กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 557.1 วัตถุใดบนภูเขาทำให้คนหวั่นไหวได้มากที่สุด
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 557.1 วัตถุใดบนภูเขาทำให้คนหวั่นไหวได้มากที่สุด
หยวนไหลชอบอ่านตำรามากกว่า อันที่จริงเขาไม่ค่อยชอบฝึกวรยุทธนัก ไม่ใช่ว่าทนรับความยากลำบาก อดทนกับความเจ็บปวดไม่ได้ เพียงแค่ว่าเขาไม่ได้หลงใหลในการเรียนวรยุทธเท่าพี่สาว
ติดตามหลูป๋ายเซี่ยงผู้เป็นอาจารย์มาเยือนภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้อีกครั้ง เขากับพี่สาวยังคงไม่สามารถถูกบันทึกชื่อไว้ในทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์ได้ เพราะว่าเจ้าภูเขาหนุ่มคนนั้นไม่อยู่บนภูเขาอีกแล้ว หยวนไหลไม่ได้รู้สึกอะไร ทว่าอันที่จริงหยวนเป่าผู้เป็นพี่สาวกลับโกรธเคืองอยู่มาก ด้วยรู้สึกว่าอาจารย์ของตนถูกเพิกเฉยใส่ ทุกวันนอกจากฝึกวิชาหมัดเดินนิ่ง ประลองวิชาการโจมตีกับพี่สาวแล้ว ยามมีเวลาว่างหยวนไหลก็จะต้องอ่านหนังสือ หยวนเป่าไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้มากนัก นางเคยมาหาหยวนไหลเป็นการส่วนตัวแล้วพูดถึงหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ที่บอกว่าได้พบเจออาจารย์เช่นนี้ พวกเขาสองพี่น้องจะต้องเห็นค่าและทะนุถนอมให้ดี หยวนไหลฟังเข้าหูแล้ว เพียงแต่ว่าเขายังมีเหตุผลหลักการของตัวเองที่อยากจะพูด แต่พอเห็นสีหน้าเย็นชาของพี่สาวในเวลานั้น รวมไปถึงทวนไม้ยาวที่นางกำไว้ในมือแน่น หยวนไหลก็ไม่กล้าเปิดปากพูดอีก
ทวนไม้ยาวอันนั้นเป็นของสิ่งเดียวที่บิดาซึ่งเป็นผู้คุมกันของพวกเขาทิ้งไว้ให้ ในสายตาของหยวนเป่า นี่ก็คือสมบัติสืบทอดจากบรรพบุรุษตระกูลหยวน เดิมทีควรมอบต่อให้แก่หยวนไหล เพียงแต่นางรู้สึกว่านิสัยของหยวนไหลนุ่มนิ่มเกินไป ไม่มีความแกร่งกล้ามาตั้งแต่เด็ก จึงไม่คู่ควรที่จะถือทวนไม้อันนี้
แน่นอนว่าหยวนเป่าชอบสำนักที่แท้จริงที่ครึกครื้นอีกทั้งยังมีกฎระเบียบของพวกเขามากกว่า ที่นั่นเคยเป็นรังเก่าของสำนักมารในยุทธภพราชวงศ์จูอิ๋ง ก่อนหน้านี้อาจารย์ได้รวบรวมพวกทหารม้ากองโจรที่เร่ร่อนอยู่แถวชายแดนมาได้กลุ่มหนึ่ง ภายหลังก็มีพวกคนต่างถิ่นมีความสามารถที่ปิดบังชื่อแซ่อีกมากมายทยอยมาเข้าร่วม คนแก่บางคนทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำรา ต่อให้กินอาหารรสหยาบ ดื่มเหล้าชั้นเลว แต่ก็ยังมีมาดสง่างาม คนหนุ่มสาวบางคนที่สวมเสื้อผ้าธรรมดา พอเห็นปลาตัวใหญ่เนื้อชิ้นโตกลับยังขมวดคิ้ว ลังเลอยู่นานกว่าจะยอมจับตะเกียบคีบอาหาร ชายฉกรรจ์บางคนที่นิสัยเงียบขรึมพูดน้อย ยามที่มองดาบประจำตัวกลับมักจะหลั่งน้ำตาเงียบๆ
หยวนไหลชอบภูเขาลั่วพั่ว
เพราะบนภูเขาลั่วพั่วมีแม่นางคนหนึ่งชื่อว่าเฉินยวนจี
นางเองก็มุมานะฝึกวิชาหมัดเหมือนกับพี่สาวของเขา แต่หน้าตางดงามกว่าพี่สาว แล้วยังอ่อนโยน
เขารู้ว่าทุกวันเช้าค่ำเฉินยวนจีจะเดินอยู่บนขั้นบันไดของภูเขาลั่วพั่วสองรอบ ดังนั้นเขาจึงจะกะเวลาให้แม่นยำ แล้วออกไปเดินเล่นแถวศาลภูเขาบนยอดเขาเร็วกว่าหน่อย หลังจากเดินวนได้หนึ่งรอบแล้วก็จะมานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ขั้นบันได
ใต้แสงจันทร์คืนนี้ หยวนไหลมานั่งอ่านหนังสืออยู่บนขั้นบนสุดของบันไดอีกครั้ง ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วยามแม่นางเฉินก็จะเดินฝึกหมัดมาจนถึงยอดเขาแห่งนี้ โดยทั่วไปแล้วนางจะหยุดพักหนึ่งก้านธูปก่อนจะลงภูเขาไปอีกครั้ง บางครั้งแม่นางเฉินก็จะถามเขาว่าอ่านหนังสืออะไร หยวนไหลก็จะเล่าเรื่องที่เตรียมมาไว้เรียบร้อยแล้วให้แม่นางเฉินฟัง ตำราชื่ออะไร ซื้อมาจากไหน ในตำราพูดถึงเรื่องอะไร แม่นางเฉินไม่เคยรำคาญ ยามที่รับฟังเขาพูด นางก็จะมองเขาอย่างตั้งใจ ดวงตาคู่นั้นของแม่นางเฉิน หยวนไหลไม่กล้ามองนานนัก แต่ก็มักจะอดไม่ไหวเหลือบมองไปบ่อยๆ
ดวงตาของแม่นางเฉินก็คือดวงจันทร์กระจ่าง
ใต้หล้ามีดวงจันทร์เพียงดวงเดียว ไม่ว่าใครเงยหน้าก็ล้วนมองเห็น ไม่ใช่เรื่องประหลาด
ทว่าแสงจันทร์ในดวงตาของแม่นางเฉินมีเพียงเขาหยวนไหลคนเดียวที่มองไปแล้วสังเกตเห็น
คืนนี้ไม่รู้ว่าเหตุใดข้างกายของแม่นางเฉินถึงมีพี่สาวของเขาเดินมาด้วย พวกนางเดินขึ้นเขาด้วยท่าเดินนิ่งที่เป็นขั้นพื้นฐานตื้นเขินมาด้วยกัน
หยวนไหลจึงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย จะนั่งจะยืนก็ไม่เป็นสุข กังวลว่าพี่สาวที่ปากเร็วโผงผางผู้นั้นจะสั่งสอนว่าเขาไม่ทำตัวเป็นการเป็นงานต่อหน้าแม่นางเฉิน ถ้าอย่างนั้นวันหน้าแม่นางเฉินจะยังยินดีถามเขาอีกหรือว่ากำลังอ่านตำราอะไร?
หยวนเป่าและเฉินยวนจีเดินมาถึงบนยอดเขาพร้อมกัน พวกนางหยุดท่าหมัด แม่นางสองคนที่ต่างก็มีความงามในแบบของตัวเองพูดคุยหัวเราะกันอย่างถูกคอ แต่ว่าหากคิดจะเปรียบเทียบกันจริงๆ แน่นอนว่าความงามของเฉินยวนจีต้องมากกว่า
หยวนเป่าเคยประลองฝีมือกับเฉินยวนจีเป็นการส่วนตัวมาก่อน ทั้งคู่ต่างก็เคยชนะแล้วก็เคยแพ้ ทั้งสองฝ่ายเพิ่งฝึกหมัดได้ไม่นานเท่าไร ดังนั้นจึงนัดหมายกันว่าในอนาคตพวกนางจะต้องเลื่อนเป็นขอบเขตร่างทองในตำนานด้วยกัน
หยวนไหลนั่งอยู่ห่างไปไม่ไกล จะอ่านหนังสือก็ไม่ใช่ จะจากไปก็ตัดใจไม่ลง เขาหน้าแดงเล็กน้อย ได้แต่เงี่ยหูตั้งใจฟังเสียงไพเราะเสนาะหูของแม่นางเฉินที่กำลังพูดคุย เพียงแค่นี้เขาก็พอใจแล้ว
เด็กสาวสองคนนั่งเคียงบ่ากัน หยวนเป่าเล่าว่าวิชาวรยุทธของอาจารย์ตนเลิศล้ำ ความสามารถก็น่าตื่นตะลึง พิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด ไม่มีอะไรที่ทำไม่เป็น
เฉินยวนจีจึงพูดถึงความดีมากมายของท่านอาจารย์ผู้เฒ่าจู มีเมตตาน่าใกล้ชิดสนิทสนม ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความดี ทำอาหารรสเลิศได้โต๊ะใหญ่
หยวนไหลมองลงไปด้านล่าง เห็นแม่นางน้อยสามคน คนที่เป็นหัวหน้าคือคนที่ตัวสูงที่สุด เป็นเด็กหญิงที่ประหลาดมากคนหนึ่ง มีนามว่าเผยเฉียน เป็นตัวป่วนคนหนึ่ง เวลาอยู่กับอาจารย์และผู้อาวุโสจูเหลี่ยน คำพูดคำจาของนางไม่เคยมีความกริ่งเกรง ใจกล้าอย่างถึงที่สุด ภายหลังหยวนไหลถามอาจารย์ถึงได้รู้ว่าที่แท้เผยเฉียนผู้นี้ก็คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นั้น อีกทั้งในอดีตยังออกจากบ้านเกิดมาพร้อมกับพวกอาจารย์สี่คน ต้องเดินทางร่วมกันมาไกลมาก ถึงได้เดินทางจากใบถงทวีปมาถึงแจกันสมบัติทวีป และมาถึงภูเขาลั่วพั่ว
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่สามารถเสกเมล็ดแตงหนึ่งกำมือออกมาได้ตลอดเวลาผู้นั้น ตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วยังไม่ได้สร้างศาลบรรพจารย์ที่เป็นทางการขึ้นมา ทว่านางกลับมีทำเนียบวงศ์ตระกูลของตัวเองแล้ว ในทำเนียบวงศ์ตระกูลนั้นนางชื่อว่าเฉินหรูชู แต่นางยังบอกว่าจะเรียกนางว่าหน่วนซู่ก็ได้ แล้วยังอธิบายอย่างละเอียดว่าคำว่าหน่วนซู่นี้เอามาจากสองตัวอักษรขึ้นต้นและลงท้ายประโยค ‘อากาศอบอุ่นของวสันตฤดูกระตุ้นพืชพรรณให้แตกหน่อ หุบเขาทะมึนแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่น รุ่งอรุณนกขมิ้นบินผ่านแมกไม้ น้ำค้างเปียกชื้นขนสีทองของพวกมัน’ ส่วนแม่นางน้อยชุดดำอีกคนที่แบกไม้เท้าเดินป่านั้น ท่าทางเซ่อซ่า ครั้งแรกที่พบเจอกันก็ถามเขาว่าเคยได้ยินชื่อทะเลสาบคนใบ้ของอุตรกุรุทวีปหรือไม่ รู้หรือไม่ว่าในทะเลสาบคนใบ้มีภูตน้ำใหญ่อยู่ตนหนึ่ง
เฉินยวนฉีเห็นเผยเฉียนก็ให้กลัดกลุ้มใจฝ่อเล็กน้อย
หยวนเป่าไม่ใคร่ยินดีจะสนใจภูเขาลูกน้อยบนภูเขาลั่วพั่วลูกนี้ เฉินหรูชูยังนับว่าดีหน่อย เพราะเป็นเด็กดีที่ว่านอนสอนง่าย ส่วนเด็กอีกสองคนนั้น หยวนเป่าชื่นชอบไม่ลงจริงๆ มักจะรู้สึกว่าพวกนางเหมือนเด็กสองคนที่เคยถูกประตูหนีบหัวมาก่อน ถึงได้ชอบทำเรื่องแปลกๆ กันอยู่เรื่อย ภูเขาลั่วพั่วบวกกับตรอกฉีหลง มีคนไม่มาก แต่กลับมีภูเขาถึงสามลูก จูเหลี่ยนผู้ดูแลใหญ่ เว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีและเจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตูก็คือภูเขาลูกหนึ่ง อยู่ด้วยกันนานเข้า หยวนเป่าจึงรู้สึกได้ว่าทั้งสามคนนี้ล้วนไม่ธรรมดา
พวกเด็กกลุ่มของเผยเฉียนนี้พอจะถือว่าเป็นภูเขาเล็กๆ ได้ลูกหนึ่ง
ส่วนสือโหรวเถ้าแก่ร้านยาสุ้ยและอาจารย์กับศิษย์สามคนในร้านฉ่าวโถวของตรอกฉีหลง ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างสนิทสนมกัน
เฉินหลิงจวินที่ชอบสวมชุดสีเขียวผู้นั้นก็ยิ่งไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ไม่ชอบอยู่บนภูเขาลูกใด
หยวนเป่าเคยถามเรื่องของเจ้าขุนเขาหนุ่มจากเฉินยวนจี เฉินยวนจีเองก็บอกไม่ถูก พูดแค่ว่าเขาไม่ใช่คนเลว ไม่มีมาดของเจ้าขุนเขาอะไร ชอบทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้าน ตลอดทั้งปีมักจะออกไปท่องเที่ยวอยู่ข้างนอก รู้แค่ว่าเขาให้อาจารย์ผู้เฒ่าจูคอยดูแลกิจการน้อยใหญ่ เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ
เผยเฉียนเองก็พูดคุยกับสองพี่น้องหยวนไหลหยวนเป่าไม่ถูกคอนัก นางพาเฉินหรูชูและโจวหมี่ลี่มาเล่นข้างนอกศาลเทพภูเขา หากไม่มีพวกคนนอกอย่างหยวนเป่าเฉินยวนจีอยู่ด้วย ซ่งอวี้จางที่ถูกเพื่อนร่วมงานเรียกอย่างเหน็บแนมว่า ‘เทพภูเขาหัวทอง’ ก็จะปรากฏตัวมาฟังเผยเฉียนเล่าเรื่องน่าสนใจของขุนเขาสายน้ำที่ได้ยินมาจากพ่อครัวเฒ่าและภูเขาพีอวิ๋น ซ่งอวี้จางเองก็จะพูดคุยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตอนที่ตนดำรงตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการงานเตาเผาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เผยเฉียนชอบฟังเรื่องหยุมหยิมพวกนี้เป็นที่สุด
เดินพ้นจากพวกหยวนเป่าสามคนมาค่อนข้างไกลแล้ว โจวหมี่ลี่ก็พลันเขย่งปลายเท้ากระซิบเสียงเบาข้างหูเผยเฉียน “ข้ารู้สึกว่าแม่นางน้อยที่ชื่อหยวนเป่าผู้นั้นค่อนข้างจะเซ่อซ่าอยู่บ้าง”
เผยเฉียนถลึงตาใส่ “เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่ว เหตุใดถึงได้นินทาคนอื่นลับหลัง?!”
โจวหมี่ลี่หงอยซึม
เผยเฉียนจึงหัวเราะคิกเอ่ยว่า “โง่หรือไร ยังต้องให้เจ้าพูดออกมาด้วยหรือ? พวกเราแค่รู้กันในใจก็พอแล้ว”
โจวหมี่ลี่คลี่ยิ้มกว้าง
เผยเฉียนยื่นมือมาลูบศีรษะน้อยๆ ของโจวหมี่ลี่ ก้มตัวลงเล็กน้อย พูดด้วยสีหน้าเมตตาว่า “ทุกวันกินข้าวมากขนาดนั้น ชามแล้วชามเล่า เหตุใดตัวถึงไม่สูงสักทีนะ?”
โจวหมี่ลี่เขย่งปลายเท้ายืดอกตั้ง
เผยเฉียนกดศีรษะโจวหมี่ลี่ลงเบาๆ พูดปลอบใจว่า “ปณิธานไม่ได้อยู่ที่ความสูง”
โจวหมี่ลี่ยิ้มปากกว้างจนหุบปากไม่ลง
เผยเฉียนยื่นมือสองข้างออกมาวางลงบนแก้มสองข้างของโจวหมี่ลี่แล้วตบเบาๆ ให้ปากของภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ผู้นี้หุบลง เอ่ยเตือนว่า “หมี่ลี่ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วแล้ว คนทั้งภูเขา ตั้งแต่ท่านเทพภูเขาซ่ง ไปจนถึงเจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ตรงตีนเขา และยังมีสองร้านในตรอกฉีหลงที่ใหญ่ขนาดนั้น ต่างก็รู้หน้าที่ของเจ้าแล้ว ชื่อเสียงของเจ้าโด่งดังจะตายไป ยิ่งอยู่ในตำแหน่งสูง เจ้าก็ยิ่งควรทบทวนตัวเองทุกวัน จะปล่อยให้หางชี้ขึ้นฟ้าไม่ได้ จะทำให้อาจารย์ของข้าเสียหน้าไม่ได้ เข้าใจหรือไม่?”
เฉินหรูชูมองไปทางภูเขาฮุยเหมิงที่อยู่ทางทิศเหนือ ที่นั่นก็เป็นภูเขาบ้านตนเหมือนกัน อาณาเขตกว้างใหญ่อย่างมาก ตอนนี้ภูเขาหลังอ๋าวได้ให้เกาะจูไชแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนเช่าไปแล้ว
เฉินหรูชูเอ่ยเสียงเบาว่า “ดูเหมือนว่าคราวนี้ท่านผู้เฒ่าจูจะออกจากบ้านไปนานมาก”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “ต้องไปหลายที่ ได้ยินมาว่าสถานที่ที่ไกลที่สุดก็ไกลถึงนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปโน่นแหละ”
เผยเฉียนหยิบถุงเงินใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “เคยบอกกับพวกเจ้าแล้วว่า ท่านน้ากุ้ยที่มอบถุงเงินให้ข้าคนนั้นก็คือผู้อาวุโสเทพเซียนของนครมังกรเฒ่า ยามที่นางยิ้มน่ามองนักล่ะ”
โจวหมี่ลี่ถาม “ขอข้าดูหน่อยได้ไหม?”
เผยเฉียนยื่นส่งไปให้ “ห้ามจับพลิกมั่วซั่ว ด้านในล้วนบรรจุสมบัติที่มีมูลค่าควรเมืองเอาไว้”
โจวหมี่ลี่รับถุงเงินมา “หนักจริงๆ”
เผยเฉียนกระตุกมุมปาก แค่นเสียงพูด “นี่ก็คือกำลังทรัพย์ของตระกูล!”
เผยเฉียนกระโดดขึ้นไปบนราวรั้วของยอดเขา แล้วออกหมัดเนิบช้าดุจเมฆเคลื่อนคล้อยสายน้ำไหลเลียนแบบอาจารย์ตัวเอง
ทุกครั้งที่หยุดชะงักอย่างฉับพลันแล้วสะบัดชายแขนเสื้อ ก็จะเกิดเสียงดังราวสายฟ้าคำรณอื้ออึง
กระทืบเท้าเล็กน้อย ตลอดทั้งราวรั้วก็แตกเป็นฝุ่นผงที่พอถูกกระเทือนก็ปลิวหายไป
น่าเสียดายที่คนสามคนบนขั้นบันไดลงจากภูเขาไปแล้ว
……
คนทั้งกลุ่มนั่งโดยสารเรือตระกูลเซียนของภูเขาหนิวเจี่ยวเพิ่งจะออกจากอาณาเขตของต้าหลีเก่า มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ใจกลางของแจกันสมบัติทวีป
แจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ อันที่จริงเปลี่ยนมาใช้แซ่ซ่งแล้ว
หลิวจ้งรุ่นสวมหน้ากากสตรีแผ่นหนึ่งที่จูเหลี่ยนยื่นมาให้ รูปโฉมปานกลาง นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะประทินโฉมในห้อง นิ้วมือปาดจอนผมเบาๆ ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เพียงแต่พอคิดถึงการค้นหาสมบัติในครั้งนี้ นางก็ยังอดกระวนกระวายใจไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรตำหนักวารีและเรือมังกรสองอย่างนี้ ในฐานะองค์หญิงผู้ว่าราชการหลังม่านของแคว้นในอดีต คิดจะตามหานั้นง่าย เพียงแต่ว่าควรจะเอากลับมาเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างไร นั่นต่างหากจึงจะเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้า แต่ในเมื่อจูเหลี่ยนบอกแล้วว่าคนบนภูเขาย่อมมีแผนการอันเลิศล้ำ หลิวจ้งรุ่นจึงได้แต่เดินก้าวหนึ่งดูตามไปก้าวหนึ่ง เชื่อว่าในเมื่อนักบัญชีแห่งเกาะชิงเสียผู้นั้นยินดีจะมอบอำนาจใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วให้คนผู้นี้ จูเหลี่ยนก็น่าจะไม่ใช่พวกคนที่ดีแต่คุยโวโอ้อวดอย่างเดียวเท่านั้น