กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 603.3 เถ้าแก่รองที่อายุน้อย
ขุนเขาที่อยู่ในทะเลสาบหัวใจของสตรีพลันมลายหาย ราวกับว่าถูกทวยเทพมาเคลื่อนย้ายออกไป ดังนั้นฟ้าดินขนาดเล็กของผู้ฝึกลมปราณหญิงจึงกลับคืนมาใสสะอาด ทะเลสาบหัวใจกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
จิตแห่งเต๋าของผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดสั่นสะเทือน รู้สึกขมขื่นอย่างลึกล้ำ ทั้งอนาถทั้งระทม คิดไม่ถึงเลยว่าจากทวีปแผ่นดินกลางเดินทางไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้มาถึงภูเขาห้อยหัว แค่ข้อพิพาทเล็กๆ น้อยๆ กลับกลายเป็นการหาหายนะใหญ่เทียมฟ้ามาให้บรรพจารย์ของสำนักเสียได้
เด็กหนุ่มคนนั้นคือขอบเขตเซียนเหริน? หรือขอบเขตบินทะยาน?
ในใจของก่อกำเนิดเฒ่าเศร้าสลด หากผู้ฝึกตนผูกปมแค้นขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกเทพเซียนที่แท้จริงบนยอดเขาทั้งหลาย นั่นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่ต่อเนื่องไปหลายปีหลายสิบปี แต่เป็นความเชื่อมโยงยาวนานร้อยปีพันปี ความอาฆาตแค้นไม่มีช่วงเวลาหยุดลง
เด็กหนุ่มหันหน้ามามองแม่นางน้อยที่ให้ตนยืมไม้เท้าเดินป่า เห็นว่าหน้าผากนางมีเหงื่อผุดซึม ร่างกายขึงเกร็ง ระหว่างหัวคิ้วคล้ายจะมีความละอายใจเล็กๆ
ชุยตงซานก็ใช้เสียงในใจยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เจ้าเพิ่งจะเรียนวิชาหมัดมานานเท่าไรเอง ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าเองก็เหมือนกับอาจารย์ที่ท่องผ่านบนภูเขาล่างภูเขามาจนชินแล้ว คำพูดและการกระทำย่อมรู้หนักรู้เบา สามารถดูแลตัวเองให้ดีได้ ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย ตอนนี้ก็ยังไม่ต้องให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่แบ่งสมาธิมาเป็นห่วง ศิษย์พี่หญิงใหญ่แค่ก้มหน้าก้มตาคัดอักษรฝึกวิชาหมัดไปก็พอ”
เผยเฉียนอัดอั้นไม่เป็นสุข ใช้วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธตอบกลับไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ใคร่จะร่าเริงนัก “แต่ข้าเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์พ่อนะ ในฐานะศิษย์พี่หญิงใหญ่ ยามอยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็ควรจะดูแลหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยให้ดี ออกมาจากภูเขาลั่วพั่วก็ควรจะเอามาดของศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกมา ไม่อย่างนั้นจะเรียนวิชาหมัดไปเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อให้ตัวเองได้โอ้อวดบารมีอำนาจเสียหน่อย…”
ชุยตงซานยิ้มถาม “แล้วทำไมจะมีไว้ให้ตัวเองโอ้อวดบารมีอำนาจไม่ได้เล่า?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างฉงน “ข้าท่องภูผาธาราร่วมกับอาจารย์พ่อมาเป็นระยะทางยาวไกลขนาดนั้น ไม่เห็นว่าอาจารย์พ่อจะเคยโอ้อวดเลย”
ชุยตงซานส่ายหน้าพลางยิ้มกล่าว “เพราะอาจารย์หวังว่าเจ้าจะท่องยุทธภพได้อย่างมีความสุข ทำตามใจปรารถนาได้มากหน่อย ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับความผิดความถูกที่ร้ายแรง ก็ควรจะให้ตัวเองมีอิสระเสรีมากสักหน่อย ทางที่ดีที่สุดคือให้บนเส้นทางนั้นมีเสียงของคนที่อยู่รอบข้างคอยปรบมือไชโยโห่ร้องอย่างตกตะลึงระคนชอบใจ บอกว่าแม่นางคนนี้มีวิชาหมัดที่สง่างามยิ่งนัก ร้ายกาจสุดๆ ไปเลย วิชากระบี่ก็ช่างเลิศล้ำ หากจอมยุทธหญิงผู้นี้ไม่ได้มาจากสำนักชั้นสูงก็ช่างเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลสิ้นดี”
พอเผยเฉียนคิดถึงภาพเหตุการณ์นี้ตามไปก็ให้เบิกบานใจสุดขีด
เพียงแต่ว่าพอนึกถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ อยู่ดีๆ เผยเฉียนก็รู้สึกเป็นกังวลใจ นางถามเสียงเบาว่า “ผ่านภูเขาห้อยหัวไปก็คือใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งแล้ว ได้ยินว่าที่นั่นมีผู้ฝึกกระบี่มากมายนับไม่ถ้วน ผู้ฝึกกระบี่เชียวนะ แต่ละคนร้ายกาจไม่แพ้กัน คือผู้ฝึกลมปราณที่เก่งกาจที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว พวกเขาจะรังแกคนต่างถิ่นอย่างอาจารย์พ่อของข้าหรือไม่ แม้ว่าอาจารย์พ่อจะมีวิชาหมัดสูงที่สุด มีวิชากระบี่สูงที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ตัวคนเดียว หากผู้ฝึกกระบี่ของที่นั่นรวมตัวกันขึ้นมา คนหลายร้อยหลายพันคนกรูกันเข้าใส่ แล้วในบรรดานั้นยังมีเซียนกระบี่อีกแปดคนสิบคนซ่อนตัวอยู่ด้วย อาจารย์พ่อจะรับมือไม่ไหวหรือไม่”
ชุยตงซานพูดไม่ออก
ไม่ว่าจะเปลี่ยนมาเป็นใครก็คงรับมือไม่ไหวทั้งนั้นกระมัง
แต่การที่เผยเฉียนคิดมากกับทุกเรื่อง อีกทั้งยังคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเข้าไว้ก่อน กลับถือว่าเป็นความเคยชินที่ดี นี่คงจะเป็นเพราะนางได้เห็นและได้ยินมามาก คือการสั่งสอนโดยทำตัวเป็นแบบอย่างที่อาจารย์มีต่อนางกระมัง
หวังว่าสิ่งนี้จะไม่ใช่แค่ค่อยๆ เติบโตภายใต้น้ำค้างท่ามกลางสายลมวสันต์ ท่ามกลางขุนเขาเขียวสายน้ำใสเท่านั้น
แต่ในค่ำคืนมืดมิด ท่ามกลางโคลนตมเละเหลวหรือไม่ก็ในผืนดินแห้งแล้ง จะมีดอกไม้ดอกหนึ่งงอกงามขึ้นมา ฟ้ายังไม่สว่าง แสงอรุณยังไม่ส่องมาถึง บุปผาก็ผลิดอกเบ่งบานแล้ว
ต่อให้ลมฝนจะพัดกระหน่ำให้โค่นหัก แต่บุปผาของข้าก็จะยังผลิบานอีกครั้ง
ความหวังแท้จริงที่ใหญ่ยิ่งกว่ากลับไม่อาจผลิดอก ยิ่งไม่มีทางออกผล ชีวิตคนมากมายล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะเป็นได้แค่ต้นหญ้าเล็กๆ ต้นหนึ่ง แล้วก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องมีวันที่ได้พบกับสายลมวสันต์ ได้อาบแสงแดดอันอบอุ่นนั้น
โลกมนุษย์เป็นเช่นนี้
เหตุใดไม่ปฏิบัติต่อกันด้วยความดีให้มาก
ผ่านมรสุมเล็กๆ ที่ตีนเขาหน้าผาหมีลู่มา เผยเฉียนก็หาข้ออ้างบอกว่าจะต้องพาชุยตงซานกลับไปที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยให้ได้ บอกว่าวันนี้นางเดินเหนื่อยแล้ว ภูเขาห้อยหัวไม่เสียทีที่เป็นภูเขาห้อยหัว เส้นทางภูเขาทอดยาวเดินได้ยากลำบากเสียจริง นางต้องกลับไปพักผ่อนแล้ว
ชุยตงซานไม่อาจบอกกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ตามตรงได้ว่าตนไม่ใช่ขอบเขตชมมหาสมุทร ไม่ใช่ขอบเขตถ้ำสถิต แต่แท้จริงแล้วคือขอบเขตหยกดิบ ยิ่งไม่อาจบอกได้ว่าขอบเขตหยกดิบของตนในเวลานี้เมื่อเทียบกับก่อกำเนิดของหลี่ถวนจิ่งผู้ฝึกกระบี่ของแจกันสมบัติทวีปในอดีต และเทียบกับจื่อเสวียนแห่งตำหนักหยวนหลิงของอุตรกุรุทวีปทุกวันนี้ ก็ยังไร้เหตุผลมากยิ่งกว่า
ประเด็นสำคัญคือตนบอกไปแล้วก็ใช่ว่านางจะเชื่อนี่นา
เว้นเสียจากอาจารย์เป็นคนพูด และคาดว่ายามที่แม่นางน้อยเพิ่งจะยอมเชื่อว่าเป็นความจริงก็คงเอ่ยประโยคง่ายๆ มาประโยคหนึ่งว่า พยายามให้มากขึ้นอีกหน่อย ห้ามหยิ่งทระนงลำพองตนเด็ดขาด
ขอบเขตของทุกคนนอกเหนือจากของอาจารย์พ่อ ในสายตาและในใจของเผยเฉียนแล้ว คาดว่าคงไม่ใช่ขอบเขตแท้จริงอะไรเลยกระมัง
บนเส้นทางระหว่างกลับไปยังโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย ชุยตงซานร้องเอ๊ะหนึ่งทีแล้วอุทานอย่างตกตะลึงว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ บนพื้นมีเงินตกอยู่”
เผยเฉียนก้มหน้าลงมอง แล้วจึงกวาดตามองไปรอบด้านก่อน จากนั้นก็ใช้ความไวดุจฟ้าผ่าไม่ทันยกมือป้องหูยกเท้าเหยียบลงบนเหรียญเกล็ดหิมะเหรียญนั้น จากนั้นทรุดตัวลงนั่งยอง เก็บเงินขึ้นมา เทียบกับการออกหมัดแล้วยังคล่องแคล่วว่องไวยิ่งกว่า
เผยเฉียนลูบเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้วกล่าวอย่างตกตะลึงระคนยินดี “เหรียญที่ออกจากบ้านไปของข้า!”
ชุยตงซานตกใจสะดุ้งโหยงกระโดดถอยหลังไปหนึ่งก้าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง “บนโลกยังมีบุพเพวาสนาแบบนี้ด้วยหรือ?!”
พอไปถึงทางเลี้ยวของตรอกที่ตั้งโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย เผยเฉียนที่ตั้งใจมองไปบนพื้นมาตลอดทางก็เก็บเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งที่ไร้บ้านให้กลับมาจากร่องของแผ่นหินบนถนนได้จริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะยังคงเป็นเหรียญที่ตนตั้งชื่อให้ นี่ก็คือวาสนาใหญ่เทียมฟ้าอีกครั้งหนึ่งแล้วนะเนี่ย
จากนั้นเผยเฉียนก็หัวเราะปากกว้าง หันหน้ามาจ้องห่านขาวใหญ่พลางพูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่แน่ว่าก่อนพวกเราจะเข้าไปในโรงเตี๊ยม พวกมันทั้งสามอาจได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง”
ชุยตงซานเอ่ย “ใต้หล้าจะมีเรื่องที่บังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “มีสิ ไม่มีความบังเอิญก็แต่งหนังสือไม่สำเร็จนี่นะ” (เป็นคำเปรียบเปรยอย่างหนึ่ง ความหมายก็คือบังเอิญมาก ประจวบเหมาะอย่างมาก)
น่าเสียดายก็แต่เดินไปทั่วตรอกเล็กมารอบหนึ่งแล้ว บนพื้นกลับไม่มีเงิน แล้วก็ไม่มีความบังเอิญ
ดังนั้นเผยเฉียนจึงลากชุยตงซานไปเดินด้วยกันอีกรอบแล้วรอบเล่า ชุยตงซานเองก็มีความอดทนดีเยี่ยม แล้วก็ได้แต่เปลี่ยนความตั้งใจเดิม แอบโยนเหรียญเงินเกล็ดหิมะที่เดิมทีคิดว่าจะเอาไว้หลอกกินปลาน้อยทอดกรอบออกไป เผยเฉียนนั่งยองลงบนพื้น หยิบถุงเงินขึ้นมา ชูเหรียญเกล็ดหิมะเหรียญนั้นขึ้นสูง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “กลับบ้านกันนะ”
ไปถึงโรงเตี๊ยม เผยเฉียนนอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ ด้านหน้าวางเงินเกล็ดหิมะสามเหรียญเอาไว้ บอกให้ชุยตงซานหยิบเอาปลาน้อยทอดเหลืองอร่ามในวัตถุจื่อชื่อออกมา บอกว่าเอามาฉลองที่เงินเกล็ดหิมะของนางกลับมาบ้านซึ่งไม่รู้ว่าหล่นลงมาจากฟ้า ผุดออกมาจากดิน หรือว่ามีเท้าเดินกลับมาเองกันแน่
ชุยตงซานกินปลาน้อยทอดกรอบ ทว่าเผยเฉียนกลับไม่ได้กิน
ชุยตงซานพูดเสียงอู้อี้ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เจ้าไม่กินหรือ?”
เผยเฉียนที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะเอาแก้มแนบแขนข้างหนึ่ง นางหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ข้าไม่หิวน่ะ”
ชุยตงซานจึงเปลี่ยนจากสวาปามมาเป็นค่อยๆ เคี้ยวอย่างละเอียด
เผยเฉียนมองไปนอกหน้าต่างอยู่ตลอดเวลา นางเอ่ยเสียงเบาว่า “นอกจากผู้อาวุโสในสายตาและในหัวใจของอาจารย์พ่อแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าขอบคุณใครมากที่สุด?”
ชุยตงซานรู้ดี แต่กลับส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้
ชุยตงซานยังรู้อีกด้วยว่า ในใจของอาจารย์ตนได้ซุกซ่อนความเสียดาย ‘เล็กๆ’ สองอย่างที่ไม่เคยบอกกับใครเอาไว้
หนึ่งคือการเติบโตของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง ดังนั้นปีนั้นตอนที่อยู่บนทะเลสาบของสำนักศึกษาต้าสุย ทุกคนถึงได้เล่นสนุกอย่างเหลวไหลเช่นนั้น
หนึ่งคือคนจิ๋วสีทองคนหนึ่งที่คล้ายว่าจะเดินทางจากไปไกลไม่อาจหวนคืนกลับบ้านเกิดมาได้
ความเสียดายเหล่านี้ บางทีอาจอยู่คู่กับอาจารย์ไปตลอดชีวิต แต่ก็เหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องดื่มเหล้าก็สามารถเอามาพูดได้อีกเหมือนกัน
เผยเฉียนเอ่ยเนิบช้า “คือพี่หญิงเป่าผิงกับอาจารย์แม่ที่กำลังจะได้ไปเจอน่ะ”
ชุยตงซานคีบปลาน้อยทอดกรอบขึ้นมา ยิ้มถามว่า “ทำไมล่ะ”
เผยเฉียนกล่าว “ข้าน่ะคิดนะว่า ปีนั้นทุกคนต่างก็คิดว่าเป็นอาจารย์พ่อที่ปกป้องพวกพี่หญิงเป่าผิงออกเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อ แต่ข้ารู้ดีว่าการออกเดินทางไกลครั้งแรกของอาจารย์พ่อ เป็นพี่หญิงเป่าผิงที่อยู่เคียงข้างอาจารย์พ่อ ตอนนั้นพี่หญิงเป่าผิงยังเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง สะพายหีบหนังสือไผ่เขียวใบเล็ก สวมรองเท้าสานเป็นเพื่อนอาจารย์พ่อที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม เดินทางผ่านขุนเขาเขียวสายน้ำใสมากมายขนาดนั้นไปด้วยกัน ดังนั้นข้าจึงชอบพี่หญิงเป่าผิงมากเป็นพิเศษ”
“ต่อมาก็ต้องเป็นอาจารย์แม่ที่อาจารย์พ่อชอบน่ะสิ หากไม่เป็นเพราะอาจารย์แม่ ต่อให้อาจารย์พ่อจะเดินทางไกลขนาดนั้นแล้วยังคงเป็นอาจารย์พ่อที่ดีที่สุดในใต้หล้าคนนั้นได้อีก แต่ตัวอาจารย์พ่อเองต้องไม่มีทางผ่านวันเวลาหลายปีเหล่านี้มาด้วยความสุขแน่นอน แต่จะเป็นยิ่งเดินก็ยิ่งเหนื่อย เหนื่อยมากๆ จะพูดอย่างไรดีล่ะ ทุกครั้งที่อาจารย์พ่อเจอกับเรื่องที่ต้องให้เขาจัดการแก้ไขด้วยตัวเอง ขอแค่คิดถึงว่าในสถานที่ที่ห่างไปไกลมากๆ ยังมีอาจารย์แม่รอคอยเขาอยู่เสมอ ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าอาจารย์พ่อจะเดินทางคนเดียวไปไกลแค่ไหน แต่ก็เหมือนว่าบนพื้นล้วนมีเหรียญทองแดงเหรียญแล้วเหรียญเล่าให้ก้มเก็บ อาจารย์พ่อจะไม่มีความสุขได้อย่างไร?”
ชุยตงซานกล่าวอย่างคนที่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน “แบบนี้เองหรือ หากพี่หญิงใหญ่ไม่พูด ชั่วชีวิตนี้ข้าก็อาจจะไม่รู้เลยก็ได้”
เผยเฉียนลุกขึ้นนั่ง พยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่ต้องคิดว่าตัวเองโง่ บนภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา นอกจากอาจารย์พ่อก็มีข้านี่แหละที่ฉลาดเฉลียวที่สุดแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไร?”
ชุยตงซานกลั้นยิ้ม ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ขอศิษย์พี่หญิงใหญ่โปรดไขข้อข้องใจให้ข้าด้วย”
เผยเฉียนลุกขึ้นยืน โน้มตัวมาข้างหน้า กวักมือเรียก “ข้าจะแอบบอกเจ้า”
ชุยตงซานยืดคอยาวออกไปหาก็ถูกเผยเฉียนเขกมะเหงกใส่หัวชุดใหญ่ เมื่อครู่นี้ห่านขาวใหญ่กินปลาแห้งไปกี่ตัวก็โดนมะเหงกไปเท่านั้น
เผยเฉียนนั่งกลับลงไปที่เดิม แบมือสองข้างแล้วทำท่ากดลงปราณลงสู่จุดตันเถียน พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เข้าใจแล้วใช่ไหม?”
ชุยตงซานชำเลืองตามองปลาแห้งที่เหลืออยู่บนโต๊ะ เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “กินสิ กินให้สบายใจ กินได้ตามสบาย ถือเสียว่าเป็นของที่อาจารย์พ่อเหลือไว้ให้ลูกศิษย์อย่างเจ้ากิน หากจิตสำนึกเจ้ายังสงบอยู่ได้ก็กินให้มากหน่อย”
……
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง บนอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลคล้ายกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง พื้นที่ใจกลางมีขุนเขาตระหง่านลูกหนึ่งตั้งอยู่ มันสูงใหญ่กว่าเทือกเขาทุกสายในใต้หล้า
บนภูเขาไม่มีวัดวาอารามใดๆ กระทั่งปีศาจที่มาสร้างกระท่อมฝึกตนสักตนก็ยังไม่มี เพราะนับแต่โบราณมาสถานที่แห่งนี้ก็คือสถานที่ต้องห้าม ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา คนที่กล้าเดินขึ้นเขาก็มีเพียงห้าขอบเขตบนเท่านั้นที่ถึงจะมีคุณสมบัติให้ไปกราบไหว้ยอดเขาได้
วันนี้มีผู้เฒ่าหลังค่อมร่างกายผ่ายผอมเหมือนท่อนฟืนสวมชุดสีเทาผู้หนึ่งพาลูกศิษย์คนใหม่ที่เพิ่งรับมาเดินขึ้นเขาไปด้วยกัน เพื่อไปพบตัว ‘เขาเอง’
ขณะที่ค่อยๆ เดินขึ้นสู่ที่สูง ผู้เฒ่าจูงมือเล็กๆ อ่อนนุ่มของเด็กน้อย ชายแขนเสื้ออีกข้างหนึ่งโบกสะบัดพัดแรงไปตามพายุลมกรดบนท้องฟ้า
ผู้เฒ่าชุดเทาหันหน้าไปมอง ในจุดที่ห่างไปไกลสุดแสนมีผู้เฒ่าตาบอดคนต่างถิ่นผู้หนึ่งยังคงบงการหุ่นเชิดเกราะทองให้เคลื่อนย้ายภูเขาลูกใหญ่ ผู้เฒ่าส่ายหน้า
เด็กน้อยที่ถูกจูงมือเงยหน้าขึ้นถามว่า “จะมีสงครามอีกแล้วหรือ?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เพราะเมื่อก่อนข้าไม่อยู่ ดังนั้นจึงเป็นแค่การทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ทำให้เฉินชิงตูได้เห็นเรื่องขบขันมานานนับหมื่นปี”
……
กำแพงเมืองปราณกระบี่ กิจการบนโต๊ะพนันของบ่อนพนันน้อยใหญ่รุ่งเรืองกันสุดขีด เพราะว่าบนหัวกำแพงกำลังจะมีการประลองฝีมือครั้งที่สองของผู้ฝึกยุทธหนุ่มสาวขอบเขตร่างทองสองคนซึ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้ของใต้หล้าไพศาลเกิดขึ้น
สตรีถามหมัด ส่วนฝ่ายชายนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นการป้อนหมัด แพ้ชนะเป็นเรื่องที่ไม่ต้องคาดเดากันแล้ว
เถ้าแก่รองผู้นั้น แม้จะบอกว่าทั้งนิสัยใจคอ นิสัยยามดื่มเหล้าหรือนิสัยยามพนันล้วนแย่ไม่แพ้กัน แต่วิชาหมัดนับว่ายังพอถูไถอยู่บ้าง
วันนี้บนหัวกำแพงเมือง
อวี้เจวี้ยนฟูผู้ฝึกยุทธซึ่งเป็นสตรีจากแผ่นดินกลางรวบรวมสมาธิ ปณิธานหมัดก็ไหลรินดั่งกระแสน้ำในมหานที
อยู่ห่างกันหลายสิบก้าว คนหนุ่มชุดเขียวปักปิ่นหยกไม่เพียงแต่ถอดรองเท้าหุ้มแห้ง ยังม้วนชายแขนเสื้อและรัดขากางเกงแน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
บนหัวกำแพงสองฝั่งมีนักพนันน้อยใหญ่ที่บ้างก็นั่ง บ้างก็ขี่กระบี่ลอยตัวอยู่ด้านนอกเบียดเสียดกันแน่นขนัด พอเห็นภาพนี้ทุกคนต่างก็ลงเดิมพันว่าจะช่วงชิงชัยชนะได้ภายในสามหมัด ห้าหมัด หรือมากสุดก็คือภายในสิบหมัดอย่างไม่มีลังเล
เถ้าแก่รองชาติสุนัขยังคิดจะอาศัยข่าวลือเล็กๆ ที่จริงเท็จปะปนกัน รวมถึงเวทอำพรางตาชั้นหยาบมาหลอกเอาเงินพวกข้าอีกหรือ? คราวนี้เถ้าแก่รองต้องสะดุดล้มหัวทิ่มแล้ว เจ้ายังอ่อนด้อยอายุน้อยเกินไปนัก!