กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 606.1 ใจคนบนโลกนั่งแต่ลำพัง
แม้ว่าจวนหนิงจะไม่อยู่บนถนนไท่เซี่ยง ถนนเสวียนฮู้ ทว่าเรือนหลังนี้กลับไม่เล็กเลยจริงๆ
เฉินผิงอันช่วยคนทั้งสามเลือกเรือนพักสามหลัง เฉาฉิงหล่างคือผู้ฝึกลมปราณ ดังนั้นตำแหน่งเรือนพักของเขาจึงมีความพิถีพิถันมากที่สุด ปราณวิญญาณไม่อาจเบาบางเกินไป แต่ปราณกระบี่กลับไม่อาจหนักมากนัก ไม่อย่างนั้นเฉาฉิงหล่างที่เป็นผู้ฝึกยุทธคอขวดขอบเขตถ้ำสถิตและกำลังจะเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตชมมหาสมุทร ก็คือผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่ไม่ยินดีจะอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด ยังดีที่เฉินผิงอันเข้าใจจวนหนิงอย่างชัดเจน พวกเฉาฉิงหล่างสามคนควรจะพักอยู่ที่ไหน อีกทั้งยังต้องพิจารณาในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และข้อพิถีพิถันใหญ่ๆ ข้อใด เรื่องพวกนี้หนิงเหยาล้วนให้เฉินผิงอันเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่จำเป็นต้องบอกหนิงเหยาที่เป็นเจ้าของจวน แล้วก็ไม่จำเป็นต้องถามเฉินผิงอันที่ตอนนี้ยังถือว่าเป็นคนนอกชั่วคราวว่าตัดสินใจอย่างไร
เผยเฉียนเหมือนนกขมิ้นตัวน้อย นางตัดสินใจแล้วว่าจะบินวนเวียนอยู่รอบกายอาจารย์แม่
แรกเริ่มเฉินผิงอันยังเป็นกังวลว่าเผยเฉียนจะถ่วงเวลาการปิดด่านของหนิงเหยา ผลคือหนิงเหยาเอ่ยมาประโยคหนึ่งว่า บนเส้นทางการฝึกตน มีเวลาใดบ้างที่ไม่ใช่การปิดด่าน เฉินผิงอันก็หมดคำพูดแล้ว หนิงเหยาพาเผยเฉียนไปดูคลังลับที่จวนหนิงเอาไว้ใช้เก็บสมบัติอาคมตระกูลเซียนและอาวุธบนภูเขา บอกว่าจะมอบของขวัญพบหน้าให้เผยเฉียนหนึ่งชิ้น ให้เผยเฉียนเลือกเองได้เลย จากนั้นหนิงเหยาค่อยเลือกให้นางอีกหนึ่งชิ้น ถือเป็นการตอบแทนของขวัญที่ได้รับตรงหน้าประตูใหญ่ก่อนหน้านี้
จ้งชิวถามถึงกฎและข้อห้ามของจวนหนิง จากนั้นเขาก็ไปที่ศาลาบนหน้าผาสังหารมังกรเพียงลำพัง
เฉาฉิงหล่างวางห่อสัมภาระไว้ในเรือนของตัวเองเรียบร้อยก็ไปที่เรือนหลังเล็กกับเฉินผิงอัน ระหว่างที่เดินอยู่บนทาง เฉินผิงอันเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มกล่าวว่า “เดิมทีอยากให้เจ้าและเผยเฉียนไปพักอยู่ในเรือนของข้า ยังจำช่วงแรกเริ่มสุดที่พวกเราสามคนเพิ่งรู้จักกันได้ไหม? แต่ตอนนี้เจ้าอยู่ในช่วงสำคัญของการฝึกตน ดังนั้นจึงยึดการฝึกตนเป็นหลัก”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ อันที่จริงนับตั้งแต่ตอนนั้นข้าก็กลัวเผยเฉียนอย่างมากแล้ว เพียงแต่กลัวว่าจะถูกอาจารย์ดูแคลน จึงพยายามแสร้งทำเป็นว่าไม่กลัวเผยเฉียน แต่ขณะเดียวกันส่วนลึกในใจก็นับถือเผยเฉียนมาก มักจะรู้สึกว่าหากเปลี่ยนข้าไปเป็นนาง ต้องตกอยู่ในสภาพการณ์แบบเดียวกัน คงไม่มีทางเอาชีวิตรอดอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนได้ แต่ตอนนั้นบนร่างของเผยเฉียนมีเรื่องมากมายที่ข้าไม่เข้าใจ และตอนนั้นข้าก็ไม่ค่อยชอบจริงๆ แต่ข้าหรือจะกล้าติติงนาง อาจารย์อาจจะไม่รู้ ปีนั้นที่อาจารย์ออกจากบ้านเดินทางไกล เผยเฉียนเล่าให้ข้าฟังถึงเรื่องราวและทัศนียภาพมากมายตอนที่นางออกผจญยุทธภพ ความนัยในถ้อยคำของนาง ข้าย่อมฟังออกอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ตอนที่ข้าไม่ได้อยู่ในบ้านบรรพบุรุษของเจ้า เผยเฉียนเคยแอบตีเจ้าหรือไม่?”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับอย่างแรง แต่กลับไม่กล้าเล่าอย่างละเอียด
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ซักถาม
เฉินผิงอันจินตนาการถึงภาพการอยู่ร่วมกันระหว่างเขากับเผยเฉียนตอนที่ตนไม่อยู่ในบ้านบรรพบุรุษของเฉาฉิงหล่างได้อย่างชัดเจน
แน่นอนว่ายามที่คนทั้งสามอยู่ด้วยกัน เฉินผิงอันก็จะทำเรื่องบางอย่างที่เฉาฉิงหล่างและเผยเฉียนในตอนนั้นต่างก็ไม่ตั้งใจคิดลึกซึ้ง บางทีอาจเป็นคำพูด บางครั้งก็เป็นเรื่องเล็กน้อย
แต่หลายๆ เรื่องก็ได้แต่ให้เฉาฉิงหล่างไปเผชิญหน้าด้วยตัวเอง ใหญ่ถึงความเป็นความตายของผู้อาวุโส เล็กเท่าคำพูดจุกจิกยิบย่อยที่ทิ่มแทงใจคน ซุกซ่อนอยู่ระหว่างการแทะเมล็ดแตง ซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางการคุยเล่นบนม้านั่งตัวเล็ก ซ่อนอยู่ในจานอาหารบนโต๊ะตัวใหญ่ในบ้านเพื่อนบ้าน
ในความเป็นจริงแล้ว เด็กอย่างเฉาฉิงหล่างก็อาศัยแค่คำว่าอดทนเท่านั้น อดทนรอให้เมฆทะมึนเคลื่อนหายแสงจันทร์ส่องสว่าง กลางคืนไปกลางวันมา
เฉาฉิงหล่างในเวลานั้นเอาชนะเผยเฉียนไม่ได้จริงๆ แม้แต่จะตีนางคืนก็ยังไม่กล้า ประเด็นสำคัญคือบนร่างของเผยเฉียนในเวลานั้นนอกจากความไม่แยแสแล้ว ยังแฝงพลังอำนาจราวกับหัวหน้าโจรผู้เหี้ยมหาญเอาไว้ หนึ่งเท้ากระทืบรังมด หนึ่งฝ่ามือตบให้แมลงบินกระเด็น เฉาฉิงหล่างไม่กลัวก็คงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งเผยเฉียนถือม้านั่งตัวเล็กจ้องเขาเขม็ง แต่กลับไม่เอ่ยถ้อยคำอาฆาตแม้แต่ครึ่งคำซึ่งถือว่าผิดจากปกติ ตอนนั้นเฉาฉิงหล่างที่ยังเป็นเด็กร่างผอมบางกลัวมากจริงๆ เป็นเหตุให้หลายๆ ครั้งที่เฉินผิงอันไม่อยู่บ้าน เฉาฉิงหล่างจึงได้แต่ถูกเผยเฉียนไล่ให้ไปเป็นเทพทวารบาลอยู่หน้าประตู
เด็กชายนั่งอัดอั้นอยู่บนขั้นบันไดอย่างเดียวดาย ไม่กล้าเข้าไปอยู่ในบ้านของตนเอง เด็กคนนั้นได้แต่มองตาปริบๆ ไปตรงหัวเลี้ยวของตรอก รอคอยให้คุณชายเฉินที่สวมชุดขาวสะพายกระบี่ รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดไว้ตรงเอวกลับมาบ้าน มีเพียงเขามาถึงในตรอกแล้ว มองเห็นเรือนกายนั้นแล้ว เฉาฉิงหล่างถึงจะสามารถกลับบ้านของตัวเองได้เสียที แล้วยังไม่อาจพูดอะไรได้ ยิ่งไม่อาจฟ้องเขา
เพราะเผยเฉียนฉลาดมากจริงๆ ความฉลาดนั้นเป็นสิ่งที่เฉาฉิงหล่างในเวลานั้นซึ่งเป็นคนวัยเดียวกันไม่อาจจินตนาการได้ถึง แรกเริ่มนางก็เตือนเฉาฉิงหล่างไว้ก่อนแล้วว่า หากคนที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ แต่มีไอ้จ้อนอย่างเจ้ากล้าฟ้อง เจ้าฟ้องหนึ่งครั้ง ข้าก็จะตีเจ้าหนึ่งครั้ง หากข้าถูกเจ้าตะพาบที่มีเงินแต่ไม่ยอมเอาเงินให้ใครใช้ผู้นั้นไล่ออกไป กลางดึกก็จะยังปีนกำแพงเข้ามาที่นี่ มาทุบถ้วยไหจานชามของบ้านเจ้าให้แตก เจ้าขวางได้หรือ? เจ้านั่นแสร้งทำตัวเป็นคนดี คอยช่วยเจ้าห้ามข้าได้วันสองวัน แต่จะห้ามได้เป็นปีสองปีเลยหรือ? เขาเป็นใคร แล้วเจ้าเป็นใคร เขาจะอยู่ที่นี่ไปตลอดจริงๆ งั้นหรือ? อีกอย่างเขานิสัยเป็นอย่างไร ข้าก็รู้ดีว่าคนโง่อย่างเจ้ามากนัก ไม่ว่าข้าทำอะไร เขาก็ไม่มีทางตีข้าจนตาย ดังนั้นเจ้าก็หัดรู้อะไรควรไม่ควรเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นหากผูกปมแค้นกับข้า ข้าก็สามารถตอแยเจ้าได้นานหลายปี วันหน้าทุกครั้งที่ถึงวันปีใหม่ ถึงอย่างไรครอบครัวของเจ้าก็ต้องสิ้นตระกูลแล้ว ภาพเทพทวารบาลและกลอนคู่ก็ซื้อใหม่ไม่ได้แล้ว ข้าก็จะแอบเอาถังน้ำของบ้านเจ้าไปใส่ขี้เยี่ยวของคนอื่นแล้วเอามาสาดให้เต็มประตูบ้านของเจ้า ทุกวันเวลาเดินผ่านบ้านของเจ้าก็จะขว้างก้อนหินใส่ ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะจ่ายเงินคอยซ่อมแซมกระดาษหน้าต่างได้เร็วกว่า หรือข้าจะเก็บก้อนหินมาปาได้เร็วกว่ากันแน่
ปีนั้นเรื่องที่เผยเฉียนทำให้เฉาฉิงหล่างทุกข์ทรมานที่สุดยังไม่ใช่การข่มขู่ที่ตรงไปตรงมา ไม่ใช่ถ้อยคำที่เผยเฉียนคิดว่าไม่น่าฟังและน่ากลัวมากที่สุดเหล่านี้ แต่เป็นถ้อยคำอื่นๆ ที่เผยเฉียนพูดด้วยรอยยิ้มอย่างผ่อนคลาย
‘บ้านเจ้ายากจนจนถังข้าวแทบจะสะอาดยิ่งกว่าเตียงแล้ว ประโยชน์เพียงอย่างเดียวของดาวอัปมงคลอย่างเจ้าก็คือไสหัวไปเป็นเทพทวารบาลอยู่นอกบ้านอย่างไรล่ะ รู้หรือไม่ว่าภาพเทพทวารบาลสองภาพต้องจ่ายเงินกี่เหรียญทองแดง ขายตัวเจ้ายังเอามาซื้อไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เจ้ามองดูคนอื่นเขาสิ ชีวิตของพวกเขายิ่งนานวันก็จะยิ่งมีคนเพิ่มขึ้น มีเงินมากขึ้น แต่บ้านเจ้ากลับดีนัก คนตายไปหมดแล้ว เงินก็เหลือแค่ไม่กี่เหรียญ? ถ้าถามข้านะ ปีนั้นพ่อเจ้าไม่ได้ไปเป็นคนหาบเร่ขายของตามบ้านหรอกหรือ? ตรงตรอกจ้วงหยวนที่ห่างจากนี่ไปไม่ไกลมีหอนางโลมอยู่เยอะไม่ใช่หรือไร เงินของพ่อเจ้าก็คงใช้ไปกับการลูบคลำมือน้อยๆ ของพวกนางนั่นแหละ’
‘เมล็ดแตงล่ะ หมดแล้ว?! เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะหุบไหเก็บเมล็ดแตงของเจ้าให้แตก? ฉีกหนังสือเก่าๆ ของเจ้าให้ขาด? รอให้คนแซ่เฉินกลับมาที่โทรมๆ แห่งนี้ เจ้าก็คุกเข่าร้องไห้ดังๆ เถอะ เขามีเงินมาก แค่ซื้อเมล็ดแตงให้เจ้าเยอะหน่อยจะเป็นไรไป อยู่ในโรงเตี๊ยมก็ยังต้องจ่ายเงิน เจ้าน่ะโง่ ส่วนเขาก็เลว พวกเจ้าล้วนไม่ใช่คนดีอะไร มิน่าล่ะถึงมาสุมหัวอยู่ด้วยกันได้ ถือเป็นความซวยแปดชาติของข้า ถึงได้มาพบพวกเจ้าสองคน’
‘เฉาฉิงหล่าง เจ้าคงไม่ได้คิดว่าไอ้หมอนั่นชอบเจ้าจริงๆ หรอกกระมัง คนเขาก็แค่สงสารเจ้าเท่านั้น เขากับข้าเป็นคนประเภทเดียวกัน รู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นคนแบบไหน? ก็เหมือนกับยามที่ข้าเดินเล่นไปบนถนนใหญ่แล้วมองเห็นว่าบนพื้นมีลูกนกที่ตกลงมาจากรังบนต้นไม้นั่นแหละ ข้าน่ะสงสารมันจริงๆ ก็เลยไปหาก้อนหินมาทุบมันให้ตายในทีเดียว ให้มันเจ็บปวดน้อยหน่อย มีเหตุผลหรือไม่? ดังนั้นข้าใช่คนดีไหม? เจ้าคิดว่าข้าหน้าด้านก็เลยไม่ยอมไปจากบ้านเจ้าอย่างนั้นหรือ? ข้ากำลังปกป้องเจ้าต่างหาก ไม่แน่ว่าวันใดเจ้าอาจถูกเขาตีตายก็ได้ มีข้าอยู่ด้วยเขาเลยไม่กล้า เจ้ายังไม่ขอบคุณข้าอีกหรือ?’
‘เจ้าจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ทุกวันไปทำไม เจ้าก็เพิ่งมีพ่อแม่คู่ใหม่ไม่ใช่หรือ? ทำไม หรือตายไปอีกคู่หนึ่งแล้ว? เฮ้อ ช่างเถิด ถึงอย่างไรเจ้าก็ผิดต่อพ่อแม่ที่ตายไปของเจ้ามากที่สุด ผิดต่อชื่อที่พวกเขาตั้งให้ หากเปลี่ยนข้ามาเป็นพ่อแม่เจ้า ไอ้ที่บอกว่าวิญญาณกลับมาหลังผ่านไปเจ็ดวัน เทศกาลผีวันชิงหมิงอะไรนั่น ขอแค่ได้เจอหน้าเจ้าก็คงต้องโมโหจนตายไปอีกรอบ เฉาฉิงหล่าง ข้าว่าเจ้ารีบตายๆ ไปซะเถอะ หากเจ้าตายไปเร็วหน่อยแล้ววิ่งให้เร็วหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะยังตามพ่อแม่เจ้าไปทันนะ แต่จำไว้ว่าไปตายให้ไกลๆ หน่อย อย่าให้ไอ้หมอนั่นเจอได้ เขามีเงิน แต่กลับขี้เหนียวเป็นที่สุด แม้แต่เสื่อผุๆ สักผืนยังไม่ยอมช่วยซื้อให้เจ้า ถึงอย่างไรวันหน้าบ้านหลังนี้ก็ต้องเป็นของข้าแล้ว’
เฉาฉิงหล่างเคยหาเรื่องต่อยตีกับเผยเฉียนสองครั้ง ครั้งหนึ่งเพื่อพ่อแม่ อีกครั้งหนึ่งเพื่อคุณชายเฉินที่ครั้งหนึ่งหายหน้าไปนานไม่ยอมกลับมาบ้าน แน่นอนว่าเฉาฉิงหล่างจะเป็นคู่ต่อสู้ของเผยเฉียนได้อย่างไร เผยเฉียนเห็นคนอื่นต่อยตีกันมาจนชินแล้ว แล้วก็โดนคนอื่นทุบตีจนชินชาแล้วเช่นกัน รับมือกับเฉาฉิงหล่างที่แม้แต่จะลงมือแรงๆ สักครั้งก็ยังไม่กล้า เผยเฉียนยังรู้สึกเบื่อหน่ายด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่านางก็แค่เบื่อหน่ายอยู่ในใจเท่านั้น เพราะแรงมือที่ลงมือกับเขากลับไม่ใช่น้อยๆ ดังนั้นจุดจบของเฉาฉิงหล่างทั้งสองครั้งจึงไม่ค่อยดีนัก
เฉินผิงอันพาเฉาฉิงหล่างที่ไม่ได้เป็นเด็กน้อยร่างผอมบางของตรอกเก่าโทรมมานานแล้วเดินเข้าไปในห้องทางฝั่งซ้ายมือที่วางโต๊ะสองตัวไว้ด้านใน เฉินผิงอันให้เฉาฉิงหล่างนั่งอยู่ข้างโต๊ะตัวที่วางตราประทับ หน้าพัดและโครงพัด ส่วนตัวเองเริ่มเก็บภาพแผ่นที่และสมุดทั้งหลาย เรื่องของการ ‘ลงบัญชี’ นี้ นักเรียนอย่างเฉาฉิงหล่าง ลูกศิษย์อย่างเผยเฉียน แน่นอนว่าต้องเป็นฝ่ายหลังที่เรียนรู้จากเขาไปได้มากกว่า
เฉินผิงอันไม่เคยบอกกับใครว่า
ในใจของเขา เฉาฉิงหล่างเพียงแค่มีประสบการณ์ชีวิตคล้ายกับตน ส่วนนิสัยใจคอนั้น อันที่จริงมองดูเหมือนคล้าย แล้วก็มีหลายส่วนที่เหมือนกันอยู่มากจริงๆ เพียงแต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
นั่นเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ประหลาดมาก
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ถ่วงรั้งความรู้สึกของเฉินผิงอันที่หวังเป็นที่สุดว่าจะสามารถพาเฉาฉิงหล่างออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวในปีนั้นด้วยกันได้ ต่อให้จะทำไม่ได้ แต่ในใจก็คอยคิดถึงเด็กในตรอกเก่าโทรมคนนั้นตลอดเวลา หวังจากใจจริงว่าในอนาคตเฉาฉิงหล่างจะกลายเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต สามารถสวมชุดของลัทธิขงจื๊อ กลายเป็นบัณฑิตที่แท้จริง เป็นบัณฑิตที่เหมือนกับอาจารย์ฉี และยิ่งรู้สึกเสียใจที่ตัวเองจากมาอย่างฉุกละหุกเกินไป แล้วก็กังวลด้วยว่าตัวเองจะสั่งสอนผิดๆ เฉาฉิงหล่างอายุน้อยเกินไป หลายเรื่องที่สำหรับเฉินผิงอันแล้วเป็นสิ่งถูก แต่พอไปอยู่กับเด็กคนนั้นกลับกลายเป็นว่าไม่ถูก ดังนั้นเมื่อพื้นที่มงคลดอกบัวแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ก่อนที่เฉินผิงอันจะได้ครอบครองส่วนหนึ่งในนั้น เฉินผิงอันจึงคิดถึงเฉาฉิงหล่างมาโดยตลอด เป็นเหตุให้ตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมริมชายแดนของราชวงศ์ต้าเฉวียนใบถงทวีป พอเผยเฉียนถามคำถามนั้นกับเขา เฉินผิงอันจึงตอบไปอย่างไม่ลังเล ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้อยากพาเผยเฉียนมาอยู่ข้างกาย หากเป็นไปได้ตนจะพาแค่เฉาฉิงหล่างออกมาจากบ้านเกิด มาที่บ้านเกิดของเฉินผิงอันคนเดียวเท่านั้น
คำโบราณบอกไว้ว่าแม้แต่พระโพธิสัตว์ก็ยังมีไฟโทสะได้
ทว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ไม่บ่อยกับตัวเฉินผิงอัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่จะโมโหเด็กคนหนึ่งอย่างเผยเฉียนที่ตอนนั้นยังเป็นเด็กเล็กตัวแค่นั้นอย่างเอาจริงเอาจังด้วยแล้ว ในชีวิตนี้ของเฉินผิงอันก็ยิ่งมีแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว
จ้าวซู่เซี่ยเรียนวิชาหมัดได้เหมือนตนที่สุด แต่บนร่างของจ้าวซู่เซี่ย เฉินผิงอันกลับมองเห็นเงาร่างของเพื่อนสนิทอย่างหลิวเสี้ยนหยางได้มากกว่า
ครั้งแรกที่พบเจอกัน จ้าวซู่เซี่ยปกป้องหลวนหลวนอย่างไร ตอนอยู่ในเมืองเล็ก ตลอดหลายปีที่ผ่านมาซึ่งหลังจากได้กลายเป็นคนรู้จักของหลิวเสี้ยนหยาง กลายเป็นสหาย จนกระทั่งได้เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดต่อกัน หลิวเสี้ยนหยางก็ปกป้องเฉินผิงอันอย่างนั้น
สิ่งที่เหมือนเฉินผิงอันอย่างแท้จริง อันที่จริงกลับเป็นสายตาขาดกลัวที่แอบมองประเมินโลกใบนี้ของเผยเฉียน คือการคาดเดาใจคนเดิมพันใจคนของสุ่ยจิ่งเฉิง และตอนนี้ก็มีเด็กหนุ่มอีกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เหมือนเขาเช่นกัน ไม่ใช่จางเจียเจินที่ช่วยงานอยู่ในร้านเหล้า แต่เป็นเด็กหนุ่มยากจนจากตรอกซัวลี่คนหนึ่งที่ชื่อว่าเจี่ยงชวี่ ทุกครั้งที่เฉินผิงอันไปเป็นนักเล่านิทานอยู่ในตรอก เด็กหนุ่มเป็นคนที่พูดน้อยที่สุด ทุกครั้งจะนั่งอยู่ห่างไปไกลที่สุด แต่กลับเป็นเขาที่คิดเยอะที่สุด ตั้งใจเรียนวิชาหมัดมากที่สุด ดังนั้นจึงเรียนวิชาหมัดไปได้มากที่สุด ดังนั้นหลายครั้งที่พบเจอหน้ากันและได้พูดคุยถึงจุดที่ตรงใจพอดี เด็กหนุ่มจึงมีท่าทางร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด แต่สายตากลับมีความเด็ดเดี่ยว เฉินผิงอันจึงสอนท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนท่าของวิชาหมัดเขย่าขุนเขาให้กับเด็กหนุ่มเจี่ยงชวี่โดยเฉพาะ
ทุกครั้งที่เจี่ยงชวี่นั่งอยู่ตรงนั้น มองดูเหมือนตั้งใจฟังเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำจากนักเล่านิทาน แต่สายตา สีหน้า รวมไปถึงถ้อยคำกระซิบกระซาบเบาๆ กับคนสนิทของเด็กหนุ่ม ล้วนเต็มไปด้วยหัวใจที่แสวงหาชื่อเสียงลาภยศซึ่งมองเห็นได้อย่างพร่าเลือน