กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 577.3 ข้ามีทั้งหมัดและกระบี่บิน
เยี่ยนจั๋วจุ๊ปากพูด “หากเป็นอย่างนี้ต่อไป สถานการณ์คงไม่ค่อยดีสักเท่าไร แม้จะบอกว่าเฟยเยวียนก็มีดีแค่เท่านี้ ไม่อาจสรรหาลูกไม้อะไรมาได้อีก แต่หากข้าจำไม่ผิด ตอนนี้อย่างน้อยที่สุดฉีโซ่วก็สามารถประคับประคองเที่ยวจูได้ถึงห้าร้อยกว่าเล่ม ตอนนี้ยังไม่ถึงสามร้อยเล่ม อีกทั้งหากยิ่งถ่วงระยะเวลาออกไป ซินเสียนเล่มนั้นก็จะยิ่งคุ้นเคยกับจิตวิญญาณของเฉินผิงอัน มีแต่จะยิ่งเร็วมากกว่าเดิม และนั่นก็คือเร็ว เร็วจริงๆ ไอ้หมอนี่จิตใจดำทมิฬชั่วช้าจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจ”
เฉินซานชิวยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “กระบี่บินเยอะ จับคู่ได้เหมาะสม ก็จะจัดการได้ยากอย่างนี้แหละ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินซานชิวก็อดไม่ไหวเหลือบมองแผ่นหลังของหนิงเหยาอีกแวบหนึ่ง
สถานการณ์การรบในจุดที่ห่างไปไกล ความได้เปรียบเอนเอียงเข้าหาอีกฝ่ายหนึ่ง แต่นางกลับยังคงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
คนชุดเขียวที่สภาพกระเซอะกระเซิงสุดขีดในสายตาของทุกคนพลันหยุดนิ่ง ทั่วร่างเต็มไปด้วยปณิธานหมัดที่ไหลท่วมทะลักทลาย จนแทบจะมองภาพการรวมตัวกันของปณิธานหมัดนั้นด้วยตาเปล่าได้เลย ถึงขนาดทำให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างบางคนเห็นภาพเหตุการณ์จริงได้ไม่ชัดเจน
ฉีโซ่วที่ยืนหันหลังให้เฉินผิงอันไม่มีความลังเลใดๆ ไม่ได้จงใจแสวงหาชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียหายใดๆ เขาก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว ฉีโซ่วที่หันหน้าเข้าหาพวกหนิงเหยาพุ่งวูบออกไปไกลสิบกว่าจั้ง เที่ยวจูที่สร้างค่ายกลอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กเพิ่มจำนวนอีกครั้ง ทำให้ค่ายกลกระบี่ยิ่งแน่นหนามากขึ้น
หมัดหนึ่งพุ่งมาถึง
ฉีโซ่วเพิ่งจะหมุนตัวกลับ อารมณ์ก็หนักอึ้งขึ้นหลายส่วน เลือกที่จะถอยร่นอีกครั้ง เพียงแต่ว่าเมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของทุกคนก็ราวกับว่าฉีโซ่วยังคงเดินทอดน่องด้วยความสบายอกสบายใจเป็นที่สุด
ส่วนเฟยเยวียนและซินเสียนนั้น ถูกแสงกระบี่บินสองเส้นจำนวนเท่ากันกระแทกใส่
กระบี่บินที่โผล่มาอย่างน่าประหลาดใจสองเล่มนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นหมอนปักลายบุปผาที่ท่าดีทีเหลว ได้แค่ทำให้การโจมตีของเฟยเยวียนและซินเสียนหยุดชะงักเล็กน้อย พวกมันทั้งคู่ก็ถูกดีดให้เด้งออกไป
เพียงแต่ว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ฉีโซ่วเห็นคาตาตัวเองว่าคนชุดเขียวผู้นั้นใช้หนึ่งหมัดต่อยให้ค่ายกลกระบี่เที่ยวจูแหวกออก หมัดของอีกฝ่ายโชกไปด้วยเลือด เนื้อหนังปริแตกจนมองเห็นกระดูกขาวได้แล้ว
ก็สามารถทำให้หยุดชะงักไปพักหนึ่งเช่นกัน
แล้วก็มากพอจะให้ฉีโซ่วควบคุมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มอย่างเฟยเยวียน ซินเสียนแล้ว ซินเสียนที่ความเร็วมากกว่าตีวงโค้งอย่างงดงาม ปลายกระบี่ที่ชี้ตรงไปยังหัวใจของเฉินผิงอันลดลงต่ำหนึ่งชุ่น ถึงอย่างไรก็ไม่ควรฆ่าคน ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันตายก็ดี ร่อแร่ปางตายก็ช่าง นั่นก็จะเท่ากับว่าเขาฉีโซ่วแพ้แล้ว ชีวิตไร้ค่าของคนผู้หนึ่งที่อาศัยความโชคดีจนเดินมาถึงทุกวันนี้ เดินมาถึงที่นี่ได้ ไม่ได้มีค่าพอให้เขาฉีโซ่วต้องกลายมาเป็นตัวตลกของคนอื่น
เฟยเยวียนแทงไปยังกระดูกสันหลังของคนชุดเขียวผู้นั้น
ฉีโซ่วอยากจะเห็นนักว่า เมื่อกระบี่บินหนึ่งหน้าหนึ่งหลังแทงทะลุเรือนกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองผู้นี้แล้ว หมัดนั้นจะเหลือน้ำหนักอีกสักกี่จินกี่ตำลึง
ต้องรู้ว่าร่างกายของผู้ฝึกกระบี่ก็ได้รับการหล่อหลอมจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตไม่หยุดพักทั้งกลางวันกลางคืนเช่นกัน ท่ามกลางผู้ฝึกลมปราณนับร้อยนับพันชนิด ก็แทบจะสามารถทัดเทียมกับความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนสำนักการทหารได้เลย
ฉีโซ่วที่ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่ม จะมีเรือนกายที่แข็งแกร่งเกินกว่าผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว
วินาทีนั้นฉีโซ่วอาศัยสัญชาตญาณโคจรปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญทั้งหมด ท่ามกลางฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์ ในจวนน้ำแห่งหนึ่งมีไอหมอกลอยอวลขมุกขมัว ภูเขาลูกหนึ่งต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวเลือนราง ช่องโพรงใหญ่ๆ อีกหลายแห่งที่มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็มีภาพปรากฎการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเช่นกัน เป็นเหตุให้ลมปราณจำนวนที่มากกว่าไหลออกไปนอกฟ้าดินขนาดเล็ก ร่างทั้งร่างของฉีโซ่วจึงถูกปกคลุมด้วยประกายแสงพร่างพราวชั้นหนึ่ง และดวงตาทั้งคู่ของฉีโซ่วก็ยิ่งมีคลื่นแสงสีทองแผ่กระเพื่อมเป็นระลอก
ที่แท้เฉินผิงอันผู้นั้นก็ไม่เพียงแต่มีกระบี่บินผายลมสุนัขที่เป็นเวทอำพรางตาสองเล่ม
ยังมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่จริงแท้แน่นอนอีกหนึ่งเล่ม แสงกระบี่สีเขียวพุ่งทะยานรวดเร็วอย่างถึงที่สุด ใช้ปลายกระบี่ปะทะปลายกระบี่ต้านทานซินเสียนเล่มนั้นไว้ได้พอดี ทั้งสองฝ่ายต่างดีดตัวออก ราวกับว่าเป็นฝ่ายเปิดเส้นทางให้แก่เฉินผิงอันเพื่อออกหมัดต่ออีกครั้ง!
ส่วนกระบี่เฟยเยวียนเล่มนั้นที่อยู่ด้านหลังคนชุดเขียวกลับไม่อาจไล่ตามเฉินผิงอันได้ทันแล้วแทงทะลุกระดูกสันหลังของอีกฝ่ายได้เสียที
หลังจากหมัดที่กระดูกขาวเปิดเปลือยถูกปล่อยออกไป
แม้ว่าจะมีเลือดสดไหลออกมาจากมุมปากของฉีโซ่ว แต่จิตใจของเขาก็ยังค่อนข้างสงบ
ยังดี
หมัดไม่หนัก
เฉินผิงอันใช้กระบวนท่ากองทัพม้าเหล็กทะลวงขบวนรบเปิดทาง
แล้วตามด้วยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
ฉีโซ่วพลันตาลาย ต่อให้เขาจะอาศัยแรงส่งจากหมัดของอีกฝ่ายถอยกรูดออกไปและขยับเบี่ยงไปด้านข้างก็แล้ว แต่กลับมีอีกหมัดที่ไม่สมเหตุสมผลกระแทกลงมาบนร่างของเขา ไม่เพียงแต่เฟยเยวียนที่ไม่อาจเข้าใกล้อีกฝ่ายได้ แม้แต่ซินเสียนที่มีจิตใจเชื่อมโยงอยู่กับตนก็ราวกับว่ากำลังสับสน จากนั้นก็ถูกแสงสีเขียวเส้นนั้นไล่ตามมาทัน กลางอากาศเหนือถนนใหญ่ กระบี่บินสองเล่มโรมรันพันตูอยู่ด้วยกัน ทุกครั้งที่กระแทกชนกันจะต้องเกิดริ้วคลื่นลมปราณเป็นวงๆ ที่ลอยอยู่สูงต่ำไม่เท่ากัน ปราณสังหารเข้มข้น แต่กลับงดงามชวนมองยิ่งนัก
“พี่น้องของข้าคงไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่กระมัง?”
“เหตุใดไอ้หมอนี่ถึงมีกระบี่บินตั้งสามเล่ม?”
เยี่ยนจั๋วกับเฉินซานชิวหันมามองหน้ากันเอง ต่างคนต่างฉงนสนเท่ห์
ลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนทิศ ฉีโซ่วที่เดิมทีมีหน้ามีตาสุดขีด ในที่สุดก็ต้องเริ่มวิ่งหัวซุกหัวซุนหนีเอาชีวิตรอดอย่างเหนื่อยล้าบ้างแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองขั้นสูงสุดที่มีประสบการณ์การเข่นฆ่าอย่างโชกโชนคนหนึ่งกลับมีจุดจบที่ต้องใช้หมัดปะทะหมัด
หลังจากที่สองหมัดของอีกฝ่ายกระแทกลงบนร่าง ภาพปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่องโพรงลมปราณของฉีโซ่วก็ยิ่งเข้มข้น บวกกับรากฐานเรือนกายของเขามั่นคงแน่นหนา เมื่อต้องใช้หมัดปะทะกับหมัดของเฉินผิงอันที่พอปล่อยหมัดหนึ่งมาแล้ว หมัดต่อมาก็ตามมารัวๆ อยู่หลายครั้ง ฉีโซ่วก็เริ่มตัดสินใจลงมืออย่างอำมหิต เลือกจะใช้แลกหมัดกับไอ้หมอนั่นเสียเลย หมัดหนึ่งนั้นต่อยให้ศีรษะของอีกฝ่ายเหวี่ยงสะบัดอย่างแรง แต่อีกฝ่ายกลับยังคงมีสีหน้าเฉยชา ราวกับไม่รู้สึกรู้สากับบาดแผลและความเจ็บปวด ทุกครั้งที่ปล่อยหมัดยังคร้านจะเลือกจุดที่หมัดร่วงไปด้วยซ้ำ ราวกับว่าขอแค่ต่อยโดนฉีโซ่วก็พอใจแล้ว
ความเร็วของซินเสียนมากพอ แต่กลับถูกกระบี่บินที่แสงกระบี่เป็นสีเขียวมรกตเล่มนั้นคอยพัวพันตาต่อตาฟันต่อฟันกันไม่เลิก
แต่เฟยเยวียนมักจะช้ากว่าอยู่เสี้ยวหนึ่ง
การเข่นฆ่าของผู้ฝึกกระบี่ ความต่างเพียงเสี้ยวเดียว มักจะเป็นความต่างราวฟ้ากับเหวเสมอ
ค่ายกลกระบี่ของเที่ยวจูโงนเงนจะร่วงมิร่วงแหล่อยู่นานแล้ว ภัยคุกคามที่มีต่อคนชุดเขียวซึ่งปรากฏตัวอย่างลึกลับผู้นั้น ยิ่งเวลานานเข้าก็ยิ่งสามารถมองข้ามไปได้เลย
ในที่สุดเหล่าผู้ชมที่อยู่สองฝั่งของถนนใหญ่ก็คืนสติขบคิดตามได้ทันแล้ว เสียงฮือฮาจึงดังเกรียวกราว
สิบห้าหมัดผ่านไป
ฉีโซ่วที่ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ถูกหมัดหนึ่งต่อยจนหลังแนบพื้น ร่างไถลครูดออกไปไกลสิบกว่าจั้ง เพียงแต่ว่าท่ามกลางขั้นตอนนี้ ฉีโซ่วที่สวมชุดคลุมอาคมกลับมีเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารเม็ดหนึ่งกลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อ ชั่วพริบตานั้นเสื้อเกราะสีทองพลันปกคลุมลงบนร่าง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ฉีโซ่วที่เพิ่งใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งยันพื้นเตรียมจะลุกขึ้นเพื่อรับหมัดที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องกระแทกลงบนร่างอย่างแน่นอนหมัดนั้น แต่กลับถูกหมัดของคนชุดเขียวที่ร่างโน้มมาข้างหน้า วิ่งตะบึงจนร่างแทบจะแนบติดพื้นต่อยลงบนใบหน้าแทน ต่อยให้ฉีโซ่วที่บนร่างสวมเกราะวิเศษของสำนักการทหารและฝังเลื่อมชุดคลุมอาคมอยู่ด้านในร่างแนบติดพื้นไปอีกครั้ง
หมัดที่สิบเจ็ดนี้พละกำลังหนักหน่วงจนร่างของฉีโซ่วที่กระแทกลงพื้นเด้งขึ้นมาอีก จากนั้นก็เห็นว่าคนผู้นั้นเหวี่ยงแขนปล่อยหมัดต่อยใส่เขาอีกรอบ
หมัดนี้ต่อยเน้นๆ จนเลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของฉีโซ่ว
ผังหยวนจี้ถอนหายใจ ฉีโซ่วควรจะถอยก่อนหนึ่งก้าวได้แล้ว จากนั้นค่อยชักกระบี่ออกจากฝักอย่างแท้จริง
ผู้ฝึกกระบี่นอกจากกระบี่แห่งชะตาชีวิตแล้ว ขอแค่มีกระบี่พกติดกาย อีกทั้งยังไม่ใช่แค่เครื่องประดับที่ไร้ชีวิตแล้วล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นคนคนเดียวกัน ก็คือผู้ฝึกกระบี่สองประเภท
ในขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนชุดเขียวถึงได้หยุดมือกะทันหันนั้นเอง
ครู่หนึ่งต่อมา ‘ฉีโซ่ว’ คนหนึ่งก็มาปรากฏตัวอยู่ห่างจากฉีโซ่วที่อยู่บนพื้นไปสามสิบก้าว
จิตหยินออกจากช่องโพรงมาท่องอยู่ในฟ้าดิน
เห็นได้ชัดว่าฉีโซ่วใช้วิชาลับ ไม่อย่างนั้นจิตหยินออกจากร่างของผู้ฝึกตนทั่วไป สำหรับผู้ฝึกกระบี่มากมายที่เชี่ยวชาญด้านการตามจับเบาะแสของลมปราณที่สุดแล้ว แม้จะเป็นความเคลื่อนไหวที่น้อยนิดแค่ไหนก็ล้วนสัมผัสได้ถึง
จิตหยินของฉีโซ่วสีหน้าไร้อารมณ์ ยื่นมือออกมาคว้าจับ
กระบี่เล่มยาวออกจากฝักเสียงดังเคร้ง แล้วถูกเขาถือไว้ในมือ
หนึ่งในอาวุธกึ่งเซียนของตระกูลฉีกำแพงเมืองปราณกระบี่ กระบี่มีชื่อว่า ‘เกาจู๋’
เล่าลือกันว่าร่างจริงของอาวุธกึ่งเซียนเล่มนี้เคยเป็นกระดูกสันหลังร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์กองอัคคีในสวรรค์ยุคบรรพกาลมาก่อน โครงกระดูกมาตกอยู่ในโลกมนุษย์ ถูกบรรพจารย์ตระกูลฉีได้มาครอบครองโดยบังเอิญแล้วหล่อหลอมมานานร้อยกว่าปี
พอโซ่วถือกำเนิดก็ได้กลายเป็นเจ้าของคนใหม่ของอาวุธกึ่งเซียนเล่มนี้
หลังจากที่จิตหยินของฉีโซ่วกุมเกาจู๋ไว้ในมือได้แล้วก็ถามว่า “ยังจะสู้ต่อไหม?”
ภาพต่อมา อย่าว่าแต่ผู้ชมที่ลืมดื่มเหล้ากันไปนานแล้วเลย แม้แต่เตี๋ยจ้างก็ยังหนังตากระตุก
มือขวาที่มีแต่กระดูกของเฉินผิงอันงอห้านิ้วเป็นตะขอ ขยุ้มจับร่างจริงของฉีโซ่วที่นอนอยู่บนพื้นแล้วค่อยๆ ยกขึ้น จากนั้นโยนใส่จิตหยินของฉีโซ่วอย่างไม่ใส่ใจ
เฉินผิงอันยืนตัวตรง ยังคงเอามือซ้ายไพล่หลัง มือขวากำเป็นหมัดวางไว้ด้านหน้า
เลือดที่โชกเปรอะแขนทั้งข้างไหลตามนิ้วกระดูกขาวหยดแหมะๆ ลงบนพื้น
จิตหยินของฉีโซ่วกลับเข้าร่างอย่างไม่ลังเล พลิ้วกายลงบนพื้นอีกครั้ง
เฉินผิงอันยกแขนข้างที่สภาพเหวอะหวะแทบทนมองไม่ได้ขึ้นมา เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “มา”
ลำแสงสีทองเส้นหนึ่งพุ่งทะยานจากจวนหนิงที่อยู่ห่างไกลทะลุสู่ชั้นฟ้า ติดตามมาด้วยเสียงฟ้าคำรณเป็นระลอก ก่อนจะพุ่งแหวกอากาศมาถึงแล้วถูกเฉินผิงอันกุมไว้ในมือเบาๆ
เส้นสีทองที่มีจุดเริ่มต้นจากจวนหนิง สุดท้ายมาอยู่บนถนนเส้นนี้สะดุดตามากเป็นพิเศษ เนื่องจากปราณกระบี่เข้มข้นจนถึงขั้นที่ชวนให้คนตะลึงพรึงเพริด ต่อให้จะถูกมือกระบี่ชุดเขียวกุมไว้ในมือแล้ว เส้นสีทองก็ยังคงรวมตัวกันไม่สลายหายไปไหน
ฉีโซ่วที่ไม่ได้เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าพลันหน้าเขียวคล้ำ “ใครให้เจ้ายืมอาวุธเซียน?!”
ดูเหมือนว่าอาวุธเซียนที่มีชื่อว่าเจี้ยนเซียนในมือของเขาเล่มนี้จะลิงโลดเพราะไม่ได้เจอกับการเข่นฆ่ามานานมากแล้ว ถึงได้สั่นสะเทือนไม่หยุด เป็นเหตุให้มีแสงสีทองเป็นเส้นๆ ถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง
นี่จึงเป็นเหตุให้ดูเหมือนมือกระบี่ชุดเขียวถือพระอาทิตย์ดวงใหญ่ไว้ในมือ
เกาจู๋? (เทียนสูงที่ส่องแสงสว่างเจิดจ้า)
แสงเทียนจะสูงได้สักแค่ไหนกัน?
ดวงตะวันลอยอยู่กลางนภา ยังมีวัตถุใดกล้ามาช่วงชิงความสูงกับข้า
คนหนุ่มชุดเขียวมีท่าทีผ่อนคลายสบายอารมณ์ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากเจ้าไม่ได้แซ่ฉี ตอนนี้คงยังต้องนอนหลับอยู่บนพื้น เพราะฉะนั้นเจ้าเลือกมาเกิดในครรภ์ที่ดี ถึงได้มีอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง ข้าไม่เหมือนเจ้า เพราะเอาชีวิตช่วงชิงเจี้ยนเซียนเล่มนี้มา”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หุบยิ้ม “ฉีโซ่วที่อยู่บนสนามรบทิศใต้คู่ควรกับแซ่นี้ แต่ว่า การต่อสู้ก็ยังคงต้องดำเนินไป ขอแค่เจ้ากล้าออกกระบี่”
และเวลานี้เองชายฉกรรจ์เคราดกที่ไม่รู้ว่ากลับมานั่งในร้านเหล้าตั้งแต่เมื่อไรก็วางถ้วยขาวใบใหญ่ที่เก็บขึ้นมาจากพื้นแล้วเทเหล้าใส่ไปลง ก็พูดกับฉีโซ่วว่า “แพ้แล้วก็ต้องยอมรับ ลูกหลานผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลฉีพวกเจ้า ไม่เคยมีใครที่ต้องมาตายอยู่ทางทิศเหนือของกำแพงเมือง”
ฉีโซ่วยกมือสอดกระบี่กลับเข้าฝักที่อยู่ด้านหลัง เดินไปข้างหน้า ตอนที่เดินสวนไหล่กับคนชุดเขียว เขาก็เอ่ยว่า “กล้านัดเวลามาสู้กันใหม่อีกครั้งหรือไม่?”
เขาคือผู้ฝึกกระบี่ที่มีโอกาสเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิดคนแรกในบรรดาคนวัยเดียวกันของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ถึงขั้นยังเร็วกว่าหนิงเหยาด้วยซ้ำ
เพราะเรื่องที่นางจำเป็นต้องทำมีมากเกินไป ใหญ่เกินไป ไม่ใช่แค่การหลอมลมปราณเท่านั้น เพราะสำหรับหนิงเหยาแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย แต่เป็นเพราะนางจำเป็นต้องหลอมวัตถุ ทำให้ถ่วงรั้งความเร็วในการฝ่าทะลุขอบเขตของนางมาโดยตลอด
แต่ขอแค่เขาฉีโซ่วได้เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดแล้วเปิดฉากเข่นฆ่ากับเฉินผิงอันอีกครั้ง ก็ไม่ต้องพูดถึงโอกาสชนะไม่ชนะอะไรอีกแล้ว
เฉินผิงอันย้อนถาม “เจ้ากำหนดสถานที่ ข้ากำหนดเวลา ตกลงไหม?”
ลูกกระเดือกฉีโซ่วขยับเบาๆ อีกนิดเดียวก็เกือบทนไม่ไหวกระอักเลือดคำนั้นออกมา
ฉีโซ่วไม่เอ่ยอะไรอีก ไม่ได้ทะยานลมจากไป เขาเพียงแค่เดินไปถึงสุดปลายของถนนแล้วเลี้ยวตรงหัวมุมจากไปช้าๆ เช่นนี้
ด้านหลังของเขามีสหายที่สีหน้าไม่น่ามองยิ่งกว่าฉีโซ่วตามติดไปเงียบๆ
เฉินผิงอันหันมามองหนิงเหยาแล้วยิ้มตาหยี
หนิงเหยาถลึงตาใส่เขาหนึ่งที
เฉินผิงอันจึงเสมองไปรอบด้าน
กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้แปลกประหลาดอย่างมาก นอกเหนือจากบ้านบรรพบุรุษของบ้านเกิด และเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วที่ได้ครอบครองในภายหลังแล้ว นี่คือสถานที่แห่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ต้องกริ่งเกรงสิ่งใดมากที่สุด
ดังนั้นจึงเป็นสถานที่ที่เขาเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงที่ ‘รักตัวกลัวตาย’ กล้าออกหมัดได้อย่างสาแก่ใจมากที่สุด
เพราะกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้บริสุทธิ์อย่างมาก ดีเลวชอบโกรธ ก็มีอยู่ แต่กลับไม่ได้ซับซ้อน ไม่ได้วกวนอ้อมค้อมเหมือนขุนเขานับพันสายน้ำนับหมื่นของใต้หล้าไพศาล
บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ยังมีผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่เคยบอกกับเขาเองว่า ‘ควรจะไม่ใช้เหตุผลอย่างไร’ และผู้เฒ่าก็เคยลงมือแสดงให้ดูด้วยตัวเอง เป็นการกระทำง่ายๆ เพียงแค่ยกมือก็มีปราณกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้า สังหารผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนของตระกูลใหญ่ผู้นั้นในชั่วพริบตา
อยู่ที่นี่ เซียนกระบี่ใหญ่เฒ่าเฉินชิงตูก็คือเหตุผลที่ใหญ่ที่สุด
เฉินผิงอันยอมรับเทพเซียนผู้เฒ่าที่มีอายุยืนยาวท่านนี้จากใจจริง ถ้าเช่นนั้นออกหมัดและออกกระบี่ที่นี่ก็สามารถฝ่าทะลุไปถึงขอบเขตซึ่งเขาปรารถนาแม้ในยามหลับฝันอย่างคำว่า ไม่ต้องพะวงหลัง ไร้ความกริ่งเกรง!
แล้วนับประสาอะไรกับที่ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่อาเหลียงอยู่อาศัยมานานหลายปี สถานที่ที่ทำให้อาเหลียงยอมอยู่ต่อไม่ไปไหน ดื่มเหล้าไปมากมายท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานแห่งนี้ ถ้าเช่นนั้นหากเฉินผิงอันออกหมัดไม่หนักมากพอ ออกกระบี่ไม่เร็วพอก็คงผิดต่อสถานที่แห่งนี้
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง รู้สึกสะใจไม่น้อย
แต่ยังไม่พอ
ผังหยวนจี้กำลังคิดว่าจะจากไป
คาดไม่ถึงว่ามือกระบี่ชุดเขียวจะทำเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน นั่นคือหันมายิ้มมองผังหยวนจี้
ผังหยวนจี้ยิ้มถาม “ไม่คิดว่าตัวเองเสียเปรียบรึ?”
หลังจากผ่านศึกใหญ่ไปอย่างยากลำบาก อีกฝ่ายเอาชนะมาอย่างไม่ง่ายดายนัก
การกระทำต่อมาของเฉินผิงอัน
ทำให้เซียนกระบี่หลายท่านที่ไม่ได้นั่งอยู่ด้วยกันพากันยิ้มและกระดกเหล้าขึ้นดื่ม
ทุกคนเห็นเพียงว่าคนที่อยู่บนถนนปักปลายกระบี่ของกระบี่ยาวอาวุธเซียนที่ดูเหมือนจะชื่อว่า ‘เจี้ยนเซียน’ ลงบนพื้น จากนั้นก็ปล่อยมือ มือขวาของเขาผายมาด้านหน้า บอกเป็นนัยให้อีกชายเชิญลงมือได้ตามสบาย
จากนั้นคนผู้นั้นก็เอ่ยว่า “ข้ากลัวว่าเจ้าจะรู้สึกเสียเปรียบ”
ผังหยวนจี้มีสีหน้ารื่นเริง คลี่ยิ้มออกมาให้เห็น เขาก้าวยาวๆ เดินออกมาจากร้านเหล้า มายืนอยู่ตรงใจกลางของถนน กุมหมัดเอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า “กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผังหยวนจี้!”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็กุมหมัดคารวะกลับคืน ตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คนที่หนิงเหยาชอบ เฉินผิงอัน”