กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 561.1 เสียงกลองยามเช้า เสียงระฆังยามเย็น ไร้ซึ่งควันไฟหุงหาอาหาร
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 561.1 เสียงกลองยามเช้า เสียงระฆังยามเย็น ไร้ซึ่งควันไฟหุงหาอาหาร
บนภูเขาลั่วพั่ว เจ้าขุนเขาหนุ่มออกเดินทางไกล ผู้เฒ่าบนชั้นสองก็ออกเดินทางไกลเหมือนกัน บนเรือนไม้ไผ่จึงไม่มีใครพักอาศัยอยู่อีก
ช่วงนี้เฉินหลิงจวินไม่ออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกแล้ว แต่มักจะมานั่งอยู่ที่โต๊ะหินริมหน้าผาบ่อยๆ
เขารู้ว่าตัวเองคือคนที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบที่สุดบนภูเขาลั่วพั่ว สู้งูเหลือมไฟน้อยชะตาบุ๋นที่มีชาติกำเนิดจากหอจือหลันสกุลเฉาที่ขยันคล่องแคล่วไม่ได้ ถึงขั้นไม่น่ารักเซ่อซ่าเหมือนเจ้าตัวน้อยโจวหมี่ลี่ เฉินยวนจีเป็นคนที่จูเหลี่ยนพาขึ้นเขามา คุณสมบัติไม่เลว ฝึกวิชาหมัดก็ถือว่าทนความลำบากได้ ชีวิตในแต่ละวันยุ่งอยู่กับการฝึกหมัดอีกทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สือโหรวดูแลกิจการที่ร้านในเมืองเล็ก ได้เงินมาไม่มาก แต่ถึงอย่างไรก็ช่วยภูเขาลั่วพั่วหาเงินมาได้ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเผยเฉียน ขอแค่เผยเฉียนมีเวลาว่างก็จะต้องไปดูสือโหรวที่นั่น แม้ปากจะบอกว่ากลัวสือโหรวจะฮุบเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง แต่แท้จริงแล้วก็แค่กลัวว่าสือโหรวจะรู้สึกว่าถูกภูเขาลั่วพั่วเมินเฉยเท่านั้น
มีเพียงเขาเฉินหลิงจวินที่ให้ตายก็ยังต้องรักษาหน้าตา จึงมีชีวิตลำบากเช่นนี้ ไม่ว่าทำอะไรพูดอะไรก็ล้วนไม่เป็นที่ชื่นชอบ
พี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงคนนั้น หลังจากเข้าร่วมงานเลี้ยงเทพท่องราตรีสามครั้งก็ยิ่งเกรงใจมีมารยาทกับตนมากขึ้น แต่ความเกรงใจเช่นนี้กลับทำให้เฉินหลิงจวินผิดหวังอย่างมาก ถ้อยคำประจบเอาใจบางอย่างพูดด้วยความกระตือรือร้นจนเฉินหลิงจวินปรับตัวไม่ทัน
เขาชอบช่วงเวลาตอนอยู่ในจวนน้ำ ได้ดื่มเหล้าถ้วยใหญ่กินเนื้อชิ้นโต พูดจาหยาบคาย ด่าพ่อด่าแม่กันและกันมากกว่า
แต่เฉินหลิงจวินก็ไม่ใช่คนโง่ เรื่องราวหลายอย่างเขาล้วนมองเห็น
ยกตัวอย่างเช่นการจากไปยังพื้นที่มงคลรากบัวของผู้อาวุโสชุยครั้งนี้ อีกฝ่ายจะต้องไม่มีทางได้กลับมาอีกแน่นอน
ทว่าแม้แต่คำลาสักคำ เขาเฉินหลิงจวินกลับพูดไม่ออก ตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าชุดเขียวพาเผยเฉียนจากไป เขาได้แต่มานั่งเหม่ออยู่ตรงนี้ แสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่รู้อะไรสักอย่าง
ปกติช่วงเช้าตรู่จะต้องเป็นเวลาที่เผยเฉียนขึ้นชั้นสองไปกินหมัด
ทว่าตอนนี้เรือนไม้ไผ่กลับเงียบสงัด
เฉินหลิงจวินฟุบตัวลงบนโต๊ะ ตรงหน้ามีเมล็ดแตงที่ไปแย่งมาจากเฉินหรูชู วันนี้แสงอาทิตย์อบอุ่น สาดส่องลงมาจนเขาไร้เรี่ยวแรง แม้แต่แรงจะแทะเมล็ดแตงก็ยังไม่มี
กำลังคิดว่าควรจะไปที่ประตูภูเขาหาเรื่องคุยเล่นกับพี่น้องต้าเฟิงดีหรือไม่ พี่น้องต้าเฟิงยังพอจะมีคุณธรรมในยุทธภพอยู่บ้าง เพียงแค่ชอบพูดจาหยาบโลนเข้าใจยาก หลังคุยเสร็จต้องขบคิดอยู่นานกว่าจะเข้าใจความหมาย
เฉินหลิงจวินหันหน้าไปมองทางแถบที่ตั้งของเรือนทั้งหลาย พ่อครัวเฒ่าไม่อยู่บนภูเขา เผยเฉียนก็ไม่อยู่ เฉินยวนจีทำอาหารไม่เป็น แล้วก็กลัวความยุ่งยาก จึงให้นังหนูเฉินหรูชูช่วยเตรียมอาหารและของกินเล่นมาไว้ให้ โจวหมี่ลี่ก็เป็นภูตน้ำน้อยที่อันที่จริงไม่ต้องกินข้าวก็ได้ ดังนั้นบนภูเขาจึงไม่ควันไฟจากการหุงหาอาหาร ดอกท้อดอกหลีเรียงรายซ้อนเป็นชั้นบนภูเขา ควันไฟระหว่างก้อนเมฆคือบ้านคน
เฉินหลิงจวินรู้สึกว่าภูเขาลั่วพั่วในเวลานี้มีคนน้อยลงแล้ว ต่างคนต่างยุ่งวุ่นวายกับหน้าที่ของตัวเอง กลิ่นอายของมนุษย์จึงเจือจางลงไปเยอะมาก
เฉินหลิงจวินย้ายสายตามองไปทางชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ตอนที่ตาเฒ่าอยู่ เขามักจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวกระวนกระวายใจ เฉินหลิงจวินรู้สึกว่าชีวิตนี้ตนไม่อาจรับหมัดสองหมัดของผู้เฒ่าได้ แต่พออีกฝ่ายไม่อยู่ ในใจกลับวูบโหวง
เฉินหลิงจวินถอนหายใจหนักๆ ยื่นมือไปคีบเมล็ดแตงขึ้นมาเมล็ดหนึ่ง คิดว่าจะไม่แกะเปลือก แต่จะเคี้ยวไปเลย หาเรื่องทำแก้เบื่อเสียหน่อย
แต่จากนั้นเฉินหลิงจวินก็ต้องชะงักตัวแข็งทื่อ วางเมล็ดแตงกลับลงไปเบาๆ ขยับก้นเล็กน้อย ค่อยๆ เบี่ยงศีรษะออก คิดว่าจะหันหน้าออกไปนอกหน้าผาให้ดูเป็นธรรมชาติเสียหน่อย
คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่สวมชุดสีเขียวซึ่งปรากฏตัวจากความว่างเปล่าคนนั้นจะคลี่ยิ้มให้เขา
เฉินหลิงจวินกลืนน้ำลาย ลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะ “เฉินหลิงจวินคารวะใต้เท้าราชครู”
ซิ่วหู่แห่งต้าหลี ชุยฉาน
คือบุคคลร้ายกาจที่สามารถบดขยี้เขาให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียว
เฉินผิงอันไม่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ตาเฒ่าก็ไม่อยู่บนเรือนไม้ไผ่ จูเหลี่ยนกับเว่ยป้อก็ไปเยือนอาณาเขตของขุนเขากลางด้วยกัน ตอนนี้เขาเฉินหลิงจวินไม่มีที่พึ่งเลย!
ชุยฉานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไปทำธุระของเจ้าเถอะ”
เฉินหลิงจวินชำเลืองตามองทางหินเขียวเส้นเล็กที่ทอดยาวจากเรือนไม้ไผ่ไปยังเรือนพักก็รู้สึกว่าน่าจะหมดหวัง จึงเอ่ยลาหนึ่งคำแล้วไต่ปีนลงไปจากหน้าผาเสียเลย เส้นทางนี้อยู่ห่างจากราชครูผู้นั้นมาไกลหน่อย ค่อนข้างจะปลอดภัยกว่า
ชุยฉานนึกถึงสีหน้าที่งูน้อยชุดเขียวตัวนี้หันมองไปทางเรือนไม้ไผ่ก่อนหน้านั้นก็คลี่ยิ้ม
แล้วจึงเกิดแผนการเล็กน้อยๆ ขึ้นมาในใจ เป็นการกระทำง่ายๆ ที่ถือโอกาสทำไปด้วยกันได้ ไม่ต้องระดมกำลังให้ครึกโครม
ทางฝั่งภูเขาใหญ่แถบตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียน หนึ่งในนั้นมีภูเขาที่ใครบางคนยึดครองไว้ก่อนชั่วคราว ดูเหมือนจะเหมาะให้เป็นที่พักพิงของเผ่าพันธุ์เจียวหลง
ชุยฉานยืนอยู่บนระเบียงชั้นสอง รอคอยให้ใครบางคนมาถึงอย่างเงียบๆ
รุ้งยาวสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งมาจากขอบฟ้าไกลพร้อมด้วยพลังอำนาจดุดันดุจเสียงสายฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ พุ่งพรวดมาถึงอย่างรวดเร็ว
กฎเกณฑ์ที่หร่วนฉงตั้งไว้ ไม่สนใจทั้งนั้น
ชุยฉานส่ายหน้า ถอนหายใจอยู่ในใจ โชคดีที่ตนบอกกล่าวกับหร่วนฉงไว้ก่อนแล้ว
เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วคนหนึ่ง ในมือถือไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวธรรมดาเดินทางมาถึงด้วยสีหน้าท่าทางเหนื่อยล้า
ชุยตงซานพลิ้วกายลงบนพื้นที่ว่างเปล่าของชั้นหนึ่ง ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้ามันตะพาบเฒ่า วันๆ มัวแต่กินขี้อยู่หรือไง ถึงได้ไม่รู้จักขัดขวางไม่ให้ท่านปู่ไปที่พื้นที่มงคลแห่งนั้น?!”
ชุยฉานย้อนถาม “ขวางไว้ได้แล้ว แล้วอย่างไร?”
ชุยตงซานโมโหจนหน้าเขียว “ขวางไว้ได้วันหนึ่งก็คือวันหนึ่ง จะรอให้ข้ามาถึงก่อนไม่ได้หรือไง?! จากนั้นเจ้าอยากจะไสหัวไปไหนก็ไปให้ไกลๆ เลย!”
ชุยฉานมีสีหน้าเฉยเมย
ชุยตงซานพลันสงบอารมณ์ลงได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ไม่ว่าจะด้านการอ่านตำราศึกษาหาความรู้ ฝึกวิชาหมัด หรือวางตัวอยู่ร่วมสังคมกับผู้อื่น ท่านปู่ล้วนรุดหน้าไปอย่างไม่กลัวอุปสรรคใดๆ มีเพียงครั้งเดียวที่ยอมถอยให้ ก็เพื่อหลานระยำที่สมองมีรูอย่างพวกเราสองคน! การถอยครั้งนี้ก็เท่ากับจบเห่แล้ว ขอบเขตวรยุทธสิบเอ็ดไม่มีแล้ว! เมื่อไม่มีขอบเขตสิบเอ็ด คน ก็ต้องตาย!”
ชุยฉานกล่าว “ยังทำเพื่ออาจารย์ของเจ้า เพื่อภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ด้วย”
ชุยตงซานก้าวถอยหลังไปนั่งแปะลงข้างโต๊ะหิน มือสองข้างค้ำไม้เท้าเดินป่า ก้มหน้าลงกัดฟันกรอด
บางทีอาจเป็นเพราะทนนั่งอยู่ไม่ไหว ชุยตงซานจึงลุกขึ้นยืน เดินสาวเท้าก้าวเร็วๆ วนอยู่ที่เดิม
ชุยฉานมองเจ้าคนที่ร้อนใจจนจนหัวหมุนผู้นั้นแล้วเอ่ยเนิบช้า “แม้แต่ข้าเจ้าก็ยังสู้ไม่ได้ ขนาดเรื่องที่ว่าท่านปู่ห่วงใยอะไร เหตุใดถึงต้องยอมเสียสละครั้งนี้ก็ยังไม่คิดไตร่ตรองให้ดี มาแล้วอย่างไร มีความหมายหรือ? บอกให้เจ้าไปพื้นที่มงคลรากบัว ต่อให้เจอตัวท่านปู่แล้วจะมีประโยชน์อะไร? บางทีอาจจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง นั่นคือทำให้ท่านปู่จากไปอย่างสบายใจ”
ชุยตงซานหยุดเดิน สายตากร้าวกระด้าง “ชุยฉาน! เจ้าพูดจาระวังปากด้วย!”
ชุยฉานกล่าว “ชุยตงซาน เจ้าควรมีหัวคิด ควรเข้าใจอะไรได้บ้างแล้ว ไม่ใช่ว่าได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนอีกครั้งแล้วเจ้าชุยตงซานจะมีคุณสมบัติมากระโดดโลดเต้นต่อหน้าข้าได้”
ชุยตงซานนั่งลงเบาๆ กอดไม้เท้าเดินป่าสีเขียวไว้ในอ้อมอก ไม่หันไปมองทางชั้นสองอีก เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ศึกตรีจตุครั้งนั้น เหตุใดท่านปู่จะต้องเข้าร่วมด้วย? แล้วเหตุใดท่านปู่ถึงได้เสียสติ? ไม่ใช่พวกเราที่ทำร้ายเขาหรือ? ท่านปู่เป็นบัณฑิต จึงหวังมาโดยตลอดว่าพวกเราจะเป็นบัณฑิตที่แท้จริงเหมือนกัน ความรู้ที่ท่านปู่เล่าเรียนมาตลอดชีวิต รากฐานความรู้ของเขาคือสายของหย่าเซิ่งเชียวนะ เหตุใดตอนอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ท่านปู่กลับต้องออกหมัดใส่สายเหวินเซิ่งของพวกเราอย่างเดือดดาล? แล้วเหตุใดพวกเราถึงต้องหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน ทำให้ท่านปู่ผิดหวังยิ่งกว่าเดิม?”
คราวนี้ชุยฉานยกฝ่ามือตบผลัวะลงบนระเบียงไม้ไผ่ ในที่สุดก็เดือดดาลขึ้นมา “ถามข้า?! ถามฟ้าดิน ถามความรู้สึกผิดชอบชั่วดีดูสิ!”
สีหน้าชุยตงซานเหม่อลอย มือทั้งสองกำไม้เท้าเดินป่าแน่น “ค่อนข้างเหนื่อย ถามไม่ไหวแล้ว”
ชุยตงซานนึกขึ้นได้ว่าตอนที่ยังเป็นเด็ก ตนถูกผู้เฒ่าคร่ำครึเข้มงวดคนนั้นพาขึ้นเขาสูงไปด้วยกัน ระยะทางนั้นช่างยาวไกล ทำให้เด็กน้อยรู้สึกทุกข์ทรมานจนพูดไม่ออก
มีวันหนึ่งผู้เฒ่าเดินขึ้นบันไดไป ไม่สนใจสักนิดว่าเด็กน้อยด้านหลังมีเหงื่อท่วมเต็มตัว เอาแต่เดินขึ้นเขาสูงไปเพียงลำพัง
ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าจะจงใจทำให้หลานชายตัวเองโมโห ไม่เพียงแต่เดินห่างไปไกลไม่ยอมรอ ยังท่องบทกวีของนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงของแผ่นดินกลางออกมาเสียงดัง ประโยคที่บอกว่า ดูเหมือนเจ้าจะไม่มีความแข็งแรงกำยำของชายชาตรี ข้าก็คิดอยู่ว่าจะถือพู่กันใหญ่ดุจเสายาวได้อย่างไร!
เด็กน้อยจึงจดจำบทกวีบทนั้นไว้อย่างแม่นยำ ภายหลังคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่เด็กน้อยเติบโตกลายเป็นเด็กหนุ่มก็ได้ออกจากบ้านไปด้วยความโกรธเคือง อีกทั้งยังกราบไหว้เข้าเป็นลูกศิษย์ในสำนักของซิ่วไฉเฒ่า แล้วอยู่ดีๆ ซิ่วไฉเฒ่าก็กลายเป็นเหวินเซิ่ง อยู่ดีๆ คนหนุ่มจึงกลายเป็นลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง และในที่สุดก็ได้มีโอกาสได้พบกับอริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งทวีปแผ่นดินกลางคนนั้น เพียงแต่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว คนหนุ่มที่มีหน้ามีตาเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวายิ่งกว่าคนวัยเดียวกันทุกคน แท้จริงแล้วในใจกลับมีความคิดเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือหากในอนาคตมีโอกาสได้ย้อนกลับไปยังบ้านเกิด จะต้องพูดเรื่องนี้ให้ท่านปู่ของตัวเองฟัง บอกว่าหากว่ากันด้วยเรื่องบทความแล้ว คนผู้นั้นที่ท่านเลื่อมใสกลับพ่ายแพ้ให้กับหลานชายของท่าน เรื่องของการเล่นหมากล้อม ก็ยิ่งพ่ายแพ้จนต้องกระตุกหนวดถอนเครา
เพียงแต่ว่าคำพูดดีๆ มากมายในชีวิตที่เก็บสะสมไว้ในท้อง ตอนที่สามารถพูดได้ กลับไม่ยอมพูดมันออกมา ตอนที่อยากพูด กลับพูดไม่ได้อีกแล้ว
เขตการปกครองหลงเฉวียนที่ห่างไปไกลมีเสียงระฆังยามเช้าดังแว่วมา
เมื่อเสียงระฆังดัง ประตูเมืองก็จะเปิดออก ชาวบ้านนับหมื่นครัวเรือนตื่นขึ้นมาทำมาหากิน จนกระทั่งยามสนธยาที่เสียงกลองดังถึงจะหยุดพัก นั่นก็คือช่วงเวลาที่คนทั้งครอบครัวได้กลับมารวมตัวกันพร้อมหน้า อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง
……
เขตการปกครองอวี๋ชุนที่อยู่ใกล้กับตีนเขาของขุนเขากลางแห่งใหม่ของต้าหลีคือเขตที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ อยู่ในราชวงศ์จูอิ๋งก็ไม่ถือว่าเป็นพื้นที่เจริญรุ่งเรืองอะไร ไม่ว่าจะโชคชะตาบุ๋นหรือโชคชะตาบู๊ก็ล้วนธรรมดา ฮวงจุ้ยสามัญ ไม่สามารถได้พึ่งใบบุญของขุนเขาใหญ่อย่างภูเขาเช่อจื่อแห่งนั้น อู๋ยวนที่เป็นเจ้าเมืองคนใหม่คือคนต่างถิ่นคนหนึ่ง ว่ากันว่าเดิมทีเคยเป็นเจ้าเมืองในพื้นที่แห่งหนึ่งของต้าหลีมาก่อน ถือว่าถูกย้ายมารับหน้าที่ในตำแหน่งเดิม เพียงแต่ว่าคนฉลาดในวงการขุนนางล้วนรู้กันว่าเจ้าเมืองอู๋ถูกลดระดับขั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่ออยู่ห่างจากสายตาของทางราชสำนักก็เท่ากับว่าสูญเสียโอกาสที่จะได้เลื่อนเข้าสู่ใจกลางของราชสำนักอย่างรวดเร็วไปแล้ว ขุนนางที่ถูกส่งตัวให้มาอยู่ในแคว้นใต้อาณัติ แต่กลับไม่ได้เลื่อนขั้นสูงขึ้น ชัดเจนว่าเป็นคนผิดหวังที่ต้องมานั่งเก้าอี้เย็นชืด คาดว่าสาเหตุคงเป็นเพราะไปล่วงเกินใครเข้า
เพียงแต่ว่าต่อให้อนาคตในวงการขุนนางของเจ้าเมืองอู๋จะมืดมนแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนของต้าหลีมาตั้งแต่กำเนิด อีกทั้งอายุยังน้อย นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้ว่าในจังหวัดเหลียงโจวซึ่งเป็นผู้ดูแลเขตการปกครองอวี๋ชุนแอบสั่งความขุนนางในเขตอวี๋ชุนทุกคนว่าจำเป็นต้องปฏิบัติต่ออู๋ยวนอย่างมีมารยาท หากการกระทำของขุนนางใหม่ที่อาจจะอยากโอ้อวดความสามารถคนนี้ไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมท้องถิ่น ก็ต้องอดทนข่มกลั้นเอาไว้ โชคดีที่หลังจากอู๋ยวนเข้ารับตำแหน่งแล้วก็แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แค่มาเรียกชื่อขุนนางที่ให้เข้าทำงานตามเวลาเท่านั้น งานการน้อยใหญ่ล้วนมอบให้คนในที่ว่าการที่เคยทำเป็นผู้จัดการ หลายครั้งที่มีโอกาสเผยโฉมปรากฏตัวก็ล้วนมอบโอกาสให้ขุนนางผู้ช่วยที่มีความอาวุโสในที่ว่าการไป บรรยากาศตลอดทั้งบนและล่างนับว่ากลมเกลียวอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ว่านิสัยที่อ่อนนุ่มปวกเปียกเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดใจดูแคลนอย่างเลี่ยงไม่ได้
วันนี้เจ้าเมืองหนุ่มมานั่งทำงานที่น่าเบื่ออยู่ในที่ว่าการเฉกเช่นทุกวัน บนโต๊ะแผ่อักขรานุกรมภูมิศาสตร์และแผนที่ของสถานที่ต่างๆ ไว้จนเต็ม เขาค่อยๆ อ่านมันไปช้าๆ บางครั้งก็ยกพู่กันขึ้นมาวาดบางอย่าง
จิตของอู๋ยวนรับสัมผัสได้จึงเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ได้เห็นใบหน้าของคนคุ้นเคยที่กำลังยืนเอนพิงกรอบประตูห้อง อู๋ยวนอารมณ์ดีโดยพลัน เขาคลี่ยิ้มลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะเอ่ยว่า “ซานจวินมาเยี่ยมเยือน โปรดอภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับแต่ไกล”
ก็คือเว่ยป้อที่สลายเวทอำพรางตาออกไป
เว่ยป้อเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ยิ้มกล่าวว่า “ใต้เท้าอู๋ไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไรเลยนะ งานเลี้ยงท่องราตรีครั้งก่อนหน้านี้แค่ส่งเทียบแสดงความยินดีไปให้แค่เทียบเดียว”
อู๋ยวนยิ้มพูดอย่างตรงไปตรงมา “เงินเดือนน้อยนิด ใช้เลี้ยงชีพตัวเองก็สองในสิบส่วน ใช้ซื้อตำราก็หมดไปห้าหกในสิบส่วน เงินขาวที่เหลือในแต่ละเดือนต้องเก็บหอมรอมริบอย่างยากลำบาก ก็เพราะไปถูกใจแท่นฝนหมึกโบราณแท่นหนึ่งในเขตการปกครองอวิ๋นซิ่งที่อยู่ติดกันเข้า ต่อให้ตบหน้าให้บวมก็ยังเป็นคนอ้วนไม่ได้จริงๆ ก็เลยคิดว่าอยู่ห่างไกลกันขนาดนี้ ถึงอย่างไรใต้เท้าซานจวินก็คงไม่ถึงขั้นไล่ตามมาซักไซ้เอาโทษ ไหนเลยจะคิดว่าซานจวินจะเอาจริง ถึงขั้นตามมาถึงที่นี่แบบนี้”
เว่ยป้อบิดหมุนข้อมือ บนมือก็มีแท่นฝนหมึกหินปาเจียวเหล่าเคิงที่มีชื่อเสียงในอดีตราชวงศ์จูอิ๋งเพิ่มมาชิ้นหนึ่ง เขาวางมันลงบนโต๊ะเบาๆ “ใต้เท้าอู๋ไม่มีน้ำใจ แต่ข้าเว่ยป้อกลับไม่เหมือนกัน เดินทางไกลเป็นพันลี้มาหาสหายเก่าแล้วยังไม่ลืมอ้อมไปซื้อของขวัญมาให้ด้วย”
อู๋ยวนโน้มตัวไปจ้องแท่นฝนหมึกโบราณเก่าแก่ที่น่ารักน่ามองชิ้นนั้น ยื่นมือไปลูบลวดลายของมันอย่างประณีต แล้วพูดอย่างตกตะลึงระคนยินดีว่า “เยี่ยมไปเลย นี่คือแท่นฝึกหมึกปาเจียวชั้นเยี่ยมใต้น้ำของหลุมเจียวมรกตแห่งนั้น ประเด็นสำคัญคือแม่ทัพบู๊ต้าหลีของเราที่ตั้งค่ายเฝ้าพิทักษ์ที่นั่น ก่อนหน้านี้ได้ปิดผนึกหลุมเก่าแก่แห่งนี้ไปแล้ว แล้วยังส่งให้คนมีวรยุทธไปเฝ้าที่หลุมโดยเฉพาะอีกด้วย ชัดเจนว่าอีกไม่นานมันก็จะกลายเป็นของบรรณาการที่เอาไว้ให้ฮ่องเต้ของพวกเราใช้ เป็นเหตุให้ราคาของแท่นฝนหมึกโบราณที่ทำมาจากหินของหลุมแห่งนี้ซึ่งเดิมก็มีจำนวนอยู่ในตลาดไม่มากยิ่งสูงจนน่าตกใจเข้าไปอีก ข้าเป็นเจ้าเมืองร้อยปีก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหาเงินมาซื้อมันได้”
อู๋ยวนถอนสายตากลับอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะมองเทพชุดขาวแล้วยิ้มถามว่า “ใต้เท้าซานจวิน มีอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ มีแท่นฝนหมึกปาเจียวที่มูลค่าควรเมืองชิ้นนี้ ข้าน้อยรับรองว่าจะพูดทุกเรื่องที่รู้ไม่มีหมกเม็ดไว้แน่นอน”
เว่ยป้อถาม “จิ้นชิงซานจวินแห่งขุนเขากลางเป็นคนอย่างไร?”
ขุนเขากลางแห่งใหม่ของต้าหลี จิ้นชิงซานจวินเคยเป็นองค์เทพขุนเขาอันดับหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋ง กึ่งกลางภูเขามีบ่อชำระกระบี่ที่สภาพแวดล้อมดีเยี่ยมอยู่แห่งหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่จำนวนมากมักจะมาหล่อหลอมขัดเกลาคมกระบี่กันที่นี่ และจิ้นชิงก็มักจะแอบเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้พวกเขาอยู่บ่อยๆ เป็นเหตุให้ไม่เพียงแต่มีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับราชวงศ์จูอิ๋งที่มีผู้ฝึกกระบี่มากที่สุดในทวีป ยังผูกบุญสัมพันธ์ควันธูปกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของทวีปอีกมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าที่สนิมสนมกับจิ้นชิงซานจวินเป็นอย่างยิ่ง ว่ากันว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ในอดีตหลี่ถวนจิ่งเคยมาท่องเที่ยวราชวงศ์จูอิ๋งแล้วเกิดความขัดแย้งกับคนมากมาย หนึ่งในนั้นคือองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือที่เคยเกือบจะเปิดศึกอันตรายต่อกัน ด้วยเหตุนี้จิ้นชิงยังยอมแตกหักกับสหายร่วมงานอย่างซานจวินขุนเขาเหนือใต้สองท่าน เพราะยืนกรานจะคุ้มครองหลี่ถวนจิ่งที่ตอนนั้นมีตบะเป็นแค่ขอบเขตประตูมังกรส่งออกไปจากราชวงศ์จูอิ๋งอย่างปลอดภัย