กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 621 ทุกคนล้วนเป็นบัณฑิต
บทที่ 621 ทุกคนล้วนเป็นบัณฑิต
หลังจากหนิงเหยานั่งลงแล้ว หลิวเอ๋อก็รีบเอาเหล้าภูเขาชิงเสินที่ดีที่สุดกาหนึ่งมาให้ เด็กสาววางกาเหล้าและชามเหล้าไว้แล้วก็เดินจากไป ยังไม่ลืมหยิบชามเหล้าใบใหม่มาเพิ่มให้คนหนุ่มที่ดูท่าทางแล้วจะเจ้าอารมณ์ไม่น้อยคนนั้นด้วย เด็กสาวไม่กล้าอยู่นาน ส่วนเรื่องเงินค่าเหล้าไม่ค่าเหล้า จะขาดทุนหรือไม่ขาดทุนอะไรนั่น ก็อย่าว่าแต่ หลิวเอ๋อเลย ต่อให้เป็นเถาป่านที่จับตามองกิจการของร้านเหล้าอย่างใกล้ชิดที่สุดก็ยังไม่กล้าเอ่ยอะไร เด็กหนุ่มเด็กสาวและเถาป่านพากันไปหลบอยู่ในร้าน ก่อนหน้านี้ บทสนทนาระหว่างเถ้าแก่รองกับคนต่างถิ่นผู้นั้น พวกเขาใช้ภาษาของต่างถิ่น ไม่ว่าใครก็ฟังไม่เข้าใจ แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนมองออกว่า วันนี้เถ้าแก่รองผิดปกติอยู่บ้าง
ต่อมาเมื่อหนิงเหยานั่งลง พวกเขาสามคนก็ไม่ได้ยินเสียงของทางฝั่งนั้นแล้ว
หนิงเหยารินเหล้าหนึ่งชามแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เซียนกระบี่ใหญ่ ผู้อาวุโสเคยบอกว่า ไม่มีใครที่ไม่สามารถตายได้ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าใครที่ต้องตาย อย่างแน่นอน แม้แต่ข้าก็ยังไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาตายอยู่ที่นี่เท่านั้นถึงจะถือว่าไม่ผิดต่อจวนหนิงและกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่ถึงคราวของเจ้าเฉินผิงอัน เฉินผิงอัน ข้าชอบเจ้า ไม่ได้ชอบเฉินผิงอันที่วันหน้าจะได้เป็น เซียนกระบี่ใหญ่อะไร หากเจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้ย่อมดีที่สุด แต่หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวต่อไป หรือหากยังมีใจอยากเป็นบัณฑิตก็เป็นบัณฑิตไป”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางกลับส่ายหน้า กดเสียงต่าคล้ายพึมพำกับตัวเองว่า “เห็นๆ อยู่ว่าไม่ได้เข้าใจอะไรเลยสักนิด”
หนิงเหยาขมวดคิ้ว หันไปมองทางกำแพงเมืองปราณกระบี่แวบหนึ่ง “ก็แค่ว่า ก่อนหน้านี้เซียนกระบี่ผู้อาวุโสไม่อนุญาตให้ข้าพูดมาก เขาบอกว่าจะดูแลเจ้า มากหน่อย ตั้งใจให้เจ้าคิดมากๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นการเดินทางมาหาประสบการณ์ครั้งนี้ก็เสียเปล่า ดิ้นรนมีชีวิตรอดท่ามกลางความตาย อีกทั้งยังรอดมาได้ด้วยความสามารถของตัวเอง นั่นต่างหากจึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการขัดเกลาและฟูมฟักตัวอ่อนกระบี่ออกมา ไม่อย่างนั้นคนอื่นมอบให้เจ้า ช่วยเหลือเจ้า ต่อให้เป็นแค่การช่วยประคับประคองหนึ่งครั้ง ช่วยชี้แนะไขข้อข้องใจให้ครั้งสองครั้ง ก็ยังขาดความหมายบางอย่างไปอยู่ดี”
หลิวเสี้ยนหยางยังคงส่ายหน้า “ไม่รวดเร็วฉับไว ไม่รวดเร็วฉับไวเอาเสียเลย ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเฮงซวยแบบนี้ แต่ละคนมองดูเหมือนไร้ข้อเรียกร้อง แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นคนข้างกายพวกนี้นี่แหละที่ชอบเรียกร้องและเข้มงวดกับผิงอันน้อยของข้าที่สุด”
หนิงเหยาไม่สนใจหลิวเสี้ยนหยาง ยังพูดอย่างเก็บออมคำว่า “ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ก็อย่าได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นกรณีพิเศษ จึงรู้สึกผิดในใจ ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยที่ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้การดูแล หมื่นปีที่ผ่านมานี้มีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ว่าบางคน ก็พูดคุยกันได้ แต่ที่มากกว่านั้นกลับไม่เคยเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว ตัวผู้ฝึกกระบี่เอง ก็ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงแรกเริ่มข้าก็ไม่รู้สึกว่าทำอย่างนี้จะมีความหมายอะไร จึงไม่ได้ตอบตกลงเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็โน้มน้าวข้าอีก เขาบอกว่าอยากจะลองดูใจของเจ้าอีกสักนิดว่าจะมีค่าพอให้เขาคืนกล่องกระบี่ไม้ไหวใบนั้นหรือไม่”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้านึกว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เหมือนกับเรื่องไปสู่ขอนั่นแหละ”
หลิวเสี้ยนหยางยื่นนิ้วมาหมุนชามขาวที่วางอยู่บนโต๊ะเบาๆ พึมพำว่า “ถึงอย่างไรเวทกระบี่ก็สูงขนาดนั้น จะมอบให้ผู้น้อยก็มอบให้ไปเยอะๆ เลยสิ จะดีจะชั่วก็ควรจะให้เหมาะสมกับสถานะและเวทกระบี่ของตัวเองหน่อย”
ด้านล่างของโต๊ะ เฉินผิงอันกระทืบเท้าใส่หลังเท้าของหลิวเสี้ยนหยางเต็มแรง
หลิวเสี้ยนหยางจึงยื่นสองนิ้วประกบกันคล้ายท่ามุทรากระบี่ แล้ววางตั้งไว้เบื้องหน้า “ไม่เจ็บๆ ตะพาบปีนรัง!”
อันที่จริงหนิงเหยาไม่ค่อยชอบพูดเรื่องพวกนี้ ความคิดมากมายล้วนแล่นอยู่ในสมองของนาง ผ่านไปแล้วก็คือผ่านไป ก็เหมือนการชำระล้างกระบี่ ไม่ต้องการก็ไม่มีอยู่ แต่หากต้องการ แน่นอนว่าย่อมมีความคิดที่ผุดสืบเนื่องขึ้นมาเอง สุดท้ายกลายเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ และส่วนใหญ่แล้วก็มักจะแสดงออกบนเวทกระบี่ ปณิธานกระบี่หรือวิถีกระบี่เท่านั้น เพียงแค่นี้เอง ไม่จำเป็นต้องให้พูดออกมา แม้แต่น้อย
แต่วันนี้กลับเป็นข้อยกเว้น
หนิงเหยาคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ตอนนี้ความคิดของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมีไม่มากนัก มีหรือจะลืมเรื่องพวกนี้ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเคยบอกกับข้าเองว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาล้วนไม่กลัว กลัวก็แต่จะติดหนี้คนอื่นเท่านั้น”
หนิงเหยาเอ่ยเสริมอีกว่า “ความคิดไม่มาก เรื่องที่คิดเรื่องที่กังวลจึงจะเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าของคนทั่วไป นี่ก็คือสภาพจิตใจที่ผู้ฝึกกระบี่สมควรมี ผู้ฝึกกระบี่ออกกระบี่ก็ควรจะมุ่งตรงไปบนมหามรรคา แสงกระบี่สว่างไสวเจิดจ้า เพียงแต่ข้ากังวลว่าตัวเองที่แต่ไหนแต่ไรมาก็คิดน้อย ส่วนเจ้าก็คิดมากกับทุกเรื่อง แต่กลับกลายเป็นว่าไม่เคยทำความผิดพลาดอะไร กังวลว่าข้าพูดไปแล้วจะไม่เหมาะกับเจ้า ดังนั้นจึงอดทนเอาไว้ไม่พูดเรื่องพวกนี้ วันนี้หลิวเสี้ยนหยางพูดกับเจ้าชัดเจนแล้ว ทั้งคำพูดที่เป็นกลาง คำพูดที่เห็นแก่ตัว และคำพูดจากจิตสำนึกก็ล้วนพูดหมดแล้ว ข้าถึงได้รู้สึกว่าสามารถพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าได้ เรื่องที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกำชับมา ข้าก็คงไม่ไปควบคุม กะเกณฑ์อะไรอีกแล้ว”
สุดท้ายหนิงเหยาเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรข้าก็มีความคิดเพียงเท่านี้ ไม่ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะรักษาไว้ได้หรือไม่ พวกเราก็ต้องมีชีวิตอยู่ไปด้วยกัน เจ้าและข้าไม่ว่าใครก็ห้ามตาย! วันหน้าออกกระบี่ก็ดี ออกหมัดก็ช่าง ถึงอย่างไรก็มีแต่จะมากกว่าเดิม เพราะเจ้าและข้าต่างก็ไม่ใช่คนที่ความจำแย่ ข้อนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรกับใคร ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกับจั่วโย่ว ก็ไม่ต้องพิสูจน์กับพวกเขา แค่ข้ารู้ก็พอแล้ว ดังนั้นเจ้าจะรู้สึกผิดอะไร? ในอนาคตใครกล้าเอาเรื่องนี้มาพูด เจ้าชอบใช้หลักการเหตุผล แต่ข้าไม่เคยชอบ ขอแค่พูดให้ข้าได้ยิน ก็มาถามกระบี่กับข้าดู”
เฉินผิงอันยิ้มกว้างสดใส “คราวนี้เข้าใจจริงๆ แล้ว!”
หลิวเสี้ยนหยางตบโต๊ะดังป้าบ “น้องสะใภ้ พูดจาแจ่มแจ้งชัดเจน! ไม่เสียแรง ที่เป็นหนิงเหยาซึ่งสามารถพูดคำว่า ‘มุ่งตรงไปบนมหามรรคา แสงกระบี่สว่างไสว เจิดจ้า’ ได้ สมกับเป็นหนิงเหยาที่ปีนั้นข้าแค่มองก็รู้ว่าต้องได้เป็นน้องสะใภ้ของข้าจริงๆ !”
“หลิวเสี้ยนหยาง เหล้าชามนี้ขอคารวะเจ้า! มาช้าไปหน่อย แต่ก็ดีกว่าไม่มา”
หนิงเหยากระดกเหล้าในชามรวดเดียวหมด แล้วจึงเก็บกาเหล้าและชามเหล้าไว้ในวัตถุจื่อชื่อ ลุกขึ้นพูดกับเฉินผิงอันว่า “เจ้าดื่ม
เหล้ากับหลิวเสี้ยนหยางต่อเถอะ รักษาบาดแผลให้หายแล้วค่อยไปสังหารปีศาจบนหัวกำแพงเมือง”
หลิวเสี้ยนหยางลุกขึ้นยืนพร้อมกับเฉินผิงอัน หัวเราะร่าเอ่ยว่า “น้องสะใภ้พูดแบบนี้ได้ ข้าก็วางใจมากแล้ว ต้องโทษที่ข้าออกมาจากบ้านเกิดเร็วเกินไป ไม่อย่างนั้นใครเรียกใครเป็นน้องสะใภ้ ใครเรียกใครว่าภรรยาก็ยังไม่แน่แล้ว”
เฉินผิงอันถองเข้าที่หน้าอกของหลิวเสี้ยนหยาง
หนิงเหยายิ้มถาม “สตรีในตรอกหนีผิงที่ชอบมองคนด้วยหางตา พูดจาเหน็บแนมเสียดหูคนผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้วเล่า?”
หลิวเสี้ยนหยางแยกเขี้ยวนวดคลึงตรงหัวใจตัวเอง พูดหน้าบูดว่า “พูดจาไม่เปิดโปงข้อเสียของผู้อื่น ตีคนไม่ข่วนหน้า นี่คือคุณธรรมข้อแรกที่ยุทธภพบ้านเกิดพวกเรายึดถือ”
หนิงเหยาขี่กระบี่จากไป ปราณกระบี่ดุจสายรุ้งทรงอำนาจเปี่ยมพลัง
หลิวเสี้ยนหยางจุ๊ปากเอ่ยชื่นชม “เฉินผิงอันที่จู้จี้อืดอาดได้ภรรยาที่คล่องแคล่วฉับไวแบบนี้ ช่างน่าประหลาดนัก”
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมาแล้วนั่งลง ไม่ได้ดื่มเหล้า สอดสองมือเข้าไว้ใน ชายแขนเสื้อ ถามว่า “ขนบธรรมเนียมการเรียนของสกุลเฉินผู้รอบรู้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เกี่ยวกับสกุลเฉินผู้รอบรู้ นอกจากปฏิทินเหลืองของถ้าสวรรค์หลีจู และเฉินฉุนอันที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งทักษินาตยทวีปแล้ว ลูกหลานสกุลเฉินอิ่งอินที่เคยสัมผัสมาก่อนอย่างแท้จริงก็มีเพียงสตรีที่ชื่อว่าเฉินตุ้ยเท่านั้น ปีนั้นเฉินผิงอันกับหนิงเหยาเคยขึ้นภูเขาไปตามหาต้นข่ายที่ขึ้นบนสุสานซึ่งมีความหมายอย่างมากสำหรับตระกูลปัญญาชนพร้อมกับเฉินตุย เฉินซงเฟิงหลานชายคนโตของสกุลเฉินลำธารหลงเหว่ย และยังมีหลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้า
ตอนนั้นความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อสตรีคนต่างถิ่นผู้นั้นไม่ดีไม่แย่
หลิวเสี้ยนหยางไม่ชอบดื่มเหล้า จึงสั่งบะหมี่หยางชุนและผักดองมาอย่างละจาน เทผักดองใส่บะหมี่แล้วคนให้เข้ากัน เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่งตัวยาว กินสองสามคำบะหมี่หยางชุนก็หมด จากนั้นก็อึ้งตะลึง มองชามที่ว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่งถึงหันหน้ามาถามว่า “บะหมี่หยางชุนนี่เก็บเงินหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “นอกจากเหล้าแล้ว ทุกอย่างล้วนไม่เก็บเงิน”
หลิวเสี้ยนหยางกล่าวอย่างคนกระจ่างแจ้งในฉับพลัน “ข้าก็ว่าแล้วเชียว ทำการค้าแบบนี้ ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องถูกคนฟันตายแน่”
หลิวเสี้ยนหยางนึกถึงคำถามก่อนหน้านี้ของเฉินผิงอันขึ้นมาได้ จึงเอ่ยว่า “ศึกษาอยู่ที่นั่น สงบสุขมั่นคงมาก ตอนที่ข้าเพิ่งไปถึงที่นั่นก็ได้ของขวัญชิ้นใหญ่มาหลายชิ้น อย่างพวกลมเปิดหน้าหนังสือ ปลาน้าหมึกอะไรพวกนั้น ภายหลังก็ล้วน ส่งมาให้เจ้ากับเจ้าขี้มูกยืดน้อยหมดแล้ว อยู่กับสกุลเฉินผู้รอบรู้นั่น ไม่มีอุปสรรคใดให้พูดถึง ก็แค่ทุกวันต้องไปฟังอาจารย์ถ่ายทอดความรู้ไขข้อข้องใจ บางครั้งก็ออกไปทัศนศึกษาข้างนอก ทุกอย่างล้วนราบรื่นอย่างมาก ข้าชอบไปนั่งชื่นชมทัศนียภาพอยู่บนก้อนหินใหญ่ริมแม่น้าสายหนึ่ง ก้อนหินนั่นค่อนข้างคล้ายหินหลังควายที่ปีนั้น พวกเราสามคนชอบไปเล่นกันประจำ ต่อให้ข้าอยากจะระบายความทุกข์ให้เจ้าฟัง แสร้งทำเป็นว่าตัวเองน่าสงสารก็ยังไม่มีโอกาส เมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว ข้าก็โชคดีกว่ามากจริงๆ หวังว่าวันหน้าจะยังรักษาความโชคดีนี้ไปได้เรื่อยๆ”
เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจโล่งอก
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “ต่อให้มีความน้อยเนื้อต่าใจเหมือนภรรยาตัวน้อยที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจริงๆ แต่ข้าหลิวเสี้ยนหยางยังต้องรอให้เจ้าช่วยออกหน้าให้อีกหรือ? ลองถามโนธรรมในใจตัวเองดูเถิด นับตั้งแต่ที่พวกเราสองคนเป็นสหายกันมา ใครที่คอยดูแลใครกันแน่?”
เฉินผิงอันชูชามเหล้าขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าเกือบจะถูกเจ้าสัตว์เดรัจฉานเฒ่าของภูเขาตะวันเที่ยงตัวนั้นต่อยตาย ภายหลังก็ยังไม่ใช่ข้าที่ช่วยระบายความแค้นให้เจ้าไปได้เล็กน้อยหรอกหรือ?”
พูดคุยกับหลิวเสี้ยนหยางไม่จำเป็นต้องรักษาหน้าตาใดๆ เรื่องของความหน้าไม่อายนี้ เฉินผิงอันรู้สึกว่าอย่างมากสุดตนก็มีความสามารถได้แค่ครึ่งของหลิวเสี้ยนหยางเท่านั้น
หลิวเสี้ยนหยางยังคงยกเท้าวางบนม้านั่งตัวยาว ใช้ตะเกียบเคาะโต๊ะ แสร้งพูดอย่างลึกลับว่า “เรื่องนี้เจ้าคงไม่รู้สินะ นั่นเป็นแผนการที่ข้าคิดคำนวณมาเป็นอย่างดีแล้ว หากไม่ใช้แผนเจ็บตัวแบบนี้ เด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนแห่งตรอกหนีผิงอย่างเจ้า ตอนนั้นหน้าตาหล่อเหลาไม่ได้เสี้ยวของข้าเลยสักนิด ผอมอย่างกะลำไม้ไผ่บวกกับ ผิวดำเป็นถ่าน จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดหนิงเหยาหรือ? เจ้าบอกมาเองเลยว่า ใครกันแน่ที่เป็นพ่อสื่อคนสำคัญที่สุดระหว่างพวกเจ้าสองคน?”
เฉินผิงอันหัวเราะร่าชอบใจ
หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย “คิดไม่ถึงเลยว่านอกจากเหล้าหมักข้าวเหนียวของบ้านเกิดแล้ว การดื่มเหล้าครั้งแรกที่แท้จริงในชีวิตนี้ของข้า จะไม่ใช่การคล้องแขนดื่มสุรามงคลกับภรรยาของตัวเองในอนาคต พี่น้องอย่างข้านี้ก็นับว่ามีคุณธรรมน้าใจมากนัก ไม่รู้เหมือนกันว่าภรรยาของข้าตอนนี้เกิดหรือยัง นางที่รอคอยข้าอยู่จะร้อนใจหรือไม่”
เฉินผิงอันดื่มเหล้า คำที่หลิวเสี้ยนหยางบอกว่าหลังออกจากบ้านเกิดไปก็ไม่เคยดื่มเหล้าอีก ดูท่าแล้วน่าจะเป็นความจริง
“ในสกุลเฉินผู้รอบรู้ ส่วนใหญ่ล้วนมีแต่คนดี แต่นิสัยเสียๆ น้อยใหญ่บางอย่างที่พวกคนหนุ่มสาวสมควรมี ล้วนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “ข้าที่อยู่ที่นั่นก็ได้รู้จักกับสหายบางส่วนเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นคนหนึ่งในนั้น คราวนี้ก็มาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย คือน้องชายแท้ๆ ของเฉินตุ้ยผู้นั้น มีนามว่าเฉินซื่อ นิสัยไม่เลวเลยล่ะ ตอนนี้เป็นนักปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อแล้ว
ดังนั้นย่อมไม่ขาดกลิ่นอายของตำรา อีกทั้งยังเป็นลูกหลานสกุลเฉิน แน่นอนว่าต้องมีกลิ่นอายของนายท่านใหญ่อยู่บ้าง ยิ่งมีกลิ่นอายของเซียนบนภูเขา นิสัย สามอย่างนี้ บางครั้งก็แสดงนิสัยหนึ่งในนั้น บางครั้งก็แสดงสองนิสัย น้อยครั้งนักที่จะแสดงสามนิสัยพร้อมกัน ถึงเวลานั้นต่อให้คิดจะขวางก็ขวางไม่อยู่”
เฉินผิงอันถาม “ขอบเขตของเจ้าตอนนี้คือ?”
มองตื้นลึกไม่ออก รู้แค่ว่าหลิวเสี้ยนหยางน่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง คนหนึ่ง
หลิวเสี้ยนหยางโบกมือ “อย่าถามเลย ไม่อย่างนั้นเจ้าคงอับอายจนต้องกุมหัวร้องไห้คร่าครวญ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “เรื่องที่เกี่ยวกับข้า สามารถแพร่ไปถึงเรือนชุนฟานได้ ย่อมไม่ใช่แค่เรื่องที่ข้าเปิดร้านเท่านั้น เรื่องการต่อสู้หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เจ้าก็ล้วน ได้ยินมาหมดแล้วไม่ใช่หรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางถาม “ตอนนี้เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่?”
เฉินผิงอันได้แต่ส่ายหน้า
หลิวเสี้ยนหยางถามอีกครั้ง “ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเท่าไร?”
เฉินผิงอันไม่อยากพูดอีก
หลิวเสี้ยนหยางชี้ไปที่พื้น “แล้วยังไม่คุกเข่าพูดกับนายท่านใหญ่หลิวอีกหรือ?”
เฉินผิงอันพูดเสียงขุ่น “จะดีจะชั่วข้าก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดคนหนึ่ง”
หลิวเสี้ยนหยางทำหน้าตกตะลึง “ต่อยแม่นางคนหนึ่งไป เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ?”
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางแล้ว?”
หลิวเสี้ยนหยางยื่นสองมือออกมาขยับคอเสื้อให้เข้าที่ สะบัดชายแขนเสื้ออีก สองสามที กระแอมอยู่สองสามครั้ง
แต่เฉินผิงอันกลับเปลี่ยนหัวข้อคุยไปแล้ว “นอกจากเพื่อนคนนั้นของเจ้า คราวนี้ คนของสกุลเฉินผู้รอบรู้ยังมีใครมาอีกบ้าง?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “เจ้าจะมาสนใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม?”
เฉินผิงอันเองก็สะบัดชายแขนเสื้อ พูดหยอกล้อว่า “ข้าคือลูกศิษย์ผู้สืบทอด สายเหวินเซิ่ง เจ้าสำนักสกุลเฉินอิ่งอินคือผู้สืบทอดของสายหย่าเซิ่ง เจ้าไปขอศึกษาต่ออยู่กับสกุลเฉินผู้รอบรู้ ตามระบบสายบุ๋นของใต้หล้าไพศาลแล้ว เจ้าลองว่ามาสิว่าลำดับศักดิ์นี้จะนับกันอย่างไร?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “บังเอิญนัก ครั้งนี้เจ้าประมุขสกุลเฉินก็มาเยือน กำแพงเมืองปราณกระบี่เหมือนกัน ข้าเองก็รู้จักเขา มักจะขอความรู้จากท่านผู้เฒ่าอยู่เป็นประจำ ส่วนเรื่องที่ว่าสรุปแล้วลำดับศักดิ์ของพวกเราสองคนจะนับอย่างไรกันแน่ ก็รอให้ข้าถามผู้อาวุโสท่านนี้ก่อนค่อยว่ากัน”
เฉินผิงอันหุบยิ้ม แสร้งทำสีหน้ากระอักกระอ่วน ตอนที่ก้มหน้าดื่มเหล้ากลับรวมเสียงให้เป็นเส้นพูดกับหลิวเสี้ยนหยางเบาๆ ว่า “ไม่ต้องรีบร้อนกลับแจกันสมบัติทวีป จะอยู่ต่อในทักษินาตยทวีปก็ได้ แค่ไม่ต้องไปแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะใบถงทวีปกับฝูเหยาทวีปที่ห้ามไปเด็ดขาด บัญชีเก่าระหว่างภูเขาตะวันเที่ยงกับนครลมเย็นปล่อยทิ้งไว้ก่อนค่อยว่ากัน รอให้ตัวเองได้เป็นเซียนกระบี่เสียก่อน ไม่ใช่เซียนกระบี่ ห้าขอบเขตบน แล้วจะฝ่าค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาตะวันเที่ยงได้อย่างไร? ข้าเคยคำนวณมาแล้ว หากไม่ใช้กลอุบายและวิธีการบ้างเลย ต่อให้เจ้าและข้ามีพลังการต่อสู้เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ก็ยังยากจะที่ได้เปรียบภูเขาตะวันเที่ยง ค่ายกลกระบี่ของพวกเขามิอาจดูแคลนได้ อีกทั้งตอนนี้ยังมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้าเพิ่มมาอีกคน เขาปิดด่านนานเก้าปีแล้ว ดูจากสถานการณ์ต่างๆ ความเป็นไปได้ที่จะฝ่าด่านประสบความสำเร็จมีอยู่ไม่น้อย
ไม่อย่างนั้นสองฝ่ายที่ลมและน้าเปลี่ยนทิศ หลี่ถวนจิ่งอดีตเจ้าสวนลมฟ้าตายไป กว่าที่ภูเขาตะวันเที่ยงจะเงยหน้าอ้าปากได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยนิสัยของคนมากมายในศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยง ป่านนี้คงไปแก้แค้นสวนลมฟ้านานแล้ว ไม่มีทางอดทนรอให้หวงเหอปิดด่านและรอให้หลิวป้าเฉียวฝ่าทะลุขอบเขตเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน สวนลมฟ้าไม่ใช่ภูเขาตะวันเที่ยง ฝ่ายหลังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ราชสำนักต้าหลี ในเรื่องของความสัมพันธ์กับด้านล่างภูเขา หวงเหอกับหลิวป้าเฉียวสืบทอดนิสัยการวางตัวในสังคมจากหลี่ถวนจิ่งผู้เป็นอาจารย์ของพวกเขา นั่นคือ ลงจากภูเขาก็แค่ไปท่องอยู่ในยุทธภพเท่านั้น ไม่เคยเข้าร่วมกับราชสำนัก ดังนั้น หากพูดถึงแค่ความสัมพันธ์ควันธูปกับสกุลซ่งต้าหลี สวนลมฟ้าก็ด้อยกว่าภูเขา ตะวันเที่ยงมากนัก แม้ว่าช่างหร่วนจะเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี ไม่ว่า จะทางส่วนรวมหรือทางส่วนตัวต้าหลีก็ให้ความเคารพและอยากดึงเขามาเป็นพวก ดังนั้นภายหลังจึงแบ่งพื้นที่ขนาดใหญ่ในแถบขุนเขาเก่ายกให้สำนักกระบี่หลงเฉวียนไปด้วย แต่จิตใจของคนเป็นจักรพรรดิ ฮ่องเต้หนุ่มมีหรือจะยอมให้สำนักกระบี่ หลงเฉวียนค่อยๆ กลายเป็นใหญ่ สุดท้ายฮุบครองกิจการทั้งหมดไปเพียงลำพัง? มีหรือจะยอมให้ช่างหรวนรวบรวมตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ของทวีปไปไว้ที่สำนักตัวเองคนเดียว อย่างมากสุดก็ใช้สำนักศึกษากวานหูเป็นเส้นแบ่ง สร้างสถานการณ์การ คุมเชิงหนึ่งเหนือหนึ่งใต้ระหว่างสำนักกระบี่หลงเฉวียนกับภูเขาตะวันเที่ยงขึ้นมา ดังนั้นขอแค่มีโอกาสที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนคนหนึ่งจะปรากฎตัวที่ภูเขา ตะวันเที่ยง ต้าหลีก็ย่อมต้องให้ความช่วยเหลือภูเขาตะวันเที่ยงอย่างเต็มที่แน่นอน และต้าหลีก็มีคนมีความสามารถมากมาย เพื่อให้สะดวกต่อการสยบโชคชะตาของแคว้นจูอิ๋ง พวกเขาก็ย่อมต้องหน่วงเหนี่ยวสำนักกระบี่หลงเฉวียนต่อไป”
“สำนักอย่างภูเขาตะวันเที่ยงนี้ ต่อให้ผูกปมแค้นกับเจ้าและข้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ว่าการวางตัวเป็นคนก็ดี หรือวางตัวเป็นเทพเซียนบนภูเขาก็ช่าง ผู้ฝึกตนของ ภูเขาตะวันเที่ยงล้วนมีวิธีการรับมืออันยอดเยี่ยม อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง พูดถึงแค่สตรีน่าสงสารคนนั้น หากไม่พูดถึงเรื่องบุญคุณความแค้น ดูแค่จากผลลัพธ์ ถึงอย่างไรก็สามารถใช้ความรักกักขังหลี่ถวนจิ่งเอาไว้ได้
เป็นเหตุให้หลี่ถวนจิ่งมิอาจเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนได้ตลอดชีวิต ในช่วงเวลาระหว่างนี้ ศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงจะต้องพูดจารุนแรงกับสตรีคนนั้นไว้มากมายอย่างแน่นอน สามารถทำร้ายไปถึงจิตแห่งกระบี่และจิตแห่งมรรคาของ หลี่ถวนจิ่งได้ ต้องไม่ได้ง่ายดายแค่เพราะสตรีผู้นั้นนิสัยร้ายกาจ ทรยศความรักลึกล้า ที่เขามีต่อนางเท่านั้น ด้วยสายตาและจิตใจอันกว้างขวางของหลี่ถวนจิ่งแล้ว เรื่องแค่นี้ย่อมไม่มีทางทำให้เขามอดดับไปได้ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าภูเขา ตะวันเที่ยงทำให้หลี่ถวนจิ่งค้นพบความจริงอย่างหนึ่ง สตรีผู้นั้นรักหลี่ถวนจิ่ง นี่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน แต่ก็เพราะมีความรักลึกล้า สุดท้ายแล้วสตรีผู้นั้นกลับเลือกสำนักหรือไม่ก็ทำเรื่องที่หลี่ถวนจิ่งไม่อาจยอมรับ ยิ่งไม่อาจปล่อยวางได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้หลี่ถวนจิ่งจะฆ่านางตายไปแล้วก็ยังเคียดแค้นมายาวนานหลายร้อยปี ตระกูล แห่งหนึ่ง ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลเป็นอย่างไร สำนักแห่งหนึ่ง ขนบธรรมเนียมประจำสำนักเป็นอย่างไร ดูจากการเลือกและการละทิ้งที่พวกบุคคลใหญ่ๆ กระทำต่อเรื่องใหญ่ๆ แล้วก็มาดูนิสัยใจคอของเด็กรุ่นหลังที่พวกเขาอบรมสั่งสอนออกมา สุดท้ายค่อยดูนิสัยด้านการเลือกและสละผลประโยชน์ของคนลำดับล่าง ดูทั้งระดับบนกลางและล่าง ก็ยากที่จะผิดพลาดได้แล้ว ปีนั้นสตรีสกุลสวี่ของนครลมเย็นผู้นั้นเป็นทั้งพันธมิตรกับวานรย้ายภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยง แล้วก็วางแผนทำร้ายกันเองด้วย ตอนนี้เป็นอย่างไร ทั้งสองฝ่ายยังใช่พันธมิตรที่ความสัมพันธ์ยิ่งแน่นหนามั่นคงหรือไม่? จะว่าไปแล้วก็เพราะนิสัยเข้ากันได้ดี สันดานเหมือนกัน ผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์ตนเอง ส่วนมากแล้วภายนอกมักจะมีเพื่อนมากเสมอ ขอแค่เจ้าออกกระบี่แล้วไม่ทำร้ายไปถึงรากฐานและภายในของพวกเขา สหายภายนอกของภูเขาตะวันเที่ยงก็ยังคงเป็นสหายของภูเขาตะวันเที่ยง ถึงขั้นที่ว่าจะทำให้ผู้ฝึกตนจำนวนมากที่เดิมทีรู้สึกเฉยๆ ต่อ ภูเขาตะวันเที่ยงกลายมาเป็นเพื่อนของภูเขาตะวันเที่ยง หรืออาจถึงขั้นยินดีผดุงความเป็นธรรมแทนภูเขาตะวันเที่ยงด้วย”
“มาพูดถึงเด็กหญิงแซ่เถาในปีนั้นคนนั้นบ้าง นางกับบุตรชายเจ้าประมุขสกุลสวี่นครลมเย็นมีนิสัยเป็นอย่างไร หากเจ้ายินดีฟัง ข้าก็สามารถบอกเล่าเรื่องเล็กๆ สิบกว่าเรื่องให้เจ้าฟังได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย
เพราะถูกขนบธรรมเนียมประจำตระกูลกล่อมเกลา พวกเขาจึงไม่ทำให้คนประหลาดใจแม้แต่น้อย ภูเขาตะวันเที่ยงในทุกวันนี้ไม่ใช่ภูเขาตะวันเที่ยงเหมือน ตอนที่หลี่ถวนจิ่งมีชีวิตอยู่บนโลกอีกแล้ว แล้วก็ไม่ใช่ภูเขาตะวันเที่ยงที่เมื่อหลี่ถวนจิ่งลาจากโลกนี้ไปก็ไม่มีใครมาคอยข่มทับอีกแล้ว ตอนนี้คือสถานการณ์ที่ใหญ่ยิ่งกว่า ซึ่งหนึ่งทวีปก็คือหนึ่งแคว้น ข้าและเจ้าจำเป็นต้องพิจารณาว่าควรจะสะบั้นความสัมพันธ์ควันธูประหว่างสกุลซ่งต้าหลีและภูเขาตะวันเที่ยงอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะตัดภูเขาตะวันเที่ยงออกจากพันธมิตรมากมายของพวกเขาได้ ก่อนจะถามกระบี่ ควรจะไล่เรียงความพัวพันของผลประโยชน์ระหว่างสามขุนเขาใหญ่ภายในของ ภูเขาตะวันเที่ยงได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะมองนิสัยใจคอของบรรพจารย์ทุกคนในศาลบรรพจารย์ได้อย่างถ่องแท้ แล้วนำมาวิเคราะห์ถึงวิธีการอันเป็นดั่งสมบัติก้นกรุ ที่ภูเขาตะวันเที่ยงจะเอาออกมาใช้ยามที่เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ คิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่อยออกระบี่ แบบนั้นการออกระบี่ที่เหมือนกันก็จะสามารถทำให้ศัตรูรู้สึกเจ็บปวดได้เป็นร้อยเท่า หลังออกกระบี่แล้วก็ไม่เพียงแต่ทำร้ายเรือนกายของอีกฝ่าย ยังต้องทำร้ายไปถึงจิตใจของอีกฝ่ายด้วย สองอย่างนี้แตกต่างกันราวฟ้า กับเหว ผู้ฝึกตนรักษาบาดแผลก็แค่ปิดด่านเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้ภูเขา ตะวันเที่ยงรู้สึกเคียดแค้นเหมือนมีศัตรูร่วมกัน กลับกลายเป็นหันมาช่วยให้พวกเขารวบรวมจิตใจคน แต่หากออกกระบี่ได้อย่างแม่นยำ นอกจากจะทำร้ายคนคนหนึ่งหรือคนหลายคนได้แล้ว ยังสามารถลามไปถึงจิตใจของคนได้เป็นวงกว้าง เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้เจ้าและข้าจะออกกระบี่อย่างสาแก่ใจ เก็บกระบี่กลับมาอย่างสะใจเต็มคราบแล้ว คนของภูเขาตะวันเที่ยงก็จะยังคงต้องกลัดกลุ้มไปอีกสิบปีร้อยปี และย่อมมี คนสิบคนร้อยคนช่วยออกกระบี่ต่อแทนเจ้าและข้า แต่ละกระบี่ทำลายไปถึงใจคน”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะ มองเฉินผิงอันที่เปลี่ยนจากคนใบ้ครึ่งตัวมาเป็นผีขี้บ่นโดยไม่ทันรู้ตัว แล้วหลิวเสี้ยนหยางก็พลันเอ่ยถ้อยคำที่ชวนประหลาดใจว่า “ขอแค่ ตัวเจ้าเองยินดีจะมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่เหมือนเจ้าตอนที่ข้าเพิ่งรู้จักแรกๆ ที่ไม่เคยคิดว่าการตายเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ถ้าอย่างนั้นการที่เจ้าเดินออกมาจากถ้าสวรรค์หลีจูก็คือเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว เพราะอันที่จริงเจ้าเหมาะที่จะใช้ชีวิตในโลกอันวุ่นวายใบนี้ยิ่งกว่าใคร แบบนี้ข้าก็วางใจจริงๆ แล้ว”
เฉินผิงอันรู้สึกร้อนใจไม่น้อย จึงเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “สรุปว่าเจ้าฟังเข้าหูบ้างหรือไม่?!”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ฟังเข้าหูแล้ว ข้าไม่ใช่คนหูหนวกเสียหน่อย”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าระงับความอัดอั้นไปหนึ่งคำ
หลิวเสี้ยนหยางถามสัพยอกว่า “หลายปีมานี้เจ้าคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาเลยหรือ?”
เฉินผิงอันพูดเสียงขุ่น “ฝึกหมัดฝึกตนล้วนไม่เคยอยู่ว่าง เพราะฉะนั้นขอแค่มีเวลาว่างก็จะคิดถึงเรื่องนี้”
หลิวเสี้ยนหยางชี้นิ้วไปที่ชามเหล้า “พูดมากขนาดนี้ คอแห้งแล้วกระมัง”
เฉินผิงอันเพียงแค่เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ โดยไม่ทันรู้ตัว เขาก็ไม่มีความคิดที่จะดื่มเหล้าแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ย “เจ้าเข้าใจจริงๆ หรือไม่ว่าเหตุใดภูเขาตะวันเที่ยงและ นครลมเย็นถึงได้เป็นเช่นนี้?”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”
หลิวเสี้ยนหยางย้อนถาม “ทำไมถึงทำร้ายคนอื่นเพื่อตัวเอง? ทำในสิ่งที่ไม่ส่ง ผลดีต่อผู้อื่น? หรือการที่สร้างประโยชน์ต่อผู้อื่นชั่วขณะก็เป็นเพียงแค่การเสแสร้งอย่างชาญฉลาด เพราะนั่นจะเป็นการสร้างผลประโยชน์ที่ยาวนานให้แก่ตัวเอง?”
หลิวเสี้ยนหยางถามอีกว่า “แล้วเหตุใดถึงได้มีคนที่ยินดีทำประโยชน์แก่คนอื่น ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น?”
หลิวเสี้ยนหยางถามเองตอบเองว่า “เพราะนี่คือคนสองประเภทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฝ่ายหนึ่งผลักไสวิถีทางโลก อีกฝ่ายหนึ่งใกล้ชิดกับวิถีทางโลก ฝ่ายแรกแสวงหาชื่อเสียงลาภยศ แสวงหาผลประโยชน์ที่เป็นของแท้แน่นอน เป็นของที่จับต้องได้จริง ต่อให้วัตถุหลายอย่างที่แสวงหาคือวัตถุที่สูงส่งจนมิอาจได้มาครอบครองในสายตาของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่แท้จริงแล้วกลับยังคงอยู่ในจุดต่า นี่ก็คือจิตใจ ของคนก่อนกำเนิดประเภทหนึ่ง แล้วก็เพราะว่าอยู่ต่า จึงเป็นเหตุให้จริงแท้และมั่นคง แต่ฝ่ายหลังกลับยินดีทำเพื่อตัวเอง ทว่าขณะเดียวกันก็ยินยอมทำเพื่อคนอื่น เพราะว่าเป็นการศึกษาค้นคว้าอย่างหนึ่ง แต่กลับอยู่บนจุดสูง สำหรับวิถีทางโลกแล้วจึงเป็นการใกล้ชิดกับจิตใจที่ได้รับการอบรมสั่งสอนหลังกำเนิด เอาการสละวัตถุที่จับต้องได้จริงและผลประโยชน์ เอาความเสียหายในระดับของที่จับต้องได้มาแลกเปลี่ยนกับความสบายในใจของตัวเอง แน่นอนว่ายังมีความรู้สึกเป็นเจ้าของซึ่งอยู่ในระดับที่ ลึกลงไปยิ่งกว่า แล้วก็เพราะสูงและจับต้องไม่ได้ ดังนั้นจึงง่ายที่สุดที่จะทำให้ตัวเองผิดหวัง ของจริงกับของที่จับต้องไม่ได้ต่อสู้กันเอง ก็มักจะเป็นฝ่ายแรกที่หัวแตก เลือดไหลนองมากกว่า สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังเป็นเพราะฝ่ายแรกยืนหยัดที่จะคิดว่าวิถีทางโลกไม่ค่อยดี หากไม่ทำเช่นนี้ก็ไม่อาจมีชีวิตที่ดีได้แล้ว ส่วนฝ่ายหลังนั้นเชื่อว่าวิถีทางโลกจะต้องดีได้มากกว่าเดิม ดังนั้นคำตอบก็ง่ายมาก ผู้ฝึกลมปราณของภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นมองดูเหมือนเป็นผู้ฝึกตน แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ พวกเขาแสวงหา ไม่ใช่มหามรรคา แต่เป็นแค่ผลประโยชน์เท่านั้น เป็นของจับต้อง ได้จริงที่อยู่ในระดับสูงกว่าของพวกจักรพรรดิ ขุนนาง แม่ทัพ พ่อค้าหาบเร่ คนตัดฟืน ขอบเขตแต่ละขั้นของผู้ฝึกลมปราณ วัตถุวิเศษแห่งฟ้าดินแต่ละชิ้น สามารถนำมาแปรเปลี่ยนเป็นโอกาสด้านเงินเทพเซียนได้กี่มากน้อย แต่ละคนที่อยู่ข้างกายล้วนมีตำแหน่งราคาอยู่ในใจทุกคน”
สุดท้ายหลิวเสี้ยนหยางเอ่ยว่า “ข้ากล้าแน่ใจเลยว่า หลังจากที่เจ้าออกมาจาก ถ้ำสวรรค์หลีจู จะต้องรู้สึกกังขาในตัวของบัณฑิตและของผู้ฝึกตนที่อยู่ภายนอก ไม่น้อย แล้วก็สงสัยในตัวเองด้วย สุดท้ายจึงทำให้รู้สึกผลักไสต่อสองคำกล่าวว่าบัณฑิตและผู้ฝึกตนในระดับหนึ่งเลยทีเดียว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”
คำพูดประโยคนี้ของหลิวเสี้ยนหยางทำให้เฉินผิงอันได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย
ไม่เสียแรงที่เป็นบัณฑิตซึ่งศึกษาเล่าเรียนอยู่กับสกุลเฉินผู้รอบรู้มานานหลายปี
หลิวเสี้ยนหยางจิบเหล้าหนึ่งคำก็วางถ้วยลง แล้วก็อดไม่ไหวบ่นว่า “ไม่ได้ๆ เสแสร้งต่อไปไม่ไหวแล้ว!”
เฉินผิงอันมึนงงไม่เข้าใจ
หลิวเสี้ยนหยางพูดด้วยเสียงในใจต่อไปว่า “คำพูดเหล่านี้มีคนบอกให้ข้านำมาถ่ายทอดต่อให้เจ้า ตัวข้าเองจะคิดเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร คนผู้นั้นบอกว่าหากเจ้า ได้ยินแล้ว จิตใจจะผ่อนคลายมากขึ้น แล้วก็จะยิ่งมีความหวังต่อวิถีทางโลกมากขึ้น จะยิ่งเข้าใจคนสองประเภทนี้มากขึ้น ส่วนคนผู้นั้นคือใคร อาจารย์ผู้เฒ่าเฉินไม่ได้บอก แล้วก็ไม่ได้ให้ข้าบอกเจ้าเรื่องนี้ด้วย แต่ให้ข้าเอามาเล่าให้เจ้าฟังเป็นดั่งประสบการณ์ที่ตัวเองได้รับมาหลังจากอ่านตำรา ข้าคิดว่าคนที่คิดถึงเจ้าเช่นนี้ อีกทั้งยังให้อาจารย์ ผู้เฒ่าเฉินเป็นคนนำความมาบอก ก็น่าจะมีแต่ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งแล้วกระมัง อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ก็เป็นคนมหัศจรรย์นัก มีครั้งหนึ่งไปท่องเที่ยวที่สกุลเฉินผู้รอบรู้แล้วแอบไปพบข้า จงใจบอกว่าตนเองคือคนต่างถิ่นที่มาที่นี่เพราะชื่นชมศาลบรรพจารย์ สกุลเฉินมานาน จากนั้นก็ดึงข้าไว้พูดคุยอยู่ตรงก้อนหินริมน้านานชั่วยามกว่า แม้จะบอกว่าพูดคุยกัน แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเขาที่พร่าพูดอยู่คนเดียว นอกจากคำพูดเกรงใจขี้หมูราขี้หมาแห้งพวกนั้นแล้ว ที่เหลือก็คือด่าอาจารย์ผู้เฒ่าเฉินไปเกินครึ่งชั่วยามว่าความรู้ของเขาไม่สูงพออย่างไร
ความรู้สายของหย่าเซิ่งไม่ดีพออย่างไร พูดจนน้าลายแตกฟอง พูดอย่างเมามันนัก ยังโน้มน้าวข้าว่าไม่สู้เปลี่ยนสำนักใหม่ ไปขอศึกษาต่อกับสายของหลี่เซิ่งดีกว่า เกือบจะถูกข้าสาวหมัดใส่เสียแล้ว”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิวเสี้ยนหยางก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งกดมันลงเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ครั้งนั้นข้ากับอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งพูดคุยกันอย่างถูกคอนักล่ะ พอเห็นข้ายกมือขึ้น อาจารย์ผู้เฒ่าก็หัวเราะร่ากดมือข้าลง เอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘อย่าทำแบบนี้สิ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน ทุกคนต่างก็เป็นบัณฑิต ไว้หน้ากันหน่อย’”
เฉินผิงอันคลึงขมับ
เรื่องแบบนี้อาจารย์ของตนทำได้จริงๆ เสียด้วย
คาดว่าปีนั้นตอนที่ผู้ฝึกกระบี่แห่งอุตรกุรุทวีปข้ามทวีปหมายจะไปถามกระบี่ที่ธวัลทวีป อาจารย์ก็คงใช้เหตุผลเอาชนะใจคนเช่นนี้เหมือนกัน
โชคดีที่คนในสายของเหวินเซิ่งอย่างศิษย์พี่ใหญ่จั่วโย่ว อาจารย์ฉี หรือต่อให้เป็นราชครูชุยฉานผู้นั้นก็ล้วนไม่ได้เป็นเช่นนี้
เฉินผิงอันนึกถึงลูกศิษย์ของตนอย่างชุยตงซานขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
การมาทัศนศึกษาของสกุลเฉินผู้รอบรู้ซึ่งเฉินฉุนอันพาพวกลูกศิษย์เดินทางมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยตัวเองในครั้งนี้
เฉินผิงอันเชื่อว่าชุยตงซานจะต้องทำอะไรบางอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับหลิวเสี้ยนหยางให้มากความ
เพียงแค่ได้มาพบกับหลิวเสี้ยนหยางอีกครั้งในต่างบ้านต่างเมืองก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดแล้ว
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น “สักหน่อยไหม?”
หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้า “ไม่ดื่มแล้ว”
เขาเงยหน้ามองสีท้องฟ้า “กลุ่มคนที่มาทัศนศึกษาของพวกเราในครั้งนี้ล้วนพักอาศัยอยู่ที่จวนของซุนจวี้เฉวียน ข้าจะต้องรีบกลับไป ก่อนหน้านี้เอาของไปเก็บ ก็รีบร้อนไปหาเจ้าที่จวนหนิงเสียก่อน ได้พบแต่หมัวมัวหน้าตามีเมตตาคนหนึ่ง บอกว่าเจ้าน่าจะมาดื่มเหล้าอยู่ที่นี่ หนิงเหยาก็น่าจะเป็นหมัวมัวคนนั้นที่ไปตามตัวมา”
หลิวเสี้ยนหยางลุกขึ้นพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่วันหน้าข้าก็น่าจะไปที่จวนหนิงบ่อยๆ แล้วลากเจ้ามาดื่มเหล้าด้วยกันที่นี่บ่อยๆ เพราะสหายทั้งหลายของข้าซึ่งรวมถึงเฉินซื่อเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็ไม่เชื่อว่าข้ารู้จักเจ้า บอกว่าข้าขี้โม้ ทำเอาข้าโมโหแทบตาย ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ เหตุใดรู้จักเจ้าเฉินผิงอันถึงได้เป็นเรื่องที่ร้ายกาจไปแล้ว หรือว่าไม่ใช่เฉินผิงอันรู้จักหลิวเสี้ยนหยางที่ถึงจะเป็นเรื่องโชคดีที่สุดในใต้หล้าหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ยว่า “ถึงเวลานั้นขอแค่เจ้าช่วยข้าหาลูกค้ามาได้ จะให้ข้านั่งยองดื่มเหล้าพูดคุยกับเจ้าก็ยังไม่มีปัญหา”
คนหนึ่งไปที่จวนเซียนกระบี่ซุน อีกคนหนึ่งไปที่จวนหนิง จะต้องเดินทางร่วมกันไประยะหนึ่ง คนทั้งสองจึงออกไปจากร้านเหล้าด้วยกัน ก่อนจะออกไป หลิวเสี้ยนหยางยังไม่ลืมเก็บเศษชิ้นส่วนของถ้วยเหล้าที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา พลางพึมพำเบาๆ ว่า “แตกเพื่อความสงบสุข”
จากนั้นพอเดินกันไปบนถนนใหญ่ที่เงียบสงบเส้นนั้น หลิวเสี้ยนหยางก็ยื่นแขนมาเกี่ยวคอเฉินผิงอันอีกครั้ง ออกแรงรัดคออีกฝ่าย พูดกลั้วหัวเราะร่า “ครั้งหน้า เมื่อไปถึงตีนภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยง เจ้าก็จงเบิกตาให้กว้างเถอะ ถึงเวลานั้นจะรู้เองว่าเวทกระบี่ของนายท่านใหญ่หลิวนั้นร้ายกาจแค่ไหน”
เด็กชายเถาป่านและเด็กหนุ่มเด็กสาวมองไปตรงนั้นด้วยกัน
ดูเหมือนว่าเถ้าแก่รองในวันนี้จะถูกรังแกจนไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน แต่กลับดูอารมณ์ดีอย่างมาก
ภูเขาห้อยหัว
เซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนซึ่งมีชาติกำเนิดจากอุตรกุรุทวีปยืนอยู่ในสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง ทว่าเถาน้าเต้าต้นนั้นกลับไม่อยู่แล้ว
เพราะหลังจากที่หลูสุ้ยแห่งภูเขาสุ่ยจิงและหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยกลับออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยามที่บอกลากัน เส้าอวิ๋นเหยียนก็ได้มอบสมบัติล้าค่าแห่งฟ้าดินชิ้นนั้นให้กับหลูสุ้ยไปแล้ว และยังเรียกเซียนกระบี่หนุ่มอย่างหลิวจิ่งหลงมาด้วย เขาบอกกับหลูสุ้ยว่านอกจากจะต้องนำเถาน้าเต้าที่น้ำเต้า เลี้ยงกระบี่แต่ละลูกกำลังจะสุกงอมส่งไปที่ภูเขาสุ่ยจิงแล้ว ยังบอกให้หลูสุ้ยรู้ถึงรายชื่อผู้ซื้อน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ทุกลูก จากนั้นก็ขอร้องให้หลิวจิ่งหลงช่วยคุ้มกันไปส่ง หลูสุ้ยย่อมปฏิเสธ ต่อให้เส้าอวิ๋นเหยียนจะไม่ใช่คู่รักเทพเซียนกับอาจารย์ผู้มีพระคุณของนาง แต่ก็เป็นยิ่งกว่าคู่รัก กระนั้นสองสำนักก็มีความแตกต่าง อีกทั้งนางหลูสุ้ยเองก็เป็นเด็กรุ่นหลัง ไหนเลยจะกล้ารับสมบัติหนักเช่นนี้เอาไว้ แต่เส้าอวิ๋นเหยียนยืนกรานว่าจะทำเช่นนี้ ไม่ยอมให้หลูสุ้ยปฏิเสธ หลูสุ้ยจึงได้แต่ตอบตกลงอย่างระมัดระวัง หากข้างกายไม่มีหลิวจิ่งหลงอยู่ด้วย ต่อให้หลูสุ้ยตอบตกลง นางก็ยังไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถมีชีวิตรอดกลับไปถึงอุตรกุรุทวีปได้ สมบัติล้าค่าของตระกูลเซียนประเภทนี้เกี่ยวพันกับชะตาฟ้าลิขิตมากมายนัก ทั้งลี้ลับทั้งมหัศจรรย์ ต่อให้หลูสุ้ยคือหนึ่งใน สิบอันดับคนหนุ่มสาวของอุตรกุรุทวีปก็ยังไม่คิดว่าตัวเองจะ ‘รับ’ โชควาสนานี้ เอาไว้ได้
สุดท้ายเส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าวกับหลูสุ้ยว่า “ช่วยข้านำความไปบอกกับ อาจารย์เจ้าประโยคหนึ่ง ตลอดหลายปีมานี้ คิดถึงนางมาโดยตลอด”
วันนี้เส้าอวิ๋นเหยียนออกจากจวนไปเดินท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่มีชื่อเสียงของภูเขาห้อยหัวอย่างที่หาได้ยาก
ลูกศิษย์สืบทอดทั้งหลายต่างก็พกพาสมบัติหนักชิ้นอื่นและทรัพย์สิน แต่ละประเภทของเรือนชุนฟานออกไปจากภูเขาห้อยหัวอย่างเงียบเชียบแล้ว
คนหนึ่งในนั้น บางทีอาจรู้สึกว่าฟ้าสูงพอให้นกโบยบินแล้ว ถึงได้ร่วมมือกับ คนนอกตามไปไล่ฆ่าหลูสุ้ยกับหลิวจิ่งหลง
เส้าอวิ๋นเหยียนไม่ได้สนใจ ปล่อยให้จิตสังหารของลูกศิษย์ที่ไม่มีความเป็นมนุษย์มากพอผู้นั้นบังเกิดขึ้นมา จะเชื่อว่าโชคและเคราะห์ไร้ประตู ล้วนเป็นคนที่เรียกหา มันมา หรือจะเชื่อว่าเป็นตายอยู่ที่ชะตา ยากดีมีจนอยู่ที่ฟ้าลิขิต ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว
สวนดอกเหมยซึ่งเป็นหนึ่งในสี่จวนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขาห้อยหัวเช่นเดียวกับเรือนชุนฟาน
เปียนจิ้งไม่ได้เดินทางไปทัศนศึกษาที่ทักษินาตยทวีปพร้อมกับพวกผู้ฝึกกระบี่ รุ่นเยาว์อย่างเหยียนลวี่ เจี่ยงกวนเฉิง แต่อยู่ต่อที่นี่เพียงลำพัง
สตรีผู้หนึ่งที่ตรงหว่างคิ้วแต้มดอกเหมยประดับ ผิวพรรณขาวนวลเนียน ริมฝีปากแดงฉ่า สวมชุดกระโปรงที่ตัดเย็บอย่างประณีตจนแทบจะเรียกได้ว่ายิบย่อย งดงามจนมิอาจมีสิ่งใดมาทัดเทียมได้
นางต่างหากจึงจะเป็นเจ้าของสวนดอกเหมยแห่งนี้ที่แท้จริง เพียงแต่ว่า มักจะเก็บตัวเงียบ แทบไม่เคยเผยโฉมมาก่อน
เปียนจิ้งเรียกนางว่าถัวเหยียนฮูหยิน ถัวเหยียน (ใบหน้าที่แดงปลั่งหลังจากดื่มสุรา) คือชื่อที่งดงามชื่อหนึ่ง ชื่องดงาม คนก็รูปงาม ช่างดีพร้อมเสียจริง
แม้เปียนจิ้งจะไม่เคยมีความสนใจต่อเรื่องชายหญิง แต่ก็ยอมรับว่าเมื่อได้มอง ถัวเหยียนฮูหยินก็ทำให้สบายตาสบายใจอยู่ไม่น้อย
ชิงเสินฮูหยินแห่งถ้าสวรรค์จู๋ไห่ ถัวเหยียนฮูหยินแห่งสวนดอกเหมย ฮูหยินทั้งหมดสิบท่านของใต้หล้าไพศาลล้วนมีความงามที่มากพอจะทำให้เทพเซียนบนภูเขาละเมอเพ้อพก จิตวิญญาณแกว่งไกว หลงใหลคลั่งใคล้
และฮูหยินเหล่านี้ก็มีความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง เพราะพวกนางล้วนมีชาติกำเนิดเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าหรือไม่ก็ภูตผี
ถัวเหยียนฮูหยินนั่งตรงกันข้ามกับเปียนจิ้งอยู่ในศาลาริมน้า ในมือของนางถือกระบอกเก็บพู่กันที่เหลามาจากไม้ไผ่ซึ่งสวนดอกเหมยเพิ่งจะมอบให้นางเพื่อแสดงความกตัญญู บนตัวกระบอกใช้วิธีการฝานเอาเนื้อด้านในของไม้ไผ่ที่เป็นสีเหลืองมาแปะเป็นภาพกอไผ่ซี่เล็กๆ เป็นพุ่มเป็นกอนูนขึ้นอย่างมีมิติ ฝีมือประณีตบรรจง ดุจสวรรค์เนรมิต ไม้ไผ่เหลืองล้วนมาจากถ้าสวรรค์จู๋ไห่ มีมูลค่าควรเมือง
ถัวเหยียนฮูหยินยิ้มกล่าว “กลัวตายขนาดนี้เชียวหรือ?”
เปียนจิ้งพยักหน้ารับ “อันที่จริงตัวข้าเองยังไม่เท่าไร อยากจะไปชมศึกบน หัวกำแพงเมืองกับหลินจวินปี้อย่างมาก เพียงแต่อีกคนหนึ่งกลับทำลับๆ ล่อๆ บอกให้ข้าหลบซ่อนให้ดี บอกว่าได้คำนวณมาแล้ว หากไม่ระวังสักหน่อย ทุกอย่างที่ทำมาก็จะสูญเปล่า และจุดจบก็จะอนาถอย่างมาก”
เปียนจิ้งถาม “ประตูใหม่บานนั้น สรุปแล้วว่าเป็นใครที่เสนอให้บุกเบิกก่อน? แล้วเทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัวท่านนั้นคิดอย่างไรกันแน่?”
ถัวเหยียนฮูหยินเอ่ย “เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ ประตูเก่าประตูใหม่ ต่อให้ทั้งภูเขาห้อยหัวล้วนไม่อยู่แล้ว พวกมันกลับจะยังอยู่”
เปียนจิ้งกล่าวอย่างคลางแคลง “จะมีเซียนกระบี่คอยประสานอยู่ภายใน ยินดีช่วยพวกเราเฝ้าประตูบานนั้นจริงๆ หรือ?”
ถัวเหยียนฮูหยินชำเลืองตามองคนหนุ่มแวบหนึ่ง “น่าประหลาดใจมากนักหรือ? หากเปลี่ยนมาเป็นเจ้า ฝั่งหนึ่งเจอสงครามมีคนตายนานเป็นหมื่นปี อีกฝั่งหนึ่งเสวยสุขกับวิถีทางโลกที่สงบสุข แล้วยังจะคอยหัวเราะเยาะพวกคนที่ตายไปแล้วด้วย ในใจเจ้าจะรู้สึกดีได้หรือ? วันสองวัน ปีสองปีสามารถอดทนได้ แต่สิบปีหลายร้อยปีเล่า? คนที่นิสัยดีจะกลายเป็นเซียนกระบี่ได้หรือ?”
เปียนจิ้งพยักหน้ารับ “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าย่อมเอาคืนเป็นเท่าตัว”
คนในครอบครัวของเถ้าแก่หนุ่มของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยพักอาศัยอยู่ที่นี่กันมาหลายรุ่นหลายสมัย เวลานี้เขามานั่งอยู่บนธรณีประตูโรงเตี๊ยม กำลังหยอกหมาตัวหนึ่งที่ผ่านทางมา
แสงอาทิตย์อบอุ่น ทำเอาคนที่อาบแดดยิ่งเกียจคร้านมากกว่าเดิม เป็นวันที่โลกสงบสุขปลอดภัยน่าเบื่อหน่ายอีกวัน
นอกภูเขาห้อยหัว
ร่องเจียวหลงแห่งนั้น แน่นอนว่าไม่ได้เหลือแค่กุ้งหอยปูปลาตัวเล็กตัวน้อยจริงๆ ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกตนเซียนดิน ที่แห่งนี้ก็ยังคงเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่ยากจะข้ามผ่านไปได้ ได้แต่อ้อมเดินทางไปไกลกว่าเดิมเท่านั้น
ห่างไปไกลอีกนิด สำนักที่มีเทวรูปเทพพิรุณกับเทวรูปแม่ทัพเทพตั้งตระหง่านอยู่ตรงข้ามกันมีชื่อว่าสำนักอวี่หลง ตำหนักสุ่ยจิงที่อยู่บนภูเขาห้อยหัวก็คือจวนส่วนตัวของสำนักแห่งนี้
นอกจากสำนักอวี่หลงที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารอย่างถึงที่สุดแล้ว บนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลยังมีตระกูลเซียนบนภูเขาน้อยใหญ่ที่มายึดครองเกาะ ต่างคนต่างมีทั้งเกียรติรุ่งโรจน์และทั้งความอัปยศเสื่อมถอย
บนเส้นทางการเดินเรือข้ามทวีปของเกาะกุ้ยฮวา ทัศนียภาพแห่งที่สี่บนทะเลก็คือการขับเคลื่อนผ่านช่องแคบใต้ฝ่าเท้าของเทวรูปร่างทองสององค์ที่สูงร้อยจั้งกว่าของสำนักอวี่หลงไปช้าๆ
เล่าลือกันว่าแม่ทัพเทพร่างทองที่มือสองข้างค้ายันไว้บนกระบี่องค์นั้นเคยเป็นองค์เทพบรรพกาลซึ่งทำหน้าที่เฝ้าพิทักษ์ประตูทิศใต้ของสรวงสวรรค์ ส่วนองค์เทพอีกองค์ที่ใบหน้าพร่าเลือน รัดเข็มขัดพลิ้วไสวหลากสีสันองค์นั้น คือองค์เทพอันดับหนึ่งในบรรดาเทพพิรุณมากมายบนสวรรค์ เป็นผู้รับผิดชอบดูแลการเคลื่อนเมฆโปรยพิรุณของมังกรที่แท้จริงทุกตัวในโลกมนุษย์ หลังจากที่บรรพจารย์ของสำนักอวี่หลง สร้างร่างกายธรรมขององค์เทพนี้ขึ้นมา ก็ดูเหมือนว่ายังคงมีหน้าที่คอยควบคุมการโคจรของชะตาน้าส่วนหนึ่งทางทิศใต้อยู่เหมือนเดิม
สำนักอวี่หลงที่มีสององค์เทพคุมเชิงกันแห่งนี้มีระบบสืบทอดเก่าแก่โบราณที่ประวัติศาสตร์ยาวนานมากอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือยามผู้ฝึกตนที่เป็นสตรีจะเลือกคู่บำเพ็ญเพียร จะต้องดูที่ลูกกลมปักลายซึ่งทำขึ้นด้วยกรรมวิธีลับของสำนักที่พวกนางโยนลงไปอย่างเดียว ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนไปแย่งชิงมา แล้วก็แย่งชิงมาได้ ผู้ฝึกตนเซียนดินก็ไม่สามารถใช้วิชาอภินิหารไปแย่งบังคับกลับคืนมา แต่หากผู้ฝึกตน ห้าขอบเขตบนลงมือ ก็เท่ากับว่าเป็นการท้าทายสำนักอวี่หลง
เมื่อสิบกว่าปีก่อนมีผู้ฝึกตนหนุ่มที่โชควาสนาลึกล้าคนหนึ่งโดยสารเกาะกุ้ยฮวาผ่านช่องแคบนั้นมา และมาเจอกับการโยนลูกกลมลายปักของเทพธิดาแห่งสำนักอวี่หลงพอดี ดันเป็นเขาที่รับได้ จึงถูกลูกกลมและแถบผ้าหลากสีพาบินขึ้นยังจุดสูงของสำนักอวี่หลงราวกับเทพบินทะยาน ไม่เพียงเท่านี้ บุรุษผู้นี้ยังมีโชควาสนาด้านการ ฝึกตนที่ใหญ่กว่านั้น เพราะยังได้เป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากับเทพธิดาอีกท่านหนึ่งด้วย โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ โชคด้านความรักใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ แม้แต่ นครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ห่างไกลก็ยังได้ยินเรื่องนี้
คนหนุ่มผู้นี้มีนามว่าฟู่เค่อ ไม่เสียแรงที่เป็นคนซึ่งมีวาสนากับสำนักอวี่หลง จากผู้ฝึกตนเล็กๆ ที่เดิมทีไร้สัญชาติไร้นาม คิดไม่ถึงว่าหลังจากฝึกวิชาเซียนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของสำนักอวี่หลงแล้วจะเดินขึ้นฟ้าไปทีละก้าว ไม่เพียงแต่ได้กอดสาวงามกลับไป ยังเลื่อนขั้นเป็นโอสถทองได้อย่างราบรื่น กลายเป็นเซียนดินที่ฝ่าทะลุขอบเขตได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักอวี่หลง ถึงอย่างไรคนหนุ่มก็เป็น ผู้ฝึกตนที่เคยล้มลุกคลุกคลานตรงตีนเขามาก่อน หลังจากขึ้นสู่ที่สูงแล้ว ด้านการสมาคมกับผู้คนจึงต่างจากผู้ฝึกตนที่มีชาติกำเนิดจากสำนักอวี่หลงอยู่มาก จึงกลายเป็นคนที่ได้รับความสำคัญอย่างมาก
วันนี้ฟู่เค่อมาที่ตีนของเทวรูปองค์หนึ่ง เขาเดินขึ้นสู่ที่สูงทอดสายตามองไปไกลด้วยใบหน้าแช่มชื้น เวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบกว่าปี ก็สามารถทำให้คนหนุ่มที่กระเป๋า ฟีบแบนคนหนึ่งกลายมาเป็นคนในกลุ่มเทพเซียนราวกับได้เกิดใหม่
เคยมีผู้ฝึกตนที่เคยร่วมทุกข์ด้วยกันมาเยือนเพราะได้ยินข่าว สำนักอวี่หลง ไม่อนุญาตให้คนนอกขึ้นมาบนเกาะ ฟู่เค่อจึงลงไปต้อนรับด้วยตัวเอง จัดหาที่พัก ให้เขาอยู่กับกองกำลังใต้อาณัติของสำนักอวี่หลง หากกลับบ้านเกิดเมื่อไหร่ก็จะมอบค่าเดินทางก้อนใหญ่ให้ แต่หากไม่ยินดีจะจากไป ฟู่เค่อก็จะช่วยให้คนผู้นั้นได้มีงาน มีตำแหน่งฐานะอยู่ในสำนักบนเกาะอื่นๆ
มีศิษย์พี่ของสำนักอวี่หลงต้องการเดินทางไปหาประสบการณ์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผลกลับถูกอาจารย์ห้ามปราม ยามที่มาดื่มเหล้าดับทุกข์ ฟู่เค่อก็คอยอยู่เป็นเพื่อน ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ดื่มเหล้าเท่านั้น
ฟู่เค่อที่หลายปีมานี้มีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุดบางครั้งก็รู้สึกเหมือนอยู่กัน คนละโลก และบางครั้งก็จะนึกถึงสภาพอับจนน่าสมเพชของตนในอดีต คิดถึงพวกคนที่เคยร่วมโดยสารเกาะกุ้ยฮวามาด้วยกันในปีนั้น ทว่าสุดท้ายแล้วกลับมีเพียงตนที่ โดดเด่นเหนือฝูงชน เดินขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียว
แต่ส่วนลึกในใจของฟู่เค่อกลับมีปมเล็กๆ อย่างหนึ่งอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือเขาได้ยินมานานแล้วว่าบนเกาะกุ้ยฮวาในปีนั้น หลังจากที่ตนออกมาจากเรือข้ามฟากแล้ว มีคนหนุ่มที่มีชาติกำเนิดจากแจกันสมบัติทวีปเหมือนกันสามารถร่ายใช้เวทอภินิหารที่ร่องเจียวหลง สุดท้ายนอกจากจะไม่ตายแล้วยังได้ชื่อเสียงใหญ่โต
ไม่เพียงเท่านี้ คนหนุ่มที่แซ่เฉินผู้นั้นยังโชคดีกว่าเขาฟู่เค่อเสียอีก ทุกวันนี้ ไม่เพียงแต่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น แม้แต่ตำหนักสุ่ยจิงของภูเขาห้อยหัวก็ยังส่งข่าวเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวกับคนผู้นี้มาที่สำนักอวี่หลง นี่ทำให้ฟู่เค่อที่ยามแย้มยิ้มพูดจามีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ถึงขั้นที่ว่าตอนพูดถึงสายเหวินเซิ่งยังเอ่ยถ้อยคำดีๆ เกี่ยวกับคนหนุ่มผู้นั้นอยู่หลายคำ ทว่าขณะเดียวกันในใจกลับมีความคิดเล็กๆ อย่างหนึ่งผุดขึ้นมา เฉินผิงอันผู้นี้ ตายๆ ไปอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นั่นแหละดี
แน่นอนว่าฟู่เค่อย่อมไม่เคยมีความแค้นกับคนผู้นี้มาก่อน
คนผู้นั้นตายไป วิถีทางโลกควรจะเป็นอย่างไรก็ยังจะเป็นอย่างนั้นอยู่ดีมิใช่หรือ?
ฟู่เค่อยิ้มบางๆ พลันรู้สึกอารมณ์ดี เขาหมุนตัวเดินจากไปเพื่อไปฝึกตนต่อ ขอแค่พัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น ได้เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิด ในอนาคตเก้าอี้เจ้าสำนักของ สำนักอวี่หลงก็จะยิ่งขยับเข้ามาใกล้ตนอีกก้าว ไม่แน่ว่าในอนาคตข้าฟู่เค่ออาจจะยังมีโอกาสได้สตรีเซียนกระบี่จากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาเป็นคู่รักคนใหม่ก็เป็นได้
เพียงแต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า
การเดินไปบนมหามรรคา
ต้นไม้น้าเขียวครึ้มอุดมสมบูรณ์ ปลามากมายแหวกว่าย ถึงขั้นยังสามารถเลี้ยงเจียวหลง
ยามที่ชะตาฟ้าพลิกกลับ เมื่อน้าแห้งขอด สัตว์น้ามากมายย่อมถูกแดดแผดเผาจนตาย