กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 622 เรียนกระบี่
บทที่ 622 เรียนกระบี่
เมื่อเฉินผิงอันย้อนกลับมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาก็เลือกหัวกำแพงที่เงียบสงบแห่งหนึ่งแล้วทำหน้าที่เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงที่มีระยะความยาวประมาณหนึ่งลี้
โดยทั่วไปแล้ว หากขอบเขตต่ากว่าเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบลงมาก็มีเพียงผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ สามารถออกกระบี่เฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งหนึ่งอยู่เพียงลำพัง ยกตัวอย่างเช่นฉีโซ่วที่เพิ่งจะฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จ
ฉีโซ่วเองก็กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่คนแรกที่เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดในบรรดาคน วัยเดียวกันทั้งหมดของช่วงเวลาอันดีงามแห่งตัวอ่อนเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ยุคนี้
นี่คือกฎตายตัว แล้วก็เป็นเกียรติยศเพียงหนึ่งเดียวของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ดังนั้นต่อให้เป็นหนิงเหยาก็ยังจำเป็นต้องร่วมออกกระบี่พร้อมกับพวกเฉินซานชิว ผังหยวนจี้และเกาเหย่โหวก็ยิ่งไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าภูเขาลูกเล็กที่ผู้มีพรสวรรค์หลายคนมารวมตัวกันเหล่านี้ ระดับความกว้างของหัวกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ พวกเขารับผิดชอบ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดทั่วไปแล้วจะยาวกว่า ถึงขั้นที่ว่าสามารถทัดเทียมได้กับเซียนกระบี่หลายคน
การที่เฉินผิงอันได้เป็นข้อยกเว้น อีกทั้งยังไม่ชักนำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ ก็เพราะไม่ถือว่าเฉินผิงอันทำผิดกฎ ตอนนี้เขายังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ เป็นเพียงแค่ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่เลี้ยงกระบี่บินไว้หลายเล่มเท่านั้น
บวกกับการที่เฉินผิงอันยินดีจะพาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย ไปเป็นเหยื่อล่อ เป็นฝ่ายดึงดูดความสนใจจากปีศาจใหญ่บางตนที่ซ่อนตัวอยู่ โดยที่หนิงเหยา ไม่เอ่ยอะไร จั่วโย่วไม่เอ่ยอะไร เซียนกระบี่ผู้เฒ่าตระกูลเหยาอย่างเหยาเหลียนอวิ๋น (ตอนก่อนหน้าผู้แต่งใช้ชื่อหนิงเหลียนอวิ๋น คิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด) ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เซียนกระบี่คนอื่นๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ย่อมไม่คิดจะขัดขวาง
และบังเอิญที่เฉินผิงอันเป็นเพื่อนบ้านกับฉีโซ่วพอดี
ฉีโซ่วควบคุมกระบี่ไม่หยุด เพียงแต่แบ่งสมาธิเล็กน้อยมาชำเลืองตามองเฉินผิงอัน วันนี้ไอ้หมอนี่ไม่ได้สวมหน้ากากที่มีมากมายรุงรังพวกนั้น แต่สวมชุดคลุมอาคมสีเขียวของตัวเองตัวหนึ่ง บวกกับชุดคลุมของหอภูษาชิ้นหนึ่ง วางกระบี่ยาวที่หอกระบี่เป็นผู้สร้างเล่มหนึ่งพาดไว้บนหัวเข่า ตอนนั้นที่สังหารหลีเจิน อาวุธเซียนสองชิ้นที่สร้าง คุณความชอบครั้งใหญ่ให้แก่เฉินผิงอันต่างก็ไม่ได้ปรากฎตัว
ตอนนี้เพิ่งจะเป็นช่วงต้นในการเฝ้าพิทักษ์เมือง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตจำนวนมากของเซียนกระบี่เป็นเหมือนกระแสน้าขึ้นที่โถมตัวออกไป อยู่ตำแหน่งหน้าสุดของสนามรบ คอยสกัดขวางกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจ จากนั้นจึงเป็นพวกปลาที่หลุดรอดจากแห ต้องให้พวกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินเรียกกระบี่บินออกมาสังหาร ลำดับต่อมา หากยังมีปีศาจที่โชคดีรอดตาย ส่วนใหญ่เมื่อผ่านค่ายกลกระบี่แห่งที่สองมาได้แล้ว ก็ต้องเจอกับกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่กรูกันเข้าหา ผ่าหัวฟัน แสกหน้า เดิมทีนี่ก็คือการฝึกปรือฝีมือการใช้กระบี่อย่างหนึ่งของกำแพงเมือง ปราณกระบี่ นับตั้งแต่ขอบเขตถ้าสถิตถึงขอบเขตประตูมังกร ผู้ฝึกกระบี่สามขอบเขตนี้ ต่อให้ขอบเขตจะยังไม่สูง แต่เมื่อคุ้นเคยกับสนามรบมากขึ้นเรื่อยๆ และจิตที่สื่อกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็ยิ่งเชื่อมโยงเข้าใจกันมากขึ้น ทุกครั้งที่ออกกระบี่ไปก็ย่อมเร็วมากขึ้นทุกขณะ
ฉีโซ่วย้ายเส้นสายตาไปมองการออกกระบี่ของเฉินผิงอันแวบหนึ่ง
ตอนนั้นที่เฉินผิงอันออกจากเมืองไปต่อสู้กับหลีเจิน ฉีโซ่วกำลังอยู่ในช่วงปิดด่าน ไม่มีโอกาสได้เห็นกับตาตัวเอง แค่ได้ยินคนอื่นเล่ามาหลังจบเรื่องเท่านั้น แต่ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่หยิ่งทระนงอย่างฉีโซ่วก็ยังต้องยอมรับว่านั่นเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ ไม่เล็กไม่ใหญ่เลยทีเดียว
การออกกระบี่ของเฉินผิงอันวันนี้ไม่มีปิดบังอำพราง กระบี่บินทั้งสี่เล่มถูกเรียกออกมาพร้อมกัน มองดูเหมือนเป็นการกระทำอย่างจวนตัว ไม่รู้ว่าไปเรียนวิชา อำพรางตาแบบนี้มาจากใคร กระบี่บินทั้งสี่เล่ม หากพูดถึงแค่รูปลักษณ์ พวกมันมักจะเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง ปีศาจห้าขอบเขตบนและก่อกำเนิด แน่นอนว่ามองแค่ครั้ง สองครั้งก็สามารถมองออกถึงเวทอำพรางตาชั้นเลวนั้นเลว แต่หากพูดถึงแค่ กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจที่ก้มหน้าก้มตาบุกรุดหน้าไปบนสนามรบอย่างเดียว กลับเพียงพอมากแล้ว หลังจากถูกกระบี่บินสี่เล่มรั้งฝีเท้าก็ง่ายที่ต้องเจอกับ ความยากลำบาก แล้วก็จะต้องตกหลุมพรางจนมีสภาพอเนจอนาถ
ยังพอจะมีข้อพิถีพิถันเล็กๆ น้อยๆ อย่างหนึ่ง นั่นคือพวกปีศาจที่บุกมาด้านหน้าสุดจะตายอยู่ภายใต้คมกระบี่ก่อน ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ปีศาจมากมายยังคงบุกมาด้านหน้าได้ต่อ เพียงแต่ว่าจำต้องชะลอฝีเท้าลงอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อเทียบกับความมีสมาธิมุ่งมั่นของเฉินผิงอันแล้ว การขัดขวางศัตรูของฉีโซ่ว กลับผ่อนคลายกว่ามาก ต่อให้จะแบ่งสมาธิไปสนใจจุดอื่นก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อ ทิศทางการดำเนินไปของสนามรบตัวเอง
กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เรียกได้ว่าบาดเจ็บล้มตายกันอย่างหนัก แต่กระนั้นก็ยังอยู่ห่างจากกำแพงเมืองแห่งนี้ไปไกลมาก สำหรับผู้ฝึกกระบี่ที่ผ่านประสบการณ์บนสนามรบใหญ่มาสามครั้งอย่างฉีโซ่วแล้ว การรับมือกับพวกมันจึงมีกำลังเหลือแหล่ นอกจากนี้เดิมทีฉีโซ่วก็มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอยู่สามเล่ม เฟยหลวนมีความเร็วสูงสุด หากต่อสู้กันตัวต่อตัวย่อมได้เปรียบ ซินเสียนเหมาะกับ การสู้รบที่ยาวนาน ไม่กลัวเนื้อหนังที่หนาทนทาน เรือนกายที่แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจที่สุด ส่วนเที่ยวจูกระบี่บินที่ลี้ลับที่สุดเล่มนั้นก็ยิ่งได้รับคำพยากรณ์จากอริยะลัทธิเต๋าว่า ‘ครอบครองธารดารา สายฝนพร่างพรมโลกมนุษย์’ มีวิธีการเดียวกันกับ ‘กระจอกเมฆบนฟ้า’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิง และ ‘ห้วงลึกเมฆขาว’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเหยาเหลียนอวิ๋นที่สามารถสร้างทะเลเมฆขึ้นมาได้ หลายแห่ง ซึ่งสามารถทำร้ายศัตรูได้เป็นวงกว้างมากที่สุด
นี่จึงเป็นเหตุให้ถึงแม้ฉีโซ่วจะเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด แต่การเฝ้าพิทักษ์ หัวกำแพงเมืองในช่วงระยะทางสั้นๆ กลับผ่อนคลายอย่างมาก โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเซียนกระบี่ที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น หรือ ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่หากเทียบกันแล้วปราณวิญญาณจะเบาบางกว่า ก็ล้วนจำเป็นต้องคำนวณเวลาให้แม่นยำถึงจะสามารถเผชิญหน้ากับอันตรายในสงครามได้ ถึงเวลานั้นบนหัวกำแพงเมืองจะมีแต่อันตรายรายล้อม คนที่จำต้องถอยออกจาก หัวกำแพงเมืองหรือผู้ฝึกกระบี่ที่รบตายในสงครามมีแต่จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เดินไปบนเส้นทางการฝึกตนแล้วหรือ สัตว์เดรัจฉานเผ่าปีศาจที่ยังไม่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ขอแค่โชคไม่ดี หรือเป็นพวกที่กล้าเปลี่ยนเส้นทางการบุกมาข้างหน้า ทะเล่อทะล่าโผล่เข้ามาในเขตอิทธิพลของฉีโซ่วก็ล้วนต้องถูกกระบี่บินเฟยหลวนสังหารอย่างโหดเหี้ยม
แต่ไหนแต่ไรมาฉีโซ่วก็จะใช้เฟยหลวนสังหารศัตรูด้วยวิธีการที่อำมหิตเสมอ เขาชอบที่จะแร่เนื้อของเผ่าปีศาจ ให้กระดูกขาวของอีกฝ่ายโผล่ออกมา อยู่ไม่สู้ตาย
หากเป็นพวกที่รับมือได้ยากหน่อยก็จะมอบให้กระบี่บินเล่มที่สองอย่างซินเสียนไปรับมือ ยิ่งคุมเชิงกันนานเท่าไร โอกาสชนะของอีกฝ่ายจะก็ยิ่งน้อยเท่านั้น เพราะนั่นเป็นการมอบโอกาสให้ซินเสียนได้สะสมพลังเตรียมความพร้อม กระบี่บินเล่มนี้สามารถออกกระบี่ได้เร็วกว่าเฟยหลวน อีกทั้งยังสามารถอาศัยการโคจรของ ปราณวิญญาณที่เล็กละเอียดในฟ้าดินขนาดเล็กมาตามหาช่องโพรงที่สำคัญของศัตรู
ฉีโซ่วมองโครงกระดูกที่กลาดเกลื่อนพื้นบนสนามรบซึ่งห่างไปไกลแวบหนึ่ง ปีนั้นครั้งแรกที่ขึ้นมาออกกระบี่บนหัวกำแพงเมืองก็เคยเห็นภาพเหตุการณ์ ทำนองเดียวกันนี้ ระหว่างที่ทำสงครามก็อดจะมีคำถามหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ เหตุใด สัตว์รัจฉานพวกนี้ถึงได้ไม่กลัวตายกันเลย
มีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งให้คำตอบด้วยรอยยิ้ม ไม่มีใครที่ไม่กลัวตาย เพียงแต่ว่าที่ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนั้น ชีวิตคือสิ่งที่ไม่มีค่ามากที่สุด ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก็เหมือนกัน เว้นเสียจากว่ากลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ถึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต ทำให้ชีวิตพอจะมีคุณค่า ไม่ต้องมาตายอยู่ด้านล่างหัวกำแพงเมืองอย่างง่ายดายเพียงนั้นได้
ฉีโซ่วยังไม่ได้ใช้เที่ยวจู เพราะว่ายังไม่มีความจำเป็น
สงครามโจมตีและป้องกันระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กุญแจสำคัญไม่ได้อยู่ที่มาดอันองอาจเลิศล้าในการออกกระบี่ของเซียนกระบี่คนใด คนหนึ่ง ไม่ได้อยู่ที่วิชาอภินิหารหรือร่างจริงของปีศาจใหญ่ผู้มีฝีมือน่าครั่นคร้ามตนใดตนหนึ่ง ทว่าเป็นคำว่าทรมานคำเดียวเท่านั้น ดูว่าใครจะทรมานใครให้ตายก่อน ใต้หล้าเปลี่ยวร้างใช้วิธีสละชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน ส่วนกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับดูที่การสะสมปราณวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่ทุกท่าน ใครที่ทนไม่ไหวก่อน คนนั้นก็แพ้
ช่วงเวลาอันดีงามของกำแพงเมืองปราณกระบี่คราวก่อน ตัวอ่อนเซียนกระบี่เหมือนหน่อไม้ที่ผุดขึ้นมาหลังสายฝนฤดูใบไม้ผลิ การที่พวกเขาเกือบจะแพ้ ทั้งกระดาน ผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์เกือบจะตายไปหมดก็เพราะว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างเกือบจะอดทนได้จนถึงท้ายที่สุด และหลังจากที่บทเรียนอันเจ็บปวดครั้งนั้นผ่านไป เรือข้ามทวีปที่มุ่งหน้ามายังภูเขาห้อยหัวจึงมีมากขึ้นเรื่อยๆ ตระกูลน่าหลันและ ตระกูลเยี่ยนเริ่มลุกผงาดขึ้นมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เริ่มทำการค้ากับ ใต้หล้าไพศาลมากขึ้น กว้านซื้อยาวิเศษ ยันต์ สมบัติอาคมที่เดิมทีผู้ฝึกกระบี่ไม่ค่อยสนใจมาเป็นจำนวนมาก เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้
และอาศัยเรือข้ามฟากที่มาเยือนภูเขาห้อยหัวครั้งหนึ่งก็สามารถทำการค้าที่ได้กำไรก้อนใหญ่ เก้าทวีปใหญ่ของใต้หล้าไพศาลมีตระกูลเซียนใหม่เอี่ยมและกองกำลังร่ารวยมีอำนาจหลายแห่งที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ร่ารวยเป็นเศรษฐี หนึ่งในนั้นก็คือสกุลหลิวแห่งธวัลทวีปที่เป็นผู้นำ นอกจากนี้ยังมีถ้าซานสุ่ยของฝูเหยาทวีป สำนัก ฉงหลินแห่งอุตรกุรุทวีป นครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีป รวมถึงสำนักอวี่หลงที่ถือเป็นพื้นที่สำคัญใจกลางของการขนส่ง เป็นต้น
ถัดจากเฉินผิงอันไปคือเซี่ยซงฮวาเซียนกระบี่หญิงแห่งธวัลทวีป เมื่อปลายฤดูหนาวของปีก่อนเพิ่งจะมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ชื่อเสียงของนางไม่ค่อยโดดเด่นเท่าใดนัก พักอาศัยอยู่ในจวนส่วนตัวที่เซียนกระบี่ท่านหนึ่งทิ้งไว้ระหว่างหัวกำแพงเมืองและตัวนครอย่างเรือนภูเขาสมปรารถนา เพราะว่าเพิ่งจะมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังไม่มีผลงานการต่อสู้แม้แต่น้อย จึงได้แต่อาศัยอยู่ชั่วคราว ตัวเซี่ยซงฮวาเองก็แทบ ไม่เคยไปมาหาสู่กับคนนอก เรื่องครึกครื้นมากมาย นางก็ไม่เคยโผล่มาร่วมวง
พลังอำนาจหลังจากที่นางเรียกกระบี่ออกมา พูดได้แค่ว่าธรรมดาสามัญ กระบี่บินไม่เร็วไม่ช้า แสงกระบี่และปณิธานกระบี่ล้วนปกติ ดูเหมือนว่าได้แค่สังหารศัตรู อย่างพอดิบพอดีเท่านั้น
ฉีโซ่วอดไม่ไหวชำเลืองตามองกล่องกระบี่ที่ทำจากไม้ไผ่ซึ่งเซี่ยซงฮวาสะพายไว้ด้านหลัง
นางน่าจะเป็นคนที่ช้อนปลาร่วมมือกับการตกปลาของเฉินผิงอัน ว่ากันว่าเป็นแค่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งเท่านั้น นี่ทำให้ฉีโซ่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ขอแค่ เผ่าปีศาจมาติดกับ สามารถรบกวนให้เซี่ยซงฮวาช่วยออกกระบี่อย่างเต็มกำลังได้ ตัวที่งับเหยื่อก็ต้องเป็นปลาใหญ่ตัวหนึ่งอย่างแน่นอน ทว่าต่อให้เซี่ยซงฮวาจะเป็นเซียนกระบี่คอขวดขอบเขตหยกดิบ แต่จะไม่เดือดร้อนให้เฉินผิงอันถูกปลาใหญ่กระชากคันเบ็ดหนีไปจริงๆ หรือ? หรือว่าเซี่ยซงฮวาผู้นี้ก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่แสวงหา พลังพิฆาตของหนึ่งกระบี่แบบสุดโต่ง? ในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็มีเซียนกระบี่ที่ประหลาดแบบนี้อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามีไม่มาก มักจะเชี่ยวชาญการต่อสู้ตัวต่อตัวมากที่สุด ชอบใช้หนึ่งกระบี่แบ่งเป็นตาย เมื่อปล่อยกระบี่ไปทีหนึ่งแล้ว ขอแค่ฝ่ายตรงข้ามไม่ตาย ส่วนใหญ่ก็มักจะกลายเป็นตัวเองที่ร่างดับมรรคาสลาย ดังนั้นเซียนกระบี่ที่เป็นเช่นนี้จึงมักจะมีชีวิตอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ไม่ยืนยาว
ตั้งแต่ขวามาซ้าย เรียงตามลำดับมาก็คือฉีโซ่ว เฉินผิงอันและเซี่ยซงฮวา ต่างคนต่างเฝ้าพิทักษ์พื้นที่หนึ่ง
ด้านหลังของทั้งสามฝ่ายต่างก็ไม่มีผู้ฝึกกระบี่มาคอยแทนที่
ระหว่างนี้ฟ่านต้าเช่อแอบมาที่นี่ครั้งหนึ่ง แต่ไม่กล้าอยู่นานนัก เอาเหล้ากาหนึ่งมาวางไว้ก็รีบกลับทันที
เฉินผิงอันเปิดกาเหล้าจิบเหล้าคำเล็กๆ คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของเผ่าปีศาจบนสนามรบตลอดเวลา
ไม่ค่อยเหมือนกับวิธีการอันโหดเหี้ยมอำมหิตของฉีโซ่ว เฉินผิงอันพยายามจะโจมตีให้ถึงแก่ชีวิตในคราวเดียว อย่างน้อยที่สุดทุกครั้งที่ออกกระบี่ก็สามารถทำร้ายไปถึงรากฐานเรือนกายของเผ่าปีศาจได้ หรือไม่ก็ทำให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวไม่สะดวก และนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าจนใจ หลังจากที่ผ่านศึกใหญ่กับหลีเจินไป ขอบเขตของเขา ก็ถดถอยมาถึงสามขอบเขต เดิมทียังถือว่าพอจะมีรากฐานปราณวิญญาณที่ไม่เลว ยกตัวอย่างเช่นจวนน้าก็ไม่ใช่แค่อาศัยการหลอมโอสถวารีก็สามารถฟื้นคืนสู่จุดสูงสุดได้อีกแล้ว หากโคจรปราณวิญญาณโดยไม่เสียดายค่าตอบแทน ทำเหมือนการวิด บ่อน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา นั่นก็มีแต่จะเพิ่มรอยแตกร้าวให้กับตราประทับอักษรน้ำ ที่เดิมทียังมีโอกาสซ่อมแซมให้มากขึ้น เพิ่มความเร็วในการหลุดลอกของภาพเทพวารีบนผนังมากขึ้น บ่อน้าขนาดเล็กของจวนน้าด้านล่างตราประทับอักษรน้านั้นก็จะรั่วซึม พูดง่ายๆ ก็คือหากบอกว่าก่อนหน้านี้จวนน้ำสามารถรองรับโชคชะตาน้ำหนึ่งจิน ตอนนี้ก็เหลือความจุโชคชะตาน้ำแค่สามสี่ตำลึงเท่านั้น หากปณิธานกระบี่เผาผลาญไปมากเกิน จิตวิญญาณห่อเหี่ยวโรยรา อาศัยปราณวิญญาณที่เป็นวิธีการก้นกรุ ไปประคับประคองการออกกระบี่แต่ละครั้งก็มีแต่จะเข้าสู่วงจรที่เลวร้ายอย่างหนึ่ง อาศัยยาวิเศษมาชดเชยปราณวิญญาณในจวนน้ำ ปราณวิญญาณชะตาน้ำจะสลายไปเป็นจำนวนมาก ไม่ต่างจากการนำมาผลาญอย่างสิ้นเปลือง สุดท้ายเป็นเหตุให้ โอสถวารีของเทพวารีหนองน้ำเซิ่นเจ๋อที่มีมูลค่าควรเมืองถูกย่ายีอย่างเสียเปล่า
นี่ยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากที่สุด
หลังจากผ่านการหลอมใหญ่ ซงเจิน ไฮเหลยที่ต่อให้จะเป็นแค่กระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่ ทว่ากลับไม่ขาดระดับความคม เพียงแต่ขาดวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตซึ่งเป็นความพิเศษจากสวรรค์ไป หากว่ากันในบางระดับแล้ว ชูอีกับสืออู่ก็เป็นเช่นนี้ จะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ จะสามารถฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้หรือไม่ คือความต่างราวฟ้ากับเหว ฉีโซ่วที่อยู่ด้านข้างก็ยิ่งไม่ต้องพูดมาก กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่มของเขา เฉินผิงอันล้วนเคยสัมผัสกับตัวเองมาก่อน พูดถึงแค่พีซวงของ กู้เจี้ยนหลงที่เพราะเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสมชื่อแท้จริง ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด เป็นเหตุให้ขอแค่ทำร้ายศัตรูได้ก็เท่ากับสังหารศัตรูได้แล้ว และหากกระบี่บินพีซวง ทำร้ายเรือนกายของฝ่ายตรงข้ามได้ ปณิธานกระบี่ก็จะสามารถแทรกซึมเข้าไปใน ช่องโพรงลมปราณของศัตรู รับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด
เพียงแต่ว่าการแก้ไขปัญหา เดิมทีก็คือการฝึกตนอยู่แล้ว
ควบคุมการเผาผลาญปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญทั้งสี่แห่งอย่างระมัดระวังพลางซ่อมแซมรากฐานของจวนน้า ศาลภูเขาและเรือนไม้ทั้งสามแห่ง ปราณวิญญาณของช่องโพรงทุกแห่งกำลังจะถูกใช้ไปจนหมดสิ้น ยกตัวอย่างเช่น จวนน้ำที่ราวกับน้าลดหินผุด ข้อบกพร่องมากมายก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนขึ้น เพราะฉะนั้นจึงต้องปิดประตูจวนทันที ไม่ใช้ปราณวิญญาณของที่แห่งนี้อีก พวกเด็กจิ๋วชุดเขียว ก็เริ่มยุ่งวุ่นวาย รับหน้าที่เป็นช่างซ่อม ทางฝั่งของเรือนไม้ก็มีเมล็ดงาจิตหยิน เฝ้าพิทักษ์ ฝ่ายของศาลภูเขาก็มีคนจิ๋วสีทองช่วยสำรวจตรวจตรา ศึกใหญ่ค่อนข้างจะฉุกละหุกจึงไม่มีเวลาให้เฉินผิงอันได้พักผ่อนอยู่ในนครนานนัก ถ้าอย่างนั้นก็ถอยมาเลือกในลำดับรอง ใช้ศึกเลี้ยงศึก อาศัยโอกาสนี้เป็นฝ่ายไปค้นหาข้อบกพร่องเล็กๆ ทุกข้อที่เป็นรากฐานของการฝึกตน ต่อให้การทำเช่นนี้จะทำให้ประสิทธิผลของ โอสถน้ำเทพวารีแห่งหนองบึงเซิ่นเจ๋อและยาที่เก็บไว้ในคลังของจวนหนิงลดน้อยลง ไปมาก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยให้มากเกินไปนัก
การสังหารปีศาจบนสนามรบก็สามารถหาเงินได้เช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ยังมีกฎเกณฑ์ที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนข้อหนึ่งซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเฉินผิงอันอย่างถึงที่สุด ในเรื่องของการสังหารปีศาจ เป็นปีศาจโอสถทองตนหนึ่งเหมือนกัน หากเซียนกระบี่เป็นผู้สังหาร กับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางเป็นผู้สังหาร เงินที่ได้จะต่างกันอย่างมาก ผลประโยชน์ที่ฝ่ายหลังจะได้รับมักจะมากกว่าเซียนกระบี่อยู่เสมอ
ดังนั้นครั้งนี้เฉินผิงอันจึงใช้สถานะของผู้ฝึกตนขอบเขตสองมาสังหารปีศาจเพื่อหาเงิน
สายของอิ่นกวานและสายของลัทธิขงจื๊อที่รับผิดชอบตรวจตราการศึก บันทึกผลงานล้วนไม่มีความเห็นต่างกับเรื่องนี้
อาศัยความสามารถทำให้ขอบเขตถดถอย แล้วก็อาศัยความสามารถเป็นเหยื่อล่อ ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกว่านี่คือกำไรส่วนต่างที่เฉินผิงอันสมควรจะได้รับ
มองดูเหมือนว่าเฉินผิงอันเพ่งสมาธิอยู่กับการบังคับกระบี่ทั้งสี่เล่มให้สังหารศัตรูในสนามรบ แต่อันที่จริงเขาก็แบ่งสมาธิมามองการรบของทั้งสองด้านข้างกายเหมือนกัน การออกกระบี่ของฉีโซ่วที่เป็นก่อกำเนิดแล้ว แตกต่างจากการต่อสู้ตัวต่อตัวบนถนนใหญ่ก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ส่วนการออกกระบี่ของเซียนกระบี่เซี่ยซงฮวาก็ยิ่งเรียบง่าย นั่นคืออาศัยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตไม่ทราบชื่อเล่มนั้น ใช้ระดับความคมของมันมาแสดงพลังพิฆาต ทว่ากลับทำให้เฉินผิงอันได้ประสบการณ์และความรู้เพิ่มมากกว่า
ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เต็มตัว การบังคับกระบี่บินจึงมักจะ เผาผลาญจิตใจและปราณวิญญาณมากกว่าผู้ฝึกกระบี่อยู่มาก ความแข็งแกร่งทนทานของเรือนกายขอบเขตร่างทองย่อมได้รับผลประโยชน์ เพราะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณและปณิธาน เพียงแต่ว่าก็ยังไม่อาจทัดเทียมการออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ได้
ส่วนการกระโจนเข้าหาความตายของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจนั้นกลับไม่เคยหยุดพักแม้แต่นาทีเดียว
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมักจะดื่มเหล้าบ่อยๆ เพราะในเหล้านี้มีความรู้ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่
ฉีโซ่วที่อยู่ด้านข้างมองด้วยความบันเทิงอยู่ไม่น้อย ช่างลำบากเถ้าแก่รองที่ ตบหน้าตัวเองให้เป็นคนอ้วนผู้นี้จริงๆ อย่าให้กลายเป็นว่าไม่มีปลาใหญ่มาติดเบ็ด คนถือคันเบ็ดกลับอดทนไม่ไหวไปเสียก่อนล่ะ
เพียงแต่ว่าคนหนุ่มที่สีหน้าซีดขาวน้อยๆ ดวงตากลับยิ่งเป็นประกายแจ่มใส หากไม่พูดถึงการที่ประคับประคองกระบี่บินให้สังหารปีศาจเป็นเวลายาวนานถือว่าเป็นเรื่องที่ฝืนตัวเองอยู่บ้าง พูดถึงแค่ระดับความทนทานของเฉินผิงอัน รวมไปถึง การเลือกที่จะจัดการรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างดีเยี่ยมก็มากพอจะทำให้ฉีโซ่วต้องมองเขามุมใหม่แล้ว แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเป็นคู่ต่อสู้ที่เกือบต้องแลกชีวิตกัน แต่ฉีโซ่วก็ไม่ได้ใจแคบถึงขั้นหวังให้เฉินผิงอันที่อยู่ที่นี่บาดเจ็บแล้วบาดเจ็บอีก สุดท้ายทำร้ายไปถึงรากฐานของมหามรรคา
ดังนั้นฉีโซ่วจึงพูดด้วยเสียงในใจว่า “หากเจ้าไม่ถือสา สามารถจงใจปล่อย สัตว์เดรัจฉานกลุ่มหนึ่งให้ผ่านสนามรบของสี่กระบี่เข้ามา ให้พวกมันเข้าใกล้ กำแพงเมืองอีกหน่อย ข้าจะเรียกกระบี่บินเที่ยวจูออกมากวาดเอาผลงานการต่อสู้ไป ไม่อย่างนั้นหากปล่อยเวลาให้นานไปกว่านี้ เจ้าจะรักษาสนามรบนี้ไว้ไม่ได้”
ตอนนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสอง แม้แต่ริ้วคลื่นเสียงในหัวใจก็ยังใช้ไม่ได้ จึงได้แต่อาศัยการรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธ พูดกับฉีโซ่วว่า “น้ำใจรับ ไว้แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ต้อง ข้าต้องมีสภาพอนาถกว่านี้อีกหน่อยถึงจะมีโอกาสตกปลาตัวใหญ่ได้ หลังจากนั้นต่อให้เจ้าไม่เปิดปาก ข้าก็ต้องขอให้เจ้าช่วยอยู่ดี”
เสียโอสถวารีไปเปล่าๆ เม็ดสองเม็ด หรือถึงขั้นเพิ่มน้าค้างแข็งลงบนหิมะให้แก่ช่องโพรงลมปราณสี่แห่ง เป็นเหตุให้การออกกระบี่ของเขายิ่งยากลำบาก แต่ขอแค่สามารถตกเผ่าปีศาจขอบเขตใหญ่ตนหนึ่งมาได้ก็ถือว่าได้กำไรก้อนใหญ่แล้ว
บัญชีต้องคิดกันอย่างนี้
เซี่ยซงฮวาเซียนกระบี่หญิงแห่งธวัลทวีปเป็นเหมือนอย่างที่ฉีโซ่วคาดเดา นางก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่แสวงหาปณิธานกระบี่แบบสุดโต่ง การฝึกกระบี่ของชีวิตนี้ล้วนเน้นในเรื่องที่ว่าเมื่อออกกระบี่อย่างเต็มกำลังไปแล้ว ท้องฟ้าผืนดินล้วนสว่างแจ่มกระจ่าง
เซี่ยซ่งฮวาเองก็เป็นคนตรงไปตรงมา หลังจากที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเลือก ให้นางเป็นคนช้อนปลาช่วยเฉินผิงอัน เซี่ยซงฮวาก็ได้พูดคุยกับเฉินผิงอันอย่างเปิดเผยครั้งหนึ่ง เซียนกระบี่หญิงพูดเข้าประเด็นโดยตรง นางเอ่ยอย่างโผงผางว่านางมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เพื่อพยายามจะเอาปีศาจใหญ่ตนสองตนมาเซ่นกระบี่ของนางเท่านั้น
แต่เฉินผิงอันกลับวางใจได้หลายส่วน
ฉีโซ่วยิ้มถาม “ทำไมไม่ขอให้เซียนกระบี่เซี่ยซ่งฮวาที่เป็นพันธมิตรช่วยล่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ติดค้างน้าใจเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง ไม่กล้าไม่ใช้คืน ใช้คืน มากหรือน้อย ก็ยิ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้า แต่ติดค้างน้าใจเจ้ากลับใช้คืนได้ ค่อนข้างง่าย สงครามใหญ่ครั้งนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องยาวนานอย่างแน่นอน ระหว่างพวกเรา สุดท้ายใครกันแน่ที่จะติดค้างน้าใจใคร ตอนนี้ยังบอกได้ยากนัก”
ฉีโซ่วรู้สึกว่าไอ้หมอนี่ยังคงทำให้คนรังเกียจได้เหมือนเดิม เงียบไปครู่หนึ่งซึ่งก็ถือเป็นการตอบรับเฉินผิงอันโดยปริยาย จากนั้นจึงถามอย่างสงสัยว่า “สภาพอับจนยากลำบากของเจ้าในเวลานี้มีจริงเท็จกี่ส่วนกันแน่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าบอกอะไรไปเจ้าก็ไม่เชื่อ แล้วจะยังถามอีกทำไม”
ฉีโซ่วแสร้งพูดอย่างระอาใจ “ข้าเองก็ไม่ใช่ว่าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำหรอกหรือ เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง ตอนนี้ยังไม่มีใครเป็นศัตรูได้ ช่างเงียบเหงายิ่งนัก”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ข้าสามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งและ เซียนกระบี่ท่านหนึ่งทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลได้ น่าเบื่อมากกว่าเสียอีก”
ฉีโซ่วชูนิ้วกลาง
เฉินผิงอันอาศัยเวลาว่างตอนนี้ดื่มเหล้าอีกหนึ่งอึก กาเหล้าคือกาของเหล้า ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ร้านตัวเอง นี่ก็เพื่อปกปิดความลี้ลับบางอย่าง
เหล้าที่อยู่ในน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ซึ่งห้อยไว้ตรงเอวถูกหลอมให้เป็นโอสถน้ำเม็ดหนึ่ง หากไม่ถึงช่วงเวลาคับขันจริงๆ ก็ไม่ต้องดื่มเหล้านี้ เหล้ากาหนึ่งที่ฟ่านต้าเช่อคอยช่วยเอามาส่งให้ช่วยชดเชยปราณวิญญาณ ตอนนี้จึงยังไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องนี้ ส่วนยาล้ำค่าหลายเม็ดที่อยู่ในวัตถุฟางชุ่นอย่างสืออู่ก็ยิ่งต้องใช้ในเหตุการณ์เฉพาะเจาะจง หลักๆ แล้วใช้รับมือกับสสถานการณ์ที่ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณสองแห่งอย่างศาลภูเขาและจวนไม้มีแนวโน้มว่าจะแห้งขอด
บนสนามรบ เรื่องมหัศจรรย์แปลกประหลาดเกิดขึ้นได้หลากหลาย
อยู่ดีๆ ก็มีทะเลเมฆแผ่ปกคลุมไปทั่วรัศมีร้อยจั้งของสนามรบ ทอดสายตามองไกลไปจากหัวกำแพงเมืองเห็นว่าพลันมีจุดแสงจุดหนึ่งผุดขึ้นมา แหวกผ่าทะเลเมฆ แล้วก็ลากเอาเส้นแสงเส้นหนึ่งดิ่งเข้าไปในทะเลเมฆ ทะลุร่วงลงมาบนพื้นดิน แผ่นดินสะเทือนเลือนลั่น
มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจหลบเลี่ยงค่ายกลกระบี่ชั้นที่หนึ่งของเซียนกระบี่มาได้ก็พลันเผยร่างจริง แต่ละตนล้วนสวมเสื้อเกราะสีเงินเหมือนกันโดยไม่มีข้อยกเว้น ตนที่เป็นตัวนำบุกรุดมาด้านหน้าสามารถดีดให้กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินหลายท่านกระเด็นออกไป เมื่อถูกเซียนกระบี่บางท่านหมายหัว
ก่อนที่จะตายก็พยายามจะสร้างค่ายกลยันต์ที่ไม่ได้ตั้งตระหง่านอยู่บนสนามรบ แต่กลับมุดเข้าไปอยู่ลึกในใต้ดินขึ้นมาให้จงได้
ปีศาจย้ายขุนเขามากมายที่มีปีศาจใหญ่ฉงกวงเป็นผู้นำยังคงเผยเรือนกายใหญ่โตมโหฬารอยู่เหมือนเดิม คอยขว้างยอดเขาเข้าใส่กำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ประหนึ่งรถขว้างหินหลายคันที่สนามรบโลกมนุษย์ของใต้หล้าไพศาล ใช้กัน
และยังมีปีศาจใหญ่ไม่รู้นามอีกตนหนึ่งที่ทะยานลมมาหยุดลอยตัวอยู่ในจุดที่ สูงมาก ในมือถือขวดหยกขาวใสโปร่งแวววาวใบหนึ่ง พอเทปากขวดเอียงเข้าใส่ หัวกำแพงเมืองก็มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลรินลงมา สายน้าใหญ่ประดุจแถบผ้าสีขาว แต่กลับไม่ร่วงลงพื้น เพราะปะทะเข้ากับปราณกระบี่ที่ไหลซัดเชี่ยวของกำแพงเมืองปราณกระบี่เสียก่อน
แล้วก็มีปีศาจใหญ่ตนหนึ่งแฝงตัวอยู่ใต้ดินลึกอย่างลับๆ จู่ๆ ก็พลันแหวกหน้าดินขึ้นมา เผยร่างจริงที่สูงหลายร้อยจั้ง เหมือนเจียวเหมือนงู พยายามจะขยี้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางหลายเล่มให้แหลกเละไปในคราวเดียว แต่หลี่ถุ่ยมี่เซียนกระบี่ใหญ่บนหัวกำแพงกลับจับสังเกตได้ในเสี้ยววินาที โจมตี หนึ่งกระบี่ให้อีกฝ่ายล่าถอยไป เรือนกายมโหฬารผลุบหายเข้าไปในแผ่นดินใหญ่ อีกครั้ง พยายามจะถอยออกไปจากสนามรบ แต่กลับถูกกระบี่บินไล่ฆ่า แผ่นดิน โยกคลอนพลิกตลบ แสงกระบี่ใต้ดินเจิดจ้าสว่างไสว แม้จะมีดินหนาชั้นกางกั้น ก็ยังมองเห็นแสงกระบี่ที่พร่างพราวได้อยู่ดี
และยังมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เผ่นหนีอุตลุด หลังจากหลบค่ายกลใหญ่กระบี่บินของเซียนกระบี่มาได้ก็มาตกอยู่เบื้องหน้าของค่ายกลกระบี่แห่งที่สอง ฉับพลันนั้นก็ขว้างวัตถุบางอย่างลักษณะเหมือนกรวดทรายออกมากำหนึ่ง ผลคือบนสนามรบพลันมี หุ่นเชิดร่างสูงใหญ่ที่เป็นโครงกระดูกสวมเสื้อเกราะหลายร้อยโครงปรากฎตัวขึ้นในเสี้ยววินาที ใช้เรือนกายใหญ่โตไปคว้าจับกระบี่บิน หากมีกระบี่บินหลุดเข้าไปในมือของพวกมันก็จะระเบิดแตกคาที่
เนื่องจากเป็นช่วงริมอาณาเขตของค่ายกลกระบี่สองแห่ง ยามที่กระดูกขาวและเสื้อเกราะระเบิดแตกกระจาย ความคมของกระบี่บินผู้ฝึกกระบี่เซียนดินอาจได้รับความเสียหายบ้าง แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลาง จำนวนมากกลับถูกโจมตี หรือไม่ก็อาจถูกกระแทกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปโดยตรง
เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในสนามรบอย่างแท้จริง ผู้ฝึกกระบี่บางคนก็ลืมการไหลหายไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างสิ้นเชิง หรือไม่ก็เป็นความสุดโต่งอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ รบอย่างระมัดระวังรอบคอบ รู้สึกว่าหนึ่งวันยาวนานราวกับหนึ่งปี
วันและคืนหมุนเวียนผลัดเปลี่ยน
ดวงจันทร์สามดวงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่กำแพงเมืองปราณกระบี่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดคล้ายจะสว่างไสวขึ้นทุกที ราวกับว่าแสงจันทร์ได้ขยับเข้ามาใกล้สนามรบเพราะโปรดปรานกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้เป็นพิเศษ
ฉีโซ่วมองเฉินผิงอันแวบหนึ่งก็เอ่ยเตือนว่า “ระวังจะตกปลาไม่สำเร็จ กลับกลายเป็นถูกเผาผลาญพลังจนตาย หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป เจ้าก็คงต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปก่อนแล้ว”
หากเป็นแค่การออกกระบี่ขัดขวางศัตรูแบบทั่วๆ ไป การเผาผลาญพลังจิตของเฉินผิงอันย่อมไม่มีทางมหาศาลถึงขั้นนี้
นี่ต้องให้เส้นเอ็นหัวใจของเฉินผิงอันขึงเกร็งตึงแน่นอยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกัน เหตุไม่คาดฝัน เพราะถึงอย่างไรก็ไม่รู้ว่ามีปีศาจใหญ่ตนใดซ่อนอยู่ในตำแหน่งใด ยิ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะลงมือเมื่อไหร่ หากอีกฝ่ายยอมเสี่ยงอันตรายสักหน่อย ไม่หวังว่า จะฆ่าคนได้ แค่หวังว่าจะทำลายกระบี่บินสี่เล่มของเฉินผิงอันให้แหลกสลาย สำหรับเฉินผิงอันแล้วนี่ก็สร้างบาดแผลสาหัสได้ไม่ต่างกัน
เฉินผิงอันยกน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นมาดื่มเหล้าอึกใหญ่ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ดังนั้น สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายแข่งกันก็คือความอดทนและทักษะฝีมือด้านการแสดง หากอีกฝ่าย ไม่กล้าแม้แต่จะลงเดิมพันใหญ่หวังคว้าชัยชนะใหญ่ บีบให้ข้าร้อนใจจริงๆ จนได้แต่เก็บกระบี่ไป แล้วเรียกคนให้มาลงสนามรบแทน อย่างมากข้าก็แค่ไม่เป็นเหยื่อล่อนี้อีก”
บนสนามรบมีวิญญาณเร่ร่อนที่สภาพพิกลพิการอยู่ทั่วทุกหนแห่ง พวกมันถูกแสงกระบี่ปั่นคว้านทำลายไม่หยุด นั่นก็คือสภาพอันน่าสังเวชที่เสียงร้องโหยหวนระงม ไปทั่วพื้นที่
เมื่อกองกระดูกทับถมกันเป็นภูเขาก็จะถูกเซียนกระบี่ออกกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่าโจมตีให้จมลึกลงไปใต้ดิน เศษซากกระจายไปทั่วสนามรบร้อยลี้พันลี้ ไม่ปล่อยให้อาจารย์ค่ายกลของใต้หล้าเปลี่ยวร้างนำมาสร้างความมั่นคงให้พื้นดิน ถมสนามรบ ให้สูงขึ้นได้ตามใจปรารถนา เพียงแต่ว่ากลิ่นคาวเลือดและปราณดุร้ายที่เผ่าปีศาจสร้างขึ้นมากลับยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เซียนกระบี่และกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตจะมีวิธีรับมือไว้แต่แรกแล้ว นั่นคือใช้วิชาอภินิหารเฉพาะตัวของกระบี่บิน ล่องลอยไปทั่วสนามรบ พยายามชำระล้างปราณดุร้ายนั้นให้หมดสิ้น แต่เมื่อเวลาล่วงผ่านนานเข้า ก็ยังคงยากที่จะสกัดกั้นการรวมตัวกันของสถานการณ์ใหญ่บางอย่าง นี่จึงเป็นเหตุให้การมองเห็นในสนามรบของผู้ฝึกกระบี่ที่เดิมทีชัดเจนเริ่มค่อยๆ พร่าเลือน
นี่ก็คือการช่วงชิงฟ้าอำนวย
หันกลับมามองกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง บุกรุดหน้าทะลวงขบวนรบ ยิ่งสูญเสียสติสัมปชัญญะและไม่กลัวตายมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่ว่า มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจจำนวนมากที่เพิ่งจะเหยียบลงบนสนามรบครั้งแรกก็มีปณิธานอยู่ที่ความตายซึ่งเป็นปณิธานที่บริสุทธิ์ยิ่งแล้ว
คำกล่าวที่ว่ากระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ ไม่ได้มีเพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกต่อไป
ดังนั้นอริยะลัทธิเต๋าที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าจึงดึงเส้นขนเส้นหนึ่งออกมาจากพัดหางกวางสีขาวหิมะ โยนลงบนพื้นดิน บนสนามรบจึงมีฝนห่าใหญ่ตกกระหน่าลงมาอย่างที่ใครก็ไม่ทันตั้งตัว บรรยากาศพลันเปลี่ยนมาเป็นสดชื่น
ทันใดนั้นก็มีปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่นั่งอยู่บนทะเลเมฆ ลักษณะคล้ายคุณหนูในตระกูลใหญ่ของใต้หล้าไพศาล รูปร่างหน้าตางดงาม บนข้อมือของมือสองข้างต่างก็สวมกำไลหยกเอาไว้ข้างละวง หนึ่งขาวหนึ่งดำ กำไลสองวงที่ด้านในมีแสงเรื่อเรือง ไหลรินไม่ได้แนบติดกับผิว แต่ลอยตัวอยู่อย่างมหัศจรรย์ บนร่างยังรัดเข็มขัดหลากสีพลิ้วไสวเบาๆ ผมสีนิลปลิวปรายถูกห่วงสีทองรัดเอาไว้ มองดูเหมือนรัดแน่น แต่แท้จริงแล้วกลับลอยตัวและหมุนไปเรื่อยๆ
นางหยิบม้วนภาพเก่าแก่ภาพหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ สะบัดคลี่ออกเบาๆ บนภาพวาดเทือกเขาหลายเส้นที่ทอดยาวเป็นสาย ขุนเขาใหญ่เบียดเสียด สายน้ำไหลแว่วเสียงน้ำกระทบหิน ราวกับใช้วิชาอภินิหารของเซียนกักนักโทษอาญาขุนเขา สายน้ำไว้ในม้วนภาพ ไม่ใช่แค่การจรดพู่กันวาดขึ้นมาอย่างง่ายๆ เท่านั้น
ปีศาจใหญ่ที่สวมชุดคลุมอาคมสีชาดเหมือนสียามที่แสงแดดสาดส่องบนหมู่เมฆตนนี้คลี่ยิ้มหวาน จากนั้นก็หยิบตราประทับอีกอันหนึ่งออกมา เป่าลมปราณแท้จริง ใส่ตราประทับหนึ่งที แล้วประทับลงไปบนม้วนภาพเบาๆ แสงสว่างเรืองรองพลัน ส่องประกายออกมาจากตราประทับกว้างไกลเป็นหมื่นจั้ง แต่ม้วนภาพที่เดิมทีเห็นภาพขุนเขาเขียวสายน้าใสอย่างชัดเจนนั้นกลับค่อยๆ หม่นแสงลง
นางผลักม้วนภาพออกไปเบาๆ นอกจากตราประทับอักษรสีชาดที่ยังอยู่ที่เดิมแล้ว ม้วนภาพทั้งม้วนพลันหายไป
กลางอากาศเหนือสนามรบกลับมีม้วนภาพใหญ่โตโอฬารที่ยาวพันลี้ กว้างร้อยลี้ปรากฏขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ ปราณวิญญาณของม้วนภาพยังแผ่ออกมา พยายามจะ สกัดกั้นฝนเม็ดใหญ่ที่กำลังตกกระหน่า
เม็ดฝนกระทบลงบนม้วนภาพขุนเขาสายน้า
เหนือสนามรบไม่มีฝนตกลงมาอีกแม้แต่หยดเดียว
แต่บนเทือกเขาที่แท้จริงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ถูกนำมาวาดลงในม้วนภาพนี้ กลับมีน้ำฝนที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณตกลงมา
นักพรตเฒ่าสะบัดไม้ปัดฝุ่นทำลายม้วนภาพให้ย่อยยับ ม้วนภาพกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ดังนั้นน้าฝนที่จำแลงมาจากหางกวางเส้นหนึ่งก่อนหน้านี้จึงร่วงลงบน สนามรบดังเดิม แล้วก็ถูกม้วนภาพสกัดขวางไว้อีก ก่อนจะถูกนักพรตเฒ่าใช้ไม้ปัดฝุ่นทำลายไปอีก
เมื่อตราประทับที่อยู่เบื้องหน้าของสตรีเริ่มหม่นหมองไร้แสง สุดท้ายระเบิดแตกดังปัง นางก็พลันคลี่ยิ้ม “เทพเซียนผู้เฒ่ามอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”
เมื่อหญิงสาวหยิบตราประทับชิ้นนั้นออกมาอีกครั้ง แสงกระบี่ยาวเส้นหนึ่ง ก็พุ่งแหวกอากาศเข้ามาถึง กำไลขาวดำสองวงบนข้อมือของนาง และห่วงทองที่รัดเส้นผมพากันบินออกมาด้วยตัวเอง ปะทะเข้ากับแสงกระบี่ สะเก็ดไฟจ้าแสบตาสาดกระเซ็นไปทั่ว ฝนไฟจึงตกลงมาจากฟากฟ้า
แม้ว่าสตรีจะสกัดขวางแสงกระบี่เส้นนั้นเอาไว้ได้ แต่กลับจำต้องถอยร่นออกไปร้อยจั้งกว่า ก้มหน้าลงมองกำไลบนข้อมือ ยังดี แค่สึกกร่อนไปเล็กน้อยเท่านั้น นางจึงไม่ใช้ม้วนภาพขัดขวางฝนเม็ดใหญ่อีกต่อไป แต่ถอยออกไปชมศึกอยู่ไกลๆ ต่ออีกครั้ง
คนที่ออกกระบี่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่คือลู่จือ
นางจำได้แล้ว
หากสตรีอาฆาตแค้นสตรีด้วยกันขึ้นมา ส่วนใหญ่มักจะลงมืออย่างอำมหิตเสมอ
เฉินผิงอันจำต้องเก็บกระบี่บินทั้งหมดกลับมาพร้อมกันในคราวเดียว สุดท้ายก็ยังไม่มีปีศาจใหญ่มาติดเบ็ด เหนือจากการคาดการณ์ แต่ก็สมเหตุสมผลดี
เซี่ยซงฮวาไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับฉีโซ่วก็รีบร่วมมือกันช่วยเฉินผิงอันสังหาร เผ่าปีศาจทันที ต่างคนต่างแบ่งสนามรบไปคนละครึ่ง เพื่อให้เฉินผิงอันได้พักผ่อนเล็กน้อย จะได้สะดวกสำหรับการออกกระบี่อีกครั้ง
ศึกใหญ่เพิ่งจะเปิดฉาก กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจในตอนนี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกมดตัวเล็กตัวน้อยที่ใช้ชีวิตไปถมเติมเต็มให้กับสนามรบ ผู้ฝึกตนไม่ถือว่า มากถึงขั้นที่ว่าเมื่อเทียบกับสามศึกใหญ่ก่อนหน้านี้ การโจมตีเมืองครั้งนี้ของ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างยังมีความอดทนมากกว่า ผู้ฝึกกระบี่กับค่ายกลกระบี่ร่วมมือ สอดประสานเชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเอง ส่วนการโจมตีเมืองของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจก็คล้ายว่าจะมีระดับขั้นบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก ไม่ได้ใช้แค่ความหยาบกระด้างมุทะลุอีกต่อไป ทว่าบางครั้งแต่ละจุดของสนามรบก็เกิดปัญหาในการเชื่อมโยงอยู่บ้าง ราวกับว่าคนเบื้องหลังที่รับหน้าที่บัญชาการณ์กองทัพผู้นั้นจะมีประสบการณ์ในการทำสงครามไม่มากพอ
ผู้ฝึกกระบี่ฝึกกระบี่ เผ่าปีศาจฝึกปรือฝีมือการต่อสู้
ดวงจันทร์ทั้งสามลอยอยู่กลางนภา
ทางฝั่งของอริยะลัทธิขงจื๊อมีผู้เฒ่าแปลกหน้าที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งปรากฏตัว เขากำลังแหงนหน้ามองดวงจันทร์ทั้งสามดวงนั้น
ผู้เฒ่าก็คือบุคคลอันดับหนึ่งแห่งทักษิณาตยทวีป เฉินฉุนอันผู้รอบรู้
เฉินฉุนอันดึงสายตากลับคืนมา หันไปยิ้มเอ่ยกับพวกลูกศิษย์ที่เดินทางมาทัศนศึกษาซึ่งยืนอยู่ห่างไปไกลว่า “ไปช่วยพวกเขา จำไว้ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม”
คนรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งจึงกระจายตัวกันออกไป
อริยะลัทธิขงจื๊อที่เป็นคนของสายหย่าเซิ่งเหมือนกันเอ่ยว่า “มีเมล็ดพันธ์บัณฑิตอยู่ไม่น้อยเลย”
เฉินฉุนอันกล่าว “หยกงามวัตถุดิบที่ดีแบบนี้ ทักษินาตยทวีปของข้ายังมีอีกไม่น้อย”
อริยะลัทธิขงจื๊อยิ้ม “ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ใต้หล้าไพศาล อยู่ที่นี่ หากคิดจะพูดกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ไม่ทำอะไรสักหน่อยคงไม่ได้หรอก”
เฉินฉุนอันพยักหน้ารับ แล้วชูมือข้างหนึ่งขึ้นสูง
ดวงจันทร์ดวงหนึ่งบนท้องฟ้าของใต้หล้าเปลี่ยวร้างถึงกับเริ่มสั่นไหวน้อยๆ ราวกับว่าจะถูกผู้เฒ่าคนนี้กระชากลงมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ
ปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่ได้นั่งบนบัลลังก์ปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า มายืนอยู่ระหว่างดวงจันทร์บนฟ้ากับผู้เฒ่าบนหัวกำแพง
เฉินผิงอันย้อนกลับมาที่หัวกำแพงอีกครั้ง แล้วจึงออกกระบี่ต่อ เซี่ยซงฮวากับ ฉีโซ่วจึงถอยออกจากสนามรบคืนพื้นที่ให้เฉินผิงอัน
คนหนุ่มเรือนกายสูงใหญ่สวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งนั่งนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง ไม่ได้เอ่ยอะไร ไม่รบกวนการออกกระบี่ของเฉินผิงอัน เพียงแค่จ้องมองสนามรบอยู่นาน สุดท้าย ก็เอ่ยประโยคหนึ่งว่า “เจ้าแค่แสร้งทำเป็นว่าเรี่ยวแรงไม่พอ ปล่อยเข้ามาให้หมด ยิ่งขยับเข้าใกล้หัวกำแพงเมืองก็ยิ่งดี”
เฉินผิงอันไม่มีความลังเลใดๆ บังคับกระบี่บินสี่เล่มให้ถอยมาทันที
ปล่อยให้กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจที่อยู่ในอาณาเขตของตนกรูกันบุกเข้ามา
หลิวเสี้ยนหยางหลับตาลง ประหนึ่งเข้าสู่ภวังค์ของความฝัน
ฉีโซ่วหันมามองบัณฑิตแปลกหน้าที่เหมือนกำลังงีบหลับคนนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองฝูงปีศาจบนสนามรบที่เฮโลส่งเสียงดังวุ่นวายอยู่เบื้องหน้า
ในชั่วขณะที่ฉีโซ่วกำลังจะเรียกกระบี่บินเที่ยวจูออกมานั้นเอง
หลิวเสี้ยนหยางพลันลืมตาขึ้น
บนสนามรบที่เฉินผิงอันเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์ เผ่าปีศาจตายสิ้น ไม่มีใครที่โชคดี รอดชีวิตแม้สักตน
ต่อให้เป็นเซียนกระบี่เซี่ยซงฮวาก็ยังอดหันมามองหลิวเสี้ยนหยางไม่ได้
เพราะนางสัมผัสไม่ได้ถึงการแผ่กระเพื่อมของปราณวิญญาณ ไม่มีปราณกระบี่ปรากฏแม้สักเสี้ยว ถึงขั้นที่ว่าบนสนามรบยังไม่มีร่องรอยปณิธานกระบี่ใดๆ ให้ตามหา
เฉินผิงอันสังเกตการณ์สนามรบที่อยู่ดีๆ เสียงก็เงียบหายไปอย่างระมัดระวัง มีแต่ความเงียบสงัด ตายกันหมดอย่างสิ้นซากแล้วจริงๆ
หลิวเสี้ยนหยางคล้ายรู้สึกประหลาดใจกับตัวเองมากเหมือนกัน เขาลูบคลำปลายคาง พึมพำว่า “ทนรับการต่อยตีไม่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ?”
และในขณะที่จิตของเซี่ยซงฮวาและเฉินผิงอันกระเพื่อมขึ้นพร้อมกันนั้นเอง
ฉีโซ่วก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “มาแล้ว!”
หลิวเสี้ยนหยางที่สะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งซึ่งหอกระบี่เป็นผู้สร้างร้องอ้อหนึ่งที กระบี่ยาวด้านหลังออกจากฝักด้วยตัวเอง วาดเส้นออกไปเป็นวงโค้ง กลางอากาศ พลันปรากฏร่างเทพสีทองไม่รู้ที่มาตนหนึ่ง ในมือถือกระบี่ยาวธรรมดาเล่มนั้น ระหว่างทางที่ดิ่งลงไปยังพื้นดินก็มีปณิธานกระบี่บรรพกาลที่มหามรรคาใกล้ชิดกันขยับเข้ามารวมตัวกันบนร่างของมันอย่างต่อเนื่อง
สุดท้ายเทพถือกระบี่ก็เงื้อกระบี่ฟันลงไป กระแทกลงบนแสงกระบี่เล็กบางที่ ผุดออกมาจากศพศพหนึ่งแล้วพุ่งตรงเข้าหาเฉินผิงอัน
แสงกระบี่ที่ห่างจากหัวกำแพงเมืองไม่ไกลเส้นนั้นถูกกระแทกร่วงลงบนพื้นดิน เทพร่างทองและกระบี่ยาวของหอกระบี่ก็หายไปจากกลางอากาศด้วย
แสงกระบี่หลายเส้นพากันผุดพุ่งออกมาจากกล่องกระบี่ด้านหลังเซี่ยซงฮวา ความเร็วและพลังอำนาจที่พุ่งไปน่าครั่นคร้ามพรั่นพรึง
สุดท้ายก็โจมตีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่เผ่าปีศาจเล่มนั้นให้ แตกกระจายอยู่บนพื้นได้สำเร็จ
เซี่ยซงฮวาเก็บแสงกระบี่กลับมาแค่ครึ่งเดียว พวกมันทยอยกันเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในกล่องกระบี่ นางลุกขึ้นยืน หันหน้ามาเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ช่วงนี้เจ้าคงได้แต่ เอาตัวรอดด้วยตัวเองแล้ว ข้าจำเป็นต้องพักรักษาตัวระยะหนึ่ง ไม่อย่างนั้นหากสังหารปีศาจห้าขอบเขตบนไม่สำเร็จ สำหรับข้าแล้วก็ไม่มีความหมายใดๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หลิวเสี้ยนหยางหันหน้าไปมองเซี่ยซงฮวาที่เดินจากไป ดูเหมือนว่าอยากจะใช้โอกาสนี้แทนที่ตำแหน่งของเซียนกระบี่หญิงมาทำหน้าที่เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมือง
เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็หยุดไป
ตอนที่หลิวเสี้ยนหยางเดินผ่านไปด้านหลังเฉินผิงอัน เขาก้มตัวมาตบหัวเฉินผิงอันทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “กฎเดิม หัดเรียนรู้เสียบ้าง”
นับตั้งแต่ที่คนทั้งสองรู้จักและกลายเป็นสหายกัน ก็ล้วนเป็นหลิวเสี้ยนหยาง ที่คอยสอนเฉินผิงอันทำโน่นทำนี่มาตลอด เมื่อคนทั้งสองต่างก็ต้องออกจากบ้านเกิด จากลากันทีก็นานเป็นสิบกว่าปี ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับยังคงเดิม