กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 630.2 ปราณสังหารมีอยู่ทุกหนแห่ง
เฉินผิงอันหัวเราะ “คำพูดตามมารยาทก็พูดไปพอสมควรแล้ว ต่อจากนี้ข้าอาจออกไปจากที่นี่ ไปเดินเตร็ดเตร่อยู่รอบๆ เป็นระยะ หากไม่พอใจก็จำไว้ว่าต้องเก็บอารมณ์เอาไว้ให้ดี การออกจากเมืองไปเข่นฆ่าต่อจากนี้ พวกเจ้าย่อมไม่มีโอกาสอย่างแน่นอน แต่ข้ากลับสามารถทำได้ เชิญพวกเจ้าอิจฉาได้ตามสบาย”
เติ้งเหลียงที่มีนิสัยสุขุมแต่กลับขาดไหวพริบถามว่า “ลูกหลานชนชั้นสูงย่อมไม่พาตัวไปเสี่ยงอันตราย เมื่ออยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ คำพูดนี้คือคำพูดระยำ แต่อยู่กับพวกเรา ใต้เท้าอิ่นกวานขอให้ท่านโปรดคิดพิจารณาให้ดีก่อนลงมือ ต่อให้จะต้องออกจากหัวกำแพงเมืองไปสังหารปีศาจจริงๆ ก็ต้องอำพรางร่องรอยให้ดี สายอิ่นกวานของพวกเรา หากไม่มีใต้เท้าอิ่นกวานนั่งบัญชาการณ์ หากถึงขั้นที่ต้องเปลี่ยนผู้นำกลางคัน นั่นก็คือข้อห้ามใหญ่หลวงของสำนักการทหาร”
“ความหวังดีรับไว้แล้ว คำพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็ควรจะเป็นกฎข้อหนึ่งของสายอิ่นกวานเรา ยามที่ปิดประตูล้วนถือเป็นคนครอบครัวเดียวกัน คนครอบครัวเดียวกันแม้จะพูดจาไม่น่าฟังไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”
เฉินผิงอันเอ่ย “แต่คนที่สามารถสังหารข้าได้อย่างหย่างจื่อ หวงหลวนยังไม่กล้าเสี่ยงอันตรายลงมือ สัตว์เดรัจฉานตนอื่นๆ ไม่มีความจำ ไม่เชื่อไม่กลัว ถ้าอย่างนั้นก็ลองมาหาข้าดูได้”
เติ้งเหลียงนึกถึงความสำเร็จจากการส่งหนึ่งกระบี่ของเซียนกระบี่หญิงเซี่ยซงฮวาก่อนหน้านี้ก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
เฉินผิงอันลุกขึ้น “ข้าจะไปคุยกับผู้อาวุโสน่าหลันเซาเหว่ยและผู้อาวุโสเยี่ยนหมิงเสียหน่อย”
เฉินผิงอันคว้าแผ่นหยก ‘อิ่นกวาน’ มาห้อยไว้ตรงเอว เขาต้องการไปหาคนบนเส้นทางเดียวกันทั้งสองคนเพื่อพูดคุยเรื่องเรือข้ามฟากของภูเขาห้อยหัว นี่ไม่ใช่ว่ากระบี่บิน ‘อิ่นกวาน’ พูดคุยแค่คำสองคำแล้วจะคุยกันรู้เรื่องได้ จำเป็นต้องคุยกันต่อหน้า
คำพูดบางอย่างต้องให้เขาใช้สถานะของอิ่นกวานพูดเท่านั้นถึงจะได้จริงๆ
เดินอยู่บนเส้นทางเดินม้า เฉินผิงอันที่สีหน้าซีดเซียวพึมพำกับตัวเองว่า “ความรู้ของใต้หล้า มีเพียงเรือราตรีที่ยากจะรับมือมากที่สุด”
หมี่อวี้มองแผ่นหลังของคนหนุ่มผู้นั้น ในใจก็เกิดความคิดประหลาดบางอย่างที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้จิตหยินของเฉินผิงอันมานั่งบัญชาการณ์สายอิ่นกวาน
คือความมหัศจรรย์
ทุกคำพูดทุกการกระทำล้วนทำให้คนรู้สึกตกใจหวาดเสียว ทุกคำพูดล้วนมีความนัยลึกล้ำ เป็นการสั่งสมบารมีอำนาจอย่างที่มองไม่เห็น ค่อยๆ กุมอำนาจของอิ่นกวานไว้แน่นหนามากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นทำให้คนอดพยายามใคร่ครวญถึงความคิดของเฉินผิงอันไม่ได้
ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันในเวลานี้ก็ดูเหมือนว่าสภาพจิตใจเที่ยงตรงยิ่งกว่า
แบบไหนดีกว่ากัน หมี่อวี้ก็บอกไม่ถูก
อันที่จริงจะดีกะผายลมอะไรล่ะ
จะดีจะชั่วข้าผู้อาวุโสก็คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ทว่าพอมาอยู่ที่นี่กลับกลายเป็นคนที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อหมี่อวี้คิดถึงบุญคุณความแค้นระหว่างตนกับสายเหวินเซิ่ง จิตใจก็ยิ่งย่ำแย่
สุดท้ายหมี่อวี้ลูบคลำปลายคาง พึมพำว่า “สมองข้าไม่เฉียบไวจริงๆ งั้นหรือ?”
เฉินผิงอันพลันหันหน้ามาตะโกนเรียก “เซี่ยนกระบี่หมี่ ไปกับข้า คาดว่าอีกไม่นานเซียนกระบี่หมี่คงต้องยุ่งวุ่นวายแล้ว”
หมี่อวี้แข็งใจเดินตามอีกฝ่ายไป
เพียงแต่ว่าพอเฉินผิงอันพูดอย่างนี้ หมี่อวี้ก็โล่งอกขึ้นมาก ที่แท้ก็เป็นเรื่องดี ยังได้ไปผ่อนคลายอารมณ์ที่ภูเขาห้อยหัวได้บ้าง
ไม่เพียงเท่านี้ เฉินผิงอันยังเป็นฝ่ายสอบถามหมี่อวี้ถึงความคิดบางอย่างว่าพอจะทำได้หรือไม่
หมี่อวี้เองก็ตอบไปตามสัตย์จริง ปฏิเสธทุกความเห็นที่เขาบอกมา
และดูเหมือนว่าใต้เท้าอิ่นกวานอายุน้อยผู้นี้ก็ไม่ได้หมดอาลัยตายอยากสักเท่าใด
……
เส้าอวิ๋นเหยียนเจ้าเรือนชุนฟานที่อยู่ในภูเขาห้อยหัวขึ้นชื่อเรื่องเก็บตัวเงียบอยู่อย่างสันโดน
วันนี้เส้าอวิ๋นเหยียนไปเยือนจวนหยวนโหรวหนึ่งในสี่จวนส่วนตัวขนาดใหญ่ ตำหนักสุ่ยจิงและสวนดอกเหมยล้วนเป็นทางผ่าน แต่เขาเพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ
เพราะร่ายใช้เวทอำพรางตา บวกกับที่ตัวเส้าอวิ๋นเหยียนเองไม่ใช่คนที่ชอบปรากฎตัว ดังนั้นคนที่จำเซียนกระบี่ท่านนี้ได้จึงมีน้อยเพียงหยิบมือ
สุดท้ายเส้าอวิ๋นเหยียนไปเจอร้านเหล้าร้านหนึ่ง ใช้คาถาเคาะประตู ริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้นมา ประตูเปิดอ้า เส้าอวิ๋นเหยียนเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป กิจการของร้านยังซบเซา นอกจากตนแล้วก็ไม่มีลูกค้าอีกแม้แต่คนเดียว
เขาดื่มเหล้าลืมทุกข์จอกหนึ่งอยู่ในพื้นที่มงคลหวงเหลียนที่ยังหลงเหลืออยู่แห่งนี้
ดูเหมือนว่านี่เป็นเรื่องที่ยอดฝีมือแทบทุกคนที่เดินทางมาเยือนภูเขาห้อยหัวล้วนจำเป็นต้องทำ
ผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งงีบหลับอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน บนโต๊ะวางกรงนกหยกมรกตสลักบทกวีรูปแปดสมบัติ ด้านในมีนกขมิ้นน้อยอยู่ตัวหนึ่ง มันเองก็งีบหลับเหมือนผู้เฒ่า
คนหนุ่มที่ชื่อสวี่เจี่ยเห็นเส้าอวิ๋นเหยียนแล้วก็ดีใจมาก หลักๆ แล้วก็เพราะในใจคอยนึกถึงเถาน้ำเต้าของเจ้าของเรือนชุนฟานผู้นี้อยู่เสมอ ดังนั้นวันนี้สวี่เจี่ยที่ขึ้นชื่อเรื่องความขี้เกียจในสายตาลูกค้าซึ่งสนิทคุ้นเคยกันจึงขยันขันแข็งมากเป็นพิเศษ เขารีบยกเหล้าไหหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะ อันที่จริงสวี่เจี่ยไม่เคยพูดคุยกับเส้าอวิ๋นเหยียน แต่เคยได้ยินมาว่าเซียนกระบี่ที่มีชาติกำเนิดจากอุตรกุรุทวีปผู้นี้ ในอดีตตอนที่เพิ่งมาเยือนภูเขาห้อยหัวก็เคยมาดื่มเหล้าที่นี่เพราะได้ยินชื่อเสียงมานาน แต่กลับไม่มีเงินพอให้จ่ายค่าเหล้า จึงจ่ายค่าเหล้ากาหนึ่งของร้านด้วยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งที่อยู่บนเถาน้ำเต้าเส้นนั้น แล้วก็ดื่มจนเมาเละเหมือนขี้โคลน ภายหลังหาเงินมาได้จึงนึกเสียใจภายหลัง หมายจะเอาเงินฝนธัญพืชกองใหญ่มาซื้อคืนตามราคาตลาด แต่เถ้าแก่ไม่ตอบตกลง แล้วเซียนกระบี่เส้าก็คงขุ่นเคืองเถ้าแก่ ถึงได้ไม่เคยมาดื่มเหล้าที่ร้านอีกเลย
เส้าอวิ๋นเหยียนยืนอยู่ด้านล่างกำแพงแถบนั้น มองประเมินอยู่สองสามครั้งก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ได้มาแค่เจ็ดแปดร้อยปี ไม่นึกว่าผนังจะถูกเขียนเกือบเต็มแล้ว กิจการของร้านดีขนาดนี้เชียวหรือ?”
สวี่เจี่ยบ่นว่า “คนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตาย ได้ยินว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่มีร้านเหล้าที่ขายเหล้าชั้นเลว เพิ่งจะเปิดร้านได้ปีกว่า แต่ป้ายสงบสุขนั้นกลับแขวนไว้เต็มผนังสามแถบแล้ว”
เส้าอวิ๋นเหยียนเอ่ยขออภัยลูกจ้างร้านหนุ่มคำหนึ่ง หิ้วเหล้าลืมทุกข์ไปนั่งบนโต๊ะตัวเดียวกับที่เคยนั่งเมื่อครั้งที่มาดื่มเหล้าที่นี่เป็นครั้งแรก รินเหล้าหนึ่งถ้วย มองไปทางโต๊ะคิดเงิน ยิ้มเอ่ยว่า “เถ้าแก่ เถาน้ำเต้าเส้นนั้นได้ให้แม่นางน้อยคนหนึ่งเอาไปไว้ที่ภูเขาสุ่ยจิงของอุตรกุรุทวีปแล้ว ผ่านไปอีกสิบกว่าปี น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นก็จะสุกงอมหล่นลงพื้น ถึงเวลานั้นต้องรบกวนให้เถ้าแก่ส่งคนไปเอาที่นั่นแล้วล่ะ เกี่ยวกับว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้จะเป็นของใคร ข้าได้บอกกล่าวกับภูเขาสุ่ยจิงไว้ก่อนแล้ว แค่คนปรากฏตัว ก็เอาน้ำเต้าไปได้เลย ง่ายดายเพียงเท่านี้”
ผู้เฒ่าอืมรับหนึ่งที ลืมตาขึ้นชำเลืองมองสวี่เจี่ย “เจ้าจะไปหรือไม่?”
สวี่เจี่ยถาม “หากข้าออกไปจากร้านแล้วคุณหนูกลับมาพอดี จะทำอย่างไร?”
ผู้เฒ่าด่ายิ้มๆ “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ไยลูกกระต่ายน้อยอย่างเจ้าถึงยืนกรานจะแขวนคอตายใต้ต้นไม้ต้นเดียวให้ได้แบบนี้? ลูกสาวของข้าคนนั้น ความงามก็ไม่มี รูปร่างก็ไม่ได้เรื่อง สมองก็ไม่ค่อยจะสมประดี ทั้งยังมีคนที่ชอบพออยู่นานแล้ว จะคู่ควรกับเจ้าได้อย่างไร?”
สวี่เจี่ยพูดอย่างขุ่นเคือง “นับตั้งแต่เด็กข้าก็อยู่ที่นี่ เคยได้พบเจอสตรีสักกี่คนกัน? ไม่ชอบคุณหนู แล้วจะให้ไปชอบใคร?! ชอบตาเฒ่าสกปรกอย่างท่านงั้นรึ?!”
ผู้เฒ่าเองก็ไม่โกรธ บุตรสาวออกจากบ้านไปนานหลายปี ในร้านจึงมีแค่หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กเฝ้าอยู่ในสถานที่ที่เงียบเหงาแห่งนี้ แล้วก็ได้อาศัยลูกศิษย์ของตนนี่แหละที่เพิ่มกลิ่นอายความครึกครื้นขึ้นมาหน่อย เขาตัดใจด่าอีกฝ่ายไม่ลง หากด่าแรงเกินไป แล้วอีกฝ่ายจะออกจากบ้านไปด้วย ร้านคงขาดทุนแย่
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งต้องให้เจ้าไสหัวออกไป ไปเดินดูภายนอกบ้าง สตรีงดงงามที่แท้จริง มีให้เจ้าเลือกจนตาลายเลยล่ะ”
สวี่เจี่ยพยักหน้ารับ “ข้าเองก็เริ่มคิดถึงเฉาสือแล้ว พอไปเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อุตรกุรุทวีปแล้วจะไปหาเขาที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สวี่เจี่ยก็ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะคิดเงิน หิ้วกรงนกขึ้นมาแล้วแกว่งส่าย พลางเอ่ยสั่งสอนไปด้วย “เจ้าโง่ เหตุใดปีนั้นถึงมองรากฐานวิถีวรยุทธของเฉินผิงอันผู้นั้นไม่ออก ชอบทำเป็นป่วยกระเสาะกระแสะแกล้งตายนักใช่ไหม?”
นกขมิ้นในกรงเป็นพันธ์เดียวกับนกขมิ้นของลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งใต้หล้ามืดสลัว
เพียงแต่ว่าตัวหนึ่งทดสอบชะตาบุ๋น ตัวหนึ่งทดสอบชะตาบู๊
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “เถ้าแก่ มีเรื่องราว สามารถเล่าให้ฟังได้ไหม?”
ผู้เฒ่าโบกมือ “ดื่มเหล้าของเจ้าไปเถอะ แค่เรื่องดื่มเหล้าดับทุกข์ให้เป็นเหมือนเหล้าปกติทั่วไป ย่ำยีของดีเช่นนี้ หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นของเจ้า ข้าก็ไม่คิดจะขายเหล้าให้เจ้าด้วยซ้ำ”
เส้าอวิ๋นเหยียนดื่มเหล้าพลางถามชวนคุยว่า “ตำหนักสุ่ยจิ่งยังคงฝันกลางวันว่าจะร่ำรวยรุ่งโรจน์ เอาแต่คิดจะหาเงิน เปลี่ยนความคิดไม่ได้แล้ว แต่จวนหยวนโหรวกลับขนย้ายทรัพย์สินออกจนเกลี้ยงแล้ว ทว่าเรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ ข้าแค่อยากรู้ว่าวันหน้าร้านของเถ้าแก่จะไปเปิดที่ไหน? เหล้าหมักตระกูลเซียนนับร้อยนับพันชนิดของใต้หล้า ข้าเคยดื่มมาเกือบหมดแล้ว แต่เหล้าที่ดื่มแล้วชวนให้คิดถึงได้เสมอก็มีแต่เหล้าลืมทุกข์ของเถ้าแก่และเหล้าภูเขาชิงเสินของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่เท่านั้น”
ผู้เฒ่าชำเลืองตามองลูกศิษย์ที่ยังทะเลาะกับนกขมิ้นในกรง ตัวเขาเดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมา ยกเหล้ามาหนึ่งไห มานั่งข้างโต๊ะของเส้าอวิ๋นเหยียน รินเหล้าหนึ่งชาม ต่างคนต่างดื่มกันไป
ผู้เฒ่าเอ่ย “ข้าเป็นคนนอกโลก เจ้าคือคนนอกสถานการณ์ แน่นอนว่าเจ้าจะต้องสบายมากกว่า แล้วยังจะดึงดันเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทำไม? ในเมื่อเข้ามายุ่งด้วยแล้ว ไม่ว่าร้านของข้าจะเปิดอยู่ตรงหน้า หรือเปิดอยู่ริมขอบฟ้า ต่อให้ได้คำตอบแล้ว แต่เจ้ายังจะได้ดื่มเหล้าอีกหรือ?”
เส้าอวิ๋นเหยียนมองไปทางประตูใหญ่ของร้านเหล้าที่มีไอหมอกขาวลอยอบอวลแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า ในอดีตเคยรับปากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไว้เรื่องหนึ่ง ไม่ทำไม่ได้”
ผู้เฒ่าถาม “หนีไม่ได้หรือ?”
แต่ไม่นานผู้เฒ่าก็พยักหน้าอยู่กับตัวเอง “ยาก”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “ไม่ต้องหนี ขอแค่ไม่เดินอาดๆ ออกไปจากภูเขาห้อยหัว ทำตัวลับๆ ล่อๆ สักหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
ผู้เฒ่าเงียบไปพักหนึ่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังกล้าอยู่ต่ออีกหรือ? ด้วยขอบเขตและเวทกระบี่อันน้อยนิดของเจ้า ไม่มากพอหรอก ช่างรนหาที่ตายจริงๆ โง่ตายสู้เมาตายไม่ได้จริงๆ ช่างเถิด ข้าจะยกเหล้าให้เจ้าเปล่าๆ อีกสักไหก็แล้วกัน”
เส้าอวิ๋นเหยียนเอ่ย “ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใต้เท้าอิ่นกวานก่อกบฏหนีไปเข้าพวกกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว”
ผู้เฒ่าเลิกคิ้ว “แม่นางน้อยเซียวสวิ้นผู้นั้นเคียดแค้นใต้หล้าไพศาลขนาดนี้เชียวหรือ?”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “ได้ยินว่ามีอิ่นกวานคนใหม่แล้ว หากเถ้าแก่เดาออก ข้าก็จะไม่ดื่มเหล้ากานี้ของท่านเปล่าๆ แล้ว เถ้าแก่สามารถเดาได้สามครั้ง”
ผู้เฒ่าครุ่นคิด “คือโฉวเหมียวที่ปีนั้นตามอาเหลียงไปเก็บเงินได้มากสุดและไกลที่สุด หรือว่าแม่หนูหนิงเหยา? คงจะไม่ใช่เด็กคนนั้นที่เซียวสวิ้นถูกใจกระมัง ชื่ออะไรแล้วนะ”
สวี่เจี่ยเอ่ย “ดูเหมือนจะชื่อผังหยวนจี้”
เส้าอวิ๋นเหยียนหัวเราะฮ่าๆ “ได้ดื่มเหล้าลืมทุกข์กาหนึ่งโดยไม่ต้องเสียเงิน อารมณ์ดีจริงๆ”
เส้าอวิ๋นเหยียนดื่มเหล้าลืมทุกข์ทีเดียวสองการวด แล้วเดินโซเซออกจากร้านไปอย่างเมามาย รู้สึกว่าไม่เสียเที่ยวที่มาที่นี่
เถ้าแก่ผู้เฒ่าก็เล่าเรื่องน่าสนใจบางอย่างให้เขาฟัง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องวงในบางอย่างเกี่ยวกับใต้หล้าแห่งที่ห้า ขุนเขาสายน้ำงดงามยาวไกลหมื่นลี้พันลี้ ทุกพื้นที่ล้วนเป็นสถานที่ฮวงจุ้ยดีเลิศ ซากปรักบรรพกาล ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลใหม่เอี่ยมหลายแห่งล้วนว่างเปล่ารอให้คนไปครอบครอง ทางฝั่งของใต้หล้ามืดสลัวก็ดูเหมือนว่าจะได้น้ำแกงไปส่วนหนึ่ง โชควาสนาบนมหามรรคาที่เหลือเชื่อมากมายล้วนรอให้คนมีวาสนาไปช่วงชิง ประโยคหนึ่งที่มีน้ำหนักมากที่สุดของเถ้าแก่ผู้เฒ่า คือความลับที่แม้แต่เส้าอวิ๋นเหยียนก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ถึงขั้นคิดไม่ถึงด้วยซ้ำ ผู้เฒ่าบอกว่าอริยะลัทธิขงจื๊อมากมายไม่เพียงแต่ตายไปอย่างเงียบเชียบท่ามกลางการบุกเบิกที่ดิน สร้างความมั่นคงให้แก่ฟ้าดินในแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวนี้ อันที่จริงคนที่รบตายไปก็มีอยู่ไม่น้อย โชคดีที่หลี่เซิ่งที่สามารถ ‘สะบั้นความเชื่อมโยงฟ้าดิน’ ผู้นั้นยังคงมีชีวิตอยู่ เขานำพาอริยะลัทธิขงจื๊อหลายคนทยอยกันไปที่นั่น คุมเชิงอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่ดื้อดึงบางส่วนอยู่ตรงจุดที่ห่างไปไกลไม่มีใครล่วงรู้นอกม่านฟ้าอยู่นาน
ตอนนั้นเส้าอวิ๋นเหยียนอดไม่ไหวถามคำถามหนึ่ง “ใต้หล้าอีกสามแห่งที่เหลือไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรือ?”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
เส้าอวิ๋นเหยียนยังอยากจะถามหาเหตุผล
ในฐานะของบรรพบุรุษหนึ่งในเมธีร้อยสำนัก ผู้เฒ่ากลับเอ่ยว่า “ไม่ต้องรู้ดีที่สุด”
เส้าอวิ๋นเหยียนเดินเล่นไปตลอดทาง กลับไปถึงจวนของตัวเองที่ทัศนียภาพพอๆ กับจวนหยวนโหรว
ทุกสถานที่ที่เหยียบผ่านล้วนเต็มไปด้วยปราณสังหาร
เพราะล้วนอยู่บนภูเขาห้อยหัว
……
เปียนจิ้งที่เดินทางมาท่องเที่ยวกำแพงเมืองปราณกระบี่ร่วมกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ย หลินจวินปี้ กลับไม่ได้ร่วมสังหารศัตรูที่หัวกำแพงเมือง แล้วก็ไม่ได้เดินทางไปยังทักษินาตยทวีปร่วมกับพวกคนหนุ่มสาวอย่างเจี่ยงกวนเฉิง
เปียนจิ้งพักอยู่ที่สวนดอกเหมย เล่นหมากล้อมกับถัวเหยียนฮูหยิน อารมณ์สุนทรีเป็นอย่างยิ่ง
แต่วันนี้เปียนจิ้งออกมาจากสวน ไปที่ศาลาจัวฟ่าง มองเรือข้ามฟากแต่ละลำที่เดินทางไปกลับ
ศาลาจัวฟ่างถูกมองเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ไม่สมชื่อมากที่สุดของภูเขาห้อยหัว แต่กระนั้นก็ยังมีคนสัญจรเบียดเสียดอยู่ทุกวัน ศาลาเล็กๆ นอกจากยามค่ำคืนดึกสงัดแล้ว มักจะมีคนมาออกันเนืองแน่นเสมอ
เปียนจิ้งไม่ได้ไปร่วมวงความครึกครื้นที่นั่น เขานั่งอยู่บนราวรั้วของหอชมทัศนียภาพหยกขาวริมหน้าผาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกศาลาจัวฟ่าง ใช้เสียงในใจพูดคุยกับตัวเอง
เปียนจิ้งยิ้มถาม “เจ้าชอบคุยโวบ่อยๆ ว่าตัวเองเป็นเพื่อนเก่ากับเฒ่าหูหนวกไม่ใช่หรือ คุกของเฒ่าหูหนวกไม่มีเซียนกระบี่คนอื่นเฝ้าพิทักษ์เลย ไม่มีโอกาสจะสร้างความเคลื่อนไหวอะไรขึ้นเลยจริงๆ หรือ?”
“เป็นไปไม่ได้ อย่าไปหาเรื่องซวยใส่ตัวจะดีกว่า”
เปียนจิ้งทอดถอนใจ “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ บุคคลของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างพวกเจ้าต่างก็มีขอบเขตสูงขนาดนี้ เหตุใดถึงยังคร่ำครึกันเช่นนี้”
“ในใจมีอุบายมากมาย อ้อมไปอ้อมมา นี่ก็ถือเป็นการฝึกตนบนมหามรรคาด้วยหรือ?”
เปียนจิ้งพูดเรื่องไหนไม่พูด ดันมาพูดเรื่องที่จี้ใจคน เขายิ้มถามว่า “เต๋าเหล่าเอ๋อร์ที่ทำให้เจ้าต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เป็นผู้ไร้ศัตรูเทียมทานจริงๆ หรือ?”
“หากไม่ได้ประมือกับเขาอย่างแท้จริงก็ไม่มีทางรู้ถึงความน่ากลัวของเจ้าจมูกโคหน้าเหม็นผู้นี้เลย”
เปียนจิ้งรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “น่าเสียดายที่กุ้ยฮูหยินของนครมังกรเฒ่าแจกันสมบัติทวีปไม่ได้ตอบรับคำเชิญของถัวเหยียนฮูหยินพวกเรา”
“น่าเสียดายจริงๆ เพราะถึงอย่างไรร่างจริงของสตรีผู้นั้นก็คือเผ่าพันธุ์ตำหนักดวงจันทร์ดั้งเดิม หากนางยินดีมาเข้าร่วมแผนการใหญ่ครั้งนี้ โอกาสชนะของพวกเราจะมีมากขึ้น”
เปียนจิ้งยิ้มกล่าว “พวกเราหรือ? ต้องเป็นเจ้าถึงจะถูก ข้าก็แค่ตัวละครเล็กๆ ที่ไม่มีอิสระในตัวเอง”
“ไม่มีอิสระในตัวเอง แต่จิตใจกลับเสรี เจ้าเลิกทำตัวเป็นโสเภณีที่ตั้งป้ายคุณธรรมให้ตัวเองเสียทีเถอะ”
เปียนจิ้งเอ่ย “จากข่าวล่าสุดของถัวเหยียนฮูหยิน มีเซียนกระบี่ไม่น้อยที่จิตใจหวั่นไหว สภาพการณ์ในตอนนี้กระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าอับจนหนทาง คาดว่าคงอยากจะฉลกหนังแร่เนื้อของเถ้าแก่รองผู้นั้นเต็มทีแล้ว”
คราวนี้ ‘ตาแก่หนังเหนียว’ ผู้นั้นไม่ได้พูดกับเปียนจิ้ง
เปียนจิ้งมองเรือข้ามฟากเหล่านั้น แต่ละคนมีสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบานอย่างที่ยากจะปกปิด เปียนจิ้งจึงยิ้มเอ่ยว่า “มองคนพวกนี้ อีกทั้งยังมีมากขนาดนี้ ข้าก็อารมณ์ดีขึ้นมา ไม่เหลือความละอายใจอะไรแล้ว”
มาถึงภูเขาห้อยหัว ทำการค้ากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใช้สินค้าแลกสินค้า คุ้มค่าที่สุด กลับไปพร้อมกำไรเป็นกอบเป็นกำ พร้อมของเต็มไม้เต็มมือ เมื่อไปถึงทวีปของตัวเอง เอาไปแลกเปลี่ยนผลัดมือ กำไรที่ได้ชวนให้คนตกตะลึง
สามปีไม่เปิดร้าน เปิดร้านทีกินได้สามปี ก็พูดถึงเรือข้ามทวีปที่ทำการค้าสารพัดสารเพพวกนี้นั่นเอง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ยิ่งเป็นช่วงศึกใหญ่ การไปกลับทุกครั้งของเรือข้ามฟากก็จะยิ่งได้กำไรมหาศาลเสมอ เพราะมีเบี้ยให้กดราคาได้อย่างหน้าเลือด
เปียนจิ้งพยักหน้าเอ่ยว่า “มีความผิดความถูกเสียที่ไหน มีแค่จุดยืนเท่านั้น หลักการเหตุผลถูกต้องที่สุด เห็นด้วยอย่างยิ่ง”
เปียนจิ้งกวาดตามองไปรอบด้าน
อีกไม่นานก็จะผลัดฟ้าดินแล้ว