กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 619 อากาศร้อนแผดเผา ลมหิมะเส้นทางยาวไกล
บทที่ 619 อากาศร้อนแผดเผา ลมหิมะเส้นทางยาวไกล
แสงอาทิตย์แรกสาดส่องเหนือนคร
เตี๋ยจ้าง ต่งฮว่าฝู ฟ่านต้าเช่อ ต่างก็เลือกที่จะถอยร่นออกไป
หนิงเหยา เฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋วอยู่ที่เดิมต่อ
เฉินผิงอันย้อนกลับมาหาพวกเขาอีกครั้ง เปลี่ยนมาสวมหน้ากากของชายฉกรรจ์วัยกลางคน ช่วยจับตามองสถานการณ์ทางการรบให้กับเฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋วก่อน บางครั้งก็เอ่ยเตือนบ้าง
เมื่อเทียบกับฟ่านต้าเช่อที่จำเป็นต้องพูดจาอย่างตรงไปตรงมาแม่นยำแล้ว เวลาพูดกับเฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋ว เฉินผิงอันจะใช้ถ้อยคำกระชับเรียบง่ายกว่ามาก แค่เพิ่มรายละเอียดที่เขาตรวจสอบเจอว่าเป็นช่องโหว่เท่านั้น
ส่วนมากแล้วเป็นคำแนะนำถึงวิถีทางโคจรของกระบี่บินและการเลือกจุดที่จะให้กระบี่บินพุ่งตรงไป เป็นการทบทวนกระดานหมากแบบเร็วๆ อย่างหนึ่ง เพื่อพยายามทำให้สถานการณ์ที่ดีอยู่แล้วดียิ่งขึ้นกว่าเดิมก็เท่านั้น ไม่ใช่ว่าดื่มเหล้าจนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว เฉินผิงอันก็จะไม่เห็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสองคนนี้เป็นสำคัญ ในความเป็นจริงแล้ว การที่เฉินผิงอันเพ่งสมาธิชมศึก มองดูการออกกระบี่ของ เฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋ว ทำให้เขาได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย
จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปหาฟ่านต้าเช่อ
ฟ่านต้าเช่อมองเฉินผิงอันที่อยู่ในรูปโฉมของชายฉกรรจ์ก็รู้สึกระอาใจเล็กน้อย เป็นศัตรูกับเฉินผิงอัน ช่างเป็นความซวยแปดชาติจริงๆ หลุมศพบรรพบุรุษไม่ได้มี ควันเขียว แต่มีควันดำกลิ้งหลุนๆ โลงศพถึงได้กดทับไว้ไม่อยู่
นอกจากความระอาใจ ฟ่านต้าเช่อก็ยังรู้สึกขอบคุณ หากไม่เป็นเพราะการปรากฏตัวของเฉินผิงอัน ฟ่านต้าเช่อคงลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกอยู่อีกนาน
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง โยนเหล้าถ้าสวรรค์จู๋ไห่ไปให้ฟ่านต้าเช่อ ยิ้มกล่าวว่า “หัดจำความดีของข้าด้วย”
ต่งฮว่าฝูกล่าว “ใช้เงินของฟ่านต้าเช่อซื้อเหล้า วันหน้าก็เอาออกมามอบให้เป็น น้ำใจแก่ฟ่านต้าเช่อ ข้าได้เรียนรู้แล้ว”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แปะยันต์ขจัดสิ่งสกปรกกระดาษเหลืองไว้บนร่าง ให้มันช่วยกำจัดกลิ่นคาวเลือด
เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “จะไปช่วยเก็บเงินที่อื่นแล้ว?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย เพราะกังวลว่าจะช่วยให้เสียเรื่อง กลายเป็นว่าดึงดูดความสนใจจากปีศาจใหญ่ที่แอบซ่อนอยู่ในมุมมืดมาให้คนอื่นเขา ก็เลยไม่กล้าออกแรง เดี๋ยวต่อจากนี้ข้าคิดว่าจะปรึกษากับพวกเซียนกระบี่ดูสักหน่อยว่าจะขอรับผิดชอบหัวกำแพงเมืองช่วงเล็กๆ สักช่วงหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อ รอให้คนที่เต็มใจมาติดกับ ถึงเวลานั้นหากพวกเจ้าคนใดถอยออกจากสนามรบแล้ว ก็สามารถไปหาข้าได้ ไปลองชื่นชมมาดการบังคับกระบี่ของผู้ฝึกตนใหญ่ดูสักหน่อย จำไว้ว่าเอาเหล้าไปด้วย ไม่ให้ดูเปล่าๆ หรอกนะ”
ต่งฮว่าฝูส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ไปแล้ว”
เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “ข้าเองก็เหมือนกัน”
ฟ่านต้าเช่อพบว่าเฉินผิงอันมองมาที่ตน จึงแข็งใจพูดตามสัตย์จริงว่า “ข้าไม่กล้าไป”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “ต้าเช่ออ่า คนไม่ไป แต่เหล้าไปถึงได้นะ ใครอยากจะเจอเจ้ากัน”
เตี๋ยจ้างและต่งฮว่าฝูลุกขึ้นยืนพร้อมกัน มุ่งหน้าไปทางหัวกำแพงเมืองทิศใต้อีกครั้ง
ฟ่านต้าเช่อเองก็อยากตามไปด้วย แต่กลับถูกเฉินผิงอันยกมือขึ้นกดลงบน ความว่างเปล่า บอกเป็นนัยแก่เขาว่าไม่ต้องรีบร้อน
เฉินผิงอันเอ่ย “รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับสหายเหล่านี้ รู้สึกกดดันมากเลยใช่ไหม? ราวกับว่าช่วยพวกเขาครั้งหนึ่งก็เป็นตัวถ่วงพวกเขาครั้งหนึ่ง?”
ฟ่านต้าเช่อพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หลังจากมีความคิดนี้แล้ว อันที่จริงไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพียงแต่ว่าหากจะให้ดียิ่งกว่านี้ เจ้าก็ควรจะเก็บความคิดพวกนี้ลงไป ฟ่านต้าเช่อ อย่าลืมล่ะว่า เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง ตอนนี้อายุยัง ไม่ถึงสามสิบปี รู้หรือไม่ว่าอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลของพวกเรา ต่อให้จะเป็นอุตรกุรุทวีปที่ได้รับการขนานนามว่ามีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ไม่ช้าก็เร็วต้องเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตโอสถทอง อายุเท่านี้นับว่าเป็นคนหนุ่มที่ร้ายกาจ ขนาดไหน?”
เฉินผิงอันชี้ไปที่ตัวเอง “ไม่ใช่ว่าใต้หล้าไพศาลมีคนอย่างข้า แล้วใต้หล้าไพศาลจะมีแต่คนที่เป็นอย่างเฉินผิงอันทั้งหมด ในบรรดาคนวัยเดียวกันบนภูเขาที่อายุพอๆ กับเจ้าและข้า ขอแค่พอจะมีความสามารถในการสังหารศัตรูอยู่บ้าง คนที่ดีกว่าข้า แน่นอนว่าต้องมี แล้วก็น่าจะมีไม่น้อยด้วย แต่คนที่สู้ข้าไม่ได้นั้นกลับมีเยอะมาก เยอะมากอย่างถึงที่สุด”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “ตอนอยู่ที่บุรพแจกันสมบัติทวีปบ้านเกิดของข้า ข้าเคยท่องผ่านยุทธภพมากมาย หากเจ้าฟ่านต้าเช่อไปฝึกตนอยู่ที่นั่นก็จะต้องเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่ราชวงศ์แห่งหนึ่งมอบความหวังใหญ่ไว้ให้ เมื่อก่อนเจ้าอาจจะรู้สึกว่าข้าล้อเล่นบ่อยๆ คำบอกที่ว่าจะดีจะชั่วตนก็เป็นถึงผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตห้า คือคำพูดเยาะเย้ยตัวเอง แต่อันที่จริงกลับไม่ใช่ทั้งหมด ที่บ้านเกิดของข้า ปีศาจภูตผีขอบเขต ถ้ำสถิตตนหนึ่งก็ถือเป็นปีศาจใหญ่ที่สมชื่อ คือผีร้ายที่ชวนหวาดผวาพรั่นพรึงแล้ว เจ้าลองคิดดู
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดคนหนึ่งก็อาจจะอายุสามสิบกว่าๆ เหมือนกัน แต่ที่แจกันสมบัติทวีปแห่งนั้น กลับเป็นตำแหน่งที่สูงส่งเพียงใด?”
ฟ่านต้าเช่อพยักหน้ารับ “เมื่อก่อนไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ ไม่ค่อยสนใจเรื่องของ ใต้หล้าไพศาลสักเท่าไร นับแต่เล็กจนโต ข้าก็รู้สึกมาตลอดว่าพรสวรรค์ของตัวเองนับว่าพอถูไถ แต่กลับไม่ดีพอ”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม แบมือสองข้างออก ประกบสองนิ้วชี้ไปยังปลายสุดสองด้าน “เรื่องที่ข้าพูด เมื่อเกิดกับพวกหนิงเหยา เฉินซานชิว เจ้าฟ่านต้าเช่อจึงรู้สึกว่าไม่ว่าตัวเองทำอะไรก็ผิดไปหมด นี่คือความสุดโต่งอย่างหนึ่ง ส่วนฟ่านต้าเช่อที่อยู่บ้านเกิดของข้า กลับดูเหมือนว่าสามารถพกกระบี่ต่อกรกับแคว้นศัตรูได้แล้ว นั่นก็คือ ความสุดโต่งอีกอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าล้วนไม่ควรรับเอามาทั้งสองอย่าง”
เฉินผิงอันเก็บมือกำเป็นหมัด แล้วเอาไปแกว่งอยู่ตรงกลางระหว่างเส้นก่อนหน้านี้ “เรื่องราวใดๆ ล้วนมีความสุดโต่งได้ทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่จิตแห่งเต๋าของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งควรจะอยู่ที่ตรงนี้ หยุดนิ่งอยู่ตรงนี้ไม่สั่นคลอน เรื่องนอกกาย หากพูดให้ใหญ่หน่อยก็เป็นแค่เรื่องนอกกายจริงๆ ยากที่จะถูกพวกเราควบคุมไว้ได้ทั้งหมด แต่จิตดั้งเดิมของผู้ฝึกตนกลับมักจะเป็นเรื่องที่อยู่ในมือของเจ้าและข้า อยู่ใกล้ในระยะประชิดเสมอ เป็นความสามารถส่วนตัวที่สามารถขัดเกลาให้พัฒนาดียิ่งขึ้น ได้เสมอ ฟ้าดินเล็กอย่างร่างกายมนุษย์ก็เป็นแค่กรวยตั้งเล็กๆ ในฟ้าดิน แต่จิตใจ คนนั้นยิ่งใหญ่ครอบจักรวาล สามารถสูงกว่าใหญ่กว่าฟ้าดินได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ฝึกกระบี่ ส่วนที่ความคิดมุ่งไป ส่วนที่กระบี่พุ่งไปถึง ทั้งชีวิตและจิตใจล้วนมีอิสระเสรี ประโยคนี้ ข้าคิดว่าถูกต้องมากๆ ข้ามอบให้เจ้าเปล่าๆ พร้อมเหล้าในกาที่อยู่ในมือของเจ้าตอนนี้”
ดวงตาของฟ่านต้าเช่อใสกระจ่าง กระดกเหล้าดื่มหนึ่งอึกใหญ่ เช็ดมุมปากแล้วเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เฉินผิงอัน คำพูดพวกนี้ หากเมื่อก่อนเจ้าพูดกับข้า บางทีข้าอาจจะแค่ฟังเข้าใจ แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะฟังเข้าหู ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ข้าเข้าใจแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “อันที่จริงก็เหมือนกันนั่นแหละ ข้าเองก็เคยเจอกับความยากลำบากน้อยใหญ่ เคยเดินๆ หยุดๆ คิดนี่คิดนู่นมาก่อน ถึงได้เดินมาถึงทุกวันนี้ได้”
ฟ่านต้าเช่อเงียบไปครู่หนึ่งก็พลันเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “ประโยคที่มอบให้ข้าพร้อมกับเหล้านั้น เป็นประโยคที่อริยะปราชญ์ยอดฝีมือท่านใดพูดหรือ? ยิ่งข้าใคร่ครวญก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือมาลูบปลายคาง “ต้าเช่ออ่า สมองของเจ้าไม่ค่อยเฉลียวฉลาดก็แล้วไปเถอะ เหตุใดสายตาก็ไม่ดีไปด้วยเล่า”
ฟ่านต้าเช่อยิ้มพลางลุกขึ้นยืน แกว่งกาเหล้าในมืออย่างแรง เตรียมจะไปหาพวกเฉินซานชิว
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะยื่นมือออกมาคว้ากาเหล้านั้น ลุกขึ้นยืนแล้วสบถด่าเสียงดัง “ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรตัวเล็กๆ คนหนึ่ง อยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสองกลับกล้าแสร้งวางมาดวีรบุรุษผู้องอาจด้วยรึ เหล้านี่ไม่ต้องจ่ายเงินหรือไร?”
ฟ่านต้าเช่อรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย รีบก้าวเร็วๆ จากไป เพียงแต่อดไม่ไหวหันหน้าไปมองเถ้าแก่รองผู้นั้น เห็นว่าเขาเอียงศีรษะ ใช้นิ้วจับตรงจอนผมของตัวเอง จากนั้นก็ปลดหน้ากากปลอมลงมา
ฟ่านต้าเช่อถาม “เฉินผิงอัน ถึงอย่างไรก็ลืมนางไม่ลง ข้าไม่ได้เรื่องมากเลยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันเก็บหน้ากากที่จูเหลี่ยนเป็นผู้สร้างใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มกล่าวว่า “หากพูดถึงแค่จิตใจที่ลุ่มหลงในรัก คนที่รักเดียวใจเดียว ก็ไม่มีอะไรดีไปมากกว่านี้แล้ว”
ฟ่านต้าเช่อพูดอย่างกังขาว่า “ตอนที่พวกเราเพิ่งรู้จักกัน เจ้าไม่ได้พูดแบบนี้นี่นา? ด่าข้าซะไม่เหลือชิ้นดีเลย”
เฉินผิงอันที่สีหน้าอ่อนเพลียหยิบน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก ยิ้มกล่าวว่า “ไม่มีแรงจะพูดเรื่องวิชาความรู้ที่อยู่ในนี้กับเจ้าอีกหรอก ไปใคร่ครวญ ดูเอาเองเถอะ ยังมีอีกนะ ช่วยเอามาดของเซียนกระบี่ใหญ่ขอบเขตประตูมังกรออก มาหน่อย ไก่ตีกันเอาหัวจิกกัน ผู้ฝึกกระบี่ตีกันไม่จดจำแค้น”
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่เป็นห่วงความรู้สึกของฟ่านต้าเช่อแล้ว เวลาอยู่กับพวกเขา ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเรื่องการฝึกตนหรือคำพูดคำจา ฟ่านต้าเช่อก็ล้วนไม่โดดเด่นเช่นพวกเขา แต่เฉินผิงอันมั่นใจเลยว่า บนเส้นทางของการฝึกตน ฟ่านต้าเช่อจะต้องเดินไปได้ไกลมากอย่างแน่นอน ตอนนี้เฉินผิงอันแค่ค่อนข้างเป็นกังวล กลัวว่าฟ่านต้าเช่อฟังเหตุผลนั้นของตนไปแล้ว รู้แล้ว แต่กลับพบว่าตนเองทำไม่ได้ หรือไม่ก็ทำได้ไม่ดี นั่นกลายไปเป็นปัญหาอีกข้อหนึ่ง
หลักการเหตุผลข้อหนึ่ง หากไม่เคยรู้มาก่อน เดิมทีก็เป็นการปฏิเสธแบบ ไร้รูปลักษณ์อย่างหนึ่ง เมื่อรู้แล้ว อีกทั้งยังเข้าใจแล้ว นั่นก็คือการยอมรับอย่างหนึ่ง แต่หากทำไม่ได้ ก็จะกลายเป็นการปฏิเสธอีกแบบหนึ่ง
โดยทั่วไปแล้วเมื่อมาถึงขั้นนี้ ก็คือหลักการเหตุผลเดินไปถึงจุดสิ้นสุด เดินไปถึงจุดที่ต้องฝังร่างตัวเองบนเส้นทางหัวใจแบบที่ไม่เหลือแม้แต่กระดูก
ส่วนที่น่ากลัวที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าความรู้ที่เชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ ซึ่งคล้ายคลึงกับหลักการเหตุผลนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับความตาย พอตายทีก็จะตายไปเป็นแถบๆ
คิดไม่ถึงว่าฟ่านต้าเช่อจะเอ่ยว่า “หากต่อจากนี้จิตแห่งกระบี่ของข้ายังไม่เด็ดเดี่ยวมั่นคงได้อย่างที่เจ้าพูด ไม่อาจวางตัวให้ไม่ได้รับอิทธิพลจากพวกเฉินซานชิว เฉินผิงอัน จำไว้ว่าช่วยเตือนข้าสักหน่อย ครั้งเดียวไม่ได้ก็สองครั้ง ข้าคนนี้ไม่มีข้อดีอะไร ก็แค่ยังพอจะรับฟังคนอื่นอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตกลง”
สุดท้ายฟ่านต้าเช่อเอ่ยว่า “เจ้าเองก็ควรจะฟังคำแนะนำจากข้าสักคำ สงครามใหญ่ครั้งนี้ยังต้องต่อสู้กันอีกนาน ไม่ได้ขาดแค่เวลาไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือนนี้ เจ้าไปพักรักษาตัวให้หายดีก่อนแล้วค่อยกลับไปที่หัวกำแพงเมือง ไม่อย่างนั้นหากเป็นอย่างนี้ต่อไป ในอนาคตเมื่อต้องการให้พวกเราออกจากหัวกำแพงเมืองลงสนามรบ คงยากที่เจ้าจะกลับคืนสู่จุดสูงสุดได้ เจ้าคืออาจารย์กระบี่ที่ช่วยคุมหลังให้ข้า ต่อให้เจ้าไม่เป็นห่วงตัวเองก็ควรเป็นห่วงชีวิตน้อยๆ ของข้าบ้าง วันหน้ายังอยากจะดื่มเหล้าที่ไม่ต้องจ่ายเงินอีกหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”
แล้วเฉินผิงอันก็เรียกเรือยันต์ออกมาแล้วไปจากหัวกำแพงเมืองจริงๆ
ฟ่านต้าเช่อไปถึงที่กำแพงทางทิศใต้แล้ว หนิงเหยาพยักหน้ายิ้มกล่าวกับเขา “ขอบใจมาก”
ฟ่านต้าเช่อพยายามจะขึงหน้าให้จึงนิ่งขรึม เพียงแต่ว่าทำไม่ได้ ก็เลยคลี่ยิ้มเสียเลย
ต่งฮว่าฝูวิจารณ์ว่า “ทึ่มชะมัด”
เฉินซานชิวที่กระบี่บินสังหารศัตรูได้อย่างสง่างามที่สุดในบรรดาคนทั้งกลุ่มยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต่งถ่านดำ เจ้ามีปัญญาทำให้หนิงเหยาเอ่ยขอบคุณเจ้าได้ไหม?”
ต่งฮว่าฝูหันหน้ามาถาม “พี่หญิงหนิง เอ่ยขอบคุณข้าได้หรือไม่?”
สายตาหนิงเหยามองตรงไปเบื้องหน้าตลอดเวลา ตกรางวัลให้ด้วยคำว่า ไสหัวไป
ต่งฮว่าฝูพยักหน้ารับ แสดงว่ารับคำนี้เอาไว้แล้ว จากนั้นก็หันหน้าไปมองเฉินซานชิวกับฟ่านต้าเช่อ ถามว่า “พี่หญิงหนิงไม่เคยเกรงใจข้า พวกเจ้าทำได้แบบนี้ไหม?”
เฉินซานชิวยกนิ้วโป้งให้
ฟ่านต้าเช่อสูดลมหายใจเข้าลึก เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา แสงกระบี่เปล่งวาบหนึ่งครั้งก็พุ่งลงไปจากหัวกำแพงเมือง
เฉินผิงอันบังคับเรือยันต์ เพราะอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ จึงเลียนแบบลูกศิษย์ของตัวเอง ฟุบตัวลงบนหัวเรือ ใช้มือพายต่างไม้พาย ดูเหมือนจะไวขึ้นอีกนิดจริงๆ ด้วยนะ?
ระหว่างศึกใหญ่ ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยหลายคนที่มาจากต่างถิ่นถอยจากหัวกำแพงทิศใต้มายังหัวกำแพงทางทิศเหนือ ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นอีกกลุ่มหนึ่งที่บำรุงพละกำลังจนสมบูรณ์พร้อมแล้วเข้ามาแทนที่ตำแหน่งคนที่ออกไป เพียงแต่ว่าตอนที่พวกเขา เดินส่วนไหล่กัน ส่วนใหญ่ฝ่ายหลังกลับมีรอยยิ้มบนใบหน้า
อวี้เจวี้ยนฟูนั่งอยู่บนหัวกำแพงทางทิศเหนือ กัดแผ่นแป้งย่างแผ่นสุดท้าย ปณิธานหมัดทั่วร่างเปี่ยมล้น แต่กลับไม่อาจออกหมัดได้เสียที นี่ทำให้อวี้เจวี้ยนฟูที่ได้แต่ชมศึกอยู่บนหัวกำแพงเกิดความปรารถนาอย่างใหญ่หลวงต่อการเดินขึ้นสู่ที่สูงของการเรียนวรยุทธ ถึงอย่างไรขอบเขตเจ็ดร่างทองก็ยังไม่เหมือนขอบเขตเดินทางไกล ขอแค่เลื่อนสู่ขอบเขตเดินทางไกล ก็สามารถทะยานลมได้เหมือนผู้ฝึกลมปราณ แล้วก็จะออกหมัดได้อย่างสาแก่ใจ
จูเหมยสีหน้าซีดขาว ในใจยังหวาดผวาไม่คลาย นางเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
หลังจากที่นางเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาก็ต้องเสี่ยงอันตรายอยู่หลายครั้ง หากไม่ได้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยช่วยคุมหลังให้ ก็ต้องถูกจินเจินเมิ่งช่วยเหลือ แม้แต่ หลินจวินปี้ที่เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรก็ยังเคยช่วยนางหนึ่งครั้ง หากไม่เป็นเพราะหลินจวินปี้มองออกว่านักรบเดนตายเผ่าปีศาจตนหนึ่งแกล้งตาย จงใจออกกระบี่ล่อให้อีกฝ่ายแสดงท่าไม้ตาย สุดท้ายหลินจวินปี้จึงก็ถอนกระบี่ออกในชั่วประกายไฟแลบ แล้วให้จินเจินเมิ่งออกกระบี่สังหารปีศาจ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของจูเหมยก็คงได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน ต่อให้รากฐานของมหามรรคา จะไม่ถูกทำร้ายให้บาดเจ็บสาหัส
แต่ก็ต้องถอยออกจากหัวกำแพงเมืองไปทั้งอย่างนี้ ไปรักษาบาดแผลอยู่ที่จวนซุนแต่โดยดี นับจากนี้ไปเรื่องศึกสงครามก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางอีก
หลินจวินปี้พูดคุยถึงประสบการณ์ที่ได้จากศึกก่อนหน้านี้กับจินเจินเมิ่ง
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่หลินจวินปี้พูดคุยกับจินเจินเมิ่งเป็นการส่วนตัว พูดเรื่องผลดีผลเสีย ช่องโหว่ จุดบกพร่องและจุดที่มหัศจรรย์มากมายของการออกกระบี่ของสองฝ่าย
รอยยิ้มของจินเจินเมิ่งอบอุ่นราวกับแสงตะวัน ยังคงไม่พูดอะไรมากอยู่เหมือนเดิม แต่เห็นได้ชัดว่าสนิทสนมกับหลินจวินปี้เพิ่มขึ้นอีกนิด
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่จินเจินเมิ่งรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่ราวกับไม่เคยมีฝุ่นผงมลทินใดแปดเปื้อนตัวเขาได้ผู้นี้ มีกลิ่นอายของความเป็นมนุษย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
หลินจวินปี้หยิบขวดใบเล็กใบหนึ่งที่ราชวงศ์เส้าหยวนทำขึ้นอย่างประณีตออกมา เทยาออกมาสามเม็ด สีสันของยาแตกต่างกัน ตัวเองเก็บยาสีเหลืองไข่ห่านเอาไว้ โยนยาที่เหลืออีกสองเม็ดซึ่งเป็นสีเขียวไข่กากับสีเขียวฤดูใบไม้ผลิให้กับจินเจินเมิ่งและจูเหมย
จินเจินเมิ่งและจูเหมยต่างก็รู้สึกประหลาดใจ ลังเลไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็เลือกจะรับยาไว้ แล้วต่างคนก็ต่างกลืนยาลงไป
หลินจวินปี้เริ่มรวบรวมสมาธิ ผ่อนลมหายใจเข้าออก เม็ดยาค่อยๆ หลอมละลาย ปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นไหลกรูไปยังช่องโพรงลมปราณที่สำคัญทั้งหลาย
หลินจวินปี้แบ่งสมาธิส่วนหนึ่งมาทบทวนช่วงท้ายของสถานการณ์ถามใจใน ยามนั้นซ้ำอีกรอบ
ทุกครั้งที่ทบทวนหนึ่งครั้งก็สามารถทำให้จิตแห่งเต๋าของหลินจวินปี้สมบูรณ์ได้เสี้ยวหนึ่ง
ตอนนั้นระหว่างที่คีบเม็ดหมากจากบนกระดานเก็บใส่ลงในโถ เด็กหนุ่มชุดขาวที่บอกว่าตัวเองชื่อชุยตงซานได้ถามคำถามข้อหนึ่ง เขาถามหลินจวินปี้ว่ากล้าอยู่ต่อที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่อออกกระบี่สังหารปีศาจหรือไม่
หลินจวินปี้บอกว่ากล้า เพียงแต่ความเสี่ยงมากเกินไป ผลประโยชน์น้อยเกินไป ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าใด
“ไม่ใช่คำแนะนำ แต่เป็นคำสั่ง เพราะว่าเจ้าโง่เกินไป ดังนั้นข้าเลยได้แต่พูดให้มากหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ความหวังดีของข้าถูกเจ้ามองเป็นประสงค์ร้าย เป็นเหตุให้เรื่องดีที่เดิมทีใหญ่เทียมฟ้ากลับกลายเป็นเหตุผลให้เจ้าไม่พอใจข้า ถึงเวลานั้นหากข้าฆ่าเจ้าตาย เจ้าอาจจะยังรู้สึกว่าตัวเองได้รับความอยุติธรรม”
ชุยตงซานใช้สองนิ้วคีบเม็ดหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมาแกว่งส่าย “ข้อแรก หลังจากที่อยู่ต่อแล้ว ฆ่าปีศาจใหญ่ไปมากน้อยแค่ไหนล้วนไม่สำคัญ หากสามารถฆ่าได้มากหน่อยจนได้รับการยอมรับจากเซียนกระบี่หนึ่งหรือสองท่านก็จะยิ่งดีกว่า”
ชุยตงซานโยนหมากเม็ดนั้นใส่ลงไปในโถเก็บเม็ดหมาก แล้วคีบหมากเม็ดใหม่ขึ้นมา “ข้อสอง หากขู่เซี่ยอยู่ข้างกายพวกเจ้า ตัวเจ้าเองลองสังเกตการณ์กะน้ำหนักหนักเบาให้ดี ย่อมไม่ตายอย่างแน่นอน ขู่เซี่ยโง่กว่าเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนดีบนภูเขาที่หาได้ยาก ดังนั้นยิ่งเจ้าเหมือนคนดีมากเท่าไร ออกกระบี่ได้เด็ดขาดเท่าไร สังหารปีศาจได้เท่าไร ถ้าอย่างนั้นทุกวันที่อยู่บนหัวกำแพง การยอมรับที่ขู่เซี่ยมีต่อตัวเจ้าก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เดิมทีขู่เซี่ยก็คิดไว้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอน ดังนั้นไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งขู่เซี่ยอาจยินดีเปลี่ยนวิธีการตายเสียใหม่ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อตัวเจ้าหลินจวินปี้ เพื่อเสาคานของแคว้นราชวงศ์เส้าหยวนในอนาคต เมื่อถึงนาทีนั้น เจ้าต้องระวังให้มากแล้ว อย่าให้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยต้องรบตายอยู่ที่นี่เพื่อเจ้าจริงๆ เจ้าหลินจวินปี้จำเป็นต้องอาศัยจูเหมยและจินเจินเมิ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจูเหมย ให้ขู่เซี่ยล้มเลิกความคิดที่จะกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ เพื่อจะได้คุ้มครองพวกเจ้าออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ จำไว้ว่าต่อให้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยยืนกรานว่าจะย้อนกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง ก็ควรจะส่งพวกเจ้าให้ไปถึงทักษินาตยทวีปเสียก่อน เขาถึงจะหวนกลับมาได้ จะทำอย่างไร ความหมายอยู่ตรงไหน ข้าไม่สอนเจ้า หัวสมองที่อายุยังไม่มากก็ขึ้นสนิมแล้วของเจ้านั้นต้องคิดหาวิธีการเอาเอง”
ชุยตงซานโยนหมากเม็ดที่สองออกไป “ข้อที่สาม ระหว่างเส้นทางที่เจ้าออกไปจากภูเขาห้อยหัว เจ้าที่อยู่ร่วมกับจูเหมย จินเจินเมิ่งแค่วางตัวให้เหมาะสมก็พอ อย่าวาดงูเติมขาด้วยการพยายามซื้อใจพวกเขาเด็ดขาด ไม่สู้ให้ข้าสอนเคล็ดลับ อย่างหนึ่งแก่เจ้า หลินจวินปี้ที่เวลาปกติใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขา ยังคงเป็น หลินจวินเมิ่งที่มีความหยิ่งทระนงวางตัวสูงส่งอยู่เหมือนเดิม เมื่อเทียบกับหลินจวินปี้คนที่ออกกระบี่สังหารปีศาจอยู่บนหัวกำแพงเมืองก่อนหน้านี้แล้ว ต้องเป็นคนสองคนที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เจ้าทำมาก่อนหน้านี้จะเสียเปล่าทั้งหมด ทั้งจูเหมยและจินเจินเมิ่งไม่ใช่พวกคนอย่างเหยียลวี่ เจี่ยงกวนเฉิง จิตใจของฝ่ายหลังเป็นไปในทางรูปธรรม ฝ่ายแรกเมื่อเทียบกันแล้วเป็นนามธรรมมากกว่า นี่คือฟ้าดิน สองอย่าง ตัวเจ้าเองลองชั่งน้าหนักดูให้ดี”
“ข้อที่สี่ กลับไปถึงราชวงศ์เส้าหยวนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ขนบธรรมเนียมฝ่ายบุ๋นรุ่งเรืองแล้ว เจ้าก็ปิดปากให้สนิท ห้ามพูดถึงแม้แต่คำเดียว หากไม่รู้จักปิดปาก เจ้าก็ไสหัวไปปิดประตูไม่ต้อนรับแขกซะ ก่อนเจ้าจะปิดปาก แน่นอนว่าควรจะพูดคุยอย่างลับๆ กับอาจารย์ของเจ้าครั้งหนึ่ง เจ้าจงปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจ นอกจากเรื่องของข้าแล้ว เรื่องน้อยใหญ่ไม่จำเป็นต้องปิดบัง อย่าได้เห็นอาจารย์ของเจ้าเป็นคนโง่ ใต้เท้าราชครูย่อมเข้าใจเจตนาของเจ้า ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกอคติ กลับกันยังจะรู้สึกปลาบปลื้ม เพราะเดิมทีเจ้ากับเขาก็เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันอยู่แล้ว แน่นอนว่าเขาจะต้องช่วยปกป้องมรรคาให้แก่เจ้าอย่างลับๆ ช่วยทำเรื่องที่อาจารย์พึงกระทำแก่ลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจอย่างเจ้า เขาไม่มีทางลงสนามช่วยสร้างชื่อเสียงให้แก่เจ้าด้วยตัวเอง เพราะนั่นเป็นวิธีการชั้นต่าเกินไป
เชื่อว่าใต้เท้าราชครูไม่เพียงแต่จะไม่ทำเช่นนี้ กลับกันยังจะควบคุมกำลังไฟ ใช้วิธีที่ตรงข้ามกันแทน ถึงอย่างไรเหยียนลวี่ที่โง่กว่าเจ้าก็เป็นหมากของเจ้าแล้ว เมื่อกลับไปถึงบ้านเกิดก็ทำเรื่องที่เจ้าควรทำ พูดในเรื่องที่เจ้าสมควรพูด แต่ราชครู จะปิดข่าวที่ราชวงศ์เส้าหยวนอย่างแน่นหนา ไม่อนุญาตให้ใครเอาเรื่องประสบการณ์ของเจ้าในใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปคุยโวอย่างส่งเดช จากนั้นเจ้าก็สามารถรอให้สำนักศึกษาและสถานศึกษาช่วยพูดแทนเจ้าได้แล้ว ในช่วงเวลาระหว่างนี้ ยิ่งหลินจวินปี้ ปิดปากเงียบเท่าไร ราชวงศ์เส้าหยวนก็จะยิ่งเก็บปากเก็บคำมากเท่านั้น ชื่อเสียงจาก สี่ด้านแปดทิศก็จะพุ่งเข้ามาหาเอง ต่อให้เจ้าปิดประตูก็ยังขวางไว้ไม่อยู่”
“ไม่ใช่แค่ราชวงศ์เส้าหยวนเท่านั้น ราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติรอบๆ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ แม่ทัพ อัครเสนาบดี ผู้ฝึกตนบนภูเขา ยุทธภพในหมู่ชาวบ้านด้านล่างภูเขาล้วนจะต้องรู้ว่ามีเด็กหนุ่มนามหลินจวินปี้คนหนึ่งได้ออกเดินทางไกลไปยัง กำแพงเมืองปราณกระบี่ เมื่อเจอกับสงครามก็กล้าออกกระบี่สังหารปีศาจโดยไม่คิดจะถอยร่น”
ชุยตงซานคีบเม็ดหมากเอาไว้ ยิ้มถามว่า “ท่ามกลาง ‘ข้อที่สี่’ นี้ จุดที่เป็นรายละเอียดที่สุดอยู่ตรงไหน? ลองคิดดูให้ดี อย่าทำให้ข้าผิดหวังกับคำตอบของเจ้า”
หลินจวินปี้เอ่ยตอบ “ให้อาจารย์ของข้ารู้สึกว่าการวางตัวเข้าสังคมของข้ายังดูอ่อนหัดอยู่เหมือนเดิม แล้วก็ให้อาจารย์ได้ทำเรื่องบางอย่างที่ไม่ว่าอย่างไรตัวลูกศิษย์ ก็ทำไม่ได้ ในใจอาจารย์จะได้ไม่รู้สึกแสลงใจ”
ชุยตงซานโยนหมากเม็ดนั้นออกไป “ยังดี ยังไม่โง่จนตาย รอไปก่อนเถอะ วันหน้าการศึกของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะยิ่งดุเดือดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ใต้หล้าไพศาลจะถูกไม้ฟาดแสกหน้าจนมึนงง พอฟื้นคืนสติขึ้นมาได้บ้าง เรื่องราวของเจ้าหลินจวินปี้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จะยิ่งมีค่า”
ชุยตงซานคีบเม็ดหมากขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยเยาะเย้ยว่า “ต่อให้เป็นอริยะ นักปราชญ์และวิญญูชนลัทธิขงจื๊อที่อยู่สายบุ๋นคนละสายกับอาจารย์ของเจ้า ก็จะหันมามองเจ้าหลินจวินปี้ในมุมใหม่ ท่านราชครูจะยิ่งเห็นเจ้าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่มีความหวังบนมหามรรคามากขึ้น แต่สำนักศึกษาสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊ออาจไม่ได้มองเจ้าเป็นลูกศิษย์ของราชครูแคว้นหนึ่งอีกต่อไป ความมหัศจรรย์ของเรื่องนี้ เมื่อเจ้าได้สัมผัสด้วยตัวเองมากเข้าก็จะทำให้เจ้ารู้สึกเหมือนได้ดื่มเหล้าหมักรสชาติเข้มข้น”
ชุยตงซานโบกเม็ดหมากที่คีบอยู่ในนิ้ว “แต่ก็อย่าได้หลงระเริงไปล่ะ ชื่อเสียงในวันนี้ล้วนจะกลายเป็นคำติฉินนินทาในวันหน้า และส่วนใหญ่แล้วคนที่ชื่นชมและคนที่วิจารณ์ก็มักจะเป็นคนกลุ่มเดียวกันเสมอ นี่ก็คือความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง หากคิดจนเข้าใจแล้ว ก็จะเป็นเหล้าหมักอีกกาหนึ่งที่ทำให้คนเมามายได้”
ชุยตงซานโยนเม็ดหมากในมือไปกระแทกใส่โถเก็บเม็ดหมาก เสียงเม็ดหมากกระทบโถดังกังวาน จากนั้นเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อ “คนอย่างเหยียนลวี่นี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ให้ดีขึ้นได้ จูเหมยเอง เจ้าก็จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากนาง โดยเฉพาะกับฝ่ายหลัง หากจัดการความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายได้อย่างเหมาะสม เจ้าก็จะพบเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดคิด”
หลินจวินปี้ถามเสียงเบา “หมายถึงตระกูลที่อยู่เบื้องหลังจูเหมย?”
ชุยตงซานส่ายหน้า “ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น สมองเจ้าเละเป็นแป้งเปียกจริงๆ ยังจะเล่นหมากล้อมอะไรอีก? เดินไปก้าวหนึ่งมองแค่สองก้าวก็คิดว่าจะเอาชนะได้จริงๆ แล้วงั้นหรือ?”
หลินจวินปี้พูดอย่างจริงใจว่า “ขออาจารย์ชุยช่วยไขข้อข้องใจให้ข้าด้วย”
ชุยตงซานเอ่ย “จูเหมยเอ่ยอะไร ไม่ได้แย่ไปกว่าการที่อวี้เจวี้ยนฟูเห็นอะไรกับตาตัวเองเลย สตรีสองคนนี้ตัวติดกันดั่งเงา ความสัมพันธ์สนิทสนมอีกทั้งยังบริสุทธิ์ มีเรื่องอะไรที่จะไม่พูดถึง?
อวี้เจวี้ยนฟูยอมรับในนิสัยใจคอของจูเหมย จูเหมยยอมรับเจ้าหลินจวินปี้ แน่นอนว่าย่อมต้องพูดจาเป็นธรรมตามความหมายที่แท้จริงแทนเจ้าอยู่แล้ว แล้วก็เพราะ ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของจูเหมย อวี้เจวี้ยนฟูถึงได้ยอมรับฟัง ถ้าอย่างนั้นอุบายต่ำช้าตอนที่เจ้าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในสายตาของอวี้เจวี้ยนฟูแล้วก็จะไม่เพียงแต่ไม่กลายเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตของเจ้าหลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวน กลับกันยังจะช่วยให้นางมองเจ้าอย่างเต็มตามากขึ้น ข้าพูดเช่นนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
หลินจวินปี้เอ่ยเสียงเบา “ผู้น้อยกลัวว่าจะเข้าใจผิด เข้าใจได้ไม่ลึกซึ้งมากพอ ยินดีรับฟังท่านอธิบายอย่างละเอียด”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “คนที่ไร้ข้อบกพร่องคือคนที่ไม่อาจสนิทสนมด้วยมากที่สุด หากปฏิเสธเจ้าไปแล้วค่อยยอมรับในตัวเจ้า การยอมรับเช่นนี้จะมั่นคงไม่สั่นคลอนมากกว่าการยอมรับจากตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอกัน แค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจ? เล่นหมากล้อมก็ไม่เป็น ใจคนก็มองไม่ออก ข้าเริ่มนึกเสียใจภายหลังแล้วที่คิดจะทำการค้าระยะยาวกับเจ้า ทำไมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองต้องขาดทุนกันนะ? หลินจวินปี้ เล่นหมากล้อมกับเจ้ามาหลายตาขนาดนี้ ข้าไม่เคยมีความกังวลใดๆ แม้แต่น้อย คิดไม่ถึงว่าคิดอยากจะร่วมมือทำการค้ากับเจ้าแล้วจะกลับกลายเป็นต้องกังวลมากขนาดนี้ แบบนี้จะทำอย่างไรกันดี?”
หลินจวินปี้ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป
ชุยตงซานหรี่ตาลง “ดีแต่ถาม แต่ไม่รู้จักคิด? เจ้ารู้หรือไม่ว่าความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ข้าฆ่าเจ้าได้ รู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร? หากตอบผิด เจ้าก็ต้องตาย”
หน้าผากหลินจวินปี้มีเหงื่อผุดซึมออกมา “ข้าสามารถโง่ตายได้ แต่ไม่สามารถทำให้อาจารย์ชุยเดือดร้อน กลายเป็นว่าท่านสายตาไม่ดีถึงได้มาทำการค้ากับคนโง่”
ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าตัวดี ยังพอจะสั่งสอนได้บ้าง”
ฝ่ามือของชุยตงซานวางอยู่บนเม็ดหมากที่อยู่ในโถ ถูฝ่ามือเบาๆ พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ผู้ฝึกกระบี่ของแผ่นดินกลางคนหนึ่งที่ฉลาดมากพออีกทั้งยังกล้าตายโดยไม่เสียดายชีวิต อวี้เจวี้ยนฟูที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวซึ่งมีชาติกำเนิดมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเหมือนกันย่อมไม่มีทางรังเกียจได้ คนตระกูลอวี้ หรือแม้แต่ตาเฒ่าเสินโจวจือ ผู้นั้น เจ้าคิดว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไรต่อผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มที่อวี้เจวี้ยนฟูไม่รู้สึกรังเกียจ? เป็นเรื่องเล็กที่จะมีหรือไม่มีก็ได้หรือ? ตาแก่ตระกูลอวี้ โจวเสินจือ พวกตาแก่หนังเหนียวเหล่านี้เคยเห็นคนฉลาดครึ่งๆ กลางๆ อย่างหลินจวินปี้คนเดิมในอดีตมาน้อยนักหรือ? ตาเฒ่าตระกูลอวี้ใช้ฝ่ามือเดียวควบคุมการดับสูญและการ ลุกผงาดของสองราชวงศ์ใหญ่ มีคนฉลาดแบบไหนบ้างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ตาแก่โจวมีชีวิตอยู่มาหลายพันปี เห็นการขึ้นการลงของเรื่องราวทางโลกมามากมายแล้ว คนที่พวกเขาพบเห็นมาน้อย ก็คือคนหนุ่มที่ทั้งฉลาดแล้วก็โง่เขลาในเวลาเดียวกัน เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิตชีวา ไม่เห็นฟ้าดินอยู่ในสายตา แต่บนร่างกลับเต็มไปด้วยความมุทะลุดุดันเปี่ยมด้วยพลัง กล้าสละชื่อเสียง ไม่เสียดายชีวิต”
ชุยตงซานยกมือขึ้น ขยับออกห่างโถเก็บเม็ดหมากมาชุ่นกว่า บิดหมุนข้อมือเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “นี่ก็คือการเปลี่ยนแปลงในจุดที่ละเอียดอ่อนของใจคน เป็นทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่งดงาม เพียงแต่พวกเจ้ามองไม่เห็นความจริงก็เท่านั้น จิตใจละเอียดอ่อน ดุจเส้นผม? ผู้ฝึกตนกับคนเป็นเทพเซียน มีสายตาที่ดีแต่ดันไม่ใช้ แกล้งทำเป็นคน ตาบอด ฝึกตน ฝึกจิตใจกะผายลมอะไร เจ้าหลินจวินปี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นคนบนภูเขาที่จะได้หยัดยืนอย่างสูงส่งอยู่ในราชวงศ์ หากไม่เข้าใจจิตใจของคน จะวิเคราะห์ใจคน รู้จักคน จะใช้คน ควบคุมคนได้อย่างไร? จะใช้จิตใจคนได้อย่าง ไม่เกิดข้อกังขาได้อย่างไร?”
หลินจวินปี้รู้สึกชื่นชมยินดีจากใจจริง เอ่ยอย่างจริงจังว่า “อาจารย์ชุยสูงส่งแจ่ม กระจ่าง หลินจวินปี้ได้รับการสั่งสอนแล้ว”
ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น “สูงส่งแจ่มกระจ่าง? ใช้คำพูดที่ธรรมดาสามัญแบบนี้มาบรรยายตัวข้าอย่างนั้นหรือ?”
หลินจวินปี้ส่ายหน้า “ทั้งสูงส่งทั้งแจ่มกระจ่าง! นั่นก็มีเพียงดวงตะวันจันทราเท่านั้น! นี่คือขอบเขตที่ข้ายินดีใช้เวลาทั้งชีวิตไล่ตามหา ไม่ใช่ความสูงส่งแจ่มกระจ่าง (ปราดเปรื่อง/เฉลียวฉลาด) ตามปากคนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน”
ชุยตงซานหัวเราะร่าเสียงดัง “คำประจบนี้นับว่ามีมาดของภูเขาบ้านข้าอยู่มาก ดีมากๆ วันหน้าหากมีโอกาส ไม่แน่ว่าถ้าข้าอยากจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์จริงๆ เจ้าก็สามารถไปจุดธูปโขกหัวกราบไหว้ภาพเหมือนที่ศาลบรรพจารย์ได้”
อันที่จริงในใจของหลินจวินปี้มีการคาดเดาอย่างหนึ่งแล้ว เพียงแต่ว่ามันน่าเหลือเชื่อเกินไป จึงไม่ค่อยกล้าเชื่อเท่าใดนัก
ชุยตงซานหุบยิ้ม ก้มหน้ามองกระดานหมากแวบหนึ่ง ยื่นฝ่ามือออกไปปาดหนึ่งครั้ง เม็ดหมากทั้งหมดก็ร่วงลงสู่โถเก็บเม็ดหมาก จากนั้นก็คีบเม็ดหมากสีดำเม็ดเดียวมาวางลงบนกระดานหมาก ตามด้วยเม็ดหมากสีขาวหลายเม็ดวางล้อมกันเป็นวงใหญ่
ชุยตงซานเอ่ย “ในเมื่อยินดีอบรมปลูกฝังเจ้าดั่งเป็นลูกศิษย์ครึ่งตัว ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ควรจะเอาความสามารถที่แท้จริงออกมาสักหน่อย ยกตัวอย่างให้เหยียนลวี่เป็นหมากสีดำเม็ดนี้ เจ้าต้องทำให้หมากสีดำเม็ดนี้รู้สึกว่าตัวเองมีอิสระอย่างมาก ฟ้าดินกว้างใหญ่ไร้พันธนาการ ชีวิตคนเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่จิตใจของเขา ความคิดทั้งหมดของเขา แท้จริงแล้วล้วนอยู่ในการควบคุมของเจ้า ต้องการให้เขาเป็น หรือต้องการให้เขาตาย ต้องการให้เขารุ่งเรืองหรือล่มจม ล้วนอยู่ในการคิดคำนวณของเจ้า”
หลินจวินปี้คิดว่าเหตุผลข้อนี้ค่อนข้างตื้นเขิน ไม่ยากที่จะทำความเข้าใจ
จากนั้นชุยตงซานก็วางเม็ดหมากสีดำอีกหลายเม็ดเป็นวงกลมไว้ด้านนอกซึ่งใหญ่กว่าวงกลมของหมากขาว “นี่ก็คือจิตใจของตาแก่โจว ตาแก่ตระกูลอวี้ เจ้าควรจะฝ่าสถานการณ์นี้ออกไปอย่างไร?”
หลินจวินปี้ใช้ความคิดอยู่นาน ก่อนจะยกหลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก ส่ายหน้าเอ่ยว่า “มิอาจคลี่คลาย ถึงขั้นที่ว่าไม่ต้องคิดจะฝ่าสถานการณ์นี้ออกไป”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ไม่เลว ถูกอยู่ครึ่งหนึ่ง”
ชุยตงซานคีบหมากสีขาวขึ้นมาหนึ่งเม็ด โยนไว้บนกระดานด้านนอกหมากสีดำ “สถานการณ์บนกระดานหมากยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ทันทีทันใด แต่ชีวิตคนไม่ใช่การเล่นหมากล้อมที่คนเล่นก่อนกับเล่นหลังต่างกันแค่หมากเม็ดเดียวเท่านั้น แต่อย่าลืมล่ะว่าใจคนไร้พันธนาการ ดังนั้นจึงสามารถโยนความคิดหนึ่งไปซ่อนอยู่ไกลๆ เบิกตากว้างมองฟ้าดินซึ่งเป็นกระดานหมากที่ใหญ่ยิ่งกว่าให้ละเอียด โจวเสินจือจะนับเป็นอะไรได้ นี่ก็คือการฝึกจิตใจ”
หลินจวินปี้จ้องนิ่งไปยังกระดานหมากที่ไม่ได้อยู่แค่ในตำราหมากล้อมแล้วจมสู่ภวังค์ความคิด
“ฝูงกวางส่งเสียงร้องอย่างเบิกบาน แทะหญ้ากินผลไม้อยู่ในป่าอย่างเสรี ข้ามีสุราเลิศรส เป่าขลุ่ยตีกลอง น่าเสียดายที่ไร้แขกผู้มีเกียรติมาเยือน”
ชุยตงซานดึงสายตาที่มองไปยังผืนแผ่นดินกลับมา หันไปมองท้องฟ้าแทน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนบนภูเขา ท่านที่อยู่กลางก้อนเมฆ เห็นนกบินผ่าน สีขาวแถบใหญ่ล่องลอย”
บนหัวกำแพงเมืองเวลานี้หลินจวินปี้เองก็กำลังแหงนหน้ามองท้องฟ้าเลียนแบบ ‘เด็กหนุ่มชุดขาว’ คนนั้น
คนผู้นั้นก็คือชุยฉาน คนที่เล่นหมากล้อมจนเกิด ‘ตำราเมฆหลากสี’
ถึงขั้นที่ว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของเขายังเหนือกว่าชุยฉานในอดีตอีกด้วย
หลังจากที่เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นเก็บโถและกระดานหมากแล้วลุกขึ้นยืน ประโยคสุดท้ายที่เขาเอ่ยกับหลินจวินปี้ก็คือ “สอนเรื่องพวกนี้ให้แก่เจ้า ก็เพื่อบอกกับเจ้าว่า การวางแผนเล่นงานใจคนเป็นเรื่องไร้ความหมาย ไม่ได้ประโยชน์เลย ไม่ได้ประโยชน์ใดๆ”
เฉินผิงอันไม่ได้ตรงกลับไปที่จวนหนิง แต่ไปที่ร้านเหล้ามารอบหนึ่ง
ร้านเหล้าไม่ได้ปิดร้าน เพียงแต่ไม่มีลูกค้า
เด็กหนุ่มสองคนที่มาช่วยงานระยะยาวในร้านเหล้าก่อนหน้านี้อย่างจางเจียเจินและเจี่ยงชวี่ได้เดินทางไปยังภูเขาห้อยหัวอย่างลับๆ เหมือนกับผู้ฝึกกระบี่ชุยเหวยแล้ว จ้งชิว เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างเดินทางไปท่องเที่ยวที่ทักษินาตยทวีป ส่วนเด็กหนุ่มสองคนกลับติดตามชุยตงซานไปที่แจกันสมบัติทวีป
ตอนนี้คนสามคนที่มาช่วยงานในร้าน เด็กหนุ่มชื่อชิวหล่ง เด็กสาวชื่อหลิวเอ๋อ เด็กชายที่อายุน้อยที่สุดชื่อว่าเถาป่าน ล้วนเป็นลูกจ้างร้านที่เตี๋ยจ้างเลือกมาด้วยตัวเอง คือเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกับนางดี
เถาป่านไม่ค่อยเหมือนกับเฝิงคังเล่อที่เป็นคนวัยเดียวกันเท่าใดนัก เฝิงคังเล่อที่อายุน้อยๆ ก็เริ่มเก็บเงินแต่งเมียแล้วเป็นคนที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้จักสังเกตสีหน้าคนอื่น ขับเรือไปตามกระแสลม แต่เถาป่านกลับเหลือแต่คำว่า ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเท่านั้น เป็นคนดื้อดึงคนหนึ่ง ชิวหล่งและหลิวเอ๋อที่เดิมทีนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะ พอเห็นเถ้าแก่รองที่ใจดีเป็นมิตรก็ยังคงตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก รีบลุก ขึ้นยืน ราวกับรู้สึกว่านั่งอยู่ที่โต๊ะก็คือการแอบอู้ เฉินผิงอันยิ้มพลางยื่นมือมากดลงบน ความว่างเปล่าสองที “ลูกค้าไม่มี พวกเจ้าก็ทำตัวตามสบายเถอะ”
มีเพียงเถาป่านที่นั่งฟุบตัวเหม่อลอยอยู่ที่โต๊ะเหล้าอีกตัวหนึ่ง กำลังมองถนนใหญ่ที่ไร้ผู้คน
เฉินผิงอันนั่งลงที่โต๊ะตัวนั้น ยิ้มถามว่า “ทำไม แย่งภรรยากับเฝิงคังเล่อไม่ได้ ก็เลยอารมณ์ไม่ดีงั้นหรือ?”
เถาป่านพูดอย่างอัดอั้นว่า “เถ้าแก่รอง ท่านลองบอกมาหน่อยสิว่าสรุปแล้ว ข้าใช่ตัวอ่อนกระบี่ที่ไม่ว่าใครก็มองไม่ออกหรือไม่”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้
จากนั้นเฉินผิงอันก็ตบโต๊ะ “ไปหิ้วเหล้ามาให้ข้ากาหนึ่ง กติกาเดิม”
เถาป่านไม่เต็มใจลุกขึ้น จึงตะโกนขึ้นว่า “พี่หญิงหลิวเอ๋อ เอาเหล้ามาให้เถ้าแก่รอง กาหนึ่ง อย่าลืมเก็บเงินด้วยล่ะ”
เฉินผิงอันควักเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกมายื่นส่งให้หลิวเอ๋อ บอกว่า ไม่ต้องการบะหมี่หยางชุนและผักดอง แค่ดื่มเหล้าอย่างเดียว เพียงไม่นานเด็กสาว ก็หยิบเหล้าหนึ่งกาและชามสีขาวหนึ่งใบมาวางไว้ให้บนโต๊ะเบาๆ
เฉินผิงอันรินเหล้าถ้าสวรรค์จู๋ไห่หนึ่งชาม จิบเหล้าหนึ่งคำ
เถาป่านยืดตัวนั่งตรง แล้วก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะอีกครั้ง ด้วยความเบื่อหน่ายจึงใช้ นิ้วมือเคาะโต๊ะ เอ่ยว่า “เถ้าแก่รอง ข้าเองก็ไม่อยากขายเหล้าไปตลอดชีวิตหรอกนะ”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยากทำอะไร?”
เถาป่านตอบ “ข้าเองก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน”
เฉินผิงอันจึงดื่มเหล้า ไม่เอ่ยอะไรอีก
เถาป่านหาเรื่องชวนคุย “เถ้าแก่รอง ท่านรู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วมีคนมากมายที่พูดถึงท่านลับหลังในทางที่ไม่ดี ลูกค้าหลายคนที่มาดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าต่างก็ช่วยทวงความเป็นธรรมแทนท่าน คำพูดหลายๆ อย่างแค่ฟังก็ชวนให้คนโมโหแล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้หรอก ไหนเจ้าลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ?”
เถาป่านจึงเริ่มพูดถึงถ้อยคำที่ตัวเองได้ยินมารัวยาวราวกับเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ ไม่มีตกหล่นแม้แต่ประโยคเดียว
เถาป่านเห็นว่าเถ้าแก่รองเอาแต่ดื่มเหล้า ไม่มีท่าทีจะโมโห เด็กน้อยจึงโมโหแทน เขาพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เถ้าแก่รอง หูท่านไม่ได้หนวกสักหน่อย สรุปแล้วได้ฟังที่ข้าเล่าบ้างหรือไม่”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ฟังอยู่”
ลมตะวันออกพัดให้เมล็ดต้นหลิวปลิวปราย ลมตะวันออกพัดให้เมล็ดต้นหลิวร่วงลง
ลมตะวันออกเหมือนกัน เมล็ดต้นหลิวเหมือนกัน แต่ก็มีทั้งขึ้นมีทั้งลง จะต้อง คิดมากไปไย
เพียงแต่ว่าหลักการเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ไร้รสชาติน่าเบื่อเกินไป ยิ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอามาพร่าพูดให้เด็กคนหนึ่งฟัง
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงแสร้งพูดเหมือนขุ่นเคืองอย่างคนที่รู้สึกตัวช้าว่า “พวกตะพาบกลุ่มนี้ น่าโมโหเกินไปแล้ว”
เด็กชายทำท่าคันไม้คันมือขึ้นมาทันใด “พวกเราทำอะไรสักหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันถือชามเหล้าค้างไว้ในมือ เหล่ตามองอีกฝ่าย “เจ้าจะช่วยข้าต่อสู้หรือจะช่วยดูต้นทางให้ข้าล่ะ?”
เถาป่านถอนหายใจ กลับไปฟุบตัวลงบนโต๊ะอีกครั้ง “ตอนที่ลูกค้ามาก ข้าก็รำคาญว่าต้องเหนื่อย แต่พอไม่มีลูกค้า ข้ากลับรู้สึกอุดอู้ นี่มันเป็นยังไงกันนะ”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ก็นั่นน่ะสิ นี่มันเป็นยังไงกันแน่”
เถาป่านถลึงตาใส่ “ท่านนี่มันน่าเบื่อจริงๆ นักเล่านิทานก็ไม่เป็นแล้ว ร้านนี่ก็ไม่ค่อยจะมาสนใจดูแล ไม่รู้ว่าวันๆ มัวแต่ยุ่งทำเรื่องอะไรอยู่”
เฉินผิงอันโบกมือ “ข้าจ่ายเงินซื้อเหล้าก็ควรจะได้ผักดองหนึ่งจานและบะหมี่หยางชุนหนึ่งถ้วย ล้วนยกให้เจ้าแล้ว”
เถาป่านยิ้มกว้างทันใด
หลิวเอ๋อที่เงี่ยหูฟังบทสนทนาของทางฝั่งนี้อยู่ตลอดเวลารีบไปบอกให้ท่านอาเฝิงให้ช่วยทำบะหมี่หยางชุนชามหนึ่งให้กับเถ้าแก่รอง
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอย่างเนิบช้า
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงหายนะที่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วแห่งสวนสิงโตแคว้นชิงหลวนต้องเผชิญ
บัณฑิตที่รักษาชื่อเสียงวางตัวดีมาโดยตลอดย่อมต้องให้ความสำคัญกับชื่อเสียงที่สุด ดังนั้นจึงกลัวว่าจะล้มเหลวในช่วงบั้นปลายชีวิตมากที่สุด
ชุยตงซานบอกว่าวิธีการอำมหิตที่เชื่อมต่อกันเป็นทอดๆ เหล่านั้นล้วนเป็นวิธีการที่หลิ่วชิงเฟิงบุตรชายคนโตของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าคิดขึ้นมา หลี่เป่าเจินคนบ้านเดียวกันของเมืองเล็กเพียงแค่ทำตามเท่านั้น
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเหลาสุราน้อยใหญ่ที่อยู่บนถนนใหญ่ด้านหลังตัวเอง มองถนนที่ว่างเปล่าเส้นนั้น
อันที่จริงคนเหล่านั้นที่เอ่ยถ้อยคำอย่างที่เถาป่านเล่าให้ฟัง ไม่ได้ทำให้เฉินผิงอันประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย หรือถึงขั้นพูดได้ว่า เดาได้ตั้งนานแล้ว ก็เหมือนตัวอักษรริมขอบตราประทับที่เฉินผิงอันสลักลงไปซึ่งไม่ว่าจะเป็นคนหรือเรื่องราวบนโลกมนุษย์ก็ล้วนไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน
สำหรับเฉินผิงอันในทุกวันนี้แล้ว คิดอยากจะโกรธก็ยังยากแล้ว
ส่วนความผิดหวังนั้น ก็ยิ่งอยู่ห่างไกลเข้าไปใหญ่
คงต้องเคยมีคนที่พบเจอคุณชายเฉินซานชิวโดยบังเอิญที่โต๊ะเหล้า ที่ตรอกไท่เซี่ยง หรือไม่ก็ที่ตรอกอวี้ฮู้ ยามที่ใครบางคนหวังประจบเอาใจแต่กลับไม่ได้ผล ก็จะเริ่ม แอบอาฆาตแค้นเฉินซานชิว เถ้าแก่รองเป็นเพื่อนกับเฉินซานชิว ถ้าอย่างนั้นแม้แต่ เฉินผิงอันก็พลอยโดนเกลียดไปด้วย
แล้วก็ต้องมีผู้ฝึกกระบี่บางคนที่ดูแคลนชาติกำเนิดของเตี๋ยจ้าง แต่กลับอิจฉา ในโชควาสนาและตบะของนาง ยิ่งชิงชังความเอะอะวุ่นวายของร้านเหล้า ชิงชัง เถ้าแก่รองที่อายุน้อยแต่กลับเป็นคนเด่นดังมีหน้ามีตา
เคยมีคนวัยเดียวกันที่ดูหมิ่นเหยียดหยามเจ้าอ้วนเยี่ยนตามคนอื่น ภายหลัง ยิ่งขอบเขตของเยี่ยนจั๋วสูงมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเหยียดตามองดูแคลนก็กลายเป็นว่าต้องแหงนหน้ามองเยี่ยนจั๋วที่สนิทสนมกับจวนหนิงและเฉินผิงอัน คนกลุ่มนี้ต้องรู้สึกจิตใจไม่เป็นสงบ เห็นแล้วไม่สบอารมณ์อย่างแน่นอน
แล้วก็ต้องมีลูกค้าร้านเหล้าอายุน้อยที่พยายามจะตีสนิทเถ้าแก่รองที่ร้านเหล้าของเตี๋ยจ้าง เพียงแต่รู้สึกว่าดูเหมือนตนกับเถ้าแก่รองจะคุยกันไม่รู้เรื่อง แรกเริ่มก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่ว่ายิ่งชื่อเสียงของเฉินผิงอันโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ในใจคนเหล่านั้นจึงยิ่งรู้สึกว่าตัวเองต้องสูญเสียผลประโยชน์ นานวันเข้าจึงไม่มาซื้อเหล้าที่ร้านอีกแล้ว และยังชอบเปลี่ยนร้านเหล้าไปเรื่อยๆ กับสหายของพวกเขา ไปถึงที่ไหนก็นินทาร้านเหล้าเล็กๆ กับเฉินผิงอันด้วยความสาแก่ใจ ยิ่งคนคล้อยตามมีมากเท่าไร รสชาติของสุราก็ยิ่งดีมากเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดได้ว่าตนเคยเสแสร้งมานั่งดื่มเหล้ากินผักดองอยู่ข้างทางกับพวกผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ในใจคนเหล่านี้ก็จะยิ่งคับแค้น ดังนั้นจึงแต่งเรื่องนินทา ว่าร้ายร้านเหล้าอย่างเอาจริงเอาจังมากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งร้านเหล้าครึกครื้นเท่าไร ยิ่งกิจการดีมากเท่าไร ยามคนที่ไปดื่มเหล้าอยู่ที่อื่นแล้วพูดจาระคายหูเกี่ยวกับร้านเหล้ากวาดตามองไปรอบกาย ต่อให้ข้างกายจะมีคนไม่กี่คน ก็ยังมีเหตุผลมากมายมาใช้ปลอบใจตัวเอง ถึงขั้นยังรู้สึกว่าทุกคนต่างก็เมามาย ตนต่างหากที่มีสติ คนสองคนสามคนจับกลุ่มกันหาความอบอุ่น ยิ่งกลายเป็นคนรู้ใจของกันและกัน กลับกลายเป็นว่ายิ่งมีความจริงใจต่อกัน
ในคัมภีร์พระพุทธเคยกล่าวว่า สายฝนให้ความชุ่มฉ่า แต่พืชหญ้านั้นมีความแตกต่าง
อันที่จริงความหมายก็ไม่ต่างจากคำโบราณที่บอกว่าข้าวหนึ่งแบบเลี้ยงคนร้อยแบบสักเท่าใด
ไม่อย่างนั้นไม่ว่ากับใครก็ล้วนเป็นเรื่องที่ง่ายดายไปเสียหมด
ไม่ว่าจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรืออริยะผู้มีคุณธรรมของลัทธิขงจื๊อ ไม่ก็อริยะปราชญ์ของร้อยสำนัก ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่บนโลก ขอแค่คนใกล้ตัวคิดจะฟื้นฝอยหาตะเข็บก็สามารถถูกปฏิเสธ สังหารคนอื่นอยู่ในใจของข้าได้อย่างง่ายดาย
เรื่องที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ ล้วนต้องทำ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นแกะดำ แล้วก็จะแค่ทำอย่างเดียวเท่านั้นไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นจะดูธรรมดาสามัญเกินไป สุดท้ายคนที่เสียเปรียบก็คือตัวเอง
หากต้องเปลี่ยนไปเป็นยอมรับคนคนหนึ่งจากใจจริง กลับจะเป็นเรื่องที่ยากมาก
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอึกใหญ่ เหล้าในชามหมดแล้วก็รินเพิ่มอีกหนึ่งชาม
มองเถาป่านที่กำลังสวาปามกินอาหาร เฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยว่า “กินช้าๆ หน่อย ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก”
เถาป่านไม่สนใจ
เฉินผิงอันดื่มเหล้า เริ่มคิดถึงบ้านเกิดขึ้นมาบ้างแล้ว
ตอนยังเป็นเด็ก ยามอยู่ในเมืองเล็ก เด็กคนหนึ่งเคยปีนต้นไม้เพื่อไปเอาว่าวที่สายป่านขาดซึ่งติดอยู่บนกิ่งไม้สูงลงมา ผลกลับกลายเป็นถูกคนอื่นมองว่าเป็นหัวขโมยน้อย
เคยมีครั้งหนึ่งมองดูคนวัยเดียวกันเล่นสนุกอยู่ในสุสานเทพเซียนไกลๆ มีคนถูกงูกัด เด็กคนนั้นจึงรีบเอาตำรับยาสมุนไพรซึ่งเป็นความรู้ที่สอบถาม แอบเรียน แอบฟังมาจากร้านตระกูลหยางมาช่วยโปะยาบนแผลของเด็กที่ถูกงูกัด
นับแต่นั้นมา พอเห็นถ่านดำน้อยของตรอกหนีผิงที่มักจะอยู่ตัวคนเดียว คอยมามองพวกเขาเล่นสนุกกันอยู่ไกลๆ คนที่ด่าหยาบคายที่สุด ขว้างก้อนหินเต็มแรงที่สุดกลับเป็นคนวัยเดียวกันที่เคยพูดคุยเคยสัมผัสกับเด็กกำพร้าตรอกหนีผิงผู้นี้เสมอ
ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แต่พอเริ่มโตขึ้นก็เริ่มเข้าใจ ที่แท้หากไม่ทำเช่นนี้ พวกเขาจะเสียเพื่อนของตัวเองไป
แต่เรื่องนี้ไม่เคยถ่วงรั้งให้เด็กเหล่านั้นเติบโตมาแล้วกลายเป็นคนไม่รู้จักกตัญญูตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ช่วยคนแก่ในตรอกใกล้เคียงหิ้วถังน้า ช่วยแย่งน้าจากผืนนาคนอื่นกลางดึก
แต่ก็มีคนอายุน้อยบางคนที่กลายไปเป็นคนเจ้าเล่ห์ไม่แยแสใคร บางคนก็โชคดีหน่อย ได้กลายเป็นลูกสมุนของลูกหลานคนมีเงินบนถนนฝูลวี่หรือไม่ก็ตรอกเถาเย่ แต่ละวันหากหาโอกาสได้ก็จะถลึงตากว้างดุดัน แสร้งทำท่าว่าเป็นคนโหดเหี้ยม
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ไม่เคยถ่วงรั้งคนบางคนในกลุ่มคนเหล่านี้ที่พอได้รับเงินเป็นรางวัลแล้วก็จะกลับบ้านไป พาพวกน้องชายน้องสาวที่สวมเสื้อผ้าเก่าขาด สวมรองเท้าที่หัวแม่โป้งมักจะโผล่ออกมา ‘ยืนอยู่นอกประตู’ ตลอดทั้งปีไปจับจ่ายซื้อของฉลอง วันปีใหม่อย่างมือเติบ จากนั้นก็ให้พ่อแม่ทำอาหารมื้อใหญ่อุดมสมบูรณ์ ครอบครัว อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ฉลองเทศกาลกันอย่างครึกครื้น
พวกเขาจะทำของเล่นเล็กๆ น้อยๆ อย่างแมลงปอไม้ไผ่ (คอปเตอร์ไม้ไผ่) ดาบไม้ไผ่ กระบี่ไม้ไผ่ ฯลฯ ให้กับน้องชายน้องสาว
แล้วก็มีคนที่ตอนเด็กจิตใจชั่วร้ายกันทั้งครอบครัว โตมาก็ยังคงเป็นเช่นนี้ จากนั้นพอแต่งงานมีลูก ชีวิตแต่ละวันผ่านพ้นไปได้ แต่ก็ไม่ถือว่าดีนัก คนทั้งครอบครัวไม่เคยทะเลาะถกเถียงกับความผิดความถูกใดๆ ความรู้ความเข้าใจทั้งหมดของคนทั้งครอบครัวราวกับว่าจะมีความกลมเกลียวของฟ้าดินเล็กๆ อย่างหนึ่ง ต่อให้เฉินผิงอันเคยเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร อันที่จริงตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ภายหลังเดินทางผ่านยุทธภพมามากมาย อ่านหลักการเหตุผลในตำรามาไม่น้อย ถึงได้รู้สาเหตุ
เด็กของตรอกหนีผิงคนนั้นเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน สำหรับสิ่งที่ต้องประสบพบเจอในยามเยาว์ ทุกครั้งในช่วงเวลานั้นๆ ก็มักจะมีความไม่สบายใจ มีความน้อยเนื้อต่ำใจน้อยใหญ่อยู่เสมอ
ได้แต่นั่งอยู่เพียงลำพัง โคลงศีรษะไปมาเล่นดึงหญ้าอยู่กับตัวเอง หรือไม่ก็ปั้นตุ๊กตาดินตัวเล็กๆ ที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างตามแบบเทวรูปผุพังเบื้องหน้าอยู่ในสุสาน เทพเซียน
แล้วบางครั้งก็หยิบกิ่งไม้มากิ่งหนึ่ง เดินกระโดดโลดเต้นอยู่บนทางที่มีต้นหญ้า รกครึ้ม ใช้กิ่งไม้ต่างกระบี่ ฟาดฟันต้นหญ้าไปตลอดทาง หอบหายใจหนักหน่วง อารมณ์ดีอย่างมาก
บางครั้งก็ปวดฟันจนหน้าบวมแดง ได้แต่เคี้ยวยาสมุนไพรตำรับพื้นบ้านอยู่ในปาก ไม่อยากพูดไปหลายวัน
แต่ขอแค่ไม่เจ็บป่วยไม่เจอกับภัยพิบัติ ไม่เจ็บปวดตรงส่วนใดของร่างกาย ต่อให้กินอิ่มมื้อหนึ่งหิวมื้อหนึ่งก็ถือว่าโชคดีแล้ว
แล้วก็เคยมีบางคืนที่ดึกแล้วก็ยังนอนไม่หลับ ก็เลยวิ่งไปที่บ่อโซ่เหล็กหรือไม่ก็ใต้ต้นไหวโบราณ เด็กน้อยตัวคนเดียวที่ได้แต่มองดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้าก็จะรู้สึกราวกับว่าตนไม่มีอะไรเลยสักอย่าง แต่ก็คล้ายจะมีครบทุกอย่างด้วย
ภายหลังเจ้าเด็กขี้มูกยืดที่อยู่ตรอกเดียวกันคนนั้นเติบโตแล้ว เดินได้แล้ว พูดได้แล้ว
เด็กหนุ่มรองเท้าเตะของตรอกหนีผิงก็ได้เจอกับหลิวเสี้ยนหยาง
ภายหลังได้ไปเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกร ถึงได้รู้สึกว่าชีวิตมีความหวังเพิ่มมากขึ้น
ต้องคอยดูแลเจ้าเด็กขี้มูกยืดให้มากหน่อย ต้องเรียนรู้วิชาความสามารถมาจากหลิวเสี้ยนหยางให้มากหน่อย
เฉินผิงอันหวังว่าในอนาคตคนทั้งสามจะต้องได้กินอิ่มสวมเสื้อผ้าอบอุ่น ไม่ว่าต่อจากนี้พบเจอกับอะไร ไม่ว่าจะเป็นหายนะใหญ่หรืออุปสรรคเล็ก พวกเขาก็สามารถเดินผ่านไปได้อย่างราบรื่น อดทนจนมันผ่านพ้นไป อดทนจนมีวันที่ได้ลืมตาอ้าปาก
เจ้าเด็กขี้มูกยืดบอกว่าตัวเองจะต้องหาเงินก้อนใหญ่ให้แม่ของเขาได้สวมใส่เครื่องประดับเงินทองออกจากบ้านทุกวัน แล้วจะต้องย้ายไปอยู่ในเรือนบนถนนฝูลวี่
ถึงเวลานั้นพวกตะพาบทั้งหลายที่เคยรังแกพวกเขาสองแม่ลูก ตนไม่ไปหาเรื่องพวกเขา ตัวพวกเขาเองกลับรู้สึกหวาดกลัวจนอยากตายเสียก่อน พวกเขาต้องตบปากตัวเอง แล้วยังต้องหิ้วเป็ดไก่มาขอขมาถึงที่บ้าน ไม่อย่างนั้นเขากู้ช่านก็ไม่มีทางให้อภัยพวกเขา เมื่อก่อนเคยด่าเขาหนึ่งร้อยคำ เขาก็จะด่ากลับไปหลายร้อยคำ เมื่อก่อนเคยถีบเขาหนึ่งครั้ง เขาก็จะถีบกลับเจ็ดแปดครั้ง ถีบจนอีกฝ่ายกลิ้งตลบอยู่บนพื้นจนเกือบตาย
หลิวเสี้ยนหยางบอกว่าอยากกลายเป็นคนที่มีฝีมือดีที่สุดในเตาเผาทุกแห่ง ต้องการเรียนรู้วิชาความสามารถทั้งหมดมาจากผู้เฒ่าเหยาให้ได้ เครื่องปั้นที่เขา เผาเองกับมือจะกลายเป็นของที่ตาเฒ่าฮ่องเต้วางไว้บนโต๊ะ
แล้วยังจะถูกตาเฒ่าฮ่องเต้มองเป็นสมบัติสืบทอดของตระกูลด้วย ต่อให้วันใด อายุมาก กลายเป็นตาแก่แล้ว เขาหลิวเสี้ยนหยางก็จะต้องมีบารมีชื่อเสียงได้ยิ่งกว่า ผู้เฒ่าเหยา จะด่าพวกลูกศิษย์และนักเรียนที่มือเท้างุ่มง่ามให้หูแฉะทุกวัน
หลิวเสี้ยนหยางยังหวังว่าหนึ่งหมัดของตัวเองจะต่อยก้อนอิฐให้แตกกระจายได้อย่างง่ายดาย เดินก้าวเดียวก็สามารถข้ามธารน้าช่วงที่กว้างที่สุดได้ ทุกคนที่เคยเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียน ทุกคนที่เคยแต่งบทกวีบทกลอนได้ ล้วนจะต้องมองเขา หลิวเสี้ยนหยางเสียใหม่ ขอร้องให้ตาเฒ่าหลิวอย่างเขาช่วยเขียนกลอนคู่ให้
ยามนั้นอันที่จริงคนทั้งสามคนที่มีชาติกำเนิดพอๆ กันต่างก็รู้สึกว่าความปรารถนาของตัวเองใหญ่มากแล้ว ใหญ่ที่สุดแล้ว
แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่า เมื่อเทียบกับสิ่งที่พบเจอในชีวิตภายหลังของคนทั้งสามแล้ว ความปรารถนาในเวลานั้นที่ใหญ่ถึงเพียงนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใหญ่อะไรเลย ถึงขั้นพูดได้ว่าเล็กมากด้วย
เพียงแต่กู้ช่านกลายมาเป็นคนที่พวกเขาสามคนเกลียดมากที่สุดในเวลานั้น
หลิวเสี้ยนหยางเองก็ไม่ได้กลายเป็นจอมยุทธใหญ่ แต่กลายเป็นบัณฑิตที่สมชื่อคนหนึ่ง
ส่วนเฉินผิงอันที่แค่อยากมีชีวิตที่สงบสุขมั่นคง ก็ไม่ได้มีชีวิตที่สงบมากขนาดนั้น
หาเงินมาได้ไม่น้อย ท่องผ่านยุทธภพไปไกลมากๆ ได้เจอคนและเรื่องราวหลายๆ อย่างที่ในอดีตไม่แม้แต่จะกล้าคิด ไม่ได้เป็นเด็กน้อยรองเท้าสานที่สะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรอีกแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นสะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ ใบหนึ่งที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ บรรจุเรื่องราวน้อยใหญ่ตลอดเส้นทางชีวิตที่ตัดใจ ลืมไม่ลง ก็เลยเก็บมาใส่ไว้ในตะกร้าด้านหลังจนเต็ม
จุดจบของเรื่องราวบางอย่างอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบงดงาม คนมีรัก ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ครองรักกันอย่างยาวนาน คนดีก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ดีตอบแทน การจากลาที่บางครั้งในช่วงเวลานั้นไม่ได้รู้สึกเสียใจ แท้จริงแล้วกลับไม่มีโอกาสได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง จุดจบของเรื่องราวบางอย่างงดงาม แต่ขณะเดียวกันก็มีความเสียดายแฝงอยู่ ส่วนเรื่องราวบางอย่างก็ยังไปไม่ถึงจุดจบ
แต่เฉินผิงอันเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า พบเจอแสงสว่างในที่มืดมิด ความหวังบังเกิดในยามอับจนสิ้นหวัง คำกล่าวนี้ต้องไม่ผิดแน่นอน
เฉินผิงอันวางชามเหล้าลง สีหน้าเหม่อลอย
หวนนึกถึงผู้เฒ่าเหยาคนที่ชอบเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ คนที่ชอบอยู่เพียงลำพัง
จำได้ว่าครั้งแรกที่ติดตามผู้เฒ่าเหยาขึ้นเขาไปหาดินที่เหมาะแก่การนำมาเผาเครื่องปั้น อยู่ดีๆ ก็มีหิมะใหญ่ตกลงมา ลมหนาวเสียดแทงเข้ากระดูก หิมะทับถมหนาท่วมหัวเข่าจนเด็กหนุ่มรองเท้าสานที่สวมเสื้อผ้าบางเบาเกือบจะแข็งตาย
ผู้เฒ่าที่เงียบขรึมเอาแต่เร่งเดินทางอยู่เบื้องหน้า เพียงแต่ว่าชะลอฝีเท้าลง อีกทั้งยังเอ่ยสองประโยคอย่างที่หาได้ยาก ‘เดินบนทางภูเขายามหน้าหนาว ฟ้าเยือกเย็นดินหนาวเหน็บ กว่าจะหาเงินมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ตัดใจควักเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่ง ไม่ลงก็เพื่อจะให้ตัวเองหนาวตายน่ะหรือ?’
‘อากาศหนาวหนทางยาวไกล ก็ต้องสวมเสื้อหน้าให้หนาๆ หน่อย เรื่องแค่นี้ ก็ไม่เข้าใจ? พ่อแม่ไม่สอนก็คิดเองไม่ได้อย่างนั้นหรือ?’
บนเส้นทางของลมหิมะที่ราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด เด็กหนุ่มที่ทรมานกับอากาศแล้วยังต้องเจอกับคำพูดทิ่มแทงใจ แม้อยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก
ผู้เฒ่าไม่สนใจสักนิดว่าเฉินผิงอันจะเป็นหรือตาย
แต่ในช่วงเวลาที่เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังแท้จริงอีกครั้งหนึ่งนั้นเอง กลับมีคนผู้หนึ่งไล่ตามมา ไม่เพียงแต่เอาห่อสัมภาระใบใหญ่ที่บรรจุชุดผ้าฝ้ายบุนวมตัวหนาและอาหารแห้งมาให้เฉินผิงอันเท่านั้น เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ยังด่าทอผู้เฒ่าที่เขาเคยโขกหัวคำนับเป็นอาจารย์ด้วยพิธีการจริงจังว่าไม่ใช่คนอีกด้วย
เฉินผิงอันไม่ทันตั้งตัวก็ถูกคนรัดคอแล้วกระชากให้ผงะถอยไปด้านหลัง
คนผู้นั้นไม่เพียงแต่ไม่หยุดเมื่อพอสมควร ยังออกแรงที่แขนข้างนั้นเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนมืออีกข้างก็ขยี้ศีรษะเฉินผิงอันอย่างแรง พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ตอนนี้ ตัวสูงขึ้นไม่น้อยเลยนี่นา! ถามข้าหรือยังว่ายอมตกลงหรือไม่?!”
เฉินผิงอันดวงตาแดงก่า พึมพำเบาๆ ว่า “ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้”
ในใต้หล้านี้ คนเพียงผู้เดียวที่สามารถชี้ไม้ชี้มือบงการชีวิตของเฉินผิงอัน อีกทั้งเฉินผิงอันยังยินดีรับฟัง ได้เดินทางมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
เพราะเขาก็คือหลิวเสี้ยนหยาง