กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 607.2 พูดจาดั่งสิงโตคำราม
ปีนั้นฉีจิ้งชุนไม่ยินดีจะเล่นหมากล้อมกับศิษย์พี่อย่างชุยฉานอีกต่อไป เขาวิ่งไปถามอาจารย์ว่า ใต้หล้านี้มีการเล่นหมากล้อมที่สองฝ่ายซึ่งคุมเชิงกันต่างก็ชนะทั้งคู่หรือไม่
ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าที่กำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่กับตัวเองต้องรีบแอบวางขาข้างหนึ่งที่ยกเหยียบบนม้านั่งตัวยาวลง ถึงจะวางมาดของอาจารย์ที่ดีได้ พอได้ยินคำถามนี้ก็หัวเราะฮ่าๆ จนสำลักอยู่หลายทีเกือบน้ำตาไหล ไม่รู้ว่าดีใจหรือสำลักเหล้ารสชาติร้อนแรงกันแน่
ตอนนั้นเจ้าโง่คนหนึ่งที่น้ำลายสออยากดื่มเหล้าบนโต๊ะของอาจารย์พูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า ‘ไม่เล่นหมากล้อมก็ไม่ต้องแพ้ ไม่แพ้ก็คือชนะ นี่ก็เหมือนกับการไม่ใช้จ่ายเงินก็คือการหาเงินนั่นแหละ คือหลักการเดียวกัน’
ตอนนั้นจั่วโย่วกำลังป้องกันไม่ให้เจ้าคนโง่ผู้นั้นขโมยเหล้าไปดื่ม คำตอบของเขาคือ ‘หากเวทกระบี่สูงพอ เอาชนะได้แล้ว แต่กลับแพ้ได้อย่างที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น ก็ถือว่าชนะแล้วเช่นกัน’
ชุยฉานนั่งอยู่บนธรณีประตู เอนหลังพิงประตูใหญ่ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า ‘ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ทำลายกฎเกณฑ์ มีเพียงกระดานหมากมีขนาดใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัดเท่านั้น ถึงจะมีความเป็นไปได้นี้อยู่ ไม่อย่างนั้นก็อย่าได้หวังเลย’
ตอนนั้นเด็กหนุ่มชุดเขียวในห้องที่เป็นเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่เอาแต่มองไปยังอาจารย์ของตน
ซิ่วไฉเฒ่าจึงยิ้มเอ่ยว่า ‘คำถามข้อนี้ค่อนข้างใหญ่ หากอาจารย์อย่างข้าต้องการตอบให้ดี ก็ต้องใช้เวลาคิดอีกสักหน่อย’
ฉีจิ้งชุนพยักหน้ารับ ‘ขออาจารย์โปรดดื่มเหล้าให้หมดเร็วๆ หน่อย’
ความนัยในถ้อยคำนี้ก็คือ เมื่ออาจารย์ดื่มเหล้าหมดแล้วก็ควรจะมีคำตอบได้แล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าจึงยิ้มพลางพยักหน้ารับ ท่าทางมั่นอกมั่นใจ ผลคือพอดื่มเหล้าเสร็จก็เริ่มลุกขึ้นยืนโงนเงน พยายามกลั้นหายใจให้ใบหน้าแดงก่ำ แสร้งทำเป็นเมาแล้วก็หนีไปนอนกลางวัน
ชุยตงซานวางตะเกียบลง มองโต๊ะสี่เหลี่ยมเหมือนกระดานหมากล้อม มองถ้วยเหล้ากาเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืนเดินจากมา
พอไปถึงประตูใหญ่จวนหนิง เด็กหนุ่มชุดขาวที่ถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวธรรมดาก็เคาะประตูเบาๆ
น่าหลันเย่สิงเป็นผู้เปิดประตู
เด็กหนุ่มยิ้มกล่าวว่า “ท่านปู่น่าหลัน อาจารย์ต้องพูดถึงข้าบ่อยๆ เป็นแน่ ข้าคือตงซานน่ะ”
น่าหลันเย่สิงรู้แค่ว่าคนผู้นี้คือลูกศิษย์ของท่านเขยตัวเอง แต่กลับไม่รู้จริงๆ ว่าจะหน้าตาดี ทว่าสมองกลับไม่ค่อยดีแบบนี้ น่าเสียดายนัก
ก่อนหน้านี้ท่านเขยพาลูกศิษย์สองคนมาที่บ้าน ดูจากท่าทางแล้วล้วนดีมากกันทั้งคู่
หลังจากน่าหลันเย่สิงปิดประตูลงแล้ว ชุยตงซานก็เอ่ยด้วยใบหน้ากังขาว่า “เห็นได้ชัดว่าท่านปู่น่าหลันมีคุณสมบัติของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน เหตุใดถึงเพิ่งจะเป็นขอบเขตหยกดิบล่ะ หรือว่าถูกปีศาจเฒ่าที่ไม่ปรากฏตัวเป็นหมื่นปีตนนั้นลอบโจมตี ทำร้ายให้ท่านปู่น่าหลันต้องบาดเจ็บสาหัส? เรื่องแบบนี้เหตุใดถึงไม่เคยแพร่ไปถึงใต้หล้าไพศาลเลย?”
น่าหลันเย่สิงหัวเราะหึหึ ไม่ถือสาเจ้าคนสมองมีรูผู้นี้
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ หยิบเอาไข่มุกเก่าแก่เม็ดหนึ่งที่เป็นสีขุ่นมัวออกเหลืองมายื่นให้น่าหลันเย่สิง “บังเอิญยิ่งนัก ข้ามีโอสถเม็ดหนึ่งที่เก็บมาได้จากข้างทาง ช่วยให้ท่านปู่น่าหลันกลับคืนสู่ขอบเขตเวียนเหรินอาจจะยากไปสักหน่อย แต่ให้ซ่อมแซมขอบเขตหยกดิบ ไม่แน่ว่ากลับยังพอจะทำได้”
น่าหลันเย่สิงชำเลืองตามอง แต่กลับมองความตื้นลึกของโอสถเม็ดนั้นไม่ออก ของขวัญหนักเกินไป ไม่มีเหตุผลให้รับไว้ ของขวัญเบาเกินก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นให้ต้องเกรงใจ ดังนั้นจึงยิ้มเอ่ยว่า “น้ำใจนี้รับไว้แล้ว เก็บของไปเถอะ”
ชุยตงซานไม่ได้หดมือกลับ ยิ้มบางๆ เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “เก็บมาจากข้างทางเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาว”
น่าหลันเย่สิงใช้ความว่องไวราวสายฟ้าผ่าโดยไม่ทันป้องหูคว้าเม็ดยาในมือของเด็กหนุ่มชุดขาวมา เก็บซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ คิดดูแล้วก็เปลี่ยนเอามาเก็บไว้ในสาบเสื้อตรงหน้าอก ปากผู้เฒ่าพูดบ่นไปด้วยว่า “ตงซานอ่า เจ้านี่ก็จริงๆ เลย ยังจะมอบของขวัญให้ท่านปู่น่าหลันอีก ทำตัวห่างเหินเกินไปแล้ว”
ชุยตงซานมีสีหน้าตกตะลึง ยื่นมือออกมา “ดูห่างเหินหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าผู้น้อยวาดงูเติมขาหรอกหรือ ถ้าอย่างนั้นคืนข้ามาเลย”
น่าหลันเย่สิงยื่นมือมาปัดมือของเด็กหนุ่มออกเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีว่า “ตงซานอ่า ดูสิ ทำอย่างนี้ก็ยิ่งห่างเหินเข้าไปอีกไม่ใช่หรือ”
ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะฟังคำโน้มน้าวของผู้เฒ่าแล้ว จึงหมุนตัววิ่งไปทางประตูของจวนหนิง เปิดประตูออกเอง ก้าวข้ามธรณีประตูออกไป แล้วถึงได้หมุนตัวกลับมา แบมือเอ่ยว่า “คืนข้ามา”
น่าหลันเย่สิงสูดลมหายใจดังเฮือก เจ้าตัวดี ไม่ผิดแน่แล้ว สมกับเป็นลูกศิษย์ผู้ภาคภูมิใจของท่านเขยจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจยังเป็นลูกศิษย์ประเภทที่ได้รับการสืบทอดทั้งหมดไปด้วย
น่าหลันเย่สิงแสร้งทำตัวเป็นหูหนวกบื้อใบ้ หมุนตัวกลับได้ก็เดินจากไปทันที จวนหนิงแห่งนี้เจ้าอยากเข้าก็เข้ามา อยากจะปิดประตูหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า
ชุยตงซานเดินเข้ามาในเรือน ปิดประตูลงแล้วก้าวเร็วๆ ตามน่าหลันเย่สิงไป เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านปู่น่าหลัน เวลานี้ท่านคงรู้แล้วกระมังว่าข้าเป็นใคร?”
น่าหลันเย่สิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตงซานอ่า เจ้าคงจะเป็นลูกศิษย์ที่ได้ดิบได้ดีที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ของท่านเขยเลยสินะ?”
ชุยตงซานกล่าวอย่างละอายใจ “เจ็บใจก็แต่เก็บมาจากข้างทางเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาวได้แค่เม็ดเดียว”
พริบตานั้น
ชุยตงซานก็ยื่นสองนิ้วออกมาบังไว้ด้านข้างศีรษะ
น่าหลันเย่สิงคลี่ยิ้ม “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็วางใจได้แล้ว”
ชุยตงซานเก็บมือ พูดเสียงเบาว่า “เรื่องที่ข้าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน ขอท่านปู่น่าหลันอย่าได้แพร่งพรายไป หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเซียนกระบี่รังเกียจที่ขอบเขตข้าต่ำเกินแล้วจะพานทำให้อาจารย์ต้องเสียหน้า”
น่าหลันเย่สิงเริ่มรู้สึกเหนื่อยใจ ถึงขั้นไม่ใช่เรื่องของโอสถเม็ดนั้น แต่อยู่ที่การกระทำและคำพูดของชุยตงซานหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้พบเจอกัน ซึ่งตนไม่เคยเดาถูกเลยสักครั้ง
พูดถึงแค่เรื่องที่ตนเรียกกระบี่บินมาขู่เด็กหนุ่มก่อนหน้านี้ ในเมื่ออีกฝ่ายมีขอบเขตสูงอย่างถึงที่สุด ถ้าอย่างนั้นก็สามารถมองข้ามไปได้โดยตรง หรือไม่ก็ลงมืออย่างสุดกำลังเพื่อสกัดกั้นกระบี่บิน
ทว่าไอ้หมอนี่กลับจงใจยื่นมือมาบังช้าไปเสี้ยวหนึ่ง สองนิ้วที่สัมผัสโดนกระบี่บินกลับไม่ได้โดนที่ปลายกระบี่หรือตัวกระบี่ แต่อยู่ที่ด้ามกระบี่
น่าหลันเย่สิงเป็นกังวลใจอย่างมาก
ชุยตงซานเดินเคียงบ่าไปกับผู้เฒ่า กวาดตามองไปรอบด้านพลางยิ้มแต้พูดชวนคุยว่า “ในเมื่อข้าคือลูกศิษย์ของอาจารย์ ท่านปู่น่าหลันกังวลว่าข้าจะเลวเกินไป หรือกังวลว่าอาจารย์ของข้าไม่ดีมากพอกันล่ะ? เชื่อว่าสมองของข้าชุยตงซานไม่ฉลาดพอ หรือเชื่อว่าท่านเขยมีความคิดรอบคอบไร้ช่องโหว่มากกว่ากัน? สรุปแล้วคือกังวลว่าข้าที่เป็นคนต่างถิ่นมีเมฆหมอกล้อมวนหนาเกินไป หรือกังวลว่ารากฐานของจวนหนิง กระบี่บินของเซียนกระบี่ทุกท่านทั้งในและนอกจวนหนิงไม่มากพอจะแหวกทะเลเมฆออกไปได้? ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่ตกต่ำคนหนึ่งควรจะเชื่อในพลังพิฆาตของกระบี่บินตัวเองหรือเชื่อว่าจิตแห่งกระบี่ของตัวเองบริสุทธิ์ไร้จุดด่างพร้อยมากพอดีล่ะ? พอข้าพูดอย่างนี้ไปแล้ว เดิมทีก็เชื่อไปแล้ว แต่จู่ๆ กลับไม่เชื่อขนาดนั้นอีกแล้วหรือไม่?”
สีหน้าของน่าหลันเย่สิงเคร่งเครียด
ชุยตงซานจุ๊ปากทอดถอนใจ “ผู้ที่มีพละกำลังมาก ยามอยู่ในสังคม มักจะรู้สึกว่าสามารถประหยัดแรงกายแรงใจได้ แบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรเลย”
น่าหลันเย่สิงขมวดคิ้วแน่น
ชุยตงซานชำเลืองตามองหน้าผาสังหารมังกรที่อยู่ห่างไปไม่ไกล “มีอาจารย์อยู่ ก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใด พี่ใหญ่น่าหลัน พวกเราสองพี่น้องต้องรู้จักทะนุถนอมและเห็นค่านะ”
ตลอดทางที่เดินกันไป น่าหลันเย่สิงไม่เอ่ยอะไรอีกเลย
พอไปถึงเรือนที่พักของท่านเขย เผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่างก็อยู่ด้วย ชุยตงซานประสานมือคารวะเอ่ยขอบคุณแล้วเรียกขานคำหนึ่งว่าท่านปู่น่าหลัน
น่าหลันเย่สิงพยักหน้ารับด้วยรอยยยิ้ม หันไปพูดกับเฉินผิงอันในห้องที่ลุกขึ้นยืน “เมื่อครู่นี้ข้ากับตงซานได้พบหน้ากันก็เหมือนคนที่รู้จักกันมานาน เกือบจะรับกันเป็นพี่น้องแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับพร้อมอมยิ้มน้อยๆ “ตกลง ท่านปู่น่าหลัน ข้าทราบแล้ว”
เผยเฉียนแอบยกนิ้วโป้งให้กับห่านขาวใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู
ชุนตงซานพูดด้วยสีหน้าเหลอหรา “ท่านปู่น่าหลัน ข้าไม่ได้พูดนะ”
น่าหลันเย่สิงยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “สรุปแล้วอาจารย์ของเจ้าจะเชื่อข้าพี่ใหญ่น่าหลัน หรือจะเชื่อน้องเล็กชุยอย่างเจ้ากันแน่นะ?”
ชุยตงซานเอามือกุมขมับแล้วเริ่มเดินเซไปเซมา “เมื่อครู่ตอนอยู่ร้านเหล้าดื่มมากไปหน่อย ข้าพูดอะไรไป ข้าอยู่ที่ไหน นี่ข้าเป็นใคร…”
เผยเฉียนเพิ่งจะวางนิ้วโป้งลงก็ต้องยกกลับขึ้นมาใหม่ อีกทั้งยังยกนิ้วโป้งสองมืออีกด้วย
น่าหลันเย่สิงจากไปแล้ว อีกทั้งอารมณ์ยังปลอดโปร่งอย่างมาก
เฉินผิงอันถลึงตาใส่ชุยตงซาน
ชุยตงซานนั่งลงบนธรณีประตู “อาจารย์ ขอให้ข้านั่งตากลมเย็นๆ ตรงนี้สักหน่อย จะได้สร่างเมา”
เฉินผิงอันกลับลงไปนั่งที่เดิม ยกพู่กันเขียนตัวอักษรบนหน้าพัดต่อ เฉาฉิงหล่างก็คอยช่วยอยู่ด้วย
เผยเฉียนเองก็อยากช่วย แต่อาจารย์ไม่อนุญาตนี่นา
นางจึงนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านข้างเพียงลำพัง หันหน้าเข้าหาประตูใหญ่และห่านขาวใหญ่ ยักคิ้วหลิ่วตาให้เขา ทำท่าชี้ไปยังของสองชิ้นที่วางอยู่บนโต๊ะด้านหน้าซึ่งอาจารย์แม่มอบให้นาง
เผยเฉียนไม่ได้เกรงใจอาจารย์แม่ นางรับของขวัญทั้งสองชิ้นมาอย่างผึ่งผาย หนึ่งคือลูกประคำเส้นหนึ่งที่ทำมาจากวัสดุไม่ธรรมดา แกะสลักเป็นรูปคนหนึ่งร้อยแปดคน ลักษณะโบราณเรียบง่าย
อีกหนึ่งคือโถเก็บเม็ดหมากหนึ่งคู่ เมื่อเปิดฝาออก โถเก็บเม็ดมากสีขาวก็มีภาพปรากฎการณ์ที่ก้อนเมฆสาดแสงอรุโณทัย ส่วนโถเก็บเม็ดหมากสีดำเป็นภาพเมฆทะมึนรวมตัวกันหนาชั้น พอจะมองเห็นภาพที่มังกรเฒ่ากำลังโปรยพิรุณได้อย่างเลือนราง
ไข่มุกในสร้อยลูกประคำมีเยอะมาก เม็ดหมากในโถเก็บเม็ดหมากก็ยิ่งเยอะมากกว่า ระดับขั้นอะไรนั่นไม่สำคัญ เผยเฉียนรู้สึกมาโดยตลอดว่าทรัพย์สินของตนแค่ได้เปรียบในด้านจำนวนก็พอแล้ว
คราวหน้าที่ประลองวิชากับหลี่ไหว หลี่ไหวจะยังชนะได้อีกอย่างไร
ชุยตงซานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เขายกมือขึ้นทำท่ารอตีมือ เผยเฉียนที่ใจสื่อถึงเขามาได้นานแล้วจึงยกมือตีมือกับเขาอยู่ไกลๆ
เผยเฉียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งตัวยาว โคลงศีรษะโยกไหล่
เฉินผิงอันที่นั่งหันหลังให้เผยเฉียนเอ่ยขึ้นว่า “การนั่งก็มีท่าของการนั่ง ลืมไปแล้วหรือ?”
เผยเฉียนเหมือนถูกร่ายเวทกักตัวในทันใด
ชุยตงซานนั่งเอนหลังพิงกรอบประตู ยิ้มมองคนทั้งสามที่อยู่ในห้อง
เผยเฉียนรู้สึกอารมณ์ดีไม่น้อย
ทุกวันนี้ขอแค่เจอวัด นางก็จะเข้าไปไหว้พระด้านใน
ได้ยินมาว่านางมักจะไปเยือนวัดซินเซียงที่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนบ่อยๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม ยามที่นางพนมสิบนิ้ว ฝ่ามือทั้งสองข้างกลับไม่แนบสนิท ราวกับโอบอุ้มอะไรบางอย่างไว้อย่างระมัดระวัง
แล้วก็ได้ฟังจ้งชิวเล่าว่า ทุกวันนี้นางมีเพื่อนคนแรกที่ไม่ถือว่าเป็นเพื่อนกันอีกแล้วเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่โจวหมี่ลี่กับหน่วนซู่ที่ทุกวันนี้ยังเป็นเพื่อนรักกัน แล้วก็ไม่ใช่พ่อครัวเฒ่า เหล่าเว่ย เสี่ยวป๋าย แต่เป็นแม่นางคนหนึ่งที่เกิดและเติบโตมาในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เมื่อหลายปีก่อนเพิ่งจะแต่งงานออกเรือน ก่อนที่จะออกมาจากพื้นที่มงคลรากบัว เผยเฉียนไปพบนาง ไปยอมรับผิด แต่ดูเหมือนว่าแม่นางคนนั้นจะไม่ได้บอกว่ายอมรับหรือไม่ยอมรับคำขอโทษของเผยเฉียน ทั้งๆ ที่จำเผยเฉียนที่ทั้งส่วนสูงและหน้าตาล้วนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากได้ แต่แม่นางที่มาจากตระกูลคนมีเงินผู้นั้นกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก เพราะนางยังคงกลัว พอเผยเฉียนออกมาแล้ว นางก็แอบไปหาจ้งชิวลับหลังเฉาฉิงหล่าง เพื่อสอบถามและขอให้อาจารย์จ้งช่วยทำเรื่องเรื่องหนึ่งให้แก่นาง จ้งชิวตอบตกลงแล้ว เผยเฉียนจึงถามว่าทำแบบนี้ถูกไหม จ้งชิวไม่ได้บอกว่าผิด แต่ก็ไม่ได้บอกว่าดี ยิ่งไม่ได้บอกว่าการกระทำเช่นนี้จะสามารถแก้ไขความผิดได้จริงหรือไม่ บอกแค่ว่าให้นางไปถามอาจารย์ของนางเอาเอง ตอนนั้นเผยเฉียนกลับบอกว่าตอนนี้นางยังไม่กล้าพูดเรื่องนี้ รอให้นางใจกล้าขึ้นอีกนิดค่อยพูด รอให้อาจารย์ชอบตนมากขึ้นอีกหน่อย ถึงจะกล้าพูด
เฉาฉิงหล่างกำลังตั้งใจเขียนตัวอักษร
เขาเหมือนคนคนหนึ่งอย่างมาก
เวลาทำเรื่องอะไรสักอย่าง มักจะตั้งใจอยู่เสมอ
ดังนั้นจึงยิ่งจำเป็นต้องมีคนสอนเขาว่าเรื่องอะไรบ้างที่บางครั้งก็ไม่ต้องเอาจริงเอาจังเกินไป ยิ่งไม่ควรดึงดันดันทุรัง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเฉาฉิงหล่างในทุกวันนี้รู้หรือไม่ว่า เหตุใดยามที่อาจารย์ของเขาเป็นร้านผ้าห่อบุญท่องไปทั่วทิศถึงยังคงยินดีจะจริงจังเช่นนี้ และท่ามกลางความจริงจังนี้มีอยู่กี่ส่วนที่เกิดจากความละอายใจต่อเขาเฉินฉิงหล่าง ต่อให้ช่วงชีวิตที่ยากลำบากนั้นของเฉาฉิงหล่างจะไม่เกี่ยวข้องกับอาจารย์เลยก็ตาม
หลายๆ เรื่องราว หลายๆ ถ้อยคำ ชุยตงซานไม่มีทางพูดมาก มีอาจารย์คอยถ่ายทอดมรรคาไขข้อข้องใจ พวกลูกศิษย์และนักเรียนแค่ฟังไปก็พอ
ส่วนอาจารย์นั้น เวลานี้คงกำลังคิดว่าจะหาเงินอย่างไรกระมัง?
คนสามคนที่อยู่ในห้อง
ในเรื่องบางเรื่อง พวกเขาเหมือนกันอย่างมาก
นั่นก็คือยามที่พ่อแม่ออกเดินทางไกลไม่หวนกลับคืนมาอีก ตอนนั้นพวกเขาต่างก็ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง
พ่อแม่ของอาจารย์จากไปก่อนใคร จากนั้นก็เป็นเผยเฉียน แล้วค่อยตามมาด้วยเฉาฉิงหล่าง
คนทั้งสามในห้องคงจะเคยมีความคิดที่ไม่อยากเติบโต แต่ก็จำต้องเติบโตกระมัง
ดังนั้นชุยตงซานจึงไม่ได้เดินเข้าไปในห้อง เพียงแค่นั่งอยู่บนธรณีประตูตรงนี้เท่านั้น วางไม้เท้าเดินป่าไว้บนหัวเข่า แอบปลีกตัวนั่งเหม่ออยู่เพียงลำพัง
เฉินผิงอันตบโต๊ะ ทำเอาทั้งเฉาฉิงหล่างและเผยเฉียนสะดุ้งโหยง จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินอาจารย์ อาจารย์พ่อของตนพูดยิ้มๆ ปนฉุนว่า “เจ้าคนที่เขียนตัวอักษรได้สวยที่สุดกลับเป็นคนที่ขี้เกียจที่สุดอย่างนั้นรึ?!”
เฉาฉิงหล่างพลันกระจ่างแจ้ง พยักหน้าเอ่ยว่า “มีเหตุผล”
เผยเฉียนตบโต๊ะ “บังอาจยิ่งนัก!”
ชุยตงซานรีบลุกขึ้นยืน ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา “ได้เลย!”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มานั่งข้างกายเผยเฉียน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์จะสอนเจ้าเล่นหมากล้อม”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง แล้วก็เริ่มเปิดโถเก็บเม็ดมาก ยื่นสองมือมาจับโถเขย่าเบาๆ “ได้เลย! ห่านขาวใหญ่…ต้องเรียกว่าอะไรแล้วนะ อ้อ ศิษย์พี่เล็ก! ศิษย์พี่เล็กเคยสอนให้ข้าเล่นหมากล้อม แต่ข้าเรียนได้ช้านัก ทุกวันนี้ต้องให้เขาต่อให้ก่อนสิบเม็ดถึงจะเอาชนะได้”
รอยยิ้มของเฉินผิงอันไม่แปรเปลี่ยน เพียงแต่เพิ่งจะนั่งก็รีบลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นไว้ค่อยเล่นกันทีหลัง อาจารย์จะไปเขียนตัวหนังสือก่อนแล้ว มัวนั่งอึ้งอยู่ทำไม รีบไปยกหีบหนังสือใบน้อยมาคัดตัวอักษรสิ!”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งทีแล้ววิ่งตะบึงออกไป
เพียงไม่นานก็สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กใบนั้นมา
แต่กลับพบว่าอาจารย์ยืนอยู่หน้าประตู กำลังมองมายังตน
เผยเฉียนพลันหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงประตู เงยหน้ากล่าวอย่างกังขาว่า “อาจารย์รอข้าอยู่หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จำได้ว่าปีนั้นคนบางคนหิ้วถังน้ำไปตักน้ำ ไม่เคยกลับมาเร็วขนาดนี้”
เผยเฉียนมีสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย
เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง ยิ้มกล่าวว่า “ขนาดตอนนั้นอาจารย์กับเฉาฉิงหล่างยังรอเจ้ากลับบ้าน ตอนนี้ก็ยิ่งรอได้”
ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น พูดโอดครวญว่า “ข้าคือคนที่อาจารย์รู้จักเป็นคนแรกสุดนะ!”
เผยเฉียนหัวเราะอย่างอารมณ์ดีทันที “อาจารย์รู้จักข้าเร็วกว่าเฉาฉิงหล่างด้วย!”
เฉาฉิงหล่างหันหน้ามามองทางประตู เพียงแค่ยิ้มบางๆ เท่านั้น
เผยเฉียนรีบพูดกับห่านขาวใหญ่ทันทีว่า “แข่งกันเรื่องนี้สนุกนักหรือ? หืม?!”
ชุยตงซานชูสองมือขึ้น “ศิษย์พี่หญิงใหญ่พูดถูกแล้ว”
เฉินผิงอันตบศีรษะของเผยเฉียนเบาๆ “ไปคัดหนังสือไป”
สุดท้ายกลับกลายเป็นเฉินผิงอันที่ไปนั่งอยู่บนธรณีประตู หยิบเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาแล้วเริ่มดื่มเหล้า
คนทั้งสามที่อยู่ในห้องต่างก็มองแผ่นหลังตรงหน้าประตูที่คุ้นเคยนั้น แล้วต่างคนก็ต่างยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “เฉาฉิงหล่าง วันหน้าข้าก็จะช่วยทำไม้เท้าเดินป่าอันหนึ่งให้เจ้าเหมือนกัน”
เฉาฉิงหล่างหันหน้ากลับมา “อาจารย์ ศิษย์มีแล้วขอรับ”
เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงยิ้มกล่าวว่า “แต่นั่นก็ไม่ใช่ของที่อาจารย์มอบให้เจ้าสักหน่อย หากไม่รังเกียจ ไม้เท้าอันที่อยู่ในห้องตรงข้าม เจ้าเอาไปก่อนได้เลย”
เฉาฉิงหล่างคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ขอแค่ไม่ใช่รองเท้าสาน ก็ได้ทั้งนั้น”
ชุยตงซานเหลือกตามองบน “คนเปรียบกับคน ชวนให้คนโมโหตายจริงๆ”
เผยเฉียนเขียนประโยคหนึ่งจบ ระหว่างที่หยุดพู่กันก็แอบทำหน้าผี พึมพำว่า “ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว”
จากนั้นเผยเฉียนก็ชำเลืองตามองหีบไม้ไผ่ใบเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วก็พลันอารมณ์ดี ถึงอย่างไรคนที่มีหีบหนังสือใบเล็กก็มีแค่ข้า
เฉินผิงอันหันหลังให้คนทั้งสาม ยิ้มตาหยี มองทะลุเพดานสี่เหลี่ยมเปิดอ้าไปยังผืนฟ้า เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ในวันนี้ยังคงรสชาติดีอยู่ดังเดิม สุราดีๆ เช่นนี้จะเชื่อเงินติดไว้ก่อนได้อย่างไร
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก มือหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือหนึ่งตบลงบนหัวเข่าเบาๆ พึมพำว่า “ไข่มุกบนเสื้อคนจน เดิมกลมเกลี้ยงมีแสงแวววาว”
ชุยตงซานยิ้มบางๆ แล้วก็พูดเหมือนพึมพำกับตัวเองเช่นกันว่า “ไม่แสวงหาด้วยตัวเอง แต่กลับนับสมบัติของผู้อื่น นับสมบัติของผู้อื่น สุดท้ายแล้วก็ไร้ประโยชน์ ขอท่านโปรดฟังคำข้า”
เฉาฉิงหล่างเองก็คลี่ยิ้มอย่างรู้ใจ ต่อประโยคท้ายเบาๆ ว่า “ไร้สิ่งสกปรกปลอมปน แสงสว่างที่มีในตัว มิอาจไม่บังเกิดขึ้นในใจ ยามเอ่ยวาจาจึงเป็นดั่งสิงโตคำราม”
เผยเฉียนหยุดพู่กัน เงี่ยหูตั้งใจฟัง นางอัดอั้นจะตายอยู่แล้ว นางไม่รู้ว่าอาจารย์พูดอะไรกับพวกเขา ต้องไม่ได้มาจากในหนังสือแน่นอน ไม่อย่างนั้นนางก็ต้องจำได้สิ
เผยเฉียนทอดถอนใจ “ถ้าอย่างนั้นของข้าก็คือเต้าหู้เหม็นอร่อยก็แล้วกัน”
ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกาย ตบหัวเข่าตัวเองหนักๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “บะหมี่หยางชุนไม่เก็บเงินได้ แต่เต้าหู้เหม็นต้องเก็บเงิน!”