กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 632.4 สายลมบางเบาแสงจันทร์ใสกระจ่าง
นับแต่โบราณมา แก่นแท้ของการทะเลาะถกเถียงนั้นอยู่ที่ว่า ไม่ว่าอีกฝ่ายพูดอะไรก็ล้วนผิดไปหมด ถูกก็ไม่ยอมรับ ดังนั้นเพียงไม่นานจึงมีคนเอ่ยว่าผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนเป็นพวกจิตใจคับแคบ สรุปก็คือพวกเขาไม่รู้จักทำการค้า เรือข้ามทวีปแทบทั้งหมดที่ไปเยือนล้วนได้เงินก้อนใหญ่กันมาทุกคน ยกตัวอย่างเช่นสำนักอวี่หลงที่เหตุใดร่ำรวยเงินทองขนาดนั้นแล้วยังหาเงินจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ทางอ้อมได้อีก ยิ่งมีเด็กหนุ่มหัวเราะเสียงหยันบอกว่ารอให้ตนเติบใหญ่เมื่อไหร่ก็จะต้องไปหากำไรเงินเทพเซียนจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เหมือนกัน จะขุดเอาเงินจนในกระเป๋าของพวกเซียนกระบี่ผายลมสุนัขไม่เหลือแม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว
ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งที่ผ่านทางมาด่ายิ้มๆ ว่าพวกเจ้าแต่ละคนก็เหลือแค่ความสามารถในการด่าคนอื่นนี่แหละ รีบไสหัวไปฝึกตนเดี๋ยวนี้เลย
พวกเด็กรุ่นหลังไม่เพียงแต่ไม่ทำตามคำสั่ง คนทั้งสองกลุ่มยังลากเอาผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีชื่อเสียงดีงามท่านนี้ให้มาร่วมวิพากษ์วิจารณ์ด้วย
ผู้เฒ่ามีชื่อเสียงบนเกาะหลูฮวาว่าเป็นคนที่มีเรื่องเล่ามากมาย บวกกับที่ไม่เคยวางมาด ไม่ว่ากับใครก็ล้วนสามารถพูดคุยด้วยได้ เวลาที่อารมณ์ดียังมอบเหล้าให้ดื่ม ไม่สนว่าเจ้าจะใช่เด็กตัวเท่าก้นหรือไม่ ไม่ว่าใครก็ล้วนดื่มเหล้าได้หมด
ผู้เฒ่าคือเซียนดินโอสถทอง มีเก้าอี้อยู่ตัวหนึ่งในศาลบรรพจารย์ บนเกาะเขาก็มีเรือนส่วนตัวโอ่อ่าที่กินอาณาเขตกว้างขวางอย่างยิ่ง บนถนนเส้นที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขาหน้าผาหมีลู่ของภูเขาห้อยหัวก็ยิ่งมีสหายบนภูเขาไปเปิดร้านอยู่ แม้แต่ทักษินาตยทวีป นครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีป ชายหาดโครงกระดูกของอุตรกุรุทวีป เขาก็ล้วนไปเยือนมาก่อน มีความรู้กว้างขวาง คือเทพเซียนผู้เฒ่าที่ไม่ว่าคลื่นลมมรสุมอะไรก็เคยเห็นมาหมดแล้ว
ดังนั้นพวกเด็กรุ่นหลังของของเกาะหลูฮวาจึงอยากได้ยินเรื่องเล่าสนุกสนานจากเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้
พอดื่มเหล้าหนักเข้า ไม่ว่าเรื่องน่าสนใจอะไรก็ล้วนพูดออกจากปากได้ ลำพังเพียงแค่ขนบธรรมเนียมประจำท้องถิ่นของใต้หล้าไพศาลก็สามารถเล่าได้หลายร้อยรูปแบบ อย่างเช่นขายความง่วงในวันลี่ชุน (ลี่ชุนคือหนึ่งในยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาล ถือเป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากวันลี่ชุนเป็นวันผลัดเปลี่ยนฤดูกาล อากาศเปลี่ยนแปลงง่ายจะทำให้คนรู้สึกเหนื่อย ง่วง อยากนอน จึงมีการพูดแก้เคล็ดว่าขายความง่วง เพื่อให้ตัวเองรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น) อย่างเช่นในหอโคมเขียวจะมีพวกราชินีบุปผาที่เชื้อเชิญให้เด็กน้อยที่สวมกางเกงเปิดเป้ามากระโดดข้ามเตียงเพื่อขับไล่ความอัปมงคล หรืออย่างเช่นเรื่องที่สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อไม่สนับสนุนให้เผากระดาษเงินกระดาษทอง และสองลัทธิอย่างพุทธเต๋าก็ไม่ยอมรับว่าขนบธรรมเนียมนี้แพร่หลายมาจากฝ่ายตัวเอง จากนั้นก็ทะเลาะกันโหวกเหวกมานานหลายปี ทำเอาพวกเด็กๆ ที่เติบใหญ่บนเกาะหลูฮวาพากันฝันใฝ่อยากเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้
ลำพังเพียงแค่เรื่องมหัศจรรย์มากมายของเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก ผู้ฝึกตนเฒ่าก็สามารถพูดได้เป็นนาน
อันที่จริงผู้ฝึกตนเฒ่าชอบเล่าเรื่องของเจียงซ่างเจินเป็นที่สุด เพราะผู้ฝึกตนเฒ่ามักจะบอกว่าตนกับบุคคลบนยอดเขาของใบถงทวีปที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นี้เคยได้ดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกันมาก่อน
เพียงแต่ว่าไม่มีคนเชื่อก็เท่านั้น
วันนี้ผู้ฝึกตนเฒ่าถูกพวกเด็กรุ่นหลังลากตัวเอาไว้ไม่ยอมให้จากไป เขาจึงพูดถึงผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมของสำนักอวี่หลงในแง่ดี แล้วก็พูดดีๆ ถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย นี่ถึงทำให้โล่งหูไปได้บ้าง
ผู้เฒ่าเดินเลียบทางภูเขากว้างขวางลงจากภูเขาไป สองข้างทางคือต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า พุ่มใบเป็นสีเขียวชอุ่มดกหนา ผู้เฒ่าไม่มีอะไรทำ และคนแก่ก็มักจะมีความเคยชินที่เก่าๆ อยู่เสมอ จึงนับขั้นบันไดเงียบๆ กระทั่งเดินไปถึงชายฝั่งของเกาะหลูฮวา ลูกคลื่นกระทบฝั่งเป็นระลอก มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด อารมณ์ของผู้เฒ่าไม่เลว สองปีนี้กิจการของหน้าผาหมีลู่ไม่เลว ได้เงินร้อนน้อยมาไม่น้อย ประเด็นสำคัญคือผู้เฒ่ารู้สึกว่าเงินที่ตนหามาได้นี้เป็นเงินสะอาด มีมโนธรรม บางครั้งเวลาดึกสงัดรอบกายไร้ผู้คน พอจิตสำนึกบังเกิด ผู้ฝึกตนเฒ่ายังถึงขั้นนึกอยากจะมอบเงินส่วนหนึ่งให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ แค่คิดถึงเรื่องตลกนี้ก็ทำให้ผู้เฒ่าหัวเราะจนหุบปากไม่ลงได้เป็นนาน เจ้าซ่งสุ้ยนับเป็นตัวอะไรได้ จำเป็นต้องให้เจ้ามอบเงินเล็กน้อยแค่นี้ให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยหรือ? เจ้ารู้จักเซียนกระบี่หรือไร?
ผู้เฒ่าเกาหัว รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ตนที่ชีวิตนี้คงไม่มีทางได้ดิบได้ดีไปมากกว่านี้ หากเคยได้ดื่มเหล้ากับเจียงซ่างเจินผู้นั้นจริงๆ ก็ดีน่ะสิ
วันหน้ายามที่เอามาคุยโวกับพวกเด็กๆ ตบอกดังสนั่นฟ้าก็ยังไม่รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะแม้แต่น้อย
ผู้เฒ่ามองกลับไปบนภูเขา หวังว่าจะมีชีวิตสงบสุขมั่นคงแบบนี้ตลอดไป มีแค่เรื่องหงุดหงิดเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีเรื่องกลัดกลุ้มที่ยิ่งใหญ่
ผู้เฒ่าคืนสติกลับมา แล้วก็พลันหลุดหัวเราะพรืด เขาส่ายหน้า เดินย้อนกลับขึ้นเขาไปอีกครั้ง นับขั้นบันไดซ้ำอีกรอบ ฝีเท้าเนิบช้า ไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย
หวนนึกถึงอดีตที่ห่างไกล ข้างกายเด็กหนุ่มมีเด็กสาวที่ดวงหน้าเป็นสีขาวนวลอมชมพูคอยติดตาม เด็กหนุ่มไม่หล่อเหลา และอันที่จริงเด็กสาวก็ไม่งดงาม ทว่าพวกเขาชอบกันและกัน เมื่อเป็นผู้ฝึกตน เดินแค่ไม่กี่ก้าว แน่นอนว่าย่อมไม่เหนื่อย แต่นางกลับต้องการหยุดพักบ่อยๆ เด็กหนุ่มจึงนั่งอยู่บนขั้นบันไดกลางทางเป็นเพื่อนนาง ทอดสายตามองไปยังดวงจันทร์กระจ่างเหนือมหาสมุทรด้วยกัน
ผู้เฒ่าหยุดเดิน หันหน้ามามองดวงจันทร์บนมหาสมุทร
คนปัจจุบันมองดูดวงจันทร์ในวันวาน ดวงจันทร์วันนี้เคยสาดส่องคนในอดีต ต่างก็ล้วนเคยพบเจอนางมาก่อน
ผู้เฒ่าพลันยกมือขึ้นกุมขมับ ทำจิตใจให้มั่นคง เบิกตากว้างเพ่งตามองแสงจันทร์ที่อยู่บนขั้นบันได รู้สึกว่าเมื่อครู่นี้เกิดเรื่องประหลาดขึ้นในเสี้ยววินาที เพียงแต่ว่าพอกวาดตามองไปรอบด้าน ฟ้าดินกลับเงียบสงัด มีเพียงเสียงแผ่วเบายามที่ดอกสนหล่นร่วงบนพื้นในบางครั้งเท่านั้น
ผู้เฒ่ามีจิตใจละเอียดอ่อน แม้จะไม่เคยดื่มเหล้ากับเจียงซ่างเจินจริงๆ มาก่อน ทว่าที่บอกว่าเคยเดินทางผ่านหลายทวีป เห็นคนประหลาดมามากมายกลับเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน เขาจึงไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเล็กที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ ดังนั้นจึงรีบทะยานลมขึ้นไปบนยอดต้นสนโบราณต้นหนึ่ง ยังคงไม่พบเบาะแสใดๆ ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย สุดท้ายผู้เฒ่ามองไปยังยอดเขาเดียวดายที่เกาะหลูฮวาแยกไว้เป็นพื้นที่ต้องห้าม ก็คือถ้ำแห่งวาสนาที่เคยมีชื่อเสียงเลื่องลือแล้วชื่อเสียงก็ค่อยๆ เลือนหายไปแห่งนั้น
ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “หากเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าของที่นี่ออกจากด่านจริงๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องดีถึงจะถูก”
มหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล เทียบกับพื้นดินของเก้าทวีปแล้วยังมีอาณาเขตกว้างไกลยิ่งกว่า ในประวัติศาสตร์มีเซียนจำนวนมากที่ออกจากผืนแผ่นดินมาเลือกพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมบนมหาสมุทร เก็บซ่อนอำพรางตัวอยู่ในนั้น ตั้งใจฝึกตน หากไม่ฝ่าด่านอย่างเงียบเชียบ ก็จากลาโลกนี้ไปอย่างเงียบเชียบโดยที่ไม่มีใครรู้
……
สำนักกุยหยกตั้งอยู่ทางใต้สุดของใบถงทวีป
ยอดเขาเขียวชอุ่มทับซ้อนกัน หุบเหวลึกเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น คือสถานที่ดีเยี่ยมอันดับหนึ่งในการฝึกตน
หนึ่งในนั้นคือยอดเขาเสินจ้วนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นยอดเขาสูงและอันตรายที่สุดในใต้หล้า
บวกกับที่สำนักกุยหยกมีวีรบุรุษและผู้มากความสามารถมากมาย อีกทั้งยังไม่เคยมีความกลัดกลุ้มเรื่องชักหน้าไม่ถึงหลัง ความกลัดกลุ้มนั้นมีเพียงแต่ว่าคนแต่ละรุ่นมีผู้มากพรสวรรค์เยอะเกินไป ศาลบรรพจารย์ควรจะทำอย่างไรถึงจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องประเภทที่ว่าสะสมมากใช้ทีละน้อย
นับจากสวินยวนผู้เป็นบรรพจารย์ไปจนถึงเจียงซ่างเจินที่อายุยังน้อย สุดท้ายคือเหวยอิ๋งบุคคลอันดับหนึ่งในกลุ่มคนรุ่นเยาว์
ก็ยังมีผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์ซึ่งมีลำดับอาวุโสไม่ต่างจากเจียงซ่างเจิน เหวยอิ๋งสักเท่าไร หากไม่เป็นเพราะถูกสองคนนี้บดบังประกายเจิดจ้าเอาไว้ อันที่จริงหากเปลี่ยนไปอยู่สำนักอื่น ชื่อเสียงบนภูเขาของพวกเขาอาจมีมากกว่านี้
บนภูเขาแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่ายอดเขาจิ่วอี้ ตำหนักมากมายตั้งเรียงราย ปราณเซียนแผ่อบอวล สัตว์เซียนบินล้อมวน แม้ไม่ใช่ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก แต่ก็เหนือกว่าถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก
และการที่ภูเขาซึ่งถูกยอดเขารวมไปถึงแม่น้ำลำธารทั้งหมดนอกเหนือจากยอดเขาบรรพบุรุษของสำนักกุยหยกดึงเอาปราณวิญญาณไปตลอดเวลาลูกนี้มีความพิเศษเช่นนี้ ก็เป็นเพราะเจ้าสำนักทุกคนในประวัติศาสตร์ของสำนักกกุยหยกต่างก็เคยมาฝึกตนบนที่นี่ เจ้าสำนักสวินยวนก็เป็นเช่นเดียวกัน หลังจากกลายเป็นเจ้าสำนัก เขาถึงได้ย้ายออกไป
เล่าลือกันว่าปีนั้นที่เจียงซ่างเจินเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตโอสถทองอย่างแท้จริง เขารู้สึกว่ายอดเขาจิ่วอี้ที่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครองคือเป็ดที่ต้มสุกแล้ว เป็ดไม่ได้บินหนีไป แต่ข้าผู้อาวุโสกลับดันไม่มีตะเกียบแล้ว เนื่องจากไม่อาจเข้ามาพักอาศัยที่ยอดเขาจิ่วอี้ได้อย่างราบรื่น ด้วยความโมโห เจียงซ่างเจินจึงทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า ในเมื่อสถานที่แห่งนี้ไม่รั้งตัวนายท่านอย่างข้าเอาไว้ก็ย่อมต้องมีที่อื่นที่รั้งตัวนายท่านอย่างข้าเอาไว้ แล้วก็เดินอาดๆ ออกไปจากใบถงทวีป ไปก่อเรื่องแผลงๆ ทำตัวกำเริบเสิบสานไปทั่วอุตรกุรุทวีป ทำให้ชื่อเสียงของสำนักกุยหยกฉาวโฉ่ไปทั่วทุกหัวถนนในอุตรกุรุทวีป
หลังจากที่สวินยวนย้ายออกจากยอดเขาจิ่วอี้ ก่อนที่เหวยอิ๋งจะขึ้นเขา เพราะเจียงซ่างเจินไม่อาจเป็นเจ้าขุนเขาได้สำเร็จ ดังนั้นยอดเขาจิ่วอี้จึงถูกปล่อยว่างไร้เจ้าของมาโดยตลอด
เพราะไม่ว่าใครก็ล้วนรู้ดีว่า ใครที่สามารถสร้างโอสถได้ ก็หมายความว่าจะกลายเป็นตัวเลือกหนึ่งเดียวที่จะได้เป็นเจ้าสำนักคนถัดไป
เมื่อเหวยอิ๋งถือกำเนิด ยามที่ยังอยู่ในห่อผ้าอ้อมก็ถูกอุ้มกลับมาที่สำนักกุยหยก จากนั้นตอนที่เขาอายุสิบเก้า ท่ามกลางความคาดหวังของทุกคน เขาก็ได้ย้ายไปอยู่บนยอดเขาจิ่วอี้อย่างสมเหตุสมผล
ภายหลังต่อมาเหวยอิ๋งก็ชอบมายืนอยู่บนยอดเขาจิ่วอี้ แหงนหน้ามองไปบนยอดเขาเสินจ้วนอยู่บ่อยๆ อีกทั้งยังไม่เคยปิดบังสายตามองประเมินของตนเอง
ถึงอย่างไรก็เป็นสถานที่ฝึกตนแห่งถัดไปของตนอยู่แล้ว ขอแค่ช่วงเวลาระหว่างนี้ไม่วาดงูเติมขา ตั้งใจฝึกตน ไม่ช้าก็เร็วมันย่อมกลายมาเป็นของเขาเหวยอิ๋ง ถ้าอย่างนั้นยังมีอะไรให้ต้องปิดบังอีก
ข้างกายของเหวยอิ๋งมีชายหนุ่มเรือนกายสูงเพรียวคนหนึ่งยืนอยู่ ไม่เหมือนกับบิดาของเขา รูปโฉมของคนหนุ่มธรรมดา ขนคิ้วบางๆ อีกทั้งยังมีชื่อที่คล้ายสตรี แต่เขากลับมีดวงตาที่เรียวยาวคู่หนึ่ง นี่ถึงทำให้เขาพอจะมีรูปโฉมคล้ายคลึงกับบิดาของตัวเองอยู่บ้าง
เจียงเหิง
ทว่าในทำเนียบวงศ์ตระกูลศาลบรรพจารย์ของสำนักกุยหยกและผังวงศ์ตระกูลของสกุลเจียงกลับเปลี่ยนชื่อเป็นเจียงเป่ยไห่
แต่คนที่สนิทสนมคุ้นเคยกับเขายังคงเรียกเขาด้วยความเคยชินว่าเจียงเหิง
จะสามารถเรียกเจียงเป่ยไห่ว่าเจียงเหิงได้หรือไม่ ก็ถือเป็นการพิสูจน์อย่างหนึ่งว่าคนผู้นั้นถือว่าได้ดิบได้ดีท่ามกลางกลุ่มของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ในสำนักกุยหยกหรือไม่
เพราะเจียงเหิงก็ดี เจียงเป่ยไห่ก็ช่าง ล้วนเป็นบุตรชายโทนของเจียงซ่างเจิน
หากจะบอกว่าเหวยอิ๋งต้องได้เป็นเจ้าสำนักกุยหยกคนถัดไปอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นตามหลักแล้วเจียงเหิงย่อมเทียบเหวยอิ๋งไม่ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะได้เป็นเจ้าของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาคนถัดไป
เพียงแต่ว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีข่าวลือบอกว่าในพื้นที่มงคลดอกบัว เจียงซ่างเจินที่ใช้นามแฝงว่าโจวเฝยกลับมีบุตรชายเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง
นี่ทำให้หลายปีมานี้เจียงเหิงมิอาจมีอารมณ์ที่ผ่อนคลายได้ ทว่าไม่สบายใจแค่ไหนก็ได้แต่อดทนเอาไว้ แม้แต่ความคิดที่จะส่งคนแฝงตัวเข้าไปยังพื้นที่มงคลดอกบัวเพื่อสังหารน้องชายก็ยังไม่กล้าเปิดเผยออกมา
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก คนที่เจียงเหิงกลัวมากที่สุดก็คือบิดาอย่างเจียงซ่างเจิน
ความน่ากลัวของเจียงซ่างเจินนั้น คนทั้งบนและล่างสำนักกุยหยก หรือแม้แต่คนที่เดินเท้าผ่านทางมาก็ยังล้วนรับรู้ แต่ความหวาดกลัวที่เจียงเหิงมีต่อบิดาตัวเองกลับลึกล้ำยิ่งกว่า
มารดาของเจียงเหิงก็คือผู้บุตรสาวทายาทสายตรงของบรรพจารย์ท่านหนึ่งที่ลำดับอาวุโสสูงมากของสำนักกุยหยก ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้นางรู้ดีว่าเจียงซ่างเจินไม่เคยชอบตนอย่างแท้จริงมาก่อน
แต่ยามที่นางได้อยู่กับเจียงเหิงที่อายุยังน้อยเพียงลำพังกลับยังคงเผยสีหน้ามีความสุขจากใจจริง อีกทั้งยามที่พูดคุยความในใจกับเจียงเหิงยามเยาว์ นางก็ยังบอกว่าการที่ได้อยู่ข้างกายบิดาของเจ้า แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับนางมากๆ แล้ว
และก่อนที่นางจะลาจากโลกใบนี้ไป เจียงซ่างเจินก็มานั่งอยู่ข้างเตียงของนาง สีหน้าของเขาอ่อนโยน กุมมือที่แห้งเหี่ยวของสตรีไว้เบาๆ ไม่เอ่ยอะไรสักอย่าง
กลับเป็นมารดาของเจียงเหิงที่จับมือของเจียงซ่างเจินไว้แน่น จากนั้นก็ยิ้มเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้เจียงเหิงซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างรู้สึกเหมือนตกลงสู่อุโมงค์น้ำแข็ง “สตรีผู้นั้น ข้าเคยแอบไปดูนางมาครั้งหนึ่ง เส้นผมของนางขาวโพลนแล้ว ต่อให้เป็นตอนที่ยังสาวก็น่าจะไม่ถือว่าเป็นคนงามอะไร เจียงเหิง เจียงเหิง ตั้งชื่อด้วยคำว่าเหิง ข้าคาดเดาความคิดของเจ้า ก็เลยทำให้เจ้าได้สมความปรารถนา เจ้ากลับไม่ขอบคุณข้าสักคำ หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าก็แค่โกรธเจ้าอยู่เรื่องนี้เรื่องเดียว”
เจียงซ่างเจินยื่นมืออีกข้างหนึ่งมาตบหลังมือของสตรีเบาๆ ยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ ว่า ตอนนั้นที่เจ้าไปแอบมองนาง ข้าก็แอบมองเจ้าอยู่เหมือนกัน? ท่าทางทึ่มทื่อน่าเอ็นดูเหมือนคนที่ชนะทุกอย่างของเจ้า ช่างน่ามองยิ่งนัก”
สตรีพยักหน้ารับ แล้วจากโลกใบนี้ไปด้วยรอยยิ้ม
เจียงเหิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงสะอึกสะอื้นไม่หยุด
จากนั้นเจียงซ่างเจินก็หันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “ร้องไห้จนท่านแม่ตาย แล้วยังจะให้พ่อเจ้าร้องไห้จนตายอีกหรือ? นี่ไม่ใช่การกระทำของลูกกตัญญูนะ”
เด็กชายตกใจรีบหุบปากเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว รีบขยับตัวนั่งให้ดี ไม่กล้ากระดุกกระดิกแม้แต่น้อย
ตอนนั้นเจียงซ่างเจินเอ่ยประโยคหนึ่งที่เจียงเหิงได้แต่จดจำไว้ให้ขึ้นใจ แต่กลับไม่เข้าใจความหมายของมัน ‘เป็นตัวของตัวเองไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เรียนรู้ที่จะหลอกตัวเองไปก่อน ลูกชายของเจียงซ่างเจินไม่ได้เป็นง่ายขนาดนั้น’
แต่หากไม่นับความหวาดกลัวยำเกรงที่มีต่อบิดาซึ่งฝังลึกเข้าไปถึงกระดูกดำแล้ว อันที่จริงเจียงเหิงมีชีวิตที่ดีมากอยู่ในสำนักกุยหยก ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่านอกจากคนสองสามคนซึ่งรวมเหวยอิ๋งเป็นหนึ่งในนั้น ก็ไม่มีใครสามารถทัดเทียมนายน้อยใหญ่เจียงได้อีกแล้ว
เวลานี้เจียงเหิงมองตามสายตาของเหวยอิ๋งไป มองไปยังยอดเขาเสินจ้วนแห่งนั้นแล้วยิ้มถามว่า “อาลัยอาวรณ์สุยโย่วเปียนขนาดนี้เชียวหรือ?”
เหวยอิ๋งส่ายหน้า “ใช่แล้วก็ไม่ใช่ ใช่เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังลืมนางไม่ลง แต่กลับไม่ได้หลงใหลชื่นชอบอะไรในตัวนาง เรื่องที่นางทำให้ข้าโมโหที่สุดก็คือยอมตาย แต่กลับไม่ยอมมาเป็นแขกที่ยอดเขาจิ่วอี้”
เหวยอิ๋งเอนหลังพิงราวรั้ว ไม่มองไปยังยอดเขาเสินจ้วนอีก เขามองมาทางเจียงเหิง พูดกลั้วหัวเราะเสียงเบา “ความคิดของสตรี ยังคงเป็นท่านอาเจียงที่เข้าใจได้ดีที่สุด”
เจียงเหิงฟุบตัวบนราวรั้ว ไม่ยินดีจะพูดคุยหัวข้อนี้
เรื่องชื่อของเขาคือความบันเทิงเริงใจของบรรพจารย์หลายท่านในสำนักกุยหยก
บวกกับเรื่องของพื้นที่มงคลดอกบัวที่เป็นดั่งน้ำค้างแข็งตกลงบนหิมะ พวกคนที่มีเก้าอี้อยู่ในศาลบรรพจารย์ของสำนักกุยหยก ไม่ว่าจะแข่งเรื่องความคิดจิตใจหรือเรื่องเรี่ยวแรงก็ล้วนสู้พ่อเขาไม่ได้ ดังนั้นจึงชอบมาระบายอารมณ์เอากับเขาเจียงเหิง
ถึงอย่างไรคนเหล่านั้นก็มองเห็นความจริงได้มากกว่า ต่างก็รู้ดีว่าเจียงซ่างเจินไม่เคยฝากความหวังไว้ให้กับบุตรชายอย่างเจียงเหิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตั้งความหวังไว้สูงอะไรเลย
เจียงเหิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ดูจากภาพบรรยากาศบนยอดเขาเสินจ้วนแล้ว เจ้าสำนักผู้เฒ่าน่าจะกลายเป็นขอบเขตบินทะยานได้สำเร็จแล้ว”
เหวยอิ๋งพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นการที่ข้าคิดอยากจะเป็นเจ้าสำนักคนถัดไปก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ห่างไกลไร้ความหวัง ยังดีที่สำนักกุยหยกมีเจ้าสำนักได้แค่คนเดียว แต่ใบถงทวีปกลับสามารถมีขอบเขตบินทะยานได้สองถึงสามท่าน ไม่รู้ว่าคนโชคดีคนใดจะได้เป็นคนที่สาม ข้าว่าหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิง รวมไปถึงเด็กที่ออกจากสำนักฝูจีไปเยือนสำนักศึกษาผู้นั้นต่างก็มีความหวังค่อนข้างมาก”
เจียงเหิงเคารพเลื่อมใสเหวยอิ๋งจากใจจริง ไม่ว่าคำพูดอะไรก็พูดได้ เรื่องอะไรก็กล้าพูด ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเป็นเช่นนี้หลังจากมาเยือนยอดเขาจิ่วอี้ แต่เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนที่เพิ่งเริ่มฝึกตน
เจียงซ่างเจินไม่เคยปิดบังความโปรดปรานที่มีต่อเหวยอิ๋ง บอกว่าบุตรชายแท้ๆ ไม่เหมือนบุตรชาย โชคดีที่ยังมีเหวยอิ๋งที่เหมือนบุตรชายของตนยิ่งกว่าได้เข้ามาพักที่ยอดเขาจิ่วอี้
ตอนนี้สถานการณ์ของสำนักกุยหยกดีเยี่ยม อีกทั้งสถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่ทวีปเดียวเท่านั้น
นอกจากสวินยวนเจ้าสำนักผู้เฒ่าเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยานแล้ว
ยังมีสำนักเจินจิ้งสำนักใต้อาณัติของสำนักกุยหยกที่หยัดยืนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนของแจกันสมบัติทวีปได้อย่างมั่นคงด้วย
นอกจากนี้สำนักใบถง ภูเขาไท่ผิงและสำนักฝูจีต่างก็บาดเจ็บไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก ตอนนี้ในสำนักจึงเริ่มมีคำพูดหนึ่งบอกว่า ขอแค่สำนักกุยหยกของพวกข้าอยากขึ้นเหนือ ต่อให้สามสำนักเป็นพันธมิตรกันก็ยังขัดขวางไว้ไม่อยู่ ทั้งบนภูเขาและล่างภูเขาต่างก็เป็นใต้อาณัติของข้า เมื่อเทียบกับราชงศ์ต้าหลีของแจกันสมบัติทวีปแล้ว แผ่นดินของทั้งแคว้นล้วนเป็นมาตุภูมิ แน่นอนว่ายิ่งต้องน่าตะลึงพรึงเพริดมากยิ่งกว่า
สำนักกุยหยกเป็นพี่รองของใบถงทวีปมาหลายพันปีแล้ว จากนั้นไม่ได้ทำอะไรสักอย่างก็กลายมาเป็นผู้นำของใบถงทวีป อีกทั้งต่อให้ผ่านไปอีกหลายพันปีก็ดูเหมือนว่าต่อให้สำนักกุยหยกจะไม่ทำอะไรอยู่เหมือนเดิมก็ยังสามารถนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ได้อย่างมั่นคง
คาดว่าสวินยวนเจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักกุยหยก แม้แต่ยามฝันก็ยังหัวเราะหน้าบานได้อยู่ดีกระมัง