นที่อื่นๆ ของแจกันสมบัติทวีปแล้วก็ยังถือว่าเล็ก หากเปิดออกก็เท่ากับแพร่งพรายความลับสวรรค์ ไม่แน่ว่าอาจทำให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนละโมบอยากได้ไปครอบครอง”
เว่ยป้อใช้สองนิ้วคีบใบอู๋ถงใบนั้น เขาชูมันขึ้นสูง หรี่ตามองไปแล้วเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “โชคดีที่เจ้าไม่ได้เปิดมันออก เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานมีมูลค่าเหนือกว่าเมืองแห่งหนึ่งเสียอีก อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังปรารถนาอยากครอบครอง ลมปราณของมันเข้มข้นนัก เจ้าลองดูสิ แม้แต่เส้นใยบนใบอู๋ถงใบนี้ที่ผ่านการอาบย้อมมานานหลายปีก็เริ่มแผ่สีทองแสงหยกจากในสู่ภายนอกแล้ว หากเปิดออกจะไม่ร้ายกาจยิ่งกว่านี้หรอกหรือ? เจ้าต้องรู้ว่ามีผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางมากมายที่อาศัยการอนุมานความลับสวรรค์มาขายให้แก่ผู้ฝึกตนใหญ่ เพื่อให้ได้เงินฝนธัญพืชมาครอง ดังนั้นการที่เจ้าอดทนต่อความล่อลวงใจ ไม่เปิดออกดูก็ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหายุ่งยากที่คาดคิดไม่ถึงจำนวนนับไม่ถ้วนไปได้จริงๆ”
เว่ยป้อชื่นชมใบอู๋ถงอยู่ครู่หนึ่งก็ยื่นส่งคืนให้เฉินผิงอัน แล้วเอ่ยอธิบายว่า “ใบอู๋ถงใบนี้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นใบที่ร่วงลงมาจากต้นบรรพบุรุษของใบถงทวีปต้นนั้น ต่างก็พูดกันว่าต้นไม้ใหญ่เรียกลม ทว่าต้นอู๋ถงบรรพกาลที่ไม่มีใครรู้ว่าต้นจริงอยู่ที่ไหนต้นนั้นแทบไม่เคยมีใบร่วงลงมา ใบของมันเป็นสีเขียวมาตลอดหมื่นปี รวบรวมโชคชะตาของหนึ่งทวีปเอาไว้ ดังนั้นใบทุกใบที่ร่วงหล่น กิ่งทุกกิ่งที่แตกหักล้วนมีค่าสุดประมาณ ทุกครั้งที่กิ่งและใบร่วงหล่นลงสู่พื้น สำหรับผู้ฝึกตนของทวีปที่คว้ามาไว้ในมือได้แล้ว ล้วนถือเป็นโชควาสนาครั้งใหญ่ จะได้รับการปกป้องจากใบถงทวีปโดยที่มองไม่เห็น คำว่าบุญวาสนาของคนบนโลกมนุษย์ก็ล้วนไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่าสิ่งนี้ ปีนั้นตอนอยู่บนภูเขาฉีตุน เจ้าเคยได้เห็นสวนไม้ไผ่เล็กๆ ที่ข้าตั้งใจปลูกมาก่อน ยังจำได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วก็หัวเราะ
แน่นอนว่าต้องจำได้ ตอนนี้เฉินผิงอันยังอยากจะขอไม้ไผ่สักลำมาจากเว่ยป้ออยู่เลย จะได้เอามาทำดาบไม้ไผ่ให้ตนกับเผยเฉียนคนละเล่ม อาจารย์และศิษย์สองคน หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก หากไม้ไผ่ใหญ่พอ ยังสามารถนำมาทำกระบี่ไม้ไผ่ให้เผยเฉียนได้อีกสักเล่ม
กับเว่ยป้อ เฉินผิงอันไม่มีอะไรให้ต้องเกรงใจ
ป่าไผ่บนภูเขาฉีตุนผืนนั้นของเว่ยป้อ อันที่จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่ทายาทของไม้ไผ่บรรพบุรุษอย่างไผ่เฟิ่นหย่งหนึ่งในไผ่เซียนสิบต้นซึ่งเป็นไผ่สิบคุณธรรมของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ (ทะเลไผ่) ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเก้าทวีปเท่านั้น
ตอนนั้นอาเหลียงใช้หนึ่งดาบฟันต้นไผ่ไปนับไม่ถ้วน นอกจากจะถูกเฉินผิงอันนำมาทำเป็นหีบไม้ไผ่และแกะสลักเป็นแผ่นไม้ไผ่แล้ว ลำที่ใหญ่จริงๆ ล้วนถูกนำมาสร้างเป็นเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เพียงแต่ว่าอย่างหลังนี้เป็นเว่ยป้อที่เต็มใจทำให้เอง ไผ่เฟิ่นหย่งสอดคล้องกับประโยคพยากรณ์ประโยคหนึ่งของอริยะสำนักการทหารอย่างยิ่ง ‘แสนยานุภาพแห่งกองทัพเลือนลั่น ประดุจผ่าลำไม้ไผ่ ผ่าปล้องถอยร่นไม่เป็นกระบวนท่า บุกรุดหน้าไปอย่างราบรื่น’ ใช้ไม้ไผ่ประเภทนี้มาสร้างเรือน สำหรับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวและผู้ฝึกตนสำนักการทหารแล้วย่อมมีประโยชน์มหาศาล ภายหลังหลี่ซีเซิ่งยังเขียนยันต์ไว้เต็มทั้งนอกและในเรือน การที่ผู้เฒ่าเปลือยเท้านั่งฝึกตนอยู่บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่แทบจะตลอดทั้งปีจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร
ลองมองย้อนกลับไปก็ถือว่าเว่ยป้อได้ทำการค้าที่ดีที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เพราะเขาช่วงชิงตำแหน่งองค์เทพขุนเขาเหนือต้าหลีมาได้
หลังจากที่เฉินผิงอันเดินทางผ่านทะเลสาบซูเจี่ยน เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้การค้าขายก็สามารถทำได้อย่างจริงใจและเป็นธรรมชาติ ไม่มีกลิ่นอายของความหน้าเลือดและเหม็นสาบเงินเลยแม้แต่น้อย ทำธุรกิจประหนึ่งดั่งการคบค้ากันระหว่างวิญญูชนก็คือทักษะและการกะแรงไฟสำหรับการอยู่ร่วมกับคนอื่นบนโลกอย่างแท้จริง
เว่ยป้อไม่รู้ว่าตัวเองต้องเข้าเนื้ออีกครั้ง นี่น่าจะเรียกว่าโจรในบ้านยากจะป้องกันกระมัง
องค์เทพแห่งต้าหลีท่านนี้ยังคงอธิบายถึงความล้ำค่าของใบอู๋ถงใบนั้นให้เฉินผิงอันฟังต่อไป “ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี นี่ก็เหมือนตัวอย่างว่า เจ้าเดินทางอยู่ในต้าหลี ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางมีหรือไม่มีป้ายสงบสุขปลอดภัย คือเรื่องที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ในอนาคตเมื่อเจ้าย้อนกลับไปที่ใบถงทวีปอีกครั้ง ออกเดินทางไปทั่วสารทิศ มีใบอู๋ถงนี้ติดกายก็แตกต่างกับไม่มีราวก้อนเมฆกับดินโคลนเช่นกัน หากไม่เป็นเพราะรู้ว่าเจ้าตัดสินใจดีแล้ว อีกทั้งที่ใบถงทวีปยังมีศัตรูคู่อาฆาตอยู่ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงต้องโน้มน้าวให้เจ้าอ้อมผ่านสำนักใบถง ตรงไปเสี่ยงโชคที่ทางใต้ของใบถงทวีปโดยตรงเลย”
“ใบถงทวีป ตอนนี้ข้าคงยังไม่กลับไป ส่วนสาเหตุนั้นไม่ใช่แค่เพราะตู้เม่ากับสำนักใบถงเท่านั้น”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังเล่าเรื่องที่สุยโย่วเปียนเดินทางไปอยู่สำนักกุยหยก เปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไปเป็นผู้ฝึกกระบี่ และเรื่องที่หลี่ฝูฉวีสะกดรอยตามตนให้เว่ยป้อฟังอย่างละเอียด
สำนักเบื้องล่างของสำนักกุยหยกแห่งใบถงทวีป เลือกสถานที่ตั้งเป็นทะเลสาบซูเจี่ยนของแจกันสมบัติทวีป ตอนนี้ได้กลายเป็นเรื่องจริงที่ทุกคนบนโลกล้วนรับรู้กันหมดแล้ว
แต่นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันบอกเล่าความสัมพันธ์ของผู้เฒ่าแซ่สวินกับเจียงซ่างเจินให้เว่ยป้อฟัง เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้การส่งข่าวผ่านกระบี่บินระหว่างภูเขาพีอวิ๋นและเกาะชิงเสีย เฉินผิงอันก็ยังไม่วางใจสักเท่าไหร่
หลังจากเว่ยป้อฟังจบก็อึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง เขาใคร่ครวญแล้วก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “สำนักกุยหยกน่าจะฉวยโอกาสนี้แสดงความเป็นมิตรต่อศาลบุ๋นของแผ่นดินกลาง แต่ก็ไม่ยินดีจะแตกหักกับสายของเหวินเซิ่ง ดังนั้นจึงให้ผู้ฝึกตนใหญ่ของสำนักใบถงที่เปลี่ยนมาอยู่สำนักเบื้องล่างของสำนักกุยหยกผู้นั้นเป็นทหารลาดตระเวนมาหยั่งเชิง ไม่ได้ให้คนในครอบครัวตัวเองอย่างเจียงซ่างเจินรีบร้อนเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน สังหารเจ้า ย่อมมีตัวตายตัวแทน ไม่ฆ่าเจ้า ก็มีการกระทำนี้เกิดขึ้น นี่ก็ถือว่าเป็นการให้คำอธิบายแก่อริยะสายของหย่าเซิ่งที่มีรูปปั้นตั้งบูชาอยู่ในศาลบุ๋นแล้ว ไม่ได้ทำผิดต่อคนเขาที่อุตส่าห์ช่วยสนับสนุนให้สำนักกุยหยกได้สร้างสำนักเบื้องล่าง ส่วนผู้ฝึกตนใหญ่จากศาลบรรพจารย์สำนักใบถงผู้นั้นก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่ยินดีเป็นมีดที่ถูกคนอื่นยืมใช้ฆ่าคน อีกทั้งยังแอบผลักผู้ฝึกตนก่อกำเนิดอย่างหลี่ฝูฉวีออกมาอย่างลับๆ แม้ว่าหลี่ฝูฉวีจะขอบเขตสูงไม่เท่าฝ่ายแรก แต่กลับไม่โง่ สะกดรอยตามเจ้าไปตลอดทางถึงได้ตัดสินใจปรากฏตัว และร่วมแสดงละครกับเจ้าที่แคว้นเหมยโย่ว”
—–