กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 577.2 ข้ามีทั้งหมัดและกระบี่บิน
เยี่ยนจั๋วลูบคลำปลายคางตัวเอง “เป็นเช่นนี้จริง เป็นเพราะการกระทำของพี่น้องผิงอันของข้ามีช่องโหว่อยู่เล็กน้อย”
ในบรรดาพวกเขา ต่งถ่านดำคือคนที่มองดูแล้วโง่เขลาที่สุด ทว่าต่งถ่านดำกลับไม่ได้โง่จริงๆ เพียงแค่คร้านที่จะใช้หัวสมองก็เท่านั้น
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับเขาเยี่ยนจั๋วแล้ว ต่งถ่านดำก็น่าจะยังมีเฉินซานชิวคั่นกลางอีกคนหนึ่ง
เฉินซานชิวคิดแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ไม่สนใจเรื่องรกสมองพวกนี้แล้ว เอาเป็นว่าเฉินผิงอันกล้าพูดแบบนี้ กล้าเรียกชื่อคนให้มาต่อสู้ด้วยเหมือนเลือกอาหาร แค่เขาเรียกฉีโซ่วและผังหยวนจี้ ข้าก็ยอมรับสหายอย่างเฉินผิงอันแล้ว เพราะตัวข้าเองคงไม่กล้าทำแบบนั้น คบหาสหายเพราะอะไร ก็ไม่ใช่เพราะว่านอกจากจะกินดื่มร่วมกันแล้ว สหายยังสามารถทำเรื่องสาแก่ใจที่ตัวเองทำไม่ได้หรอกหรือ รวบรวมพวกลูกสมุนกลุ่มใหญ่ไว้ข้างกาย เรื่องแบบนี้ ข้ามีหน้าตาให้ต้องรักษา ย่อมไม่อาจทำได้ หากฉีโซ่วกล้าทำลายกฎ พวกเราเองก็ไม่ได้กินหญ้าเสียหน่อย บุกสังหารไปเลย ต่งถ่านดำพอเจ้าต่อสู้ได้ครึ่งทางแล้วก็แกล้งตายซะ แสร้งทำเป็นว่าได้รับบาดเจ็บ พี่สาวเจ้าต้องลงมือช่วยเหลือพวกเราแน่นอน พอนางลงมือ สหายของนางที่เพื่อมิตรภาพแล้วก็ต้องลงมือด้วย ต่อให้แค่แสร้งทำท่าพอเป็นพิธีก็สามารถทำให้พวกสหายสุนัขของฉีโซ่วอับอายขายหน้าได้แล้ว”
แต่หนิงเหยากลับกล่าวว่า “เดิมทีฉีโซ่วก็แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าไม่น้อย หากเป็นชั่วเสี้ยวเส้นยาแดงผ่าแปด อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย หากอยู่ห่างไปหน่อย แม้แต่ข้าก็ยังขวางไว้ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นข้าจะจับตาดูการเลือกสนามรบของฉีโซ่ว หากฉีโซ่วจงใจล่อให้เฉินผิงอันขยับเข้าใกล้ร้านของเตี๋ยจ้าง นั่นก็หมายความว่าฉีโซ่วคิดจะลงมืออำมหิตแล้ว สรุปก็คือพวกเจ้าไม่ต้องสนใจ แค่ดูเรื่องสนุกไปก็พอ แล้วนับประสาอะไรกับที่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเฉินผิงอันจะให้โอกาสฉีโซ่วได้กุมกระบี่ไว้ในมือ เขาน่าจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้วเหมือนกัน”
หนิงเหยาชำเลืองตามองกระบี่เล่มที่ฉีโซ่วสะพายไว้ด้านหลัง
เฉินซานชิวบื้อใบ้ไร้คำตอบโต้
เตี๋ยจ้างยิ่งเป็นกังวลหนักกว่าเดิม
นางรู้ดีว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ตนไม่ถนัดมากที่สุด
บางครั้งเตี๋ยจ้างที่ความคิดละเอียดอ่อน มีสัมผัสเฉียบไวก็จำต้องยอมรับว่า ลูกหลานแซ่ใหญ่อย่างพวกเฉินซานชิวนี้ หากเป็นคนดีก็ยังพอทำเนา แต่หากเอาความฉลาดเฉลียวไปใช้ในทางที่ผิด นั่นก็คือเลวร้ายจริงๆ แล้ว
เพราะพวกเขามีวิสัยทัศน์ที่สูงยิ่งกว่า ช่วยให้พวกเขาที่อายุยังน้อยๆ ก็สามารถใช้สายตาหลุบต่ำจากที่สูงมามองเรื่องราวซับซ้อนราวกับเชือกพันกันยุ่งเหยิงในสายตาของเตี๋ยจ้างได้ อีกทั้งยังสามารถสืบสาวเบาะแสจนเจอเส้นสายที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุด ปัญหายุ่งยากมากมายจึงคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย
อาเหลียงเคยบอกว่า นี่ก็คือหนึ่งในวิชากระบี่ของฟ้าดิน
และอาเหลียงก็เคยพูดกับเตี๋ยจ้างว่า เป็นเพื่อนกับพวกเฉินซานชิว ให้รู้จักมองดูให้มาก เรียนรู้ให้มาก เจ้าน่าจะมีหลุมในใจสองหลุมที่ต้องข้ามผ่านไป หากข้ามผ่านไปได้จึงจะสามารถเป็นสหายกันได้อย่างยาวนาน ข้ามผ่านไปไม่ได้ สักวันหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องให้มีการจากตาย ทั้งสองฝ่ายก็จะกลายเป็นว่านานวันยิ่งไม่มีเรื่องให้คุยกันไปเอง จากสหายที่ดีที่สุด กลายเป็นสหายที่รู้จักกันอย่างผิวเผิน จุดจบที่ไม่เรียกว่างดงามเช่นนี้ ไม่เกี่ยวกับว่าทั้งสองฝ่ายผิดหรือถูก หากมีวันนั้นจริงๆ ก็แค่ดื่มเหล้าซะ แม่นางที่หน้าตาดี หากดื่มเหล้าบ่อยๆ ใบหน้าที่งดงาม เรือนกายที่สะโอดสะองก็จะคงอยู่ได้อย่างยาวนาน
หนิงเหยาพลันหันหน้ามาถาม “พวกเจ้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันต้องแพ้แน่ๆ หรือ?”
เฉินซานชิวกล่าวอย่างจงใจ “พูดโป้ปด ข้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันสามารถล้มฉีโซ่วได้ด้วยมือเดียว พูดความจริง หากฉีโซ่วไม่ได้สะพายกระบี่เล่มนั้น ข้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันยังพอจะมีโอกาสชนะอยู่บ้าง”
หนิงเหยาไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
นางหันหน้าไปมองมุมหนึ่ง หัวคิ้วขมวดแน่น
ตรงริมขอบหลังคาของหอสุราแห่งหนึ่ง มีเด็กหญิงสวมชุดคลุมสีดำตัวโคร่งนั่งอยู่ นางมัดผมแกละสองข้างที่มองดูแล้วน่ารักซุกซน อ้าปากหาวค้างอยู่นาน
ดูเหมือนนางจะหมดความอดทน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเปิดปากเอ่ยว่า “ผังหยวนจี้ อืดอาดอยู่ได้ ขี้ก้อนหนึ่งถูกเจ้าแบ่งไปหลายท่อนแล้ว ไม่อายคนบ้างหรือไร จัดการกับฉีโซ่วก่อนสิ แล้วค่อยจัดการกับเจ้าคนที่ชื่อว่าอะไรนั่น แค่นี้ก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?!”
เฉินผิงอันมองไปยังหลังคาแถบนั้นแทบจะเวลาเดียวกับหนิงเหยา
นั่นคือบุคคลแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ที่มองดูเหมือนทำอะไรไม่เอาจริงเอาจัง ทว่าหมัดเดียวกลับทำให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานเนื้อหนังปริแตกได้
นิสัยร้ายๆ เจ้าอารมณ์ของผู้ฝึกกระบี่ตระกูลต่ง อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ได้แค่อยู่อันดับสองเท่านั้น
เพราะว่ามีนางอยู่
ตอนอยู่บนหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันเคยเห็นนาง ‘ทิ้งตัวดิ่ง’ ลงไปจากหัวกำแพง วิ่งไป ‘เล่นสนุก’ กับปีศาจใหญ่ตัวหนึ่งที่ขยับเข้าใกล้กำแพงเมืองปราณกระบี่กับตาตัวเองมาก่อน
นั่นคือปีศาจขอบเขตเซียนเหรินตัวจริงเสียงจริง แต่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่กลับบอกว่า ไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายให้ตายได้ นางจึงรู้สึกว่าตัวเองแพ้แล้ว
บนถนนใหญ่ นอกจากหนิงเหยาและเซียนกระบี่หลายท่านที่จงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ‘แม่นางน้อย’ ผู้นั้นแล้ว แน่นอนว่ายังมีเฉินผิงอันอีกคน ทว่าทุกคนที่เหลือกลับเหงื่อตกขนลุกชัน
ไม่มีใครเปิดปากพูดเอาใจอีกฝ่ายเพื่อหาเรื่องให้ตัวเอง
‘อิ่นกวาน’ ไม่ใช่ชื่อแซ่ของนาง แต่เป็นตำแหน่งขุนนางในยุคบรรพกาลห่างไกลที่ไม่เคยมีบันทึกมาก่อน สืบทอดตำแหน่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น รับหน้าที่ดูแลกองทัพและลงทัณฑ์อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ และในประวัติศาสตร์ก็เคยมีใต้เท้าอิ่นกวานที่ฝีมือไม่ได้เรื่องจนตกเป็นหุ่นเชิดอยู่มากมาย แต่เมื่อนางรับตำแหน่งนี้ ความดูแคลนที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีต่อตำแหน่งอิ่นกวานก็ไม่เหลืออยู่เลย นางไม่เพียงแต่เป็นคนที่สังหารปีศาจห้าขอบเขตกลางได้มากที่สุด ตลอดพันปีที่ผ่านมา ผู้ฝึกกระบี่ที่ลงสนามรบทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วขลาดกลัวที่จะต่อสู้จึงถูกนางใช้หมัดเดียวต่อยให้เลือดเนื้อปลิวกระจายตายคาที่ ก็มีอยู่มากเหมือนกัน
ปีนั้นในศึกสิบสาม คนแรกที่ออกศึกของฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ก็คือใต้เท้าอิ่นกวานที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในใต้หล้าเปลี่ยวร้างพอๆ กับที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้
ผลคืออีกฝ่ายที่ให้ปีศาจใหญ่ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการใช้เนื้อหนังมังสาอันแข็งแกร่งเข่นฆ่าศัตรูลงสนามรบ พอเห็นนางก็เผ่นหนีทันที จากนั้นทั้งสองฝ่ายที่คุมเชิงกันก็ได้เห็นแม่นางน้อยคนหนึ่งทุบทำลายสนามรบอยู่นานถึงหนึ่งเค่อเต็ม
ผังหยวนจี้พยักหน้ารับ “ศิษย์จะฟังคำของอาจารย์”
ทว่าฉีโซ่วกลับกุมหมัดก้มหน้าเอ่ยว่า “ขอใต้เท้าอิ่นกวานโปรดให้ข้าลงมือก่อน ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ข้าก็จะต่อสู้กับหยวนจี้ โดยยินดีให้ตัดสินกันด้วยความเป็นความตาย”
ดวงตาอิ่นกวานเป็นประกายวาบ รีบโบกมืออย่างแรง “แบบนี้ก็ได้อยู่เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็เร็วๆ หน่อย รีบต่อสู้กันเร็วเข้า พวกเจ้าลงมือเต็มที่เอาให้ตายกันไปข้างได้เลย ข้าจะช่วยรักษากฎให้พวกเจ้าเอง เรื่องของการต่อยตีกันนี้ ข้ามีความยุติธรรมเป็นที่สุด”
จากนั้นนางก็มองไปทางโต๊ะสุราที่ผังหยวนจี้นั่งดื่มเหล้าก่อนหน้านี้ แล้วยู่ใบหน้าเล็กๆ “เจ้าแมลงน่าสงสารตาเดียว โยนเหล้ามาให้กาหนึ่งสิ หากกล้าไม่โยนให้ข้า ข้าจะทุบเจ้า…”
ทันใดนั้นตลอดทั้งร้านเหล้าก็ระเบิดดังปัง กระเบื้องบนหลังคาปลิวว่อนกระจัดกระจาย ในร้านเต็มไปด้วยเศษซากระเกะระกะ ผู้ฝึกกระบี่น้อยใหญ่ทุกคนที่อยู่ในร้านเหล้าล้วนหมดสติไปแล้ว หันไปมองอีกที ชายฉกรรจ์เคราดกที่เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนนั้นได้ถูกนางเตะเข้าที่หน้าผาก ร่างปลิวออกไปกระแทกกำแพง ทั่วร่างเต็มไปด้วยฝุ่นผง พอลุกขึ้นยืนได้ก็ไม่ได้กลับมาที่ร้านเหล้า มีเพียงนางที่ยืนอยู่บนโต๊ะเหล้าเพียงตัวเดียวในร้านที่ยังสมบูรณ์แบบ กระทืบเท้าเบาๆ กาเหล้าก็กระเด้งขึ้นมา ถูกนางกุมไว้ในมือ พอสูดดมกลิ่นแล้ว ใบหน้าก็ยับยุ่ง “มีแต่กลิ่นเยี่ยวฉุนกึก จะดีจะชั่วก็ควรเป็นเหล้าสิ ควรเป็นเหล้าสิ!”
พูดมาถึงท้ายที่สุด ใต้เท้าอิ่นกวานที่สูงส่งเกินกว่าผู้ใดคนนี้กลับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทำสีหน้าเศร้าระทม
วินาทีที่ใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นออกมาจากหลังคา
เฉินผิงอันก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แต่กลับชักเท้ากลับมาทันใด จากนั้นจึงหันไปมองฉีโซ่วแล้วกระตุกมุมปาก
ผังหยวนจี้เอนตัวไปด้านหลังถอยกรูดกลับไปยังร้านเหล้าที่เละเทะไม่เหลือชิ้นดี ยกมือขึ้นรับกระเบื้องแผ่นหนึ่งที่ตกลงมา ยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์ ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่เคยบอกว่า ห้ามไม่ให้ท่านดื่มเหล้า”
อิ่นกวานกล่าวอย่างเดือดดาล “ข้าก็แค่ดมเท่านั้น ทำไม ทำผิดกฎแล้วหรือ ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ใครที่เป็นคนทำหน้าที่ลงทัณฑ์ คือเขาตาแก่หนังเหนียวเฉินชิงตูงั้นหรือ?”
แล้วทันใดนั้นนางก็นั่งลงบนไปโต๊ะอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง โยนกาเหล้าไปให้ผังหยวนจี้ “เก็บไว้ให้ข้าก่อน”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา
แสงรุ้งเส้นหนึ่งพุ่งผ่านข้างหูของเขาไป เพียงแค่ปราณกระบี่ก็กรีดให้ใบหน้าของเฉินผิงอันเกิดร่องเลือดเล็กๆ เส้นหนึ่งแล้ว
เขาค้อมเอวลงน้อยๆ ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้งร่างก็หายไป บนพื้นพลันปริแตกเกิดเป็นใยแมงมุมขนาดมหึมา ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีเสียงดั่งฟ้าคำรามดังอื้ออึงก้องกังวานแว่วมาจากส่วนลึกของพื้นดิน
คนชุดเขียวยืนอยู่บนถนนห่างจากจุดเดิมที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ ร่างของเขาพลันเอนวูบ เพราะมีแสงกระบี่ที่เร็วกว่าเดิมพุ่งวาบมาอีกครั้ง หากเขาไม่หลบ แสงกระบี่นั้นก็จะแทงทะลุหัวใจด้านหลังเขาไป
อิ่นกวานที่นั่งอยู่กับโต๊ะพยักหน้าเบาๆ ถือว่าเป็นการชื่นชมนิดๆ ที่เด็กรุ่นหลังสองคนไม่ได้แบ่งแพ้ชนะกันเร็วเกินไปนัก นางเบื่อหน่ายสุดขีดจึงยกมือสองข้างขึ้นจับผมแกละทั้งสองของตัวเองแกว่งเบาๆ
ผังหยวนจี้ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้าง พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของใต้หล้าไพศาล วิ่งได้เร็วขนาดนี้เลยหรือ?”
อิ่นกวานคิดแล้วก็ให้คำตอบที่นางคิดว่ามีดุลพินิจอย่างยิ่ง “คงเป็นเพราะบางทีอาจจะค่อนข้างมีให้เห็นน้อยกระมัง”
ผังหยวนจี้เคยชินจนไม่รู้สึกประหลาดใจแล้ว
แต่ผังหยวนจี้ยังมีอีกคำถามหนึ่งที่คิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจเลยจริงๆ เขาจึงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าอาจารย์จะไม่ค่อยชอบเฉินผิงอันนัก?”
อิ่นกวานเบ้ปาก “ใครก็ตามที่เฉินชิงตูถูกชะตาด้วย ข้าก็ล้วนไม่ถูกชะตาทั้งนั้นแหละ”
นางดีดนิ้วหนึ่งที หน้าผากของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดจากต่างทวีปคนหนึ่งที่ได้ยินคำพูดของนางโดยไม่ทันระวังก็เหมือนถูกฟ้าผ่าใส่ สองตาเหลือกค้าง ล้มแล้วก็ลุกไม่ขึ้นอีก หากไม่ถึงสิบวันครึ่งเดือน ก็อย่าคิดว่าจะลงจากเตียงได้ คอยนอนเสวยสุข แล้วยังมีคนคอยช่วยปรนนิบัติ เปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน ดีจะตายไป นางรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นคนนิสัยดีที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นซะจริง
อิ่นกวานพลันเอ่ยว่า “ด้วยขอบเขตผู้ฝึกยุทธของเจ้าคนที่ชื่อว่าอะไรนั่นแสดงออกมาในตอนนี้ อันที่จริงไม่อาจหลบสองกระบี่นี้ได้ หลักๆ แล้วเขาอาศัยการเดามากกว่า”
ผังหยวนจี้ยิ้มกล่าว “ฉีโซ่วเองก็ยังไม่ได้ทุ่มสุดความสามารถเหมือนกัน”
อิ่นกวานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “น่าเบื่อจริง”
นางลุกขึ้นยืน เพราะเปลี่ยนใจกะทันหันจึงตะโกนบอกว่า “ต่อได้เลย ข้าไม่สนใจพวกเจ้าแล้ว แต่จำไว้นะ การต่อสู้ที่ไม่แบ่งเป็นตาย มักจะไม่ใช่การต่อสู้ที่ดีเสมอ”
แล้วร่างของใต้เท้าอิ่นกวานผู้นี้ก็พลันหายวับไป
หลงเหลืออยู่เพียงลูกศิษย์ที่ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
ก่อนที่ผังหยวนจี้จะหยุดความคิดทั้งหมดลง มองไปยังถนนใหญ่
ฉีโซ่วยืนนิ่งไม่ขยับ ทว่าคนชุดเขียวนั่นกลับขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แล้ว
การต่อสู้ของใต้หล้านี้ ผู้ฝึกลมปราณกลัวผู้ฝึกกระบี่ที่สุด ขณะเดียวกันผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่กลัวถูกผู้ฝึกยุทธต่อสู้ประชิดตัวที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฉีโซ่ว
เพราะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของฉีโซ่วไม่ได้มีแค่เล่มเดียว เล่มที่ปรากฏตัวก่อนหน้านั้นมีชื่อว่า ‘เฟยเยวียน’
ส่วน ‘ซินเสียน’ ที่มีความเร็วยิ่งกว่าก็กำลังรอให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่ไม่รู้จักกลัวตายผู้นี้ขยับเข้ามาใกล้
เยี่ยนจั๋วมองดูอยู่ด้วยความอกสั่นขวัญผวา พวกเตี๋ยจ้างก็มีสีหน้าไม่เป็นธรรมชาตินัก
จิตใจของหนิงเหยาสงบนิ่งราวกับผืนน้ำอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเป็นคนในสถานการณ์ กลับยิ่งเหมือนคนนอกสถานการณ์มากที่สุด
นี่ก็คงจะเป็นจุดที่นางแตกต่างจากเฉินผิงอันอย่างสิ้นเชิง เฉินผิงอันมักจะชอบคิดมากอยู่เสมอ แต่หนิงเหยากลับเป็นคนคิดง่ายทำอะไรฉับไวรวดเร็ว
ตอนที่ฉีโซ่วเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สองออกมา เขาก็อดรู้สึกผิดหวังนิดๆ ไม่ได้
ผู้ฝึกกระบี่ตระกูลฉีเชี่ยวชาญการเข่นฆ่าในขอบเขตเล็กแคบมากที่สุด และยังถนัดการรบเร็วจบเร็วเป็นพิเศษ
แต่ไหนแต่ไรมากระบี่บินซินเสียนมักจะเร็วและแม่นยำอยู่เสมอ
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันแค่สิบกว่าก้าวเท่านั้น
ต่อให้คนชุดเขียวจะหลบการลอบฆ่าที่หวังปลิดชีพมาได้ แต่ก็ยังหนีไม่พ้นจุดจบที่ถูกกระบี่แทงทะลุไหล่ เรือนกายจึงหยุดชะงักอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแค่ชั่วเวลาสั้นๆ นี้ ‘เฟยเยวียน’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็พุ่งปาดผ่านลำคอของเฉินผิงอันแล้ว
ราวกับว่าคนชุดเขียวได้ถูกแสงกระบี่ของกระบี่บินสองเล่มห่อหุ้มไว้อย่างสมบูรณ์ ร่างตกอยู่ในกรงขัง
และในช่วงเวลาที่ผู้ชมทั้งหลายคิดว่าสถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว ร่างของเฉินผิงอันกลับหายไป
ฉีโซ่วยังคงสุขุมไม่สะทกสะท้าน
‘เที่ยวจู’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สามที่แปลกประหลาดที่สุดแบ่งร่างจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปด แล้วอนุมานเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ถักทอเป็นใยแมงมุมอยู่รอบกายของฉีโซ่ว ทุกจุดที่ใยแมงมุมตัดสลับกันล้วนมีกระบี่บิน ‘เที่ยวจู’ ที่ยาวประมาณชุ่นกว่าลอยอยู่ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองก่อนหน้านี้ที่กระบี่บินได้แค่อาศัยการสลับเปลี่ยนระหว่างของจริงเป็นภาพมายา ก็ถือว่าแตกต่างกันอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงและถือกำเนิดของเที่ยวจูเล่มนี้เป็นของแท้แน่นอน บรรพบุรุษของตระกูลฉีพึงพอใจกับสิ่งนี้มาก รู้สึกกว่ากระบี่บินเล่มนี้จึงจะเป็นกระบี่ที่ฉีโซ่วสามารถตั้งใจขัดเกลาได้นานเป็นร้อยปีพันปี และสามารถช่วยให้เขาหยัดยืนได้มากที่สุด เพราะถึงอย่างไรกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่ได้ทั้งป้องกันและโจมตีตามความหมายที่แท้จริง ยิ่งคนที่เป็นเจ้าของกระบี่ขอบเขตสูงเท่าไร เที่ยวจูก็ยิ่งขยายไปได้มากเท่านั้น และยิ่งขยับเข้าใกล้อาวุธเซียนมากขึ้นทุกที หากฉีโซ่วสามารถประคับประคองสถานการณ์ที่เที่ยวจูหลายพันเล่มรวมตัวอยู่ด้วยกันเอาไว้ได้ ก็จะสามารถพิสูจน์คำทำนายมหามงคลประโยค ‘ครอบครองธารดารา สายฝนพร่างพรมโลกมนุษย์’ ที่อริยะลัทธิเต๋าเคยกล่าวไว้ในอดีตได้
เฉินผิงอันที่มาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างฉีโซ่วห่างไปห้าก้าวคล้ายรู้ว่าตัวเองต้องเจอกับความลำบากจึงถอยหนี ถึงได้ใช้วิชาตระกูลเซียนย่อพื้นที่อีกครั้ง
ฉีโซ่วรู้ว่าไอ้หมอนี่จะมาปราฎตัวด้านหลัง ช่องโพรงลมปราณสำคัญหลายช่องส่งเสียงร้องเบาๆ เที่ยวจูที่เดิมทีตั้งค่ายกลอยู่ด้านหลังด้วยจำนวนที่ยังน้อยมาก พลันเปลี่ยนมาเหมือนเม็ดถั่วที่ถูกโปรยให้กลายเป็นทหาร (วิชากล/วิชาอาคมอย่างหนึ่งในงิ้วสมัยโบราณของจีน) จำนวนจึงพลันขยายเพิ่มพูน
ขณะเดียวกันนั้นซินเสียนกระบี่บินที่สามารถไล่ตามติดจิตวิญญาณของศัตรูได้ตั้งแต่ถือกำเนิดก็ตามติดคนชุดเขียวผู้นั้นไปราวกับเงา ส่วนเฟยเยวียนก็ยิ่งโคจรได้ดังใจปรารถนา
ฉีโซ่วจะทำเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ เพื่อแกล้งให้ไอ้หมอนี่หัวหมุน
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง?
เป็นศัตรูกับข้าฉีโซ่ว ถ้าอย่างนั้นก็เป็นได้แค่หมาที่ถูกข้าจูงเท่านั้น
ฝ่ายหนึ่งไร้ความเสียหายใดๆ
อีกฝ่ายหนึ่งออกหมัดไม่หยุด พลิกตัวหมุนตลบสับเปลี่ยนกระบวนท่าอยู่นานเป็นครึ่งๆ วัน ถึงท้ายที่สุดก็จะทำให้ตัวเองเหนื่อยแทบตาย สนุกนักหรือ?
ฉีโซ่วรู้สึกว่าสนุกมาก