กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 618 ใครจะคู่ควรกับหนิงเหยา
บทที่ 618 ใครจะคู่ควรกับหนิงเหยา
ระยะช่วงแรกของศึกโจมตีและป้องกันกำแพงเมืองปราณกระบี่ทุกครั้งในประวัติศาสตร์ ภาพบรรยากาศเป็นเช่นไร ป๋ายเลี่ยนซวงเอ่ยแค่สี่คำ แต่กลับแม่นยำอย่างถึงที่สุด พาตัวมาตาย
บนหัวกำแพงเมือง เซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่พากันออกกระบี่อย่างพร้อมเพรียง มืดฟ้ามัวดิน ปราณกระบี่ดุจน้าขึ้นที่ถาโถมตัวอย่างดุดัน ไหลกรูกันเข้าหาทางทิศใต้ ทุกที่ที่ผ่านสรรพสิ่งล้วนกลายเป็นผุยผง
เผ่าปีศาจบนสนามรบที่กรูกันเข้าใส่กำแพงเมืองปราณกระบี่ดั่งต้นหญ้าที่ถูกฟันจึงล้มกองกันเป็นแถบๆ
กลางอากาศของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีดวงจันทร์สามดวง ทว่าตรงหัวกำแพงเมืองนี้กลับมีแสงจันทร์มากที่สุด
ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองมากมายดุจก้อนเมฆ เมื่อกระบี่บินพุ่งออกไป ราตรีดำมืดกลางดึกกลับสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน มากพอจะทำให้แสงจันทร์หม่นหมองได้
เผ่าปีศาจมากมายเนืองแน่นพากันทวนกระแสกระบี่บินขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ เกรียงไกร หมายจะสร้างสถานการณ์ฝูงมดโจมตีกำแพงเมือง ทว่าเวลายังเร็วเกิน ไปนัก เร็วอยู่มาก
ได้แต่อาศัยชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนมาเผาผลาญปราณวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่ แลกเปลี่ยนมาด้วยโอกาสที่จะได้ขยับเข้าใกล้กำแพงเมือง ทุกครั้งที่สนามรบขยับ เข้าใกล้ทางทิศเหนือหนึ่งก้าว ล้วนจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล
มีปีศาจใหญ่กลุ่มหนึ่งเผยกายโดยเฉพาะ ภายใต้การนำของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานอย่างฉงกวง พวกเขาคอยรับผิดชอบแบกยอดเขาแต่ละลูกที่ดึงมาจากแผ่นดินของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาที่สนามรบทางทิศใต้ จากนั้นก็ทุ่มเข้าใส่กำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเต็มกำลัง
เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงที่ถูกขนานนามให้เป็นตัวสำรองลำดับสิบคนสูงสุดพกกระบี่สองเล่มไว้ตรงเอว เล่นหนึ่งคือสยบห้าขุนเขา อีกเล่มหนึ่งคือกระบี่ยาวที่สร้างขึ้นจากหอกระบี่ กระบี่ทั้งสองเล่มล้วนยังไม่ออกจากฝัก กระบี่บินสองเล่มที่ร่ายออกมาใช้ น้ำพุร้อยจั้งเล่มหนึ่งในนั้นประหนึ่งน้าตกที่สาดเทลงมา ซัดให้ภูใหญ่แต่ละลูกที่ถูกขว้างเข้าใส่หัวกำแพงเมืองเต็มแรงร่วงลงพื้น แผ่นดินสั่นสะเทือน กระแทกให้ เผ่าปีศาจตายไปนับไม่ถ้วน แล้วยังมีกระบี่บินกระจอกเมฆบนฟ้าที่ปราณกระบี่ดั่งฝนห่าใหญ่ที่เทลงมาบนสนามรบ
จุดที่ปลายกระบี่ของหานไหวจื่อเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยแห่งอุตรกุรุทวีปชี้ไป ไม่ใช่บนร่างของเผ่าปีศาจบนสนามรบที่พาตัวมาตาย แต่เป็นร่วมมือกับเยว่ชิงทำลายภูเขาที่ขว้างเข้าใส่หัวกำแพงเมือง
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูลเยี่ยน หลี่ทุ่ยมี่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินก็มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มเหมือนกัน เล่มหนึ่งเจียวขาว เล่มหนึ่งเฮยชือ (มังกรมีเขาประเภทหนึ่งในนิทานปรัมปราของจีน) หลังจากกระบี่บินถูกเรียกออกมาก็เหมือนมีเจียวหลงยาวร้อยจั้งสองตัวเลื้อยสะบัดหางเข่นฆ่ากับเผ่าปีศาจอยู่บนพื้นดินอย่างกำเริบเสิบสาน
‘อ๋าวอวี๋’ (เต่ายักษ์ในทะเล สัตว์ในเทพนิยายของจีนสมัยโบราณ) กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหมี่ฮู่ขอบเขตเซียนเหรินออกจากหัวกำแพงไปได้ก็ผลุบหายเข้าไปใน ผืนแผ่นดิน ฉีกกระชากร่องลึกเส้นแล้วเส้นเล่าไว้บนสนามรบ รับผิดชอบคอยสกัดกั้นไม่ให้เผ่าปีศาจบุกรุดหน้าเข้ามาได้
หมี่อวี้ผู้เป็นน้องชายเรียกกระบี่บิน ‘เสียหม่านเทียน’ (แสงเรืองรองเต็มแผ่นฟ้า) ร่วมมือกับหมี่ฮู่ผู้เป็นพี่ชายสร้างปราณกระบี่แสงเรืองรองที่เข้มข้นราวกับน้ำ ให้เอ่อขึ้นมาเต็มร่องลึกเหล่านั้น ขัดขวางไม่ให้ปีศาจใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามเติมเต็มร่องลึกได้ ขณะเดียวกันก็บดขยี้เผ่าปีศาจทั้งหมดที่หล่นร่วงเข้ามาในร่อง
แล้วยังมี ‘ซวงเซวี่ย’ (น้าค้างแข็งและหิมะ) กระบี่บินที่หยวนชิงสู่เซียนกระบี่จากทักษินาตยทวีปเรียกออกมาคอยช่วยสร้างความมั่นคงให้กับร่องลึกของเซียนกระบี่สองพี่น้อง ปราณกระบี่จึงเปี่ยมล้น เผ่าปีศาจหลายตนที่อยู่ในร่องน้าใหญ่หลายสิบเส้นจึงเหมือนอยู่ในวันที่อากาศหนาวเย็นเสียดแทงเข้ากระดูก มีทั้งน้าค้างแข็งและ มีทั้งหิมะ บนพื้นมีหิมะกองทับถมกันเป็นชั้นหนา บนท้องฟ้าก็ปลิวปรายไปด้วย เกล็ดน้าค้างแข็ง เท้าทั้งสองข้างของเผ่าปีศาจที่ขึ้นชื่อว่าเรือนกายแข็งแกร่งทนทานที่สุดในโลก ล้วนถูกปราณกระบี่หลอมละลายเลือดเนื้อ กระดูกขาวโพลนโผล่ให้เห็น เลือดสดเปรอะเลอะเต็มร่าง
อู๋เฉิงเพ่ยเซียนกระบี่ที่ติดค้างอยู่ในคอขวดขอบเขตหยกดิบนานหลายปี เวลานี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกำแพง ‘น้าค้างหวาน’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาคือกระบี่บินเล่มหนึ่งที่ถือว่าแปลกประหลาดที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ กระบี่บินน้ำค้างหวานนี้ไม่มีรูปแบบการโจมตีที่แน่นอน เมื่อมันจมลงไปในกองกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนที่ทับถมกันและบ่อเลือดบนสนามรบ อู๋เฉิงเพ่ยกลับรวบรวมสมาธิ ไม่ได้ออกกระบี่ใส่เผ่าปีศาจ แต่กลับเริ่มสงบจิตใจหลอมกระบี่
แม้ว่าขอบเขตของเซียนกระบี่หญิงโจวเฉิงจะไม่สูง แต่ก็แบกรับโชคชะตาไว้บนร่างเพียงลำพัง ในฐานะคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของสายนาง ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานที่ได้ฝึกตนอยู่บนหัวกำแพง ได้รับปณิธานกระบี่ที่สืบทอดมาจากบรรพจารย์รุ่นแล้ว รุ่นเล่า เมื่อนำมาหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง สุดท้ายก็สร้างกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ‘เจ็ดสี’ ขึ้นมาได้ แสงกระบี่มีเจ็ดสี ราวกับว่าคนคนหนึ่งได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเจ็ดเล่ม
น่าหลันเซาเหว่ยและลู่จือที่ต่างก็ติดอันดับสิบเซียนกระบี่ใหญ่ขั้นสูงสุด เวลานี้พวกเขาไม่ได้ออกกระบี่ คนทั้งสองนำพาเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนหลายสิบคนที่กระบี่บินมีความเร็วอย่างถึงที่สุดคอยลาดตระเวนสนามรบ รับผิดชอบรับมือกับ ปีศาจใหญ่ที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจโดยเฉพาะ หากมีเผ่าปีศาจขยับเข้ามาใกล้หัวกำแพงเมืองก็จะออกกระบี่สังหาร จะไม่ยอมให้เผ่าปีศาจรุกคืบ ขยับเข้ามาใกล้เบื้องใต้ของหัวกำแพงเมืองง่ายๆ เด็ดขาด
บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่แต่ละคนต่างก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง
กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนอยู่ด้านหน้าสุดของกระแสน้าขึ้นปราณกระบี่ ออกจากหัวกำแพงเมืองไปไกลที่สุด แน่นอนว่าต้องเผาผลาญปราณวิญญาณมากที่สุด แล้วก็อันตรายที่สุด
ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินอย่างก่อกำเนิด โอสถทองสองขอบเขตตามมาด้านหลังติดๆ ไม่ได้ต้องการให้ผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้สังหารปีศาจที่อยู่ห่างไปไกลอย่างเดียว แค่ให้ พวกเขารักษาแนวรบที่ปราณกระบี่ดั่งสายน้าพุ่งออกจากเมืองเส้นนี้ให้มั่นคงเท่านั้น หากมีกำลังเหลือก็สามารถหาโอกาสสังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่สวมชุดคลุมอาคม สวมเสื้อเกราะยันต์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ค่ายกลที่คนกลุ่มนี้จะให้การปกป้องอย่างแน่นหนา หากพบร่องรอยก็ต้องสังหารอีกฝ่ายให้ตายคาที่โดยไม่ต้องสนใจค่าตอบแทน
ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ต่ำกว่าโอสถทองลงไป ยามออกกระบี่จะต้องระวังมากยิ่งกว่า หน้าที่หลักไม่ใช่สังหารศัตรู แต่คือจัดขบวนรบอยู่บนหัวกำแพงเมือง
หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเผ่าปีศาจบางตนที่หมายหัวพวกเขาโดยเฉพาะทำร้ายไปถึงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต
ผู้ฝึกกระบี่สามกลุ่มผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ถึงอย่างไรการแสร้งวางท่าข่มขู่ให้คนกลัวก็ไม่ทำให้คนตายได้จริงๆ ดังนั้นการออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่จึงมักจะแสวงหาในผลลัพธ์ที่แน่นอนจริงแท้เสมอ
เพราะถึงอย่างไรการโจมตีเมืองของเผ่าปีศาจก็ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ไม่กี่วันหรือ ไม่กี่เดือน แต่มักจะยาวนานไปหลายปี
เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างโจมตีเมืองสามวันสามคืนก็เป็นแค่อาหารเรียก น้ำย่อยจานหนึ่งจริงๆ
เรื่องไม่คาดฝันเพียงหนึ่งเดียวระหว่างนี้ ก็คือมีหนึ่งในปีศาจใหญ่สิบสี่ตนซึ่งเป็นเพียงตนเดียวที่เผยตัว ก็คือป๋ายอิ๋(หยกขาว) ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกขาว ราวกับขุนเขาตระหง่านที่คอยควบคุมกองทัพอย่างไรอย่างนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาลุกขึ้นยืน แล้วร่ายวิชาอภินิหารพิศกระดูกขาว บนสนามรบที่เลือดสดไหลนองเป็นพันลี้ก็พลันมีโครงกระดูกของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจหลายพันตนลุกขึ้นยืน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ถึงไม่ได้มาโจมตีเมือง แล้วก็ไม่ถอยร่น เพียงแค่ยืนทื่ออยู่บนสนามรบอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ปราณกระบี่ทำลายจนย่อยยับ สูญเสียมูลค่าอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ ส่วนสุดท้ายไปอย่างสิ้นเชิง
ป๋ายอิ๋งนั่งกลับลงไปบนบัลลังก์ ผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ราวกับกำลังบอกเป็นนัยให้เหล่าผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เชิญออกกระบี่กันต่อ
ป๋ายอิ๋งมองอู๋เฉิงเพ่ยเซียนกระบี่ขอบเขตหยกคนนั้นนานหน่อย เขาค่อนข้างสนใจ ‘น้ำค้างหวาน’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของอีกฝ่ายอยู่มาก
สายตาของป๋ายอิ๋งมองไปไกลกว่าสนามรบเบื้องหน้า หากหลังจากที่กระดูกลุกขึ้นยืนแล้ว ยังได้อาบไล้อยู่ท่ามกลางน้ำค้างรสหวาน ช่วยหล่อหลอมจิตวิญญาณ ก็พอจะเป็นประโยชน์ต่อมหามรรคาอยู่ไม่น้อย
นอกจากนี้ป๋ายอิ๋งก็ไม่คิดว่าการเข่นฆ่าตรงหน้านี้มีค่าอะไรให้ตนมองไปมากกว่านี้
หากไม่นับสหายหลายคนที่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ซึ่งอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยแตกกิ่งก้านสาขา รวมถึงภูเขากระดูกขาวของเขาป๋ายอิ๋งเองด้วย กองกำลังและสำนักอื่นๆ ที่เหลืออยู่ รวมไปถึงผู้ที่อยู่ใต้อาณัติทั้งหมด ล้วนระดมพลกันออกมาหมดแล้ว ดังนั้นใต้หล้าเปลี่ยวร้างในเวลานี้ หากมีคนที่สามารถก้มมองพื้นดินจากดวงจันทร์สามดวง ได้เหมือนปีศาจใหญ่นักพรตเต๋าที่หลอมแก่นวิญญาณของดวงจันทร์คนนั้น ก็จะมองเห็นว่าบนอาณาบริเวณที่กว้างขวางมีเมล็ดงาเล็กๆ หลายเมล็ดปรากฎขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ตามมาด้วยเส้นเล็กๆ หลายเส้นที่พากันขยับเข้าหากำแพงเมือง ปราณกระบี่ นั่นล้วนเป็นเผ่าปีศาจที่พากันดาหน้ามาลงสนามรบอย่างไม่ขาดสาย
เส้นเล็กๆ ทุกเส้นก็คือเผ่าปีศาจที่มีจำนวนหลายหมื่นหลายแสน แต่ที่มากกว่านั้นคือหุ่นเชิดที่ยังไม่มีสติปัญญาซึ่งถูกผู้ฝึกตนควบคุมเอาไว้ ในบรรดานี้ก็มีผู้ฝึกตน เผ่าปีศาจที่เดินไปบนเส้นทางการฝึกตน กลายร่างเป็นมนุษย์อีกนับไม่ถ้วน แล้วยังมีวีรบุรุษของแต่ละพื้นที่อีกมากมายที่สร้างราชวงศ์ขึ้นมาเลียนแบบใต้หล้าไพศาล ปีศาจดุร้ายตามเขาลึกหนองบึงทั้งหลายจะยึดครองพื้นที่กันดารห่างไกลแห่งหนึ่ง เมื่อได้ครอบครองพื้นที่ฮวงจุ้ยพิเศษแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้าภูเขา ผีร้ายวิญญาณอาฆาตทั้งหมดในพื้นที่ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเอาทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตัวเองออกมาใช้โจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่เหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
หากโจมตีเมืองไม่สำเร็จ แน่นอนว่าก็คือการพาตัวไปตาย
แต่หากคิดจะโจมตีเมืองให้สำเร็จก็จำต้องพาตัวไปตาย ขอแค่รับการเผาผลาญได้ไหว ตัดใจทิ้งมดตัวน้อยไร้ประโยชน์จำนวนมากไปได้ ยิ่งตายไปมากเท่าไร กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มองดูเหมือนสูงส่งจนมิอาจปีนป่าย แข็งแกร่งมิอาจทำลายก็จะยิ่งสูญเสียฟ้าอำนวย ดินอวยพร คนสามัคคีไปเรื่อยๆ นาทีที่ไม่เหลือทั้งสามสิ่งนี้อยู่แล้ว ก็คือนาทีที่เฉินชิงตูผู้นั้นกายดับมรรคาสลาย จิตวิญญาณซ่านเซ็นอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่กลายเป็นฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เฉินชิงตูรักษาความได้เปรียบนี้ไว้อย่างไร ใต้หล้าเปลี่ยวร้างควรจะกำจัดข้อเสียเปรียบนี้ไปอย่างไร
นี่ก็คือกุญแจที่สำคัญที่สุดในสงครามโจมตีและพิทักษ์ ถึงขั้นพูดได้ว่าเป็นเพียงเรื่องเดียวที่ควรทำ
เซียนกระบี่ออกกระบี่ ฝูงมดโจมตีอะไรนั่น ก็ล้วนช่วงชิงกันในเรื่องนี้ทั้งสิ้น
ขอแค่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเอากำลังทรัพย์ครึ่งหนึ่งที่มีออกมา กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องรักษาไว้ไม่ได้แน่นอน
ไม่เพียงแต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่จะพิทักษ์ไว้ไม่อยู่ หลายทวีปหลายพื้นที่ของใต้หล้าไพศาลก็ต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นทักษินาตยทวีปที่ อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุด ฝูเหยาทวีปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ใบถงทวีป ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ดังนั้นหลังจากที่ผู้เฒ่าชุดเทาซึ่งเก็บตัวเงียบนานนับหมื่นปีเผยกายอีกครั้ง เรื่องใหญ่ที่ทำเป็นเรื่องแรกก็คือแบ่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างออกเป็นยี่สิบเขตอิทธิพล ปีศาจใหญ่ทั้งสิบสี่ตน ไม่ว่าใครก็จำเป็นต้องเอาดึงเอากองกำลังอย่างน้อยครึ่งหนึ่งในเขตอิทธิพลของตนออกมา มุ่งหน้าสู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หากทำภารกิจเล็กๆ นี้ไม่สำเร็จก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อ เมื่อสงครามเกิดขึ้น ก็เดินนำขึ้น หัวกำแพงเมืองไปก่อน ไปลิ้มรสเวทกระบี่ของเฉินชิงตูดูว่าสูงหรือต่า หากไม่ยินดี ก็จงอยู่ก้นบ่อโบราณไปเถอะ
พื้นที่อิทธิพลยี่สิบแห่ง หากอิงจากผู้ฝึกตนแล้วขอบเขตโดยรวมไม่สูงพอ ถ้าอย่างนั้น ก็อาศัยจำนวนมาผสมกันให้ได้มาก แต่ก็มีอยู่ข้อหนึ่งที่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จ ปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนทุกตนจำเป็นต้องเดินทางขึ้นเหนือไปให้ครบทุกตน ไม่ว่าใครที่หลบเลี่ยงไม่ยอมทำสงคราม กล้าไปแอบซ่อนตัวก็จะถูกสังหารทันที แต่จะบังคับบุคคลที่ดิ้นรนป่ายปีนขึ้นมาเป็นห้าขอบเขตบนอย่างยากลำบากพวกนี้มากเกินไป ก็ไม่ได้ ดังนั้นขอแค่ยินดีออกศึก นอกจากของรางวัลที่จะได้รับในอนาคตจะไม่น้อย ลงแล้ว ก่อนจะนำทัพออกรบก็ย่อมต้องได้รับของขวัญใหญ่ชิ้นหนึ่ง หากบุคคลเหล่านี้รบตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่อาจได้เห็นใต้หล้าไพศาลกับตาตัวเอง
ถ้าอย่างนั้นทายาทหรือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของคนผู้นั้นก็จะได้รับการรับรองว่าจะมีอาณาเขตอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างแน่นอน เหมือนการแต่งตั้งอ๋องไปให้อยู่ในพื้นที่ศักดินาของตน ส่วนอาณาเขตที่ได้ครอบครองจะเล็กหรือใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับขอบเขตและคุณความชอบในการทำสงครามของปีศาจใหญ่ที่รบตายไป ภายในเวลาพันปี ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรุกราน หากตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้แตกได้แล้ว ไม่เพียงแต่จะได้รับรางวัลที่บ้านเกิด อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นปีศาจห้าขอบเขตบนตนใดก็ตาม ก็ล้วนสามารถก่อพรรคตั้งสำนักไว้ที่ใต้หล้าแห่งใหม่ที่อุดมสมบูรณ์อย่างแทบไม่น่าเชื่อแห่งนั้นได้ ทุกตน
สัญญาที่มีภูเขาทัวเยว่เป็นผู้นำ ร่วมมือกับปีศาจใหญ่สิบสี่ตนลงนามร่วมกันนี้ ตอนนี้ได้แพร่ไปทั่วทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว
เขตอิทธิพลยี่สิบแห่ง ทุกแห่งหากขอบเขตของผู้ฝึกตนขั้นสูงมากพอ แต่ขาด ชุดคลุมอาคม เสื้อเกราะ สมบัติอาคม ผู้เฒ่าชุดเทาก็บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า ขอรบกวนให้ทั้งสิบสี่ท่านช่วยออกแรงกันหน่อย อย่ามัวเก็บซ่อนกำลังทรัพย์กันอีกเลย ไม่ว่าจะควักกระเป๋าของตัวเองหรือไปยืมมาจากใครก็ควรมอบไปให้ ถึงอย่างไรเมื่อไปถึงใต้หล้าไพศาล ตามแผนการที่กำหนดไว้ ต่างคนก็ต่างกวาดหาสมบัติกันเอาเอง ได้เลย ไม่ต้องสนใจวิธีการ รับรองว่าอย่างน้อยที่สุดต้องได้ชดเชยกลับคืนมาถึง สองเท่า หากไม่พอ ถึงเวลานั้นก็มาขอชดเชยจากเขาและภูเขาทัวเยว่ได้เลย
การโจมตีเมืองครั้งนี้เป็นระเบียบขั้นตอน แบ่งออกเป็นแปดช่วง
ตอนนี้เพิ่งจะเป็นการเปิดฉากของช่วงที่หนึ่งเท่านั้น
หลังจากนี้พวกเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะต้องเจอกับเรื่องไม่คาดฝันอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตสิบเหมือนกัน มีเรือกระบี่ของสำนักโม่ที่เอาวางไว้บนยอดเขา ถึงขั้นที่ว่ายังจะเกิด ภาพเหตุการณ์ยิ่งใหญ่อลังการที่ผู้ฝึกกระบี่ทั้งด้านบนและด้านล่างกำแพงเมือง ต่างก็ได้แต่หันกระบี่เข้าใส่กันและกัน
และใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ก็จะมีผู้ฝึกตนสำนักการทหารมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก พวกเขาจะสวมเสื้อเกราะอาวุธล้าค่าเป็นสีเดียวกัน ถึงเวลานั้นบน สนามรบจะมีภูเขาสูงใหญ่ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าเป็นแถบๆ คือขุนเขาทั้งห้าที่ถูกย้ายมาจากหลายสิบราชวงศ์ แล้วบนภูเขาแต่ละลูกจะมีผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนที่โปรยสมบัติอาคมลงมาดุจฝนห่าใหญ่ ตอนนี้เผ่าปีศาจทั้งหมดของฝ่ายตนบน สนามรบจำเป็นต้องแหงนหน้าสูงมองหัวกำแพงเมืองแห่งนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป สนามรบจะสูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายกำแพงเมืองปราณกระบี่จะกลายเป็นอาณาเขตของใต้หล้าเปลี่ยวร้างตามความหมายที่แท้จริง นับจากนี้ไปลมและน้าจะเปลี่ยนทิศ ถึงเวลานั้นเมื่อต้องคุมเชิงกับใต้หล้าไพศาล มันก็จะกลายเป็นส่วนที่ทำให้เผ่าปีศาจได้ทั้งรุกและถอย
ป๋ายอิ๋งเริ่มดื่มเหล้า ได้ยินว่าที่ใต้หล้าไพศาลมีเหล้าหมักตระกูลเซียนอยู่มากมาย
เซียนกระบี่ที่หยิ่งทระนงบนหัวกำแพงเมืองพวกนั้นชอบออกกระบี่เต็มกำลังเพื่อสังหารปีศาจนักไม่ใช่หรือ ก็เชิญออกกระบี่มาได้เลย พยายามช่วงชิงคุณความชอบทางการรบมาให้ได้มากที่สุด ถึงอย่างไรก็ต้องอิ่มตายเพราะคุณความชอบทางการต่อสู้พวกนั้นอยู่แล้ว
อันที่จริงนับตั้งแต่ที่ศึกสิบสามครั้งนั้นเกิดขึ้น ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ได้เริ่มวางแผนเอาไว้แล้ว
ศึกโจมตีเมืองสามครั้งจะให้จบลงด้วยการที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างถอยร่นด้วยความพ่ายแพ้ยับเยิน แต่นั่นล้วนเป็นการฝึกปรือฝีมือการต่อสู้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเท่านั้น
ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพา กำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้มีผู้มากพรสวรรค์ รุ่นเยาว์กลุ่มใหญ่ซึ่งมีหนิงเหยาเป็นผู้นำถือกำเนิดขึ้นมา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไยใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะไม่เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มหลีเจินที่ได้ครอบครองวิญญาณส่วนหนึ่งของนักโทษอาญาที่อายุมากที่สุดอย่างกวนจ้าวก็คือคนหนึ่งในนั้น ตายไปแล้วก็ตายไป ขนาดท่าน บรรพบุรุษยังไม่เสียดาย ก็ยิ่งไม่ต้องให้เขาป๋ายอิ๋งรู้สึกเสียดายอะไรไปด้วย
ต้องรู้ว่าตอนนี้เผ่าปีศาจก็มีคำกล่าวที่ว่าร้อยเซียนกระบี่รุ่นเยาว์อยู่เหมือนกัน ซึ่งจะกำหนดโดยดูจากคุณสมบัติบนมหามรรคาว่าดีหรือเลว ผลสำเร็จในอนาคตว่า สูงหรือต่ำ ไม่ได้ดูจากความตื้นลึกของขอบเขตหรือพลังการต่อสู้ว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ เปยเชี่ยลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของชายฉกรรจ์เคราดก ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ร้อยคน ก็ยังอยู่แค่อันดับที่สามเท่านั้น
ตามความเคยชินของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในอดีตหากถึงช่วงเวลาที่สงครามเข้าสู่สภาะสมดุลหรือเลวร้าย เซียนกระบี่จะออกจากหัวกำแพงเมือง แบ่งสนามรบออก แล้วปรากฏตัวอยู่แนวหน้าสุด ขัดขวางการโจมตีต่อจากนั้นของเผ่าปีศาจอย่างสุดกำลัง
จากนั้นก็ถึงคราวที่พวกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินและผู้มีพรสวรรค์อย่างหนิงเหยาจะออกจากหัวกำแพงเมืองบ้างแล้ว บนสนามรบแห่งนั้นทั้งสองฝ่ายจะเข่นฆ่าเอาชีวิตกัน เป็นๆ ตายๆ ต่างคนต่างอาศัยความสามารถ ต่างขึ้นอยู่กับชะตากรรมของตัวเอง
เมื่อถึงช่วงเวลานั้นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างที่เรือนกายอ่อนแอก็จะปรากฏตัวอยู่บนหัวกำแพงเมือง หากปีศาจใหญ่ขึ้นหัวกำแพงเมืองได้สำเร็จ ต่อให้ถูกเซียนกระบี่ที่เหนื่อยล้าซึ่งอยู่คอยเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองขัดขวาง ก็ยังต้องมีมดน่าสงสารจำนวนนับไม่ถ้วนติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วยอยู่ดี
มีกระบี่บินบินออกจากหัวกำแพงอย่างต่อเนื่อง แสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนลากเส้นแสงแวววาวมาตามด้านหลัง ระหว่างนี้ก็จะมีผู้ฝึกกระบี่หลายคนคอยดึงเอากระบี่บินกลับไปที่หัวกำแพงเมือง จากนั้นผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้ก็จะถอยออกไปจากเส้นแนวหน้าของบนหัวกำแพงเมือง ไปบำรุงกระบี่ กินยา เข้าฌานทำสมาธิ สะสมปราณวิญญาณใหม่อีกครั้งในนครที่อยู่เหนือไปจากกำแพงเมือง
เวลาเดียวกันนั้นผู้ฝึกกระบี่กลุ่มถัดไปก็จะมาชดเชยตำแหน่งที่ว่างอย่างรวดเร็ว ผลัดเปลี่ยนกันลงสนามรบ ออกกระบี่ขัดขวางศัตรู
นี่ก็คือจุดที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ทำให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างปวดหัวมากที่สุด
ผู้ฝึกกระบี่สามารถนั่งพิทักษ์อยู่บนหัวกำแพงเมือง ค่อยๆ เผาผลาญจำนวนของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจไปทีละนิด
เผ่าปีศาจเองก็มีปีศาจใหญ่ที่คอยสังเกตการณ์ศึกสงครามเคยเห็นภาพเหตุการณ์นี้ กับตาตัวเองมาก่อน แล้วก็จำต้องทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังประโยคหนึ่งว่า เผ่าของเราโจมตีเมือง ก็เหมือนมีวัตถุใหญ่โตอ้วนฉุมานั่งอยู่บนสนามรบแล้วคอย แล่เนื้อพวกเรา สภาพนั้นอเนจอนาถไร้ทางช่วยเหลือแค่ไหน ต้องเสียแรงเปล่ากันไปมากเท่าไร
บนกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งปรากฏตัวอย่างลับๆ ล่อๆ ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะกลัวตายมาก หลังจากขึ้นมาบนหัวกำแพงแล้ว ก็ไปรับชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งมาจากที่ร้านซึ่งหอกระบี่และหอภูษาสร้างขึ้นไว้ในบริเวณใกล้เคียงชั่วคราว เขาสวมชุดคลุมอาคมไว้บนร่าง ตรงเอวห้อยกระบี่ยาวของหอกระบี่ จากนั้นก็ชักเท้าเผ่นหนี ระหว่างนี้มีภูเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ถูกเซียนกระบี่โจมตีจน แหลกสลาย เศษหินกระเด็นว่อน กำแพงเมืองปราณกระบี่นั้นยาวมาก ต่อให้ กระบี่ของเซียนกระบี่จะตีหินให้แตกไปได้เกินครึ่ง แต่กระนั้นก็ยังมีปลาที่หลุดลอดออกจากหว่างแห ยามที่หล่นลงบนหัวกำแพงก็ยังมีพลังอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ดี เด็กหนุ่มชุดดำยื่นมือทั้งสองออกไปต้านนรับหินยักษ์ที่ใหญ่ราวกับบ้านแทนผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยห้าขอบเขตกลางบางคนที่หลบไม่ทัน แม้ว่าเด็กหนุ่มชุดดำที่เรือนกายสูงเพรียว โฉมหน้าธรรมดาจะรับหินใหญ่เอาไว้ได้ แต่ก็กระอักเลือดไม่หยุด ไม่รอให้ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยเหล่านั้นเอ่ยขอบคุณ เด็กหนุ่มก็เช็ดคราบเลือดแล้ววิ่งตะบึงโซเซไปต่ออีกครั้ง
ในที่สุดเด็กหนุ่มคนนี้ก็พบเจอคนคุ้นเคย
ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้เจอคนที่หากว่ากันตามเหตุตามผลแล้วก็ถือว่าคุ้นเคยอยู่หลายคน ยกตัวอย่างเช่นผังหยวนจี้ผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทอง รวมไปถึงเกาโย่วชิงเด็กสาวที่ไม่อยู่ข้างกายเกาเหย่โหวผู้เป็นพี่ชาย แต่กลับมาออกกระบี่อยู่ด้านข้าง ผังหยวนจี้
แล้วก็เจอกับคนหลายคนที่ไม่ค่อยสนิทสนม แล้วก็คาดไม่ถึงเท่าใดนัก พวกเขาล้วนเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาต่อสู้กับศัตรูอยู่ข้างกายเซียนกระบี่จั่วโย่ว ก็คือพวกหลินจวินปี้ จูเหมย จินเจินเมิ่ง
ผู้ฝึกกระบี่มีความสามารถอายุน้อยที่มาจากราชวงศ์เส้าหยวนของปทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างเหยียนลวี่ เจี่ยงกวนเฉิงต่างก็ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว โดยสารเรือข้ามฟากของภูเขาห้อยหัวออกไป ว่ากันว่าเดินทางไปท่องเที่ยวที่ทักษินาตยทวีปแล้ว
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยอยู่ต่อ เด็กหนุ่มชุดดำไม่ประหลาดใจ แต่พวกหลินจวินปี้สามคนอยู่ต่อ ไม่เพียงแต่ไม่ไปหลบชมศึกอยู่ไกลๆ ในนคร ยังกล้าเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ด้วยตัวเองด้วย เด็กหนุ่มจึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
หนิงเหยา เตี๋ยจ้าง เฉินซานชิว ต่งฮว่าฝู เยี่ยนจั๋ว ฟ่านต้าเช่อ
คนทั้งหกรวมตัวอยู่ด้วยกัน ต่างคนต่างออกกระบี่สังหารปีศาจ
เตี๋ยจ้างสะพายกระบี่เล่มยักษ์เจิ้นเยว่ (สยบขุนเขา) นี่ก็เป็นเรื่องน่าสนใจของกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นกัน เพราะว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งของ เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงก็มีชื่อว่าสยบห้าขุนเขา
นี่ก็เหมือนกับที่ ‘เกาจู๋’ (แสงเทียนส่องสว่าง) กระบี่ประจำกายของเว่ยจิ้น เซียนกระบี่แห่งแจกันสมบัติทวีปบังเอิญมีชื่อตรงกับอาวุธกึ่งเซียนของฉีโซ่ว
เจ้าอ้วนเยี่ยนที่พกกระบี่จื่อเตี้ยนกำลังสบถด่าว่าพวกเผ่าปีศาจหน้าด้าน ไร้ยางอาย ถึงขนาดกล้าใช้วิธีสกปรกเล่นงานข้านายท่านเยี่ยนใหญ่
‘หงจวง’ กระบี่ที่ชื่อมีกลิ่นอายความเป็นสตรีอย่างยิ่งของต่งถ่านดำนั้น เวลานี้วางพาดอยู่บนหัวเข่าของเขา หลานชายตระกูลต่งที่ไม่เคยควักเงินซื้อของผู้นี้ไม่ได้ด่าสัตว์เดรัจฉานเผ่าปีศาจพวกนั้น แต่กลับด่าเจ้าอ้วนเยี่ยนว่าออกกระบี่นุ่มนวลเกินไป ล่องไปลอยมา เหมือนเฉินซานชิวเวลาเมาอย่างไรอย่างนั้น แต่ไหนแต่ไรมาคำพูด คำจาของต่งฮว่าฝูก็มักจะชอบกวาดรวบทุกคนไปด้วยเสมอ เยี่ยนจั๋วจึงบอกว่าวิธีการบังคับกระบี่ประเภทนี้ของตน ต้องเรียกว่าไม่มีร่องรอยให้จับได้ ไม่ใช่ว่าปล่อยกระบี่ไปส่งเดช แต่แท้จริงแล้วมีความพิถีพิถันอย่างถึงที่สุด ไม่เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามที่มอง ไม่ออก แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ ดังนั้นนี่ต่างหากถึงจะร้ายกาจที่สุด
เฉินซานชิวสวมชุดสีขาว คือชุดคลุมอาคมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลเฉินบนถนนไท่เซี่ยง คุณชายผู้หล่อเหลาสง่างามคนนี้ ฝักกระบี่ของกระบี่พกอวิ๋นเหวิน ของเขาหายสาบสูญไปนานแล้ว มันเคยเป็นกระบี่ของเสี่ยวชวีชวีผู้เป็นสหาย เมื่อเสี่ยวชวีชวีตายไป เฉินซานชิวก็เอามาถือไว้ในมือ ครั้งนี้ขึ้นมาบนหัวกำแพงเขา ได้นำฝักกระบี่ที่หอกระบี่เป็นผู้สร้างมาด้วย จึงสอดอวิ๋นเหวินไว้ด้านใน
ส่วน ‘อวิ๋นเหวิน’ กระบี่เล่มแรกสุดที่เป็นของเขาเฉินซานชิวเองนั้น ตอนนี้ได้ให้ฟ่านต้าเช่อสหายสนิทที่จะทำอย่างไรก็ไม่อาจเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองได้สักทียืมไปใช้ชั่วคราว
การบังคับกระบี่ให้ออกจากเมืองไปสังหารปีศาจ ไม่ใช่เรื่องง่ายดายอะไร
ในบรรดากลุ่มของเผ่าปีศาจก็ไม่ได้มีแค่พวกที่เรือนกายแข็งแกร่งผิดปกติ อีกทั้งพลังการต่อสู้ไม่ธรรมดาอยู่เท่านั้น ยังมีวิธีการอำมหิตชั่วร้ายมากมายที่คอยทำลายกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่โดยเฉพาะ และยิ่งมีเผ่าปีศาจเดนตายจำนวนมากที่สักยันต์เอาไว้บนร่างเพื่อคอยหลอกล่อและกักกันกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ หากกระบี่บินหลงติดกับ
พวกมันก็จะทำลายโอสถปีศาจของตัวเองเพื่อระเบิดกระบี่บินให้แตกโดยไม่ลังเล เผ่าปีศาจที่ไม่มีทางสักสองคำว่านักรบเดนตายไว้บนหน้าผากตัวเองพวกนี้ยังจะ แสร้งทำเป็นว่าได้รับบาดเจ็บ หรือไม่ก็แกล้งทำเป็นว่าไม่ระวังเปิดเผยช่องโหว่ ที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิตบนสนามรบ หากกระบี่บินพุ่งเข้าไปติดกับยันต์บนร่างของพวกมัน กระบี่บินก็อาจเจอจุดจบที่ไม่อาจหวนคืนกลับมาได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกกระบี่ยังจะกล้าออกกระบี่เต็มที่เพื่อสังหารปีศาจอีกได้อย่างไร? ยามออกกระบี่จะยังมีแก่นของปณิธานกระบี่ที่บุกรุดไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวสิ่งใดอยู่อีกหรือ?
เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ทดสอบสายตาและยิ่งขัดเกลาจิตแห่งเต๋าของผู้ฝึกกระบี่อย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง
หนิงเหยาที่ทั้งสะพายกระบี่และพกกระบี่ชำเลืองตามองเด็กหนุ่มชุดดำแล้วก็ให้อ่อนใจ เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรกับเขา ไหนๆ ก็มาแล้ว หรือจะให้ไล่เขาออกไปจาก หัวกำแพง แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้นางพูด แต่เขาจะฟังหรือ?
ดังนั้นหนิงเหยาจึงหมุนตัวกลับไปบังคับกระบี่ต่อ
แน่นอนว่านางไม่ได้มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแค่เล่มเดียว แต่ระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงยี่สิบปี ในศึกใหญ่สามครั้งที่เกิดขึ้นติดต่อกัน เผ่าปีศาจกลับเคยได้เห็นกระบี่บินของหนิงเหยาแค่เล่มเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันที่แปลงโฉมเป็นเด็กหนุ่มชุดดำมองอยู่ไม่กี่ครั้งก็มองเส้นสนกลในออก
ฟ่านต้าเช่อออกกระบี่อย่างจำกัดจำเขี่ยเกินไป ไม่ควรเป็นพลังสังหารที่ผู้ฝึกกระบี่คอขวดประตูมังกรคนหนึ่งสมควรมี
ไม่ใช่ว่าจิตใจของฟ่านต้าเช่อไม่แข็งแกร่งมากพอหรือขี้ขลาดกลัวตาย แต่สาเหตุเป็นเพราะสถานการณ์ของเขาค่อนข้างจะกระอักกระอ่วน ลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรู ไม่ได้ประลองฝีมืออยู่ที่ลานประลองยุทธของจวนหนิงและตระกูลเยี่ยน
ฟ่านต้าเช่ออยากจะไล่ตามการออกกระบี่ของพวกเตี๋ยจ้าง เฉินซานชิวให้ทันมากเกินไป หวังให้กระบี่บินของตนร่วมมือกับของพวกสหายได้อย่างสมบูรณ์ไร้ช่องโหว่เกินไป เวลานานเข้าก็กลายเป็นความผิดที่เชื่อมต่อกันเป็นทอดๆ ผิดก้าวหนึ่งก็ผิด ไปทุกก้าว กลับกลายเป็นว่าต้องให้พวกเฉินซานชิวคอยช่วยเหลือ
เดิมทีหากมองจากหัวกำแพงเมืองทางฝั่งนี้ออกไป ต่อให้เป็นสุดความสามารถในการมองเห็นของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนหนึ่ง ก็ยังเห็นสนามรบที่ห่างไปไกลได้ อย่างพร่าเลือนเต็มที ทว่าตอนนี้ขอแค่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางเพ่งมองไปยัง จุดหนึ่งก็จะเห็นทุกอย่างกระจ่างชัด
เฉินผิงอันรู้ว่านี่ก็คือความดีความชอบของอริยะสามลัทธิทั้งสามท่าน นี่คือ วิชาอภินิหารที่คล้ายคลึงกับโชควาสนาที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ช่วยสร้างความได้เปรียบก่อนกำเนิดที่สยบฟ้าดินคว้าชัยชนะให้แก่กำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินผิงอันมายืนอยู่ข้างกายฟ่านต้าเช่อที่สีหน้าเครียดเกร็ง สายตาหม่นหมองอย่างยากจะปกปิด ไม่ได้เดินไปบนหัวกำแพง เพียงแค่โผล่หัวไปมองสนามรบทาง ทิศใต้แวบหนึ่ง จากนั้นก็รวมเสียงให้เป็นเส้น เอ่ยพลางพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ไม่ได้ร่วมมือกันสังหารปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนเสียหน่อย เจ้าแค่ออกกระบี่ของเจ้าไปก็พอ อย่าได้ใส่ใจพวกต่งถ่านดำกับพวกเจ้าอ้วนเยี่ยนมากนัก ขอแค่กระบี่บิน พวกเขาทำให้เผ่าปีศาจบาดเจ็บสาหัส ไม่ทันได้เอาชีวิตของอีกฝ่าย เจ้าก็บังคับ กระบี่บินของตัวเองให้แอบทิ่มใส่ปีศาจตนนั้น แบบนี้คุณความชอบก็มีให้เก็บเหลือเฟือ เซียนกระบี่ใหญ่ขอบเขตโอสถทองพวกนี้จะกล้าแย่งความดีความชอบจาก ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรตัวเล็กๆ อย่างเจ้างั้นหรือ? มีน้าใจสหายบ้างหรือไม่ ถูกไหม?”
กระบี่บินของเตี๋ยจ้างบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญ ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์เหมือนตัวนางเอง
ต่งฮว่าฝูออกกระบี่ไล่ตามเตี๋ยจ้างไปด้วยความเคยชิน สองคนนี้ล้วนเป็นคนอำมหิตที่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรม ดังนั้นเฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วจึงจะให้ความร่วมมือกับเตี๋ยจ้างและต่งฮว่าฝู นอกจากนี้แน่นอนว่าก็ต้องฆ่าศัตรูของตัวเองด้วย คนทั้งสี่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาสามครั้งแล้ว จึงร่วมมือกันได้อย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย จึงมีบรรยากาศคล้ายฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ส่วนกระบี่บินไร้รูปลักษณ์ของหนิงเหยาเล่มนั้นคอยทำหน้าที่ตามราวีเผ่าปีศาจโดยเฉพาะ พวกเตี๋ยจ้างสี่คนทะลวงขบวนรบของศัตรู ในขณะเดียวกันก็เป็นการ กวาดล้างและทำความเข้าใจกับเผ่าปีศาจบนสนามรบอย่างหนึ่งด้วย หนิงเหยาจึงเท่ากับว่าคอยคุมท้ายอยู่ด้านหลังเพียงลำพัง รับประกันว่าคนทั้งสี่จะออกกระบี่ได้อย่างไร้กังวล
ดังนั้นฟ่านต้าเช่อจึงกลายเป็นส่วนเกินอย่างเห็นได้ชัด ฟ่านต้าเช่อเองก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นภาระมากที่สุด
ก่อนหน้านี้ตอนที่ฝึกกระบี่อยู่ในจวนหนิง ต่อให้จะผ่านการฝึกปรือฝีมือการต่อสู้กับสหายพวกนี้ในฟ้าดินเล็กเมล็ดงามาหลายครั้ง ฟ่านต้าเช่อก็ยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ประเภทอ่อนหัดที่ไม่เคยลงจากหัวกำแพงไปเข่นฆ่าเอาชีวิตกับศัตรู
เพียงแต่ว่าสาเหตุเดียวก็คือ สหายเหล่านี้โดดเด่นเกินไป โอกาสยามที่อยู่บนสนามรบจึงหายวับไปในพริบตา ขณะเดียวกันอันตรายและเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นทันตาเห็นเหมือนกัน
ฟ่านต้าเช่อตามพวกเตี๋ยจ้างสี่คนไม่ทัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความคิดหรือระดับความเร็วของกระบี่บิน ก็ล้วนตามไม่ทัน
พอได้ยินน้าเสียงที่คุ้นเคยนั้น ฟ่านต้าเช่อก็ไม่ได้หันหน้าไปพูดคุยกับเฉินผิงอัน ยามออกกระบี่ก็ยิ่งไม่วอกแวกเสียสมาธิ
นี่ก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่เคยชินกับการเข่นฆ่าในสนามรบมานานแล้ว
ฟ่านต้าเช่อไม่ได้ลังเลหรือรู้สึกลำบากใจใดๆ เขาออกกระบี่ตามคำบอกของเฉินผิงอัน ทำตามคำบอกของเถ้าแก่รองผู้นี้ ไม่พยายามร่วมมือกับพวกเฉินซานชิวเพื่อสังหารปีศาจอีก เพียงแค่ฉวยโอกาสคอยลอบโจมตี แทงกระบี่ใส่เผ่าปีศาจที่ใกล้จะตายเหล่านั้น เฉินผิงอันเคยบอกไว้นานแล้วว่า เก็บหัวคนบนสนามรบก็คือการเก็บเงิน ล้วนต้องอาศัยความสามารถที่แท้จริงทั้งหมด ใครกล้าพูดว่าข้าไม่ต้องการ ข้าผู้อาวุโสก็จะอมเหล้าถ้าสวรรค์หลีจูที่ดีที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่พ่นใส่หน้าคนผู้นั้น
เฉินผิงอันชมศึกอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเตือนต่ออีกว่า “ฟ่านต้าเช่อ ห่างจากกระบี่ของเจ้าไปสิบสองจั้ง เผ่าปีศาจที่บาดเจ็บสาหัสตนนั้นกำลังแกล้งตาย ไป ไปมอบกระบี่ให้มัน อีกสักที”
กระบี่ที่คมกริบแทงทะลุศีรษะของเผ่าปีศาจที่กำลังนอนหมอบอยู่บนพื้น
เฉินผิงอันกวาดตามองสนามรบทางแถบนั้นแวบหนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “ฟ่านต้าเช่อ เจ้าสามารถบังคับกระบี่บินให้ออกมาจากสนามรบของพวกเตี๋ยจ้างชั่วคราว ไม่ต้อง จงใจไปไล่ตามพวกเขา ไปยังจุดที่ห่างไกลอีกสักหน่อย ศพทั้งหมด ไม่ต้องสนใจว่า จะแกล้งตายหรือไม่ ล้วนแทงซ้าให้ครบ ออกกระบี่ใส่คนพวกนี้ค่อนข้างจะปลอดภัยมั่นคง เพราะโอกาสที่จะเป็นนักรบเดนตายนั้นมีน้อยที่สุด อย่าได้ละโมบในความสมบูรณ์แบบมากเกินไป เรื่องของผลงานทางการศึกนี้ ขอแค่กระบี่บินของเจ้าไม่ได้รับความเสียหายถึงรากฐาน อย่างไรก็ถือว่าได้สร้างความชอบแล้ว แถมยังมีมากมายด้วย เจ้าก็ถือเสียว่าสนามรบทางทิศใต้คือลานประลองยุทธใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่ง คิดอยากจะไล่ตามฝีเท้าของพวกเฉินซานชิวให้ทัน นอกจากจะต้องออกกระบี่ได้แล้วก็ต้องมองให้มากคิดให้มาก ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็จะสามารถคาดการณ์ทิศทางการออกกระบี่ของ พวกเขาได้ ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะไม่รู้สึกว่าตัวเองช่วยให้เสียเรื่องอีก”
“ถอนกระบี่! นั่นคือนักรบเดนตาย ให้เจ้าอ้วนเยี่ยนไปหยอกเล่นดูก่อน”
“เห็นหรือไม่ เจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ก็พอจะมีมันสมองอยู่บ้าง ไม่ได้เปรียบจากพวกเฉินซานชิวก็เลยคิดจะบีบเจ้าเป็นมะพลับนิ่ม ในช่วงเวลาอย่างนี้อย่าได้ลังเล หนีเลย น่าเสียดายก็แค่ฝีมือการแสดงแย่ไปหน่อย มีปีศาจที่เผ่นหนีขี้เยี่ยวราดที่ไหนสายตาเด็ดเดี่ยว ส่วนมือไม้ก็ยิ่งมั่นคงแบบนี้บ้าง? ส่วนใหญ่แล้วหากอีกฝ่ายมือมั่นคง ก็แสดงว่าใจต้องอำมหิต เจ้าต้องระวังให้มาก ตอนนี้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจ้ายังไม่ทนทานมากพอ อีกทั้งยังไม่ใช่ขอบเขตโอสถทอง ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่พวกคุณชายที่มีเงินอย่างพวกเจ้าอ้วนเยี่ยน พวกเฉินซานชิวที่สามารถทุ่มเงินนับไม่ถ้วนลงบน กระบี่บินได้ ดังนั้นการออกกระบี่ของเจ้าอย่าเอาแต่เน้นที่ความเร็วและความแม่นยำอย่างเดียว ไม่ใช่คนแบบนั้นก็อย่าออกกระบี่แบบนั้น ข้อนี้เจ้าจำต้องยอมรับ”
“ต้าเช่ออ่า เจ้าอย่าทำให้ชื่อดีๆ นี้ต้องเสียเปล่าเชียวนะ จะดีจะชั่วก็ช่วยสติปัญญาเปิดโล่งสักครั้งหนึ่งได้หรือไม่ เห็นได้ชัดว่าปีศาจใหญ่ขอบเขตโอสถทองที่ร่อแร่ใกล้ตายตัวหนึ่งนอนรอให้กระบี่บินของเจ้าข้ามมันไป โอสถทองถูกเตี๋ยจ้างทำลายจนแหลกเละไปแล้ว ข้าบอกเจ้าว่าอย่าออกกระบี่รวดเร็วอย่างเดียว แต่ไม่ได้บอกให้เจ้าช้าในตอนที่สมควรเร็วนี่นา เห็นไหมนั่น ถูกเจ้าอ้วนเยี่ยนแย่งคุณความชอบไปแล้วไหมล่ะ”
“ตรงตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างไปยี่สิบสามจั้ง เห็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจตนนั้นหรือไม่ มันเพิ่งจะเสียสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งไปก็เลยเกิดลังเลแล้ว เพียงแต่ถูกปีศาจใหญ่ที่คุมขบวนทัพอยู่ด้านหลังข่มขู่ก็เลยไม่กล้าหันหลังถอยหนี จำต้องเสแสร้งว่าใจกล้าต่อไป ต้าเช่ออ่า มัวอึ้งอยู่ทำไม ฟันมันให้ตายเลยสิ นั่นไง เตี๋ยจ้างแย่งไปอีกแล้ว ต้าเช่ออ่า เจ้าแม่งคงไม่ได้แอบชอบเถ้าแก่ใหญ่ของพวกเราหรอกกระมัง?”
“ตัวที่คุมเชิงอยู่กับเฉินซานชิวนั่น คาดว่าคงเป็นปีศาจใหญ่ก่อกำเนิดที่อำพรางพลังการต่อสู้ที่แท้จริง อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเป็นคอขวดโอสถทอง เนื้อหนังแข็ง และหนา แต่สมบัติอาคมชิ้นนั้นหนักเกินไป สามารถไปช่วยได้ พยายามให้กระบี่บินเรี่ยดินมากที่สุด หากเป็นไปได้ล่ะก็ หาโอกาสแทงที่เป้าของมันซะ
พื้นที่สำคัญอย่างศีรษะ หัวใจ อย่าได้ไปทดลอง เห็นได้ชัดว่าเจ้าเดรัจฉานตนนี้ตั้งใจมาเล่นงานพวกเฉินซานชิว การต่อสู้ครั้งนี้ต้องใคร่ครวญให้ดี ต้าเช่ออ่า กระบี่แทงหว่างขานี้มีมาดของเซียนกระบี่มากเลยนะ หยุดเมื่อพอสมควรเถอะ รีบหนีเร็วเข้า ปีศาจใหญ่หมายหัวเจ้าแล้ว ให้ต่งถ่านดำไปรับช่วงต่อแทน”
ปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนตนหนึ่งที่เดิมทีคอยควบคุมตรวจตราสนามรบคล้ายจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของสนามรบแถบนี้
มันยังเป็นผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบตนหนึ่ง แสงกระบี่ที่พลังอำนาจดุดันราวสายรุ้งจึงพุ่งตรงมายังหัวกำแพงเมือง จุดที่แสงกระบี่ชี้ไปก็คือเฉินผิงอันที่โผล่มาแค่หัวเท่านั้น
แต่กระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังหนิงเหยาออกจากฝักมาด้วยตัวเอง หนึ่งกระบี่ฟัน เข้าใส่แสงกระบี่ กระบี่บินร่วงลงพื้น กระแทกให้เกิดหลุมใหญ่ที่ฝุ่นตลบคละคลุ้งอยู่ด้านล่างหัวกำแพง ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่โจมตีหนึ่งกระบี่แล้วไม่ได้ผลก็บังคับ กระบี่บินให้พุ่งกลับไปด้วยความว่องไว กระบี่บินทะยานไปใต้ดินด้วยวงโคจรที่ ไม่แน่นอน สุดท้ายก็ย้อนกลับไปทางเดิม
กระบี่ยาวเล่มนั้นของหนิงเหยาสอดกลับเข้าฝักด้วยตัวเอง สีหน้าของนาง เป็นปกติ บังคับกระบี่บินเล่มที่อยู่ห่างไปไกลให้ไล่ล่าเผ่าปีศาจต่อ
ในบรรดาคนกลุ่มนี้มีเพียงกระบี่บินของหนิงเหยาที่หลังจากผ่านไปสามวันสามคืนแล้วก็ยังไม่เคยย้อนกลับมาที่หัวกำแพงมาก่อน
บนสนามรบ มีหลวนเฟิ่งสีทองตัวหนึ่งสยายปีกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่บินโฉบไปทางสนามรบทิศใต้เพื่อเข่นฆ่าเผ่าปีศาจ
มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่เกาขุยที่ใหญ่เหมือนเรือข้ามฟากซึ่งทะยานลงมาจากท้องฟ้า
‘เจ็ดสี’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของโจวเฉิงกำลังพุ่งทะยานอยู่บนพื้นดินอย่างบ้าคลั่ง ทุกที่ที่ผ่านก็จะต้องมีเศษซากแขนขาจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็นขึ้นมา
หนิงเหลียนอวิ๋นเจ้าประมุขตระกูลหนิงที่พอร่ายกระบี่แห่งชะตาชีวิตออกมาแล้ว กลางอากาศสูงเหนือสนามรบก็มีทะเลเมฆเป็นแถบๆ ปรากฏขึ้นมา ปราณกระบี่เหมือนสายฝนที่ตกกระหน่าดิ่งลงมาที่แผ่นดิน
ในกองทัพใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีปีศาจใหญ่ที่ร่ายใช้วิชาอภินิหาร บังคับให้อีการวมฝูงกันกลายเป็นเมฆดำกว้างใหญ่พุ่งตรงไปยังหัวกำแพงเมือง กระบี่บินของ ผู้ฝึกกระบี่จำนวนมากที่หลบไม่ทันก็เอียงกะเท่เร่ กระบี่บินบางส่วนที่จมหายเข้าไปในเมฆดำจะระเบิดแตกโดยตรงเหมือนถูกแท่นโม่บดขยี้ให้เป็นผุยผง ร่างของผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองจึงกลายเป็นคนเลือด
แน่นอนว่าหนิงเหลียนอวิ๋นย่อมไม่มีทางปล่อยให้ปีศาจใหญ่ที่หวังจะใช้ฝูงอีกาเมฆดำมาทำลายค่ายกลกระบี่ได้สมใจปรารถนา จิตเขาขยับเล็กน้อย ไปบังคับทะเลเมฆหนึ่งในนั้นมา
ฝูงอีกาเมฆดำชนเข้ากับทะเลเมฆของหนิงเหลียนอวิ๋นเซียนกระบี่ผู้อาวุโส
เซียนกระบี่อายุน้อยคนหนึ่งของตระกูลน่าหลันที่ออกกระบี่ไม่บ่อยนักยื่นมือออกมาผลัก ก็เห็นเพียงว่าเหนืออากาศของปีศาจใหญ่ตนที่เรียกฝูงอีกาเมฆดำออกมามีแท่นหยกขาวใสแวววาวแท่นหนึ่งร่วงลงมา ตรงดิ่งกระแทกใส่หัวปีศาจใหญ่ในแนวดิ่ง
ปีศาจใหญ่ไม่คิดจะต้านทานแม้แต่น้อย มันขยับกรูดถอยหนีไปด้านหลัง ในรัศมีหลายลี้ของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่ปีศาจตนนั้นเป็นผู้ดูแลถูกแท่นหยกขาวนั่นกระแทกใส่ กลบทับฟ้าดิน เลือดสดสาดกระเซ็นไปทั่ว
ไม่เพียงแค่นี้ ดูเหมือนว่าปีศาจใหญ่จะถูกวิชาอภินิหารแปลกประหลาดอย่างหนึ่งของเซียนกระบี่หมายหัว เพราะไม่ว่ามันจะหนีอย่างไร เปลี่ยนเส้นทางอย่างไรก็ล้วนมีแท่นหยกขาวที่เปี่ยมล้นไปด้วยปณิธานกระบี่นับไม่ถ้วนกระแทกเข้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า คนที่ไม่เกี่ยวข้องมากมายพลอยติดร่างแหไปด้วย
แท่นหยกขาวสิบแปดแท่งทยอยกันร่วงลงไป สุดท้ายกลายเป็นกรงขังสยบปีศาจใหญ่ที่ไร้ทางหนีตนนั้นเอาไว้ได้สำเร็จ ปีศาจใหญ่จึงได้แต่เผยร่างจริง ใช้พละกำลังต้านรับแท่นหยกขาวที่กดทับลงมาจากด้านบน เมื่อแท่นหยกขาวที่รอยแตกร้าวลุกลาม ระเบิดแตกอย่างสิ้นเชิง ร่างทั้งร่างของปีศาจใหญ่ก็ถูกกระแทกลงไปใต้ดิน เพียงแต่ว่าปีศาจใหญ่ที่เลือดเนื้อครึ่งร่างถูกบดขยี้จนแหลกเละกลับจ้องเขม็งใส่เซียนกระบี่ที่ออกกระบี่อย่างดุดัน มันกลายร่างกลับคืนสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง แค่นเสียงเย็นชาในลำคอหนึ่งทีแล้วเลือกจะออกไปจากสนามรบชั่วคราวเพื่อพักรักษาตัว
เซียนกระบี่ที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองท่านนั้นก็ออกจากหัวกำแพงทางทิศใต้ ไปพักรักษาตัวที่ทางทิศเหนือ
เซียนกระบี่ท่านหนึ่งเดินทางจากทิศเหนือมายังทิศใต้ เข้ามารับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์พื้นที่แถบนี้แทนที่ตำแหน่งคนผู้นี้
ขอแค่มีปีศาจใหญ่กล้าลงมือ ทางหัวกำแพงเมืองแห่งนี้ก็จำเป็นต้องมีเซียนกระบี่ที่ถามกระบี่ให้ของขวัญกลับคืนไป
อีกทั้งปีศาจใหญ่ที่เคยลงมือในสนามรบมาก่อน ครั้งหน้าที่ปรากฏตัว ขอแค่ปรากฎตัวอยู่ในรัศมีของการออกกระบี่ เซียนกระบี่ใหญ่ก็ยังจะเป็นฝ่ายถามกระบี่ก่อนด้วย
ปีศาจใหญ่ใจกล้า ไม่กลัวตาย ยืนอยู่ใกล้ เซียนกระบี่ใหญ่ทั้งหมดอย่างเยว่ชิง หนิงเหลียนอวิ๋น หานไหวจื่อ หลี่ทุ่ยมี่ที่แม้จะไม่ได้อยู่ในลำดับสิบคนแต่กลับเป็นขอบเขตเซียนเหรินพวกนี้
ไม่ว่าจะออกกระบี่คนเดียว หรือออกกระบี่อย่างพร้อมเพรียงกัน ถึงอย่างไรเมื่อออกกระบี่ไปแล้ว หากไม่อาจทำให้มันบาดเจ็บสาหัสได้ ทุกคนก็จะถูกลดทอน คุณความชอบกันไปคนละหนึ่งส่วน
นี่ก็คือกฎของกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือกฎเหล็กข้อหนึ่งที่เซียนกระบี่ใหญ่ ผู้อาวุโสตั้งขึ้นด้วยตัวเอง
นอกจากนี้แล้ว กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่มีขอบเขตหยกดิบเป็นผู้นำก็สามารถ ลงมือให้ตามสบาย จะไม่ถูกเซียนกระบี่ใหญ่บนหัวกำแพงเมืองจงใจเล่นงาน ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ตายไปมากน้อยเท่าไร กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จำต้องยอมรับ
ไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่คนใดก็ตามที่ออกกระบี่อย่างเต็มกำลังความสามารถ สังหารปีศาจเข่นฆ่าศัตรู ก็ควรจะเรียนรู้วิธีรักษาตัวรอดจากการเข่นฆ่าครั้งแล้ว ครั้งเล่าที่ผ่านมา
เซียนกระบี่คนหนึ่งตายไปแล้วก็คือตายแล้ว
ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้ยังไม่ได้เป็นเซียนดิน แต่กลับมีความเป็นไปได้มากมายนับไม่ถ้วน
หากไม่เป็นเช่นนี้ เซียนกระบี่ที่เชี่ยวชาญการต่อสู้แต่ละท่านจะมาจากไหน ผู้ฝึกกระบี่ที่ออกกระบี่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ นั้นได้แต่อาศัยการปกป้องอย่างระมัดระวังของพวกเซียนกระบี่ที่ตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ?
นี่จึงเป็นเหตุให้เฉินชิงตูเอ่ยประโยคนั้นกับหนิงเหยา สำหรับในใจของเขาแล้ว ไม่มีใครที่ไม่สามารถตายได้!
นี่ก็คือความจริงอันโหดร้ายที่ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมานี้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ไม่เคยปิดบังเด็กรุ่นหลังคนใด
สงครามอันโหดเหี้ยม การเข่นฆ่าที่อันตราย มีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
และสองปลายสุดของหัวกำแพงเมือง รวมไปถึงอากาศสูงเหนือกำแพงเมือง ปราณกระบี่ สถานที่ที่อริยะของสามลัทธิอย่างเต๋า พุทธ ขงจื๊อเฝ้าพิทักษ์ ก็ยิ่ง เงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสนามรบที่ถูกอำพรางไว้ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญมากกว่า
อริยะผู้เฒ่าลัทธิเต๋าที่นั่งพิทักษ์อยู่บนจุดที่สูงที่สุดของม่านฟ้าคอยโบกหางกวาง สีขาวหิมะในมือตัวเองขับไล่ไอเมฆหมอกอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งปัญญาชนผู้ว่างงานที่นั่งอยู่เดียวดายบนยอดเขา โบกพัดดับร้อน ทิ้งชื่อเสียงเลื่องลือเป็นพันปี
ภิกษุที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งท่องบทสวดเบาๆ ดอกบัวสีทองผลิบานอยู่เต็มพื้น แล้วพากันลอยขึ้นกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะกลายมาเป็นแม่น้าสายยาวสีทองเส้นหนึ่ง ด้านในคือประทีปดอกบัวที่ล่องลอยอยู่มากมาย
อริยะลัทธิขงจื๊อนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ด้านหน้าคลี่กางตำราอริยะปราชญ์เล่มหนึ่ง อักษรสีทองบนตำราแต่ละตัวลอยออกมาจากในหนังสือ เมื่ออ่านตำราของ อริยะปราชญ์เล่มหนึ่งจบ ในตำราก็ไม่เหลือตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว อริยะจึงเปิดตำราอริยะปราชญ์เล่มต่อไป
เฉินผิงอันออกมาจากสนามรบข้างกายฟ่านต้าเช่อแล้ว ไปปรากฏตัวอยู่ข้างกายผังหยวนจี้ เรียกไฮเหลยและซงเจินกระบี่บินสองเล่มให้ช่วยสร้างเวทอำพรางตา แล้วก็หยุดเมื่อพอสมควรเท่านั้น จากนั้นก็ไปอยู่ข้างกายเกาเหย่โหวและซือถูเหว่ยหรัน ช่วยเหลืออีกฝ่ายเล็กๆ น้อยๆ จุดที่มีเซียนกระบี่เฝ้าพิทักษ์ เขาจะไม่รั้งรออยู่นาน แต่หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่เคยไปดื่มเหล้าที่ร้าน เป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เฉินผิงอันก็จะหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เพียงแต่เรียกกระบี่จำลองสองเล่ม แต่ยังเรียกกระบี่บินชูอีสืออู่ให้ออกมาสังหารศัตรูอย่างคล่องแคล่วฉับไว แต่จะไม่อยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไปเด็ดขาด แล้วก็จะไม่ทยอยออกกระบี่ตามกันไปในแนวเส้นเดียว ส่วนใหญ่แล้วจะกลับมาเจอกันบนสนามรบที่ก่อนหน้านี้เคยออกกระบี่ไป
จากนั้นพอแยกกันก็พุ่งออกไปหลายร้อยลี้ หากช่วยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของ ผู้ฝึกกระบี่เล่มหนึ่งได้ก็จะช่วย หากถือโอกาสสังหารปีศาจได้ก็จะฆ่า จะไม่อวดเก่ง และละโมบในคุณความชอบเด็ดขาด
ไม่เพียงเท่านี้ เพราะเดี๋ยวๆ เขาก็เป็นเด็กหนุ่มชุดดำสีหน้าทึ่มทื่อ อีกเดี๋ยวก็กลายเป็นผู้เฒ่าที่ใบหน้าผอมตอบ
ขณะที่เฉินผิงอันกำลังลังเล ชั่งน้าหนักใบหน้าของสตรีที่อยู่ในมือว่าควรจะใส่มันดีหรือไม่ ก็มีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่ทำหน้าที่เฝ้าพิทักษ์ขบวนรบทนมองไม่ไหวอีกต่อไป ใช้เสียงในใจด่าขำๆ ว่า “ท่านผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสองอย่างเจ้า ช่วยมียางอายบ้าง ได้หรือไม่?”
เซียนกระบี่ท่านนี้สนิทสนมกับเยว่ชิงและหมี่ฮู่มาก ตอนที่จั่วโย่วไปถามกระบี่เยว่ชิง เขาก็คือหนึ่งในเซียนกระบี่ที่ออกจากนครไปช่วยห้ามทัพ
เฉินผิงอันชูนิ้วกลางให้เซียนกระบี่ท่านนั้น จากนั้นก็กัดฟัน สวมใบหน้าปลอมอย่างเด็ดเดี่ยว กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง ยามที่ก้าวเดินเรือนกายก็ยักย้ายไปมาเหมือนสตรีจริงๆ
จากนั้นก็แอบออกกระบี่ช่วยเหลือผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยกลุ่มหนึ่ง เซียนกระบี่ที่อยู่ห่างไปไกลคนนั้นอึ้งตะลึงไปก่อน จากนั้นก็หัวเราะก๊ากไม่หยุด รู้สึกนับถือบัณฑิต สายของเหวินเซิ่งที่เดิมทีไม่ได้รู้สึกดีด้วยเท่าไรนี้มากจริงๆ
หลังจากหัวเราะไปแล้ว มองแผ่นหลังของคนหนุ่มที่ชุดคลุมอาคมของหอภูษามีเลือดซึมออกมา เซียนกระบี่ก็เก็บความคิดจิตใจทั้งหมดไป แล้วช่วยปกป้องกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่มากมายที่ออกไปจากหัวกำแพงต่อ
เซียนกระบี่หันหน้ามองไปทางทิศใต้ จับตามองรายละเอียดบนสนามรบทุกอย่าง ขณะเดียวกันส่วนลึกในใจก็เกิดความคิดหนึ่งว่า
คงจะมีเพียงคนหนุ่มที่เป็นเช่นนี้กระมังถึงจะสามารถเป็นศิษย์น้องเล็กของจั่วโย่ว สามารถทำให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสลงเดิมพันสำคัญกับตัวเขาได้
แล้วก็ถึงจะคู่ควรกับหนิงเหยา