กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 569.3 ศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว
หลายวันมานี้ เฉินผิงอันง่วนอยู่กับการนับทรัพย์สมบัติของตน ส่วนใหญ่ล้วนต้องเอาเข้าไปเก็บในคลังสมบัติของศาลบรรพจารย์ ซึ่งจำเป็นต้องบันทึกลงเอกสารอย่างละเอียด บางส่วนก็เตรียมเอาไว้ใช้ในงานพิธีการเมื่อการก่อสร้างสำเร็จ เตรียมไว้เป็นของขวัญที่เจ้าขุนเขาต้องมอบให้คนอื่น
เรื่องการป้อนหมัดให้เผยเฉียน เฉินผิงอันทำแค่ครั้งเดียวแล้วก็ไม่ทำอีก
ต่อให้ปากจะบอกว่าใช้ขอบเขตสี่ปะทะขอบเขตสี่ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับยังใช้ขอบเขตห้าคุมเชิงกับเผยเฉียน ผลกลับกลายเป็นว่ายังคงประเมินเรือนกายของเผยเฉียนต่ำเกินไป จึงปล่อยให้หมัดของเผยเฉียนต่อยเข้าหน้าตัวเองได้ แม้ว่าด้วยขอบเขตร่างทองจะทำให้เขาไม่ถึงขั้นบาดเจ็บ ยิ่งไม่ถึงขั้นมีเลือดไหล แต่ศักดิ์ศรีคนเป็นอาจารย์ของเฉินผิงอันกลับไม่เหลืออยู่แล้ว ไม่รอให้เฉินผิงอันขยับขอบเขตขึ้นสูง เตรียมจะใช้ขอบเขตหกป้อนหมัด คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะไม่ยอมประลองกับอาจารย์อีก นางไหล่ลู่คอตก พูดด้วยท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงว่าตัวเองไม่เคารพอาจารย์คือความผิดร้ายแรงถึงตาย อาจารย์ฆ่านางให้ตายเถอะ นางจะไม่เอาคืนเด็ดขาด หากนางกล้าตอบโต้ นางก็จะขับไล่ตัวเองออกจากสำนัก
แล้วยังจะต้องสอนวิชาหมัดกับผายลมอะไรอีก
หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กจึงเดินเปลือยเท้ามาที่ระเบียงของชั้นสอง ฟุบตัวลงบนราวระเบียง ชมทัศนียภาพไปด้วยกัน
ตรงหน้าประตูเรือนไม้ไผ่ที่อยู่ด้านหลังสองอาจารย์และศิษย์ มีรองเท้าสองคู่วางไว้อย่างเป็นระเบียบ
ทางฝั่งของลานบ้าน เว่ยป้อที่สองนิ้วคีบเม็ดหมากพลันวางเม็ดหมากกลับลงไปในโถเก็บ ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เล่นแล้วๆ เรือที่จูเหลี่ยนโดยสารมาเข้ามาในอาณาเขตของแคว้นหวงถิงแล้ว”
ตอนที่เจิ้งต้าเฟิงเล่นหมากล้อม โดยทั่วไปแล้วพวกเผยเฉียนจะพากันไปอยู่ไกลห่างจากเขา คนที่ถอดรองเท้าแคะขี้เล็บพลางแทะเมล็ดแตงไปด้วย อย่าเข้าใกล้จะดีกว่า
เจิ้งต้าเฟิงเองก็ไม่ถือสาที่เว่ยป้อเล่นแง่ หมากหนึ่งตาต้องเสียแค่หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น เป็นแค่การเดิมพันเล็กน้อยให้พอสนุก
ชุยตงซานที่ยืนอยู่ด้านข้างกางแขนสองข้างออกตลอดเวลา ปล่อยให้เผยเฉียนและโจวหมี่ลี่ห้อยตัวบนแขนคนละข้างแล้วโล้เล่นเป็นชิงช้า
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เว่ยซานจวินไปรับคนเถอะ ข้าจะเล่นต่อให้เอง พี่น้องต้าเฟิง ตกลงไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงชำเลืองตามองสถานการณ์บนกระดานหมาก ความได้เปรียบของเว่ยป้อผ่านพ้นไปแล้ว เพียงแต่ว่าชุยตงซานเอ่ยเช่นนี้ เจิ้งต้าเฟิงจึงไม่ได้รีบร้อนพูดว่าได้หรือไม่ได้ แต่มองกระดานอยู่หลายที ถึงได้ยิ้มเอ่ยว่า “ของรางวัลคืออะไร?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ต้องการของรางวัลเป็นอะไรล่ะ? ข้าไม่ขาดเงินสักหน่อย”
เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปาก “ได้สิ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาเล่นกันต่อ”
เผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่ถึงได้ปล่อยมือลงยืนบนพื้น
ชุยตงซานนั่งลงบนตำแหน่งของเว่ยป้อ คีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมาแล้ววางลงเบาๆ
เจิ้งต้าเฟิงชำเลืองตามองเว่ยป้อที่อยู่ด้านหลังชุยตงซาน ฝ่ายหลังยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ขอดูอีกสักพัก จูเหลี่ยนที่อยู่บนเรือกำลังฝอยน้ำลายแตกฟอง ช่วยหลอกคนให้ภูเขาลั่วพั่วอยู่ อย่าไปขัดเรื่องดีๆ ของเขาจะดีกว่า”
ชุยตงซานวางเม็ดหมากรัวเร็วราวกับบิน
เจิ้งต้าเฟิงไม่เชื่อหรอกว่าอีกฝ่ายจะเอาชนะเขาได้ ขนาดนี้แล้วจะยังกอบกู้สถานการณ์กลับมาได้อีกหรือ? เขาเองก็วางหมากไม่ช้าเหมือนกัน
ต่อให้เผชิญหน้ากับคนที่เล่นหมากล้อมจนออกมาเป็น ‘ตำราเมฆหลากสี’ เจิ้งต้าเฟิงก็ไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้
สุดท้ายแน่นอนว่าเจิ้งต้าเฟิงเลียนแบบเว่ยป้อด้วยการใส่เม็ดหมากกลับลงไปในโถ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ไม่เล่นแล้วๆ ข้าไปรับพี่น้องจูกับเว่ยป้อดีกว่า ขนาดไม่เจอกันวันเดียวยังรู้สึกยาวนานเหมือนสามใบไม้ร่วง นี่มันตั้งกี่วันมาแล้ว คิดถึงเขาชะมัดเลย”
ชุยตงซานไม่ถือสาแม้แต่น้อย เขาเรียกเฉินหรูชูที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ด้านข้างเงียบๆ มา “มา พวกเรามาเล่นกันต่อ ข้าช่วยพี่น้องต้าเฟิงวางหมากล้อม เจ้าเอาหมากสีขาวไป ไม่อย่างนั้นจะไม่มีอะไรให้ลุ้นเท่าไร”
เฉินหรูชูยิ้มพลางพยักหน้ารับ
นางชอบเล่นหมากล้อม
ไม่อย่างนั้นพอมีเวลาว่างก็คงไม่มานั่งดูพวกเว่ยป้อสามคนเล่นหมากล้อมอย่างตั้งใจหรอก
ชุยตงซานไม่ได้ลุกขึ้นยืน เพียงแค่สับเปลี่ยนตำแหน่งของโถเก็บเม็ดหมาก
ชุยตงซานและเฉินหรูชูเล่นหมากกระดานนั้นด้วยกันต่อ
เว่ยป้อกับเจิ้งต้าเฟิงเดินเคียงบ่ากันออกไปจากลานบ้าน
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “น่าอายเล็กน้อย”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “ก็นิดหน่อย โชคดีที่พี่น้องจูไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นเล่นกับเขา คาดว่าก็ยังต้องแพ้อยู่ดี”
ไม่รอให้พวกเขาเดินจากไปไกล
เฉินหลิงจวินก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า “เป็นไปได้อย่างไร นังหนูโง่นี่ทำไมถึงชนะได้ล่ะ?”
เฉินหรูชูพูดอย่างเขินอายว่า “เป็นอาจารย์ชุยที่จงใจแพ้ให้ข้า”
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “จะเป็นไปได้อย่างไร”
เผยเฉียนยืนอยู่ด้านหลังเฉินหรูชู สองมือกดลงบนบ่าทั้งสองของอีกฝ่ายหนักๆ พูดเสียงหนักว่า “หน่วนซู่! นับตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าก็คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งในด้านการเล่นหมากล้อมของภูเขาลั่วพั่วเราแล้ว! วันหน้าก่อนที่พ่อครัวเฒ่า เจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อจะเล่นหมากล้อม จะต้องค้อมคำนับเจ้าก่อนหนึ่งครั้งเพื่อแสดงความเคารพ!”
บนภูเขาลั่วพั่ว หลูป๋ายเซี่ยงก็มีเรือนพักเป็นของตัวเองเช่นกัน
ชื่อเรือน กรอบป้าย กลอนคู่ ฯลฯ สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ในเรือน ทางภูเขาลั่วพั่วต่างก็ปล่อยว่างไว้ รอให้เจ้าของเป็นคนตัดสินและจัดการเอาเอง
แรกเริ่มเฉินหรูชูรู้สึกว่าความคิดนี้ของจูเหลี่ยนมีกลิ่นอายของน้ำใจมนุษย์อย่างมาก นางจึงเห็นด้วยอย่างยิ่ง
แต่ตัวจูเหลี่ยนก็บอกเองแล้วว่า ภูเขาลั่วพั่วขาดเงินนี่นา ให้เจ้าพวกคนใจจืดใจดำพวกนี้ควักเงินจ่ายกันเองเถอะ
เว่ยเซี่ยนมานั่งเล่นอยู่ที่เรือนของหลูป๋ายเซี่ยง กำลังจิบเหล้าคำเล็กๆ บนโต๊ะวางกับแกล้มจานเล็กที่กินคู่กับเหล้าไว้ส่วนหนึ่ง ล้วนเป็นของที่ผู้ดูแลน้อยอย่างเฉินหรูชูเตรียมไว้ให้แต่เนิ่นๆ เจ้าของเรือนที่ต่างกันในแต่ละหลัง รสชาติการกินก็แตกต่างกัน จึงมีเหล้าและกับแกล้มที่ไม่เหมือนกัน
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของหลูป๋ายเซี่ยงอย่างคู่พี่น้องหยวนไหลหยวนเป่านั่งอยู่ด้านข้าง
หยวนเป่ามีความประทับใจที่ไม่เลวต่อเว่ยเซี่ยนที่เงียบขรึมพูดน้อย เมื่อเทียบกับความรู้สึกที่มีต่อจูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิงแล้ว ถือว่าดีกว่ามาก
ทางฝั่งของประตูภูเขา
จูเหลี่ยนถูกเว่ยป้อกระชากจากเรือข้ามฟากมาที่ภูเขาลั่วพั่วโดยตรง ผู้เฒ่าหลังค่อมที่สะพายห่อสัมภาระพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ต้องเดินทางไกลตากแดดตากลมอย่างเหนื่อยยาก กระดูกแก่ๆ นี้ของข้าก็ใกล้จะหลุดแยกออกจากกันเต็มทีแล้ว”
“อย่ามาร้องทุกข์โอดครวญกับพวกเรา ไม่มีประโยชน์สักนิด”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรข้าก็ถูกใครบางคนซ้อมจนขากะเผลกแล้ว เมื่อหลายวันก่อนต้องให้แม่นางเฉินคอยเฝ้าประตูภูเขาแทนอยู่ตลอด ส่วนเทพภูเขาเว่ยของพวกเรา จะดีจะชั่วก็เป็นขอบเขตหยกดิบ แต่กระนั้นก็ยังถูกด่าเสียจนไม่เหลือชิ้นดี ตอนนี้ก็เหลือแค่เจ้าแล้ว”
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองเว่ยป้อ แล้วก็มองเจิ้งต้าเฟิงแวบหนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มกล่าวว่า “หากพวกเจ้าไม่พูดจาข่มขู่ ข้ายังพอจะเชื่ออยู่บ้าง แต่พอเปิดปากพูดแบบนี้ก็เผยพิรุธแล้ว บนภูเขาล่างภูเขา ไร้ทุกข์ไร้กังวล”
เว่ยป้อยื่นมือออกมา “ข้าชนะแล้ว หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ”
เจิ้งต้าเฟิงตีมือเว่ยป้อ “ก่อนหน้านี้ตอนเล่นหมากล้อมเจ้าแพ้ พวกเราเสมอกันแล้วไง”
จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เป็นแบบนี้จริงๆ ด้วย แค่แกล้งหลอกถามก็รู้แล้ว”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “อย่าไปเชื่อ ไอ้หมอนี่รู้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ต้องแพ้กันอีกรอบ”
เจิ้งต้าเฟิงเหล่ตามอง “ยังต้องให้เจ้าบอกอีกรึ?”
จูเหลี่ยนเช็ดปาก “ออกเดินทางไกลครั้งนี้ได้เปิดหูเปิดตามากมาย วันหน้าจะให้เว่ยป้อเอาเหล้าดีๆ มาสักสองกา แล้วข้าจะค่อยๆ เล่าให้พวกเจ้าฟังไปด้วย”
เจิ้งต้าเฟิงเกิดความสนใจขึ้นมาทันใด เขานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามเสียงเบาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
จูเหลี่ยนตบห่อสัมภาระ
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “พวกเราสองพี่น้องคือบัณฑิตลำดับหนึ่งอย่างแท้จริง อยู่มาจนแก่ก็เรียนรู้จนแก่”
เว่ยป้อนวดคลึงขมับแรงๆ
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงชั้นสองของเรือนไม้ไผ่เพียงลำพัง เขารู้ว่าจูเหลี่ยนมาถึงแล้ว ก็แค่ไม่ได้ตั้งใจไปรอรับเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ภูเขาพีอวิ๋นได้รับจดหมายสองฉบับจากสำนักกระบี่ไท่ฮุย จากฉีจิ่งหลงหนึ่งฉบับ จากป๋ายโส่วหนึ่งฉบับ ในจดหมายฉีจิ่งหลงบอกว่าใช้เงินฝนธัญพืชร้อยเหรียญไปหมดแล้ว ซื้อกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่มาได้หนึ่งเล่ม รวมไปถึงเสื้อเกราะสองตัวที่ศาลซานหลางสร้างขึ้นอย่างประณีตบรรจง ราคาล้วนไม่ถูก แต่ของทั้งสามชิ้นนี้ไม่เลวอย่างแน่นอน เพราะล้ำค่าเกินไป ดังนั้นจึงจะให้เรือข้ามทวีปของสำนักพีหมาส่งมาที่ภูเขาหนิวเจี่ยว ในจดหมายเขียนด้วยถ้อยคำกระชับเรียบง่ายตามนิสัยของฉีจิ่งหลง ช่วงท้ายของจดหมายคือคำข่มขู่บอกว่า หากการประลองกระบี่ทั้งสามครั้งของเขาสำเร็จ แล้วสวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆยังแบกหีบไม้ไผ่ขึ้นเขามาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นก็ให้เฉินผิงอันลองชั่งน้ำหนักดูเอาเอง
ในถ้อยคำบนจดหมายของป๋ายโส่วแสดงให้เห็นถึงการมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น บอกว่าคนแซ่หลิวทำให้คนได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ทั้งๆ ที่การประลองกระบี่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น แต่กลับยังวิ่งไปที่ภูเขาชังกระบี่กับศาลซานหลางมา ทำเอาพวกผู้เฒ่าในศาลบรรพจารย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยหลายคนกลัดกลุ้มจนหนวดเคราร่วง ตอนอยู่ที่ภูเขาชังกระบี่เจอกับเทพธิดาหลูของภูเขาสุ่ยจิ่ง ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนแซ่หลิวชอบทำเป็นวางมาดให้ดูดีหรือไม่ จู่ๆ ถึงได้มีสตรีคนรู้ใจโผล่มาอีกคน ดูเหมือนว่าจะเป็นสตรีคนหนึ่งที่มีหน้ามีตาในศาลซานหลางมากอีกด้วย สรุปก็คือคอยติดตามพวกเขาสองคนอยู่ตลอดเวลา สายตานั้นสามารถกินคนได้เลย คนแซ่หลิวเลือกสมบัติหนักได้สองชิ้น ตกลงราคาเรียบร้อยก็รีบเผ่นหนีมาทันที
เฉินผิงอันเดินจากปลายด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของระเบียงช้าๆ แล้วเดินกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น
คิดไม่ถึงว่าจูเหลี่ยนยังมาไม่ถึง เว่ยป้อกลับมาถึงเสียก่อน
เขาเอาจดหมายลับที่ส่งจากกระบี่บินฉบับหนึ่งมาให้ ทางภูเขาพีอวิ๋นเพิ่งจะได้รับเมื่อสักครู่นี้ คนที่เขียนจดหมายคือโจวเฝยผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันอ่านจดหมายแล้วก็ถอนหายใจ บังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ?
เดินไปถึงชั้นหนึ่งก็หยิบม้วนภาพม้วนหนึ่งออกมา โยนเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งลงไป
สุยโย่วเปียนเดินออกมาจากในม้วนภาพ
เฉินผิงอันถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
สุยโย่วเปียนเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ฆ่าคนไม่สำเร็จกลับกลายเป็นถูกฆ่าเสียเอง เรื่องก็มีเท่านี้ วันหน้าข้าจะฝึกตนอยู่ที่สำนักเจินจิ้งทะเลสาบซูเจี่ยนต่อ”
ต่อให้สุยโย่วเปียนจะตายแล้วฟื้นคืนชีวิตใหม่จากม้วนภาพได้อีกครั้ง บนร่างของนางก็ยังมีปราณสังหารที่เข้มข้นอยู่ดี
เห็นได้ชัดว่าความแค้นที่นางผูกไว้กับทางฝั่งสำนักกุยหยกใบถงทวีปไม่ใช่เล็กๆ แค่ไม่รู้ว่าเป็นคนร่วมสำนักบนภูเขา หรือเป็นศัตรูที่เจอกันในขณะลงจากเขามาฝึกประสบการณ์กันแน่
เฉินผิงอันเองก็ไม่อยากจะซักไซ้ถามให้ละเอียด เพียงยิ้มกล่าวว่า “พอดีกับที่อีกเดี๋ยวศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วก็จะขึ้นเสาคาน จากนั้นก็จะเป็นการแขวนภาพจุดธูปบูชาอย่างเป็นทางการแล้ว จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยน ตอนนี้ล้วนอยู่กันบนภูเขา”
สุยโย่วเปียนพยักหน้ารับ ก่อนกวาดตามองไปรอบด้าน “ที่นี่ก็คือภูเขาลั่วพั่วหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าลองไปเดินเล่นรอบๆ ดูได้”
สุยโย่วเปียนไม่เอ่ยอะไร เพียงเดินออกไปนอกเรือน ไปยืนอยู่ริมหน้าผา ทอดสายตามองไปยังทิศไกล
เฉินผิงอันไม่ได้เดินตามไป เขานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก
จูเหลี่ยนกับเจิ้งต้าเฟิงที่ยืนรออยู่บนทางเส้นเล็กถึงได้เดินมานั่งลงด้านข้าง
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าทัศนียภาพของที่นี่สวยงาม”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลำบากแล้ว”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ลำบากไม่เท่านายน้อยหรอก”
เจิ้งต้าเฟิงบ่นพึมพำ “พวกเจ้าต่างก็ไม่ลำบาก ข้านี่แหละที่ลำบาก”
……
หลังจากที่ขึ้นเสาคานให้ศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อเรียบร้อย
แขกบางคนก็ได้ทยอยกันมาถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว
หลังจากเลือกวันฤกษ์งามยามดี วันนี้เจ้าขุนเขาอย่างเฉินผิงอันก็ได้เป็นผู้นำกลุ่มคนแขวนภาพเหมือนจุดธูปบูชา
ครั้งนี้ภูเขาลั่วพั่วได้ก่อตั้งสำนักขึ้นอย่างเป็นทางการ ไม่ได้จัดงานใหญ่โตโอ่อ่า แล้วก็ไม่ได้เชิญคนบนภูเขาหลายคนที่เดิมทีสามารถเชิญมาได้อย่างเช่นตระกูลฟ่าน ตระกูลซุนแห่งนครมังกรเฒ่ามาร่วมงาน
บางคนที่ข่าวสารว่องไวหน่อยก็อยากมา เพียงแต่ไม่กล้าขึ้นเขามารบกวนโดยพลการ ยกตัวอย่างเช่นเทพวารีสองท่านของแคว้นหวงถิง
และยังมีสหายอีกหลายคนที่ไม่เหมาะจะปรากฏตัวต่อสายตาผู้อื่น จึงได้แต่เก็บความเสียดายไว้ในใจ
เป็นเหตุให้คนที่เดินทางนำของขวัญมาร่วมแสดงความยินดีครั้งนี้ล้วนเป็นคนที่อยู่ใกล้ๆ อย่างเช่นเว่ยป้อซานจวินแห่งขุนเขาเหนือ รองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่
หร่วนฉงเจ้าสำนักกระบี่หลงเฉวียน และลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนอย่างต่งกู่ผู้ฝึกตนโอสถทอง สวีเสี่ยวเฉียวผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร
หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชภูเขาหลังอ๋าว
คนเหล่านี้ล้วนเป็นแขก
นอกจากนี้ก็คือคนกันเองของภูเขาลั่วพั่วที่เพิ่งทำการก่อตั้งอย่างเป็นทางการ
ศาลบรรพจารย์แขวนภาพเหมือนสามภาพ
ซิ่วไฉเฒ่าท่านหนึ่ง ภาพของเขาถูกแขวนไว้ตำแหน่งตรงกลาง
ฉีจิ้งชุน
ชุยเฉิง
บนป้ายควันธูปของภาพเหมือนทั้งสามเขียนเพียงแค่ชื่อแซ่ ไม่เขียนตัวอักษรอื่นใด
เจ้าขุนเขาเฉินผิงอัน
ลูกศิษย์ใหญ่เผยเฉียน
ลูกศิษย์ชุยตงซาน
ลูกศิษย์เฉาฉิงหล่าง
จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยง สุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยน
เฉินหลิงจวิน เฉินหรูชู สือโหรว
เฉินยวนจี หยวนเป่า หยวนไหล
ผู้ถวายงานพิทักษ์ขุนเขาลั่วพั่ว โจวหมี่ลี่
ผู้ถวายงานอย่างเป็นทางการ เจิ้งต้าเฟิง
จ้งชิว
โจวเฝย ‘ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ’
ผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อ นักพรตเฒ่าตาบอดเจี่ยเฉิง จ้าวเติงเกา เถียนจิ่วเอ๋อร์
ตู้เหวินซือผู้ฝึกตนก่อกำเนิด ผังหลันซีลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์สำนักพีหมาอุตรกุรุทวีป
เจ้าขุนเขาหนุ่มที่อยู่ใกล้กับภาพเหมือนทั้งสามมากที่สุดยืนอยู่ด้านหน้าสุดเพียงลำพัง
เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มผอมแห้งใบหน้าดำเป็นถ่าน สวมรองเท้าสานคนนั้นอีกแล้ว
แต่เป็นคนหนุ่มเรือนกายสูงเพรียวสวมชุดเขียว ปักปิ่นหยกบนมวยผมที่ยืนถือธูปด้วยสองมือ หันหลังให้กับทุกคน