กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 600.1 หอมซอยบนบะหมี่หยางชุน
หลูสุ้ยลุกขึ้นยืน บางทีคงเป็นเพราะรู้นิสัยของสหายข้างกายดี ตอนที่ลุกขึ้นจึงกุมมือของเริ่นหลงฉง ไม่เปิดโอกาสให้นางแกล้งนั่งทำตัวเป็นคนหูหนวกคนใบ้อยู่ตรงนั้น
หลูสุ้ยยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คารวะคุณชายเฉิน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เทพธิดาหลูเรียกข้าว่าเถ้าแก่รองก็พอแล้ว”
หลูสุ้ยยิ้มบางๆ ในดวงตาเหมือนมีคำพูด แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเรียกเจ้าว่าแม่นางหลู”
จางเจียเจินที่คอยช่วยงานอยู่ในร้านเหล้าวิ่งเข้ามาหา แต่หยิบมาแค่ชามเหล้า ไม่ได้หยิบเหล้ามาด้วย
หลูสุ้ยช่วยรินเหล้าให้เฉินผิงอันชามหนึ่ง แล้วยกชามเหล้าขึ้น เฉินผิงอันเองก็ชูชามเหล้าขึ้นเหมือนกัน ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ชนชามกัน เพียงแค่ต่างคนต่างดื่มเหล้าในชามเท่านั้น
เริ่นหลงฉงก็จิบเหล้าหนึ่งคำ เพียงแค่นี้เท่านั้น จากนั้นก็นั่งกลับลงไปบนม้านั่งยาวพร้อมกับหลูสุ้ย
มือสองข้างของป๋ายโส่วถือตะเกียบคนบะหมี่หยางชุนก้อนใหญ่ แต่กลับไม่ได้กิน เขาจุ๊ปากแสดงการชื่นชม จากนั้นก็ชำเลืองตามองคนแซ่หลิว เรียนรู้แล้วหรือยัง เรียนรู้แล้วหรือยัง นี่ก็คือความสามารถของพี่น้องข้า ในนี้ล้วนมีแต่ความรู้ทั้งนั้น แน่นอนว่าเทพธิดาหลูก็ฉลาดมาก วางตัวเหมาะสมอย่างถึงที่สุด ป๋ายโส่วถึงขั้นรู้สึกว่าหากหลูสุ้ยชอบเฉินคนดีผู้นี้ นั่นถึงจะเหมาะสมคู่ควรกัน ดันมาชอบคนแซ่หลิวก็เหมือนเอาดอกไม้ตระกูลเซียนไปโยนทิ้งในแปลงผัก เอาดอกกล้วยไม้ในหุบเขาย้ายไปปลูกข้างเล้าหมู ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมาะสม เพียงแต่ว่าความคิดนี้เพิ่งจะเกิดขึ้น ป๋ายโส่วก็โยนตะเกียบทิ้ง พนมสองมือ ใบหน้าเคร่งเครียด พึมพำในใจว่า พี่หญิงหนิง ข้าผิดไปแล้วๆ หลูสุ้ยไม่คู่ควรกับเฉินผิงอัน ไม่คู่ควรกับเฉินผิงอัน
ก่อนหน้านี้เริ่นหลงฉงร่วมชมศึกที่สุดปลายถนนใหญ่อยู่กับหลูสุ้ย จากนั้นก็ได้เจอกับฉีจิ่งหลงและป๋ายโส่ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็เห็นการประมือระหว่างเฉินผิงอันกับอวี้เจวี้ยนฟูอย่างละเอียดมาก่อน หากไม่เป็นเพราะสุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยประโยคว่า ‘พูดแรงหน่อยคือต้องมีปณิธานหมัดที่ยิ่งใหญ่’ เริ่นหลงฉงก็คงไม่มีทางมาดื่มเหล้าที่นี่เป็นแน่
อันที่จริงเริ่นหลงฉงยอมรับในตัวผู้ฝึกตนที่เข้าใจมรรคาอย่างฉีจิ่งหลงมากกว่า สำหรับเฉินผิงอันที่นั่งร่วมโต๊ะกันในเวลานี้ ความประทับใจที่มีต่อเขานั้นธรรมดามาก ไม่ใช่ดูแคลนที่เฉินผิงอันขายเหล้า ขายตราประทับ ขายพัดพับ ในความเป็นจริงแล้วมีครั้งหนึ่งเริ่นหลงฉงลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ ต้องเจอกับอันตรายรายล้อม ผู้อาวุโสและคนวัยเดียวกันร่วมสำนักที่เดินทางมาพร้อมกับนางล้วนตายกันหมด นางร่อนเร่พเนจรอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง ชีวิตยากลำบากอย่างถึงที่สุด โต๊ะและม้านั่งตัวเก่าในร้านเหล้าแห่งนี้ นางไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกรังเกียจ กลับกันยังรู้สึกคิดถึงวันเวลาที่ต้องล้มลุกคลุกคลานอย่างลำบากยากแสนขึ้นมา แต่บนร่างของเฉินผิงอันกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เริ่นหลงฉงอึดอัด เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะเฉินผิงอันคล้ายคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่มากเกินไป กลับกลายเป็นว่าไม่มีกลิ่นอายของผู้ฝึกตนใต้หล้าไพศาล อาจเป็นเพราะผู้ฝึกกระบี่ที่มาจากต่างกลุ่มอีกทั้งยังขอบเขตต่างกันมากมายขนาดนั้นล้วนไม่เกรงใจเถ้าแก่รองผู้นี้ แต่ความไม่เกรงใจเช่นนั้นกลับเป็นภาพเหตุการณ์ที่ตัวเริ่นหลงฉง รวมไปถึงผู้อาวุโสมากมายของนางไม่อาจจินตนาการได้ถึง ถึงขั้นที่ว่าเป็นภาพบรรยากาศประหลาดที่ตัวเองก็รู้ดีว่าตนได้แต่ปรารถนา แต่มิอาจได้มาครอบครอง
บอกได้แค่ว่าเริ่นหลงฉงไม่มีอคติต่อเฉินผิงอัน แต่ไม่มีทางอยากเป็นเพื่อนกับเขาแน่นอน
เพราะถึงอย่างไรภาพของเฉินผิงอันที่อยู่ในจินตนาการตอนแรก คนหนุ่มที่สามารถทำให้หลิวจิ่งหลงเจียวหลงบนบกมองเป็นสหายสนิทได้ ก็น่าจะมีมาดสง่างาม ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเซียน
น่าเสียดายก็แต่เถ้าแก่รองที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ นอกจากการแต่งกายที่ถือว่าพอจะเข้าเค้าบ้าง อย่างอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ ก็ล้วนทำให้เริ่นหลงฉงผิดหวังยิ่งนัก
ส่วนเฉินผิงอันมองเริ่นหลงฉงอย่างไร นางไม่สนใจแม้แต่น้อย
อันที่จริงเดิมทีที่นั่งบนโต๊ะก็เพียงพอสำหรับทุกคน เพียงแต่หลูสุ้ยยังคงนั่งอยู่บนม้านั่งยาวตัวเดียวกับเริ่นหลงฉง ดูเหมือนว่าสตรีที่สนิทสนมกันมักจะทำเช่นนี้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉีจิ่งหลงไม่คิดอะไรมาก เฉินผิงอันคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่ป๋ายโส่วกลับรู้สึกว่าดีมากจริงๆ ทุกครั้งที่ออกจากบ้านก็จะมีโอกาสได้เห็นพี่สาวงดงามพร้อมกันถึงสองคนเชียวนะ
หลูสุ้ยพูดคุยถึงหัวข้อเกี่ยวกับอวี้เจวี้ยนฟู ล้วนเป็นคำพูดดีๆ เกี่ยวกับสตรีผู้ฝึกยุทธคนนั้น
เฉินผิงอันฟังเข้าหูทุกเรื่อง ไม่ใช่ปล่อยผ่านไม่สนใจ
ข้อแรก คำพูดเช่นนี้ของหลูสุ้ย ต่อให้แพร่ไปถึงหัวกำพงเมืองก็ยังไม่ล่วงเกินอวี้เจวี้ยนฟูและเซียนกระบี่ขู่เซี่ย
ข้อที่สอง พรสวรรค์การเรียนวรยุทธของอวี้เจวี้ยนฟูยิ่งดีมากเท่าไร และยิ่งนิสัยใจคอไม่แย่ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเฉินผิงอันที่ไม่ได้ออกหมัดสักครั้ง แต่กลับชนะในการประลองครั้งแรกไปแล้วย่อมต้องดียิ่งกว่า
ข้อที่สาม สิ่งที่หลูสุ้ยพูดมีความลับบางอย่างสอดแทรกไว้คล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา ข่าวของเรือนชุนฟาน แน่นอนว่าไม่ได้เกิดจากการปั้นน้ำเป็นตัว เล่าลือกันไปปากต่อปาก
เห็นได้ชัดว่าในฐานะที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นเพื่อนของฉีจิ่งหลง หลูสุ้ยเอนเอียงเข้าหาเฉินผิงอัน หวังให้เขาชนะในการประลองครั้งที่สองมากกว่า
เริ่นหลงฉงไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ ความสนใจส่วนใหญ่ยังคงอยู่บนร่างของผู้ฝึกกระบี่ที่มาดื่มเหล้ามากกว่า ที่นี่คือร้านเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นนางจึงแยกไม่ออกเลยว่าใครมีขอบเขตสูงกว่ากันแน่
แต่ใต้หล้าไพศาลอันเป็นบ้านเกิดนั้น ต่อให้เป็นอุตรกุรุทวีปที่ขนบธรรมเนียมประเพณีใกล้เคียงกับกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด แต่ไม่ว่าจะเป็นการดื่มเหล้าบนโต๊ะ หรือประชุมกันเพื่อปรึกษาธุระ สถานะสูงต่ำ ขอบเขตเป็นอย่างไร มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้ว
ผลกลับกลายเป็นว่าร้านนี้กลับดีนัก กิจการดีเกินไป ม้านั่งตัวยาวและโต๊ะเหล้าล้วนไม่พอใช้ แต่กระนั้นก็ยังมีคนยินดีไปนั่งดื่มข้างทาง แต่เริ่นหลงฉงก็สังเกตเห็นว่าดูเหมือนท่ามกลางผู้ฝึกกระบี่ที่นั่งยองสูดบะหมี่หยางชุนซูดๆ นั้น ก่อนหน้านี้มีคนเอ่ยทักทาย พูดสัพยอกคนผู้หนึ่งอยู่สองสามคำ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าเขาคือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง!
ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด ต่อให้เป็นอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ มีมากนักหรือ?! แต่กลับเจ้าไม่มีแม้แต่ม้านั่งตัวเล็กๆ มาให้ข้าสักตัว ให้ข้าต้องมานั่งยองอยู่ข้างทางเหมือนผีหิวโหยที่มาเกิดใหม่น่ะหรือ?
ไม่ว่าจะราชวงศ์โลกมนุษย์ด้านล่างภูเขาของทวีปใหญ่แห่งใดก็ตามในใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด มีใครบ้างที่ไม่ใช่แขกผู้สูงศักดิ์ของเหล่าจักรพรรดิ มีเกียรติจนจักรพรรดิแทบจะยกเอาตับมังกรกระดูกหงส์ในตำนานมาให้เขากิน?
ประเด็นสำคัญคือเมื่อครู่นี้ตอนที่ผู้ฝึกกระบี่อาวุโสท่านนี้เห็นเฉินผิงอันก็เปิดปากด่าทันที บอกว่าหลอกเอาเงินแต่งเมียที่เขาสะสมอย่างยากลำบากมาหลายปีไปแล้ว ทีนี้จะมาหลอกเอาเงินค่าโลงของเขาไปอีกใช่ไหม?
จากนั้นเถ้าแก่รองที่กำลังพูดคุยอยู่กับหลูสุ้ยก็เอ่ยขออภัยหลูสุ้ยหนึ่งคำ แล้วยื่นคอยาวออกไปพูดกับผู้ฝึกกระบี่อาวุโสว่าไสหัวไป ตามมาด้วยส่งสายตาพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น ผลคือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ชำเลืองไปเห็นแผ่นหลังของบุรุษท่านหนึ่งที่กินดื่มอิ่มหนำจึงลุกขึ้นยืนแล้ว ก็พลันร้องว่า ปัดโธ่เอ้ย เข้าใจผิดแล้วๆ ต้องโทษฝีมือการเดิมพันของตนที่ไม่เชี่ยวชาญถึงแก่นมากพอ เถ้าแก่รองเป็นคนมีมโนธรรมสูงส่งขนาดนี้ ไหนเลยจะเคยหลอกเอาเงินคนอื่นแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง มีแต่จะขายเหล้าหมักตระกูลเซียนที่ราคาถูกที่สุดในใต้หล้า จากนั้นผู้เฒ่าก็หิ้วกาเหล้าขึ้นมาควักเงินจ่ายเสร็จก็เผ่นหนีไป วิ่งไปพลางหันไปถ่มน้ำลายลงพื้น ก่อนพูดว่า เถ้าแก่รอง จิตสำนึกของเจ้าหล่นอยู่บนพื้นแล้ว รีบมาเก็บเร็วเข้า ระวังจะถูกหมาคาบไปล่ะ ทางฝั่งนักดื่มที่ร้านเหล้าพากันร้องว่าดีเสียงดัง รู้สึกเพียงว่าช่างสาแก่ใจยิ่งนัก มีคนผู้หนึ่งเกิดความวู่วามจึงสั่งเหล้ามาเพิ่มอีกหนึ่งกา
เริ่นหลงฉงรู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่ของที่นี่ต่างก็ประหลาดอย่างมาก หน้าไม่อาย ทั้งคำพูดและการกระทำช่างไร้สาระได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กวาดตามองรอบด้าน ทุกคนที่เต็มไปด้วยความกังขา พอมีคนพูดแฉออกมา ความกังขาก็ไม่เหลืออยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดใจที่คลางแคลงก็ลดน้อยลงไปเยอะมาก
กลยุทธนี้ของข้า พวกเจ้าจะเข้าใจได้หรือ?
แต่พอคิดว่าต้องเขียนบทกวีแทนเจ้าตะพาบเฒ่านี่อีกหนึ่งบทก็ให้รู้สึกปวดหัว ดังนั้นจึงหันไปยิ้มมองเจ้าคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ถามอย่างจริงใจว่า “จิ่งหลงอ่า ช่วงนี้เจ้ามีความคิดที่จะเขียนกลอนแต่งบทกวีบ้างหรือไม่? พวกเราสามารถประลองฝีมือกันได้นะ”
ส่วนหลังจากการประลองฝีมือแล้วจะเอาไปให้ผู้ฝึกกระบี่เฒ่านั่นโดยตรง หรือแกะสลักลงบนตราประทับ เขียนลงบนหน้าพัด เจ้าฉีจิ่งหลงจะควบคุมข้าได้หรือ?
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ “ไม่เชี่ยวชาญด้านการประพันธ์ ไม่มีความคิดใดๆ น้ำครึ่งถังอย่างข้า ดีแค่ว่าไม่แกว่งส่ายก็เท่านั้น”
เฉินผิงอันพูดกับป๋ายโส่วว่า “วันหน้าโน้มน้าวให้อาจารย์ของเจ้าอ่านหนังสือให้มาก”
ป๋ายโส่วถาม “เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่หรือ?”
คนแซ่หลิวอ่านหนังสือเยอะพอแล้ว ยังจะให้อ่านมากกว่านี้อีกหรือ? ด้วยนิสัยของคนแซ่หลิวนั่น ไม่ใช่ว่าตนต้องอ่านหนังสือเป็นเพื่อนเขาด้วยหรือไร? ยอดเขาเพียนหรานคือสถานที่ฝึกกระบี่ของข้าเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่ว วันหน้าก็จะต้องมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าเพราะเป็นสถานที่ฝึกกระบี่ของป๋ายโส่ว จะอ่านตำราไปทำไม หนังสือที่คนแซ่หลิวเก็บไว้ในกระท่อมหลังนั้น ป๋ายโส่วรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองแค่เปิดอ่านลวกๆ รอบหนึ่ง ชีวิตนี้คาดว่าก็คงเปิดไม่หมด
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แล้วไม่ใช่หรือไรล่ะ?”
ป๋ายโส่วหยิบตะเกียบขึ้นมาจิ้ม พูดข่มขู่ว่า “ระวังวิชาอภินิหารเซียนกระบี่จากกระบี่บินที่จำแลงมาจากหมื่นสรรพสิ่งของข้านะ!”
ฉีจิ่งหลงยิ้มชอบใจ เพียงแต่ถ้อยคำที่เอ่ยกลับเป็นคำสั่งสอนลูกศิษย์ “อยู่บนโต๊ะกินข้าว อย่าได้เลียนแบบใครบางคน”
ป๋ายโส่วกินบะหมี่หยางชุนอย่างมีความสุข รสชาติไม่ได้อร่อยเท่าไร ก็แค่พอจะถูไถได้กระมัง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เก็บเงิน ต้องกินหลายๆ ชามหน่อย
หลูสุ้ยยิ้มตาหยี
ฉีจิ่งหลงในเวลานี้ทำให้นางรู้สึกชื่นชอบมากจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “บะหมี่หยางชุนของร้านข้า ได้กินกันคนละชาม หากเกินจากนี้ต้องเก็บเงินแล้ว เซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่วดีใจมากเลยใช่หรือไม่?”
ป๋ายโส่วเงยหน้าขึ้น พูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดเจน “เจ้าไม่ใช่เถ้าแก่รองหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “กฎเกณฑ์ทุกข้อข้าเป็นคนกำหนด”
ป๋ายโส่วไม่เพียงแต่ไม่มีโทสะ กลับกันยังรู้สึกเสียใจแทนพี่น้องของตัวเอง พอคิดว่าเฉินผิงอันที่ไปอยู่ในจวนหนิงใหญ่โตขนาดนั้น แต่กลับได้อาศัยแค่ในเรือนเล็กๆ เท่าเมล็ดข้าวสาร ก็เอ่ยถามเสียงเบาว่า “เจ้าหาเงินอย่างยากลำบากขนาดนี้ สาเหตุเป็นเพราะไม่มีสินสอดที่มีหน้ามีตามากพอไปสู่ขอภรรยาใช่ไหม? หากไม่ได้จริงๆ ข้าจะแข็งใจขอร้องพี่หญิงหนิงให้เอง ให้พี่หญิงหนิงแต่งงานกับเจ้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากไม่มีสินสอดก็ไม่ต้องมอบของขวัญในวันแต่งงานให้เจ้า อีกอย่างข้ารู้สึกว่าพี่หญิงหนิงเองก็ไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญในเรื่องสินสอดทองหมั้น เป็นเจ้าที่คิดมากไปเอง ชายชาตรีคนหนึ่งไม่มีเงินแต่กลับคิดแต่งภรรยา ฟังดูแล้วไม่เหมาะไม่ควรจริงๆ แต่ใครให้พี่หญิงหนิงไม่ทันระวังมาเลือกเจ้าเองเล่า บอกตามตรงนะ หากพวกเราไม่ใช่พี่น้องกัน แล้วข้าได้รู้จักกับพี่หญิงหนิงก่อน ข้าคงต้องเกลี้ยกล่อมนางแน่ๆ เฮ้อ ไม่พูดแล้ว นานๆ ทีข้าจะได้ดื่มเหล้า ถ้อยคำนับพันนับหมื่น ถึงอย่างไรก็อยู่ในชามเหล้าหมดแล้ว เชิญเจ้าตามสบาย ข้าดื่มหมดชามก่อนล่ะ”
มองเด็กหนุ่มที่ดื่มเหล้าไปอึกหนึ่งก็ตัวสั่นเยือก จากนั้นจึงวางชามเหล้าลงบนโต๊ะเบาๆ
เฉินผิงอันก็ยกมือเกาหัว จะให้ตนเด็ดหัวสุนัขของเด็กหนุ่มนี่จริงๆ ก็คงทำไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มคิดถึงลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตัวเองแล้ว
……
เซียนกระบี่เถาเหวินนั่งยองกินบะหมี่หยางชุนอยู่ข้างทาง ยังคงมีสีหน้ากลัดกลุ้มราวกับพกออกมาจากท้องแม่ ก่อนหน้านี้มีเซียนกระบี่ที่นั่งบนโต๊ะอยากจะยกที่นั่งให้ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ท่านนี้ เถาเหวินกลับโบกมือ หิ้วเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ราคาถูกที่สุดกาหนึ่งและผักดองหนึ่งจานออกมานั่งยองอยู่เพียงลำพัง นั่งได้ไม่นานเท่าไร เพิ่งจะรู้สึกว่าผักดองจานนี้เหมือนจะเค็มเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ โชคดีที่ไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยกบะหมี่หยางชุนที่ไอร้อนลอยกรุ่นชามหนึ่งมาให้ ต้นหอมซอยสีเขียวสดใหม่ที่โรยหน้าบะหมี่นั้น มองดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูจนเถาเหวินตัดใจกินไม่ลง ทุกครั้งที่ใช้ตะเกียบม้วนเส้นบะหมี่ก็จะจงใจเลี่ยงหอมซอยพวกนั้น ให้พวกมันได้อยู่ในชามใบเล็กที่เล็กยิ่งกว่าชามเหล้านานอีกหน่อย
ครั้งนี้ได้เงินมาเยอะมาก ลำพังเพียงแค่กำไรหลังจากแบ่งส่วนของเขาเถาเหวิน ดูท่าแล้วก็น่าจะมากถึงเจ็ดแปดเหรียญเงินฝนธัญพืช
เพราะแทบไม่มีใครคิดได้ว่าเถ้าแก่รองผู้นั้นจะสามารถทำให้ศัตรูพ่ายแพ้ได้ด้วยหมัดเดียว
แรกเริ่มสุดเถาเหวินเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็คืออวี้เจวี้ยนฟู ไม่ใช่หมอนปักลายบุปผาอะไร ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวถามหมัดประลองฝีมือกัน ต่างฝ่ายต่างต่อสู้กันเอาเป็นเอาตาย หากไม่มีหลายสิบหรือนับร้อยหมัด ก็คงไม่เข้าท่านัก แล้วก็ไม่ใช่การถามกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ที่แบ่งแพ้ชนะภายในเสี้ยววินาทีได้อย่างง่ายดาย แต่เถ้าแก่รองพูดจาน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังรับรองว่าหากเขาไม่อาจเอาชนะได้ด้วยหมัดเดียว การเป็นเจ้ามือครั้งนี้ เซียนกระบี่ใหญ่เถาเสียเงินค่าพนันไปมากน้อยเท่าไร เขาจะใช้เหล้าที่ร้านชดใช้หนี้คืนให้ทั้งหมด
เถาเหวินไม่ใช่คนโง่สักหน่อย ตอนนั้นเขาจึงก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ต่อ ไม่สนใจที่จะเป็นเจ้ามืออะไรนี่ เถ้าแก่รองจึงถอยไปหนึ่งก้าว บอกว่าใช้เป็นเงินก็ได้ แต่ตกลงกันไว้ก่อนว่าหากแบ่งกันคนละครึ่ง เขาเฉินผิงอันต้องได้เพิ่มมาอีกสองส่วน เป็นเจ็ดต่อสาม เถาเหวินคิดว่าพอจะเป็นไปได้ แม้แต่จะต่อราคาก็ยังคร้านจะเปิดปาก หากเฉินผิงอันสามารถต่อยอวี้เจวี้ยนฟูให้ล้มได้ด้วยหมัดเดียว ขอแค่ตนที่เป็นเจ้ามือกล้าเปิดรับเดิมพันจำนวนมาก ก็จะได้กำไรไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่รองจะเป็นคนช่ำชอง บอกว่าจะทำการค้ากับเซียนกระบี่ใหญ่เถา ลำพังเพียงแค่เซียนกระบี่ก็น่าจะได้กำไรเพิ่มมาหนึ่งส่วน ดังนั้นจึงตกลงแบ่งส่วนแบ่งกันที่หกต่อสี่ หากไม่เอาก็ตามใจ เถาเหวินจึงพยักหน้าตอบตกลง บอกว่าหากต้องเป็นฝ่ายแพ้พนัน ข้าผู้อาวุโสก็จะทุบโต๊ะเหล้าผุๆ พวกนั้นทิ้งแทน ไม่ต้องออกกระบี่บิน
ข้างกายเถาเหวินมีนักพนันหนุ่มคนหนึ่งที่ทอดถอนใจเฮือกๆ นั่งอยู่ การเดิมพันครั้งนี้ แพ้เสียยับเยิน ไม่โทษว่าเขาสายตาไม่ดีก็ถือว่าใจกว้างมากแล้ว ลงเดิมพันว่าเถ้าแก่รองจะชนะการประลองครั้งแรกภายในสิบหมัด ไหนเลยจะคิดได้ว่าทั้งๆ ที่อวี้เจวี้ยนฟูผู้นั้นออกหมัดก่อนหนึ่งหมัด ได้เปรียบใหญ่เทียมฟ้าไปแล้ว แต่ดันยอมแพ้เสียนี่ ดังนั้นวันนี้ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มจึงไม่ได้ซื้อเหล้าดื่ม เพียงแค่ขอเหล้าจากสหายที่แพ้เดิมพันไปไม่มากก็ถือว่าตัวเองได้กำไรแล้วมาดื่มชามหนึ่ง จากนั้นก็กินผักดองสองจานและบะหมี่หยางชุนอีกชามที่ไม่ต้องจ่ายเงิน ถือเป็นการชดเชยให้กับตัวเอง
เถาเหวินเอ่ย “เฉิงเฉวียน วันหน้าเล่นพนันให้น้อยหน่อย ขอแค่ลงเดิมพันบนโต๊ะพนัน ย่อมไม่มีทางเอาชนะเจ้ามือได้แน่นอน ต่อให้จะเล่นพนันก็อย่าได้หวังว่าจะอาศัยสิ่งนี้มากอบโกยเงินก้อนโต”
คนหนุ่มสนิทกับเซียนกระบี่ท่านนี้มาตั้งแต่เด็ก ทั้งสองฝ่ายคือคนที่อยู่อาศัยในตรอกใกล้เคียงกัน สามารถพูดได้ว่าเถาเหวินก็คือผู้อาวุโสที่มองดูเฉิงเฉวียนเติบโตมา และเถาเหวินก็คือเซียนกระบี่คนหนึ่งที่ประหลาดมาก ไม่เคยพึ่งพาแซ่ใหญ่ของตระกูลตัวเอง ชอบจะไปไหนมาไหนเพียงลำพัง นอกจากบนสนามรบแล้วก็ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเซียนกระบี่คนอื่นๆ อย่างไม่เคยออมกำลังเช่นกัน เมื่อกลับเข้ามาในนครก็จะไปอยู่ในบ้านบรรพบุรุษที่ไม่เล็กไม่ใหญ่หลังนั้น แต่ถึงแม้ว่าทุกวันนี้เถาเหวินจะเป็นชายโสด แต่อันที่จริงกลับมีสภาพอเนจอนาถยิ่งกว่าคนโสดที่ไม่เคยแต่งภรรยาเสียอีก เมื่อก่อนในบ้านมีสตรีคลุ้มคลั่งอยู่คนหนึ่ง นางสติวิปลาสมาหลายปี จิตใจห่อเหี่ยวโรยรา ตอนที่นางจากไป แม้แต่เทพเซียนก็ยากจะรั้งไว้ได้ และดูเหมือนเถาเหวินเองก็ไม่ได้เสียใจสักเท่าไร ทุกครั้งเขาจะดื่มเหล้าไม่มาก แล้วก็ไม่เคยดื่มจนเมามาย
เฉิงเฉวียนกล่าวอย่างจนใจ “ท่านอาเถา ข้าเองก็ไม่อยากเล่นพนันแบบนี้เหมือนกัน แต่กระบี่บินเลี้ยงได้ยาก ทุกครั้งที่ถึงคอขวดเล็กๆ ที่สำคัญ แม้ว่าจะไม่อาจช่วยให้ข้าเลื่อนขอบเขตได้ แต่จะฝ่าทะลุคอขวดไปได้หรือไม่ กลับสำคัญอย่างยิ่ง ข้าขาดเงินเทพเซียนอยู่มาก ท่านอาเถาท่านก็เห็นว่าหลายปีมานี้ข้าเพิ่งจะได้ดื่มเหล้ากี่ครั้ง ไปที่หอมายามากี่รอบเอง ข้าไม่ค่อยชอบเรื่องพวกนี้เท่าไร แต่ก็จนปัญญาจริงๆ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉิงเฉวียนก็เงยหน้าขึ้น มองไกลๆ ไปยังหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ พูดอย่างเสียใจว่า “สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าศึกใหญ่ครั้งถัดไปจะเริ่มต้นเมื่อไหร่ คุณสมบัติของข้าธรรมดา แต่ระดับขั้นของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตนับว่าพอจะถูไถไปได้บ้าง ทว่ากลับถูกขอบเขตถ่วงรั้งมาโดยตลอด ทุกครั้งได้แต่เฝ้าอยู่บนหัวกำแพงเมือง ถ้าอย่างนั้นจะฆ่าปีศาจได้กี่ตน ได้เงินมากี่มากน้อย? หากกระบี่บินฝ่าทะลุคอขวด สามารถเพิ่มระยะการโจมตีไกลๆ อย่างเต็มกำลังของกระบี่บินได้ในรวดเดียว อย่างน้อยที่สุดก็ให้มีระยะอยู่ที่สามสี่ลี้ ต่อให้อยู่บนหัวกำแพงเมือง แต่ก็ยังฆ่าปีศาจได้เร็ว หากฆ่าได้มาก ก็จะได้เงินมาก นั่นถึงจะมีหวังได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง อีกอย่างลำพังอาศัยแค่กำลังทรัพย์ที่มีอยู่แค่ไม่กี่เหรียญเงินร้อนน้อยนั้น ช่องโหว่ก็ยังใหญ่เกินไป ไม่เดิมพันก็ไม่ได้”
เถาเหวินถาม “ทำไมไม่ลองไปยืมเงินคนอื่นดูล่ะ?”
เฉิงเฉวียนยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “สหายข้างกายก็ยากจนเหมือนกัน ต่อให้พอจะมีเงินเหลือบ้างเล็กน้อย ก็ยังจำเป็นต้องเอามาใช้หล่อเลี้ยงกระบี่ตัวเอง เงินเทพเซียนที่กินไปทุกวันไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ข้าเปิดปากยืมพวกเขาไม่ได้หรอก”