กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 583.1 มีเพียงนักดื่มที่ได้ทิ้งชื่อไว้
ใบไม้ร่วงจากไป ฤดูหนาวมาเยือน กาลเวลาล่วงเลยผ่านพ้นไปอย่างเนิบช้า
หากไม่เป็นเพราะแค่เงยหน้ามองก็จะเห็นเค้าโครงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทางทิศใต้อยู่ไกลๆ เฉินผิงอันคงเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่มงคลกระดาษขาว หรือไม่ก็เคยดื่มเหล้าลืมทุกข์ของพื้นที่มงคลวหวงเหลียงไปแล้ว
ต่อให้เฉินผิงอันจะมานะฝึกตน ทุกวันไม่เคยเกียจคร้าน ถึงขั้นพูดได้ว่ายุ่งมาก แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่ายังดีไม่พอ ดังนั้นจึงขอให้ป๋ายหมัวมัวมาช่วยป้อนหมัดให้ คิดไม่ถึงว่าไม่ว่าอย่างไรป๋ายหมัวมัวก็ไม่ยอมออกแรงเต็มกำลัง อย่างมากสุดก็แค่ถ่ายทอดกระบวนท่าหมัดบางส่วนให้แก่ท่านเขยในอนาคตเท่านั้น นอกจากการฝึกซ้อมหมัดที่ไม่สาแก่ใจเต็มที่แล้ว เฉินผิงอันก็ได้แต่เรียกให้ท่านปู่น่าหลันไปที่ลานประลองยุทธฟ้าดินเล็กเมล็ดงานั่นด้วยกัน เพื่อทำความเข้าใจกับพลังสังหารของกระบี่บินผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เรียนรู้วิชาการอำพรางตัวอย่างคร่าวๆ มาจาก ‘นักฆ่า’ ที่ขอบเขตถดถอยมาจากขอบเขตเซียนเหรินผู้นี้ วิธีการลี้ลับมหัศจรรย์หลายอย่างที่เกี่ยวพันกับรากฐานการฝึกตน ‘ตอนกลางวันขยับเข้าใกล้เหมือนเดินตอนกลางคืน’ จำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ถึงจะทำได้ นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
นอกจากนี้แล้วพอมีเวลาว่าง เฉินผิงอันก็จะพยายามแวะไปที่ร้านเหล้าให้บ่อย ทุกครั้งที่ไปจะอยู่นานเป็นชั่วยาม แต่กลับไม่ค่อยได้ช่วยขายเหล้าสักเท่าไร เอาแต่ใช้เวลาอยู่กับกลุ่มเด็กตัวเท่าก้นและพวกเด็กหนุ่มเด็กสาว ทำตัวเป็นนักเล่านิทานของเขาต่อไป อย่างมากสุดก็เป็นอาจารย์ที่ท่องหนังสือและสอนตัวอักษรให้กับพวกเขา ไม่เกี่ยวพันกับการถ่ายทอดวิชาความรู้ใดๆ
แม้จะบอกว่าเฉินผิงอันเป็นเถ้าแก่ที่ไม่สนใจจะดูแลร้าน แต่เถ้าแก่ใหญ่อย่างเตี๋ยจ้างก็ไม่เคยว่ากล่าวหรือบ่นอะไร เพราะวิธีการหาเงินให้กับร้านที่แท้จริงล้วนเป็นเถ้าแก่รองเฉินที่เป็นผู้ดูแล ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เขาจะแอบอู้ได้บ้างแล้ว ถึงอย่างไรเตี๋ยจ้างก็แค่ควักเงินทุนและใช้แรงกายบางส่วนที่เป็นเรื่องตายตัวเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่หลังจากที่ร้านเหล้าเปิดกิจการได้อย่างราบรื่นเป็นมงคล ลูกเล่นหลังจากนั้นก็ยังมีอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่นหลังจากแขวนคำโคลงคู่แนวตั้งคู่นั้นข้างประตูไปแล้ว ภายหลังยังมีกลอนแนวขวางที่แปะไว้เหนือบานประตูใหม่เอี่ยมอีกบทหนึ่งด้วย
‘ผู้ที่ดื่มสุราข้าจะได้ฝ่าทะลุขอบเขต’
พวกเถ้าแก่ร้านเหล้าเหลาสุราที่อยู่บนถนนใหญ่ใกล้บ้ากันเต็มที ไม่เพียงแต่แย่งลูกค้าไปไม่น้อย ประเด็นสำคัญคือฝั่งตนยังแพ้ในด้านพลังอำนาจอย่างเห็นได้ชัด นี่จึงเป็นเหตุให้สถานที่ทั้งหลายที่ขายเหล้าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ แทบทุกที่ล้วนพากันติดคำโคลงคู่แนวตั้งและคำคมแนวนอนกันบ้างแล้ว
เพียงแต่ว่าอ่านไปอ่านมา สุดท้ายผู้ฝึกกระบี่ผีขี้เหล้าทั้งหลายก็ยังคงรู้สึกว่าเป็นบทกลอนของที่นี่ที่มีท่วงทำนองดีที่สุด หรือควรจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าหน้าด้านที่สุด
ในขณะที่ร้านเหล้าแทบทั้งหมดเริ่มทำเลียนแบบนั้น ร้านนี้ก็เริ่มมีวิธีการใหม่โผล่มาอีก
ด้านในร้านแขวนป้ายไม้เล็กๆ ที่ลักษณะเหมือนป้ายสงบสุขปลอดภัยไว้จนเต็ม เป็นป้ายที่เอาไว้ให้ผู้ฝึกกระบี่ที่เตี๋ยจ้างเชื้อเชิญให้มาดื่มเหล้าใช้ปราณกระบี่สลักชื่อ หรือไม่ก็ทิ้งบทประพันธ์คำกลอนลงไป ทุกแผ่นล้วนถูกนำไปแขวนไว้บนผนัง บอกว่าถือเป็นนิมิตหมายที่ดี
ไม่แบ่งขอบเขตสูงต่ำ ไม่แบ่งว่าใครได้แขวนจุดสูงจุดต่ำ ใครเขียนก่อนก็แขวนป้ายไม้ของคนนั้นก่อน ด้านหน้าล้วนเขียนชื่อของนักดื่มเหมือนกันทั้งหมด หากยินดี ด้านหลังแผ่นไม้ยังสามารถเขียนได้อีก อยากเขียนอะไรก็เขียน เขียนมากเขียนน้อย ทางร้านก็ไม่ว่า
ตอนนี้นักดื่มที่มีป้ายสงบสุขแขวนไว้บนผนังของร้าน ลำพังเพียงแค่เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนก็มีถึงสี่ท่านแล้ว มีเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะของแจกันสมบัติทวีป เกาขุยเซียนกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หยวนชิงสู่เซียนกระบี่แห่งทักษินาตยทวีป และยังมีเถาเหวินผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ครั้งหนึ่งมาดื่มเหล้าที่ร้านกลางดึกเพียงลำพัง พวกเขาล้วนเขียนอักษรไว้ด้านหลังป้ายสงบสุขกันทุกคน ไม่ใช่ว่าตัวพวกเขาเองอยากเขียน เดิมทีเซียนกระบี่ทั้งสี่ท่านแค่เขียนชื่อไว้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ภายหลังเฉินผิงอันหาโอกาสไปพบพวกเขา ยืนกรานว่าจะให้พวกเขาเขียนเพิ่มให้ได้ ต่อให้ไม่เขียนก็มีวิธีทำให้พวกเขาเขียน ทำเอาเตี๋ยจ้างที่มองดูอยู่ด้านข้างอย่างอึดอัดขัดเขินได้เปิดโลกกว้าง ที่แท้การค้าก็สามารถทำกันแบบนี้ได้ด้วย
ดังนั้นเว่ยจิ้นจึงทิ้งอักษรคำว่า ‘ตกอยู่ในห้วงรัก กระบี่มิอาจชักออกจากฝัก’
เกาขุยบุรุษตาเดียวเคราดกที่มองดูหยาบกระด้าง เขียนประโยคว่า ‘บุปผางามดวงจันทร์กลมโต คนอายุยืนยาว’
หยวนชิงสู่ผู้สง่างามเขียนว่า ‘ใต้หล้าแห่งนี้ควรรู้ว่าข้าหยวนชิงสู่คือเซียนกระบี่’
เถาเหวินเป็นงานที่สุด ได้ยินว่าจะได้ดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ไหหนึ่งโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เขียนประโยคว่า ‘สุราของที่นี่รสชาติดีซ้ำยังราคาถูก ยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด หากเชื่อไว้ก่อนได้จะยิ่งดี’
ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ผู้มีพรสวรรค์ที่ถือว่าอายุน้อยที่สุดก็มีสิบกว่าคนซึ่งรวมผังหยวนจี้ เยี่ยนจั๋ว เฉินซานชิว ต่งฮว่าฝูเป็นหนึ่งในนั้น แน่นอนว่ายังมีแม่นางน้อยกวอจู๋จิ่วรวมอยู่ด้วย นอกจากที่นางจะเขียนชื่อจริงกวอจู๋จิ่วและชื่อเล่นว่า ‘ลวี่ตวน’ เอาไว้แล้ว ด้านหลังยังแอบเขียนว่า ‘อาจารย์ขายเหล้า ลูกศิษย์ซื้อเหล้า มิตรภาพระหว่างอาจารย์และศิษย์ชวนให้คนซาบซึ้งใจ คงอยู่ตราบชั่วฟ้าดินสลาย’
และยังมีผู้ฝึกกระบี่เซียนดินอีกไม่น้อยที่ยังกลัวว่าจะเสียหน้า อย่างมากก็แค่เขียนชื่อทิ้งไว้ ไม่เขียนอย่างอื่นอีก อีกทั้งเฉินผิงอันเองก็ไม่ค่อยได้มาดูแลกิจการของร้านสักเท่าไร เตี๋ยจ้างก็ไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากเช่นไร ภายหลังเฉินผิงอันรู้สึกว่าจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงเอากระดาษหลายแผ่นมามอบให้เตี๋ยจ้าง บอกว่าหากเจอผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ถูกชะตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ยินดีจะทิ้งผลงานการประพันธ์ไว้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะเขียนอะไร ตอนที่คิดเงินก็สามารถส่งกระดาษแผ่นใดแผ่นหนึ่งในนี้ไปให้พวกเขา
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก่อกำเนิดท่านหนึ่งที่นิสัยหยาบกระด้าง ไม่ถนัดเรื่องการเขียนบทกลอน พอเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งแล้ว เดิมทียังวางท่าปฏิเสธเถ้าแก่อย่างเตี๋ยจ้าง คิดไม่ถึงว่าเขาจะหน้าเปลี่ยนสีทันใด แอบเก็บกระดาษแผ่นนั้นมา บอกให้เตี๋ยจ้างปลดแผ่นไม้สงบสุขลงมาโดยเร็ว แล้วเขียนกลอนประโยคนั้นในกระดาษลงไปบนแผ่นไม้ด้วยท่าทางจริงจังราวกับเผชิญหน้ากับปีศาจใหญ่ ตอนที่จากไปยังซื้อเหล้าภูเขาชิงเสินที่ราคาแพงที่สุดไปด้วยอีกหนึ่งกา จงใจกดปราณกระบี่บนร่างตัวเองไว้ เขาที่ดื่มเหล้าอย่างเต็มคราบจึงเดินโซเซพลางร้องเพลงเสียงดังไปด้วย เป็นบทเพลงที่ร้องซ้ำไปซ้ำมา เนื้อหาก็มาจากกลอนที่ ‘ความคิดพรั่งพรู จรดพู่กันเขียน’ บทนั้น
‘ความทรงเสน่ห์ในอดีตมิต้องพูดถึง ร้อยศึกผันผ่านหลายฤดูกาล ดื่มให้สาแก่ใจเมามายหนุนกระบี่ต่างหมอน เฝ้าฝันว่าให้ชิงเสินรินสุรา’
หนึ่งคืนผ่านไป ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่อยู่ดีๆ ก็แต่งกลอนเป็นผู้นี้ก็มีชื่อเสียงเลื่องระบือในหมู่นักพนันและผีขี้เหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่
แต่ว่ากันว่าสุดท้ายเขากลับโดนกระบี่บินของเซียนกระบี่ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนไปทีหนึ่ง ต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงหลายวัน
และยังมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของอุตรกุรุทวีปที่อายุค่อนข้างน้อยคนหนึ่งบอกว่าตนดื่มเหล้าใต้แสงจันทรา จึงบังเกิดความคิดขึ้นมาโดยบังเอิญ เลยเขียนประโยคหนึ่งไว้บนป้ายสงบสุขว่า ‘เซียนกระบี่ครึ่งหนึ่งบนโลกคือสหายข้า สตรีคนใดในใต้หล้าไม่เขินอาย ข้าใช้สุราเข้มข้นล้างกระบี่ ใครเล่าไม่กล่าวว่าข้าสง่างาม’
เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ของที่ร้านแบ่งออกเป็นสามระดับ หนึ่งไหหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ รสชาติเจือจางที่สุด
ดีขึ้นมาหน่อยคือหนึ่งไหห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่ทางร้านก็ป่าวประกาศว่าเหล้าทุกๆ ร้อยไหของที่ร้านจะมีใบไผ่จากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่มีมูลค่าควรเมืองใบหนึ่งซ่อนอยู่ เซียนกระบี่เว่ยจิ้นและแม่นางน้อยกวอจู๋จิ่วล้วนเป็นพยานให้ได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเท็จ
เหล้าภูเขาชิงเสินระดับหนึ่งนั้นต้องจ่ายสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ และยังไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ดื่มด้วย เพราะทุกวันทางร้านจะขายแค่ไหเดียว ขายไปแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ดื่มอีก ลูกค้าได้แต่รอวันถัดไปเท่านั้น
จึงมีช่วงเวลาหนึ่งที่ร้านเหล้าเล็กๆ แห่งนี้มีคนมาเยือนจนเต็มแน่น แต่เมื่อช่วงเวลาของความครึกครื้นผ่านไป ก็ไม่ได้มีภาพที่ผู้ฝึกกระบี่มากมายมานั่งยองดื่มเหล้าอยู่กับพื้น มาแย่งชิงกันซื้อเหล้าอีกแล้ว แต่โต๊ะหกตัวก็ยังมีคนมานั่งจนเต็ม
แม้เตี๋ยจ้างจะพึงพอใจกับรายรับของร้านมากแล้ว แต่ก็อดรู้สึกผิดหวังเล็กๆ ไม่ได้ เป็นอย่างที่เฉินผิงอันคาดการณ์ไว้จริงๆ หลังจากที่ร้านมีชื่อเสียงแล้ว การหาซื้อเหล้าก็กลายเป็นเรื่องยากที่ใหญ่เทียมฟ้า ร้านเหล้าจำนวนมากยินยอมผิดคำสัญญาชดใช้เงินคืนให้แก่เตี๋ยจ้าง แต่ไม่ยอมขายเหล้าขาวเปล่าๆ ให้ เห็นได้ชัดว่าต้องการจะตัดแหล่งสินค้าของที่ร้าน หากลูกค้ามาซื้อเหล้าแต่กลับไม่มีเหล้าขาย กิจการก็จะต้องเดินลงเนิน ความคึกคักที่เป็นดั่งดอกราตรีบานชั่วค่ำคืนยากจะทำให้การค้าคงอยู่อย่างยาวนานได้
ขนาดเตี๋ยจ้างยังเห็นปัญหาระยะใกล้นี้ เถ้าแก่รองที่สะบัดมือทิ้งร้านย่อมรู้ชัดเจนดียิ่งกว่า แต่เฉินผิงอันกลับไม่เคยพูดอะไร พอมาถึงที่ร้าน หากไม่พูดคุยทักทายกับลูกค้าที่สนิทสนมกัน ขอเหล้าพวกเขาดื่มเล็กๆ น้อยๆ ก็จะไปเป็นนักเล่านิทานตรงหัวมุมเลี้ยวของถนน ใช้เวลาอยู่กับพวกเด็กๆ เตี๋ยจ้างไม่อยากรบกวนเฉินผิงอันทุกเรื่อง จึงได้แต่ครุ่นคิดหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
กลางดึกคืนนี้ เฉินผิงอันกับหนิงเหยามาที่ร้านซึ่งกำลังจะปิดลง เวลานี้ไม่มีลูกค้าแล้ว
เตี๋ยจ้างหยิบสมุดบัญชีออกมา เฉินผิงอันนั่งลงด้านข้าง ควักเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่ง สั่งเหล้าที่ราคาถูกที่สุดมาหนึ่งกา เถ้าแก่ดื่มเหล้าก็ต้องควักเงิน นี่ก็คือกฎ
เฉินผิงอันดื่มพลางตรวจสมุดบัญชีอย่างละเอียดไปด้วย
พวกเยี่ยนจั๋วก็นัดหมายกันไว้ล่วงหน้าแล้วว่าวันนี้จะมาดื่มเหล้าด้วยกัน เพราะนานๆ ทีเฉินผิงอันถึงจะยินดีเป็นเจ้ามือ
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งยาวตัวเดียวกับหนิงเหยา
เยี่ยนจั๋วครองม้านั่งคนเดียวหนึ่งตัว ต่งฮว่าฝูนั่งอยู่กับเฉินซานชิว
เยี่ยนจั๋วมองเฉินผิงอันที่พลิกเปิดสมุดบัญชีอย่างละเอียด แล้วมองเตี๋ยจ้างที่นั่งอยู่ด้านข้าง สุดท้ายก็อดไม่ไหวถามว่า “เตี๋ยจ้าง เจ้าไม่รู้สึกว่าเฉินผิงอันไม่เชื่อใจเจ้าหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นพูด เพียงแค่ยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบหนึ่งคำ ถือเป็นการยอมรับว่าตัวเองไม่ใจป้ำมากพอ ดังนั้นจึงยินดีดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งอึก
เตี๋ยจ้างพูดเสียงขุ่น “พูดอะไรเหลวไหล ทำการค้าก็ไม่ใช่ว่าต้องมีกฎเกณฑ์แบบนี้หรอกหรือ เดิมทีก็เพราะเป็นเพื่อนกันถึงได้มาทำการค้าร่วมกัน หรือว่าหากคิดบัญชีกันอย่างชัดเจนก็จะไม่ใช่เพื่อนกันแล้ว? ใครบ้างที่ไม่เคยทำผิดพลาด ถึงเวลานั้นจะถือเป็นความผิดของใคร? ทำผิดแล้วก็ปล่อยผ่านไป แบบนี้ก็ดีแล้วหรือ? ความคิดเหลวไหลที่เจ้าไม่ผิดข้าไม่ผิดของเจ้า หากกิจการเจ๊งไม่เป็นท่าก็จะไปโทษเอากับเงินหรือไร”
เยี่ยนจั๋วเอ่ยอย่างน้อยใจ “เตี๋ยจ้าง เจ้าลำเอียงเกินไปแล้ว ทำไมกับเฉินผิงอันถือเป็นเพื่อนที่สามารถทำการค้าร่วมกันได้ ปีนั้นที่ข้าโดนซ้อมก็ไม่ใช่ว่าโดนไปอย่างเสียเปล่างั้นหรือ?”
เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “ข้าก็ขอโทษเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือไร”
เยี่ยนจั๋วบ่นอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก “ปีนั้นได้ยินเจ้าพูดขอโทษ ข้าก็ยังดีใจอยู่หรอก แต่ตอนนี้กลับเริ่มรู้สึกว่าเจ้าไม่มีความจริงใจมากพอแล้ว”
เฉินผิงอันพลิกเปิดบัญชีไปอีกหน้าหนึ่งแล้วเอ่ยสัพยอกว่า “เพื่อนมีเพื่อนใหม่ก็มักจะน่าน้อยใจแบบนี้แหละ”
เยี่ยนจั๋วโบกมือ “ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด”
เฉินผิงอันยื่นชามเหล้าไปชนกับของเยี่ยนจั๋วหนึ่งที แล้วยิ้มกล่าวว่า “ก็ไม่ใช่เพราะข้าเห็นว่านายน้อยตระกูลเยี่ยนอย่างเจ้าเนื้อตัวบึกบึนล่ำสัน ทุกที่บนร่างล้วนเต็มไปด้วยเงินทอง แต่กลับกลายเป็นว่าทุกครั้งดันขี้เหนียวซื้อแต่เหล้าราคาถูกที่สุด ใจป้ำสู้แม่นางน้อยลวี่ตวนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ก็เลยบ่นให้เจ้าฟังนี่ไงล่ะ”
เตี๋ยจ้างคล้ายจะลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังปลุกความกล้าเอ่ยว่า “เยี่ยนจั๋ว ซานชิว ขอปรึกษากับพวกเจ้าหน่อยได้ไหม”
เยี่ยนจั๋วรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ส่วนเฉินซานชิวนั้นคล้ายจะเดาได้แล้ว จึงยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ปรึกษากันได้”
เยี่ยนจั๋วตาเป็นประกาย “จะให้พวกเราเป็นหุ้นส่วนกับพวกเจ้าสองคนด้วย? ข้าก็ว่าแล้วเชียว ในบ้านของเจ้ามีถังเหล้ามากมายขนาดนั้น ข้าชำเลืองตามองทีหนึ่งแล้วลองประเมินพวกลูกค้าที่มาเยือนในแต่ละวันดูก็รู้แล้วว่าตอนนี้คงขายไปจนเหลือแค่ไม่กี่ไหแล้ว ตอนนี้พวกร้านเหล้าน้อยใหญ่ต่างก็อิจฉาตาร้อน เพราะฉะนั้นแหล่งที่มาของเหล้าจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้า ถูกไหม? เรื่องแบบนี้พูดง่ายเลย ง่ายจะตายไป ไม่ต้องไปหาซานชิวด้วย เขาน่ะคือคุณชายที่สิบนิ้วไม่เคยแตะงานบ้าน เป็นพวกที่นอนเสวยสุขอย่างเดียว ไม่มีทางเข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก แต่ข้ากลับไม่เหมือนกัน กิจการหลายอย่างในตระกูลล้วนมีข้าคอยช่วยอยู่ ช่วยหาเหล้าขาวที่ต้นทุนค่อนข้างต่ำมาให้พวกเจ้าจะมีอะไรยาก วางใจเถอะ เตี๋ยจ้าง ก็เอาตามที่เจ้าพูดนั้นแหละ พวกเราทำกันตามกฎ ข้าเองก็จะไม่ให้กิจการของที่บ้านขาดทุนเกินไปนัก ยินดีจะเอากำไรแค่เล็กน้อย ช่วยให้เจ้าได้กำไรมากหน่อย”
สีหน้าของเตี๋ยจ้างค่อนข้างซับซ้อน
เฉินผิงอันรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เขาปิดสมุดบัญชี ยิ้มกล่าว “การหาเงินของเถ้าแก่เตี๋ยจ้าง มีความดีใจอยู่สองอย่าง อย่างแรกก็คือเงินเทพเซียนแต่ละเหรียญเข้ามาอยู่ในกระเป๋าให้อุ่นใจ ทุกวันที่ปิดร้านได้ดีดลูกคิดคำนวณรายรับ อีกอย่างหนึ่งก็คือชอบความรู้สึกที่ว่าเงินหามาได้ไม่ง่าย แต่กลับสามารถหามาได้ เจ้าอ้วนเยี่ยน ไหนเจ้าลองว่ามาสิว่าใช่เหตุผลนี้ไหม? เจ้าที่ทำท่าว่าจะแบกถุงเงินใบใหญ่ย้ายเข้ามาอยู่ในร้านเช่นนี้ คาดว่าเตี๋ยจ้างคงไม่ยินดีจะดีดลูกคิดแล้ว เจ้าอ้วนเยี่ยนเจ้าก็บอกจำนวนตัวเลขมาตรงๆ เลยก็สิ้นเรื่อง”
เยี่ยนจั๋วทำท่ากระจ่างแจ้ง “ก็บอกกันตั้งแต่แรกสิ เตี๋ยจ้าง หากเจ้าพูดตรงไปตรงมาแบบนี้ตั้งแต่แรก ข้าก็ไม่เข้าใจไปนานแล้วหรอกหรือ?”
เตี๋ยจ้างกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ยังจะโทษข้า?”
เยี่ยนจั๋วดื่มเหล้าแล้วพูดอ้อนวอนว่า “โทษข้าๆ”
เฉินผิงอันเริ่มเปลี่ยนหัวข้อไปพูดถึงสาเหตุของกำไรและขาดทุน รวมถึงเรื่องที่ควรต้องระวังกับเตี๋ยจ้าง
อันที่จริงไม่ใช่ว่าเยี่ยนจั๋วไม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้ เขาน่าจะคิดจนเข้าใจได้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าอคติบางอย่างระหว่างเพื่อนสนิท มองดูเหมือนจะใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะเล็กก็ไม่เล็ก จะมีหรือไม่มีก็ได้ คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจซึ่งเคยทำร้ายจิตใจคน มักจะไม่ยินดีตั้งใจอธิบาย เพราะจะรู้สึกว่าจงใจเกินไป แล้วก็อาจจะรู้สึกเสียหน้า พอปล่อยไว้ หากโชคดีก็ไม่เป็นไร ก็แค่ถูกปล่อยไว้อย่างนั้นไปชั่วชีวิต ถึงอย่างไรเรื่องเล็กก็คือเรื่องเล็ก มีเรื่องใหญ่ที่สามารถทำได้ดียิ่งกว่าและทำได้ถูกต้องยิ่งกว่ามาชดเชยให้ก็ยิ่งไม่อาจนับเป็นอะไรได้ โชคไม่ดี เพื่อนไม่ใช่เพื่อนอีกต่อไป จะพูดหรือไม่พูดก็ยิ่งไม่จำเป็นอีกแล้ว
ทุกๆ คน คนวัยเดียวกันทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ แม้กระทั่งตัวหนิงเหยาเอง ล้วนมีด่านในใจที่ตัวเองต้องข้ามผ่านไป ไม่ได้มีเพียงแค่เตี๋ยจ้างที่มีชาติกำเนิดจากตรอกเก่าโทรมเพียงคนเดียวในกลุ่มเพื่อนอย่างก่อนหน้านี้เท่านั้น
เฉินผิงอันก็แค่อาศัยโอกาสนี้เอ่ยถ้อยคำที่ละมุนละม่อม ใช้สถานะของคนนอกมาช่วยไกล่เกลี่ยให้คนทั้งสอง หากเร็วเกินไปก็ไม่ได้ เพราะจะล่วงเกินทั้งสองฝ่าย หากช้าไป ยกตัวอย่างเช่นทั้งเยี่ยนจั๋วและเตี๋ยจ้างต่างก็รู้สึกว่าเขาเฉินผิงอันคือเพื่อนที่ดีที่สุดแล้ว นั่นก็จะยิ่งกลายเป็นว่าไม่เหมาะ ความคิดพวกนี้ ไม่อาจพูดออกไปได้ พูดไปแล้วก็เหมือนคำว่าน้ำเหล้าที่ขาดคำว่าเหล้าไปคำหนึ่ง เหลือเพียงคำว่าน้ำที่จืดจาง ดังนั้นได้แต่ให้เฉินผิงอันครุ่นคิดเอาเอง ถึงขั้นอาจทำให้รู้สึกว่าเฉินผิงอันวางแผนรับมือกับใจคนมากเกินไป หากเป็นเมื่อก่อนเฉินผิงอันคงรู้สึกไม่ดี จะต้องปฏิเสธการกระทำของตัวเอง แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
ความหวังดีทุกส่วนล้วนจำเป็นต้องใช้ความหวังดีที่มากยิ่งกว่ามาปกป้อง ประโยคที่ว่าคนดีต้องได้ดีนี้ เฉินผิงอันเชื่อ อีกทั้งยังศรัทธาจากใจจริง ทว่าจะเอาแต่ฝากความหวังให้สวรรค์ตอบแทนความดีก็ไม่ได้ คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ล้วนต้องคบค้าสมาคมกับคนอื่นในทุกๆ เรื่อง อันที่จริงทุกคนล้วนเป็นเทพเทวาบนสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องเอาแต่แสวงหาสิ่งนอกกาย แค่รู้จักที่จะไขว่คว้าสิ่งที่อยู่สูงขึ้นไปก็พอ
ไม่ว่าข้าจะใคร่ครวญขบคิดต่อเรื่องราวบนโลกใบนี้อย่างไร ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่จริงใจกับคนอื่นมากพอ แต่หากทำตามกฎเกณฑ์ และสุดท้ายแล้วการกระทำไม่ได้ทำร้ายคนอื่น ถึงขั้นยังพอจะเป็นประโยชน์ต่อวิถีทางโลกได้ไม่มากก็น้อย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ควรรู้สึกถูกมัดมือมัดเท้าเพราะสาเหตุนี้ หลังจากลงมือไปแล้วก็ลองมาทบทวนจิตใจตัวเองดู ค่อยๆ ขัดเกลาอยู่กับคำว่าสำนึกผิดชอบชั่วดี นี่ก็คือการฝึกฝนจิตใจ นี่ก็คือคำที่บอกว่าไม่สู้ลองคิดให้มากๆ ของเหวินเซิ่งอาจารย์ตน ต่อให้หลังจบเรื่องค้นพบว่านี่ก็เป็นแค่การอ้อมไปอ้อมมา เดินวนไปรอบหนึ่งสุดท้ายก็ยังกลับมาที่เดิม แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ควรทำลำดับต้นๆ ข้าไม่ฉกฉวยสิ่งใดมาจากฟ้าดิน แต่ฟ้าดินกลับมีคนที่มุ่งมาดจะทำความดีเพิ่มมาเปล่าๆ หนึ่งคน ทั้งสามารถรักษาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น จะไม่งดงาม จะไม่ประเสริฐได้อย่างไร?
หนึ่งนั้นของฟ้าดิน หมื่นปีก็ไม่เคยแปรเปลี่ยน มีเพียงใจคนที่ลดได้เพิ่มได้
ความรู้ของสามลัทธิ เมธีร้อยสำนัก สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ล้วนเป็นการทุ่มเทให้กับเรื่องนี้
หลังจากพูดคุยกันแล้ว ก็เหลือแค่เหล่าสหายที่ดื่มเหล้าร่วมกัน