กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 641.1 ผู้ที่ยินดีค้ำประคองผืนฟ้า โปรดลุกขึ้นยืน
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 641.1 ผู้ที่ยินดีค้ำประคองผืนฟ้า โปรดลุกขึ้นยืน
ภูเขาลั่วพั่วค่ำคืนนี้หิมะทำท่าว่าจะตก
จูเหลี่ยนเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนยิ่งนัก
เพิ่งจะมีฝนก็ฟ้าใส ฟ้าเพิ่งใสฝนก็ตก ฟ้าไม่ใสฝนไม่ตกหิมะก็มาเยือน ทัศนียภาพของบ้านเกิดข้ามหัศจรรย์เป็นที่สุด
วันนี้จูเหลี่ยนมาเล่นหมากล้อมกับเจิ้งต้าเฟิงพลางพูดบ่นให้กันฟังไปด้วย จูเหลี่ยนบ่นที่สายตาของพี่น้องต้าเฟิงเปิดเผยตรงไปตรงมาเกินไป ทำเอาเทพธิดาหวงถิงตกใจจนเผ่นหนี เจิ้งต้าเฟิงบ่นที่ฝีมือพ่อครัวเฒ่าไม่ชำนาญ ไม่อาจรั้งตัวเทพธิดาเอาไว้ได้ ทำเอาภูเขาลั่วพั่วต้องเสียผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อซึ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งไปเปล่าๆ เมื่อทำความผิดใหญ่หลวงแล้วก็ควรต้องเอาตำราเทพเซียนสองสามเล่มที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีออกมา มอบให้เขาเจิ้งต้าเฟิงเป็นคนเก็บรักษาแทน
เว่ยป้อนั่งอยู่ด้านข้าง ไม่เข้าใจว่าผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว คนทั้งสองจะยังมัวเถียงอะไรกันอยู่อีก
แต่พอคิดดูอีกครั้งก็เข้าใจได้ นักพรตหญิงหวงถิงผู้นั้นงดงามมากพอมิใช่หรือ?
จูเหลี่ยนหันมามองเว่ยป้อ ยิ้มถามว่า “ได้ยินว่าอีกเดี๋ยวจะต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่เมืองหลวง ดูสิว่าจะขอปราณมังกรสักส่วนหนึ่งกลับมาได้หรือไม่ จะได้เอาไปโยนใส่ไว้ในพื้นที่มงคลรากบัว นี่ต่างหากจึงจะเรียกว่าออกเดินทางไกลต้องรู้จักวางแผน”
เจิ้งต้าเฟิงเออออตาม “นั่นสิ ซานจวินจะเอาแต่มาดูหมากล้อมเฉยๆ โดยไม่ออกแรงไม่ได้หรอกนะ”
เว่ยป้อระอาใจยิ่งนัก ตอนนี้ชื่อเสียงของซานจวินขุนเขาเหนือแพร่สะพัดไปถึงอุตรกุรุทวีปแล้ว บอกว่าเขาเป็นคนประเภทที่ว่าต่อให้ไก่ป่าเดินผ่านมา หากไม่ออกไข่ให้ เขาก็จะไม่ยอมให้มันจากไป
แต่ก็ถือว่าที่ยุ่งวุ่นวายมาก่อนหน้านี้ไม่ได้เสียเปล่า ในพื้นที่มงคลรากบัวใหม่เอี่ยมแห่งนั้น เมื่อทุ่มเงินฝนธัญพืชลงไปหลายพันเหรียญ ไม่เพียงแต่ได้เลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลาง ภาพบรรยากาศยังเปลี่ยนใหม่หมด ภูตแห่งขุนเขาสายน้ำ ผีวิญญาณเร่ร่อนเกิดขึ้นตามโชคชะตา รวมไปถึงยังมีเค้าลางว่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์วิญญาณวีรบุรุษผุดขึ้นมาราวกับหน่อไม้หลังฝนฤดูใบไม้ผลิ แต่โดยภาพรวมแล้วในเรื่องของจำนวนยังมีขีดจำกัด
แต่ขอแค่ทุ่มเงินเทพเซียนลงไปมากพอ ฟ้าสูงกว่าเดิม ผืนดินยิ่งกว้างใหญ่ เรื่องของโชคชะตาก็จะยิ่งเข้มข้นมากขึ้น คอขวดที่กีดขวางก่อนหน้านี้ก็จะถูกฝ่าทลายออกไปได้เอง
เรื่องที่ทำให้เจิ้งต้าเฟิงสนใจที่สุดยังคงเป็นนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญที่ผู้คนของแคว้นหนันเยวี่ยนพากันพูดติดปากเล่มนั้น สตรีในนิยายเผยกายด้วยร่างของภูต และยังถือกำเนิดขึ้นมาจริงๆ เพราะการชักนำจากโชคชะตาของพื้นที่มงคล เพียงแต่ว่าสติปัญญายังไม่เปิดออก ยังมึนๆ งงๆ ชอบลอยไปลอยมา มองดูโลกมนุษย์ที่แปลกหน้าอยู่ในตำราและม้วนภาพวาดเหล่านั้น
การปรากฏตัวของนาง แม้แต่ในใต้หล้าไพศาลก็ยังเป็นเรื่องที่หาได้ยาก
นางกับแม่หนูหน่วนซู่ถือกำเนิดมาไม่ค่อยเหมือนกัน
การถือกำเนิดของสตรีที่ยังไม่มีร่างจริงผู้นี้ เกิดจากการรวมตัวกันของจิตใจคนแต่ละเศษแต่ละเสี้ยวที่มาจากสี่ด้านแปดทิศ มาจากฟ้าใต้ดินเหนือ จากแต่ละยุคแต่ละสมัยอย่างแท้จริง ถือเป็นการ ‘แสดงออกบนมหามรรคา’ ที่ไม่ค่อยเข้าขั้นชนิดหนึ่ง
เพียงแต่ว่าต่อให้จะไม่เข้าขั้นแค่ไหนก็คือการแสดงออกบนมหามรรคา เมื่อเกี่ยวข้องกับ ‘มรรคา’ แม้จะแค่เพียงเศษเสี้ยว ก็ยังถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ร้ายกาจมาก
หากนำไปวางไว้ในพื้นที่มงคลแห่งอื่นแล้วถูกค้นพบเข้า รับรองว่าต้องถูกจับตัวมาไว้ ไม่ต้องกลุ้มเลยว่าจะหาคนซื้อไม่ได้ แค่เอาออกขายก็สามารถขายได้ราคาสูงเทียมฟ้าอย่างน่าเหลือเชื่อ
เพียงแต่ว่าโชคดีที่เกิดมาในพื้นที่มงคลรากบัว แล้วมาเจอกับเจ้าขุนเขาหนุ่มที่เคารพกฎเกณฑ์ คาดว่าวันหน้าโชคชะตาก็คงไม่ได้แย่ไปสักเท่าไร
เจิ้งต้าเฟิงเช็ดมุมปาก “พื้นที่กำเนิดของอริยะบุคคล มีค่าพอให้ลองไปเดินเล่น! แม่นางน้อยที่ขลาดเขลาอ่อนหวาน วีรบุรุษที่รักถนอมบุปผางาม จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้โดนพวกผีร้ายเหล่านั้นเล่นงานอย่างอำมหิต”
จูเหลี่ยนกลับเอ่ยว่า “อยู่บนภูเขาแบบนี้ข้าว่าก็ไม่เลวเหมือนกัน”
อันที่จริงในใจของจูเหลี่ยนซุกซ่อนความกังวลใหญ่เอาไว้ตลอด พื้นที่มงคลดอกบัวในอดีต หรือพื้นที่มงคลรากบัวในทุกวันนี้ จูเหลี่ยนมีความรู้สึกอย่างเลือนรางมาโดยตลอดว่า แผนการของเจ้าอารามผู้เฒ่าท่านนั้นลึกล้ำยาวไกลกว่าที่ทุกคนคิด
ขอแค่เข้ามาในพื้นที่มงคล ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่อาจผ่อนคลายได้
เว่ยป้อเองก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเลือกว่าจะมีชีวิตสบายๆ แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายแบบนี้ไปจนแก่เฒ่าในรวดเดียวเลยเถอะ”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “คิดอะไรของเจ้าน่ะ ภูเขาลั่วพั่วของเรามีผู้มากความสามารถมากมาย ไหนเลยจะต้องให้ข้าลงมือเอง ก็แค่ไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์เท่านั้นจริงๆ”
อันที่จริงฝีมือการเล่นหมากล้อมของเจิ้งต้าเฟิงเหนือกว่าจูเหลี่ยนและเว่ยป้อระดับหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงเล่นหมากล้อมได้อย่างผ่อนคลาย เวลานี้จูเหลี่ยนเริ่มเข้าสู่ภวังค์การใช้ความคิดใคร่ครวญยาวนาน เจิ้งต้าเฟิงจึงหยิบพัดบนโต๊ะขึ้นมา อากาศหนาวขนาดนี้ยังจะพัดเอาลมเย็นๆ ใส่ตัวอีก คงไม่เข้าท่าเท่าไร แค่ทำท่าให้พอเป็นพิธีก็พอแล้ว ถือไว้ในมือ เก็บไว้ในชายแขนเสื้อ สิ่งของที่ช่วยเสริมความมีเสน่ห์เช่นนี้ เมื่ออยู่ในมือของบุรุษหน้าตาหล่อเหลาเช่นตนก็ช่างเลิศล้ำนัก ขอแค่สตรีไม่ได้ตาบอดก็ไม่มีใครที่จะไม่ชอบ ต่อให้มีคนที่ไม่ชอบจริงๆ ก็เป็นแค่การแสร้งทำเป็นว่าไม่ชอบเท่านั้น
ภูเขาลั่วพั่วในตอนนี้ นอกจากเผยเฉียนที่ยังไปท่องเที่ยวอยู่ข้างนอก อาจารย์จ้งพาเฉาฉิงหล่างไปท่องเที่ยวที่ทักษินาตยทวีปแล้ว อันที่จริงก็คึกคักอย่างมาก เพราะว่าช่วงนี้หยวนไหลหยวนเป่ามาฝึกตนอยู่บนภูเขา เจิ้งต้าเฟิงก็อยากจะชี้แนะวิชาหมัดให้แม่นางน้อยหยวนเป่าอยู่หรอก น่าเสียดายที่แม่นางน้อยขี้อายเกินไป หน้าบางเกินไป ไม่ต่างจากเฉินยวนจีที่ต่างก็ไปเรียนวิชาหมัดกับเจ้าเฒ่าสกปรกจูเหลี่ยน เด็กหนุ่มหยวนไหลอยากจะมาเรียนวิชาหมัดกับเจิ้งต้าเฟิง เจิ้งต้าเฟิงกลับไม่ยินดีจะสอนวิชาหมัด สอนแค่ความรู้จิปาถะยิบย่อยในตำรา เรื่องนี้เด็กหนุ่มแอบพูดกับพี่สาวอยู่หลายครั้ง
นอกจากนี้ที่แท่นบูชากระบี่ของภูเขาลั่วพั่วก็มีลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อเพิ่มมาอีกสามคน พวกเขาต่างก็เก็บตัวพักอาศัยอยู่ที่นั่น
คือคนต่างถิ่นอย่างแท้จริงทั้งสามคน มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
ชุยเหวยผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง
รวมไปถึงคนสองคนที่บอกว่าเป็นลูกจ้างของร้านแห่งหนึ่ง จางเจียเจิน เจี่ยงชวี่
คนทั้งสามไม่ได้อาศัยเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาที่กลับจากนครมังกรเฒ่าไปยังอุตรกุรุทวีปตรงมาที่ท่าเรือหนิวเจี่ยว แต่โดยสารเรือข้ามฟากขึ้นเหนือระยะสั้นๆ จากนั้นจึงใช้เส้นทางลำคลองใต้ดินที่ว่ากันว่ามังกรที่แท้จริงเป็นผู้เจาะโพรง พวกเขาที่มาพร้อมกับเอกสารผ่านด่านสามฉบับและป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งของต้าหลีพากันเดินทางขึ้นเหนือ สุดท้ายผ่านเมืองหงจู๋ ภูเขาฉีตุน และเข้ามาในอาณาเขตของภูเขาลั่วพั่ว
ภายใต้การจัดการของจูเหลี่ยน สุดท้ายก็เข้าพักอยู่ที่หอบูชากระบี่อย่างเงียบเชียบ
เพราะคนทั้งสามเป็นเพียงลูกศิษย์ที่ยังไม่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว ดังนั้นจึงยังไม่จำเป็นต้องไปจุดธูปกราบไหว้ภาพเหมือน
มีทองพันชั่งที่ผู้ถวายงานโจวเฝยนำมามอบให้ การสร้างเรือนบนภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่วทั้งหมดจึงเริ่มดำเนินการก่อสร้าง หากใช้คำของผู้ถวายงานโจวมาพูดก็คือ แพงแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา อย่ามาประหยัดเงินแทนข้า กลิ่นอายเซียนบนภูเขามาได้อย่างไร? ก็อาศัยเงินเทพเซียนที่มีกลิ่นเหม็นทองแดงเข้มข้นมากที่สุดสร้างขึ้นมาทีละเหรียญนี่แหละ!
ชุยเหวยอำพรางตัวตนมิดชิดยิ่งกว่าใคร ก่อนหน้านี้ที่ได้ออกเดินทางไกล ชุยเหวยก็พอจะเข้าใจระดับความสำคัญของผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองคนหนึ่งในใต้หล้าไพศาลได้คร่าวๆ แล้ว แค่ผู้ฝึกลมปราณโอสถทองคนหนึ่งก็สามารถจัดพิธีเปิดขุนเขา อีกทั้งยังเป็นพิธีการที่ตระกูลเซียนอักษรจงทุกแห่งในใต้หล้าไพศาลต่างก็ให้ความสำคัญ แล้วนับประสาอะไรกับผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ต้องได้กลายเป็นก่อกำเนิดอย่างแน่นอน? แต่ชุยเหวยกลับสำรวมตนยิ่งกว่าจางเจียเจินและเจี่ยงชวี่เสียอีก สำรวมจนแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าขี้ขลาด
ชุยเหวยผู้นี้ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มา นอกจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองแล้วก็พกสิ่งของมาด้วยแค่สองอย่าง หนึ่งคือชุดคลุมอาคมของหอภูษา อีกหนึ่งคือกระบี่ยาวจากหอกระบี่
จางเจียเจินได้รับเทียบอักษรที่อาจารย์เฉินเขียนเองกับมือ ‘ฟ้าใสทำนา ฝนตกอ่านตำรา’ ด้านบนและตรงกลางประทับตราสองอัน
เจี่ยงชวี่ได้รับยันต์ปึกหนึ่งมาจากอาจารย์เฉิน หนึ่งในนั้นยังมียันต์กระดาษสีทองสอดแทรกอยู่หนึ่งแผ่น
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยถาม “พ่อครัวเฒ่า โยนเด็กหนุ่มสองคนนั้นไว้ที่หอบูชากระบี่ไม่สนใจใยดี? ข้าว่าแบบนี้คงไม่เหมาะเท่าไร ไม่สู้ส่งไปที่ร้านยาสุ้ย จะได้ให้พวกเขาได้สัมผัสกลิ่นอายของผู้คนบ้าง”
เว่ยป้อยิ้มเอ่ย “พูดแบบนี้ไม่ถูกหรอกนะ เพราะจางเจียเจินกับเจี่ยงชวี่มีชาติกำเนิดจากหมู่ชาวบ้านร้านตลาด พวกเขาไม่ขาดเรื่องนี้หรอก”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “ข้าแค่รู้สึกว่าจางเจียเจินผู้นั้นมองดูแล้วไม่เลว ก็เลยอยากจับคู่ให้เขากับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ พวกเราสามคนนอนหนาวกันอยู่ทุกคืน สบายนักหรือ? หรือว่าจะยังต้องให้พวกเด็กรุ่นหลังเจริญตามรอยเท้าพวกเราด้วย? ข้าว่าไม่ได้หรอก ไม่ได้เด็ดขาดเลย”
สือโหรวของร้านยาสุ้ย ผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อสามคนซึ่งอยู่ในร้านฉ่าวโถวได้แก่นักพรตเฒ่าตาบอดเจี่ยเฉิง เด็กหนุ่มขาเป๋จ้าวเติงเกา แม่นางน้อยเถียนจิ่วเอ๋อร์
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เด็กหนุ่มจากต่างถิ่นสองคนที่อยู่หอบูชากระบี่ น่าจะต้องมีอนาคตรุ่งโรจน์ เพียงแต่ว่าจะประสบความสำเร็จค่อนข้างช้า จำเป็นต้องให้พวกเราอดทนรอคอย”
เว่ยป้อเอ่ย “ต่อให้พวกเขาไม่อยากจะรุ่งเรือง ก็ยังต้องถามเงินเทพเซียนของผู้ถวายงานโจวเฝยก่อนว่าตอบตกลงหรือไม่”
จูเหลี่ยนกับเจิ้งต้าเฟิงพยักหน้าพร้อมกัน “มีเหตุผล”
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ย “วันหน้าบอกให้แม่หนูหน่วนซู่จำเรื่องนี้เอาไว้ ครั้งหน้าที่ปรึกษากันในศาลบรรพจารย์ก็เอาออกมาเปิดให้พี่น้องโจวเฝยได้ดู”
เฉินหน่วนซู่ทำงานในมือเสร็จเรียบร้อยก็วิ่งมาดูทุกคนเล่นหมากล้อม
เฉินหลิงจวินเดินอ้าปากหาวเข้ามาในลานบ้าน พอเห็นเฉินหน่วนซู่ก็พูดพร้อมหัวเราะคิกคัก “เจ้าเด็กโง่น้อย ข้องราชามังกรใบนั้นของเจ้ายังหลอมไม่สำเร็จอีกหรือ?”
ปีนั้นก่อนที่เฉินผิงอันจะออกไปจากภูเขาลั่วพั่วได้มอบข้องราชามังกรที่ได้มาจากซากปรักจวนเซียนของอุตรกุรุทวีปให้กับเฉินหน่วนซู่และเฉินหลิงจวิน ให้พวกเขาเป็นผู้หล่อหลอม เพื่อนำไว้ใช้เป็นวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะของภูเขาหวงหูหนึ่งในภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่ว เฉินหลิงจวินหลอมใหญ่ได้สำเร็จนานแล้ว แต่เฉินหน่วนซู่กลับหลอมได้อย่างเชื่องช้า เพียงแต่คำว่าเชื่องช้านี้ ใช้นำมาเปรียบเทียบกับเฉินหลิงจวินเท่านั้น คนผู้หนึ่งที่เกือบจะถูกลู่เฉินพาตัวไปฝึกตนที่ใต้หล้ามืดสลัว พรสวรรค์ย่อมไม่มีทางแย่ไปได้
เฉินหน่วนซู่สีหน้าหม่นหมอง ไม่เอ่ยคำใด มือเล็กๆ สองข้างกำชายแขนเสื้อไว้แน่น
เว่ยป้อยื่นมือมากดศีรษะของเฉินหลิงจวิน ค้อมตัวยิ้มถาม “ว่าไงนะ?”
เฉินหลิงจวินกะพริบตาปริบๆ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หน่วนซู่ เรื่องของการฝึกตน แค่ขยันหมั่นเพียรก็พอแล้ว ไม่ต้องรีบร้อน ใจร้อนกลับจะทำให้เสียเรื่องได้ง่าย พวกเราต้องเลียนแบบนายท่านที่ฝึกเดินนิ่งช้า ยามออกหมัดถึงจะออกได้อย่างรวดเร็ว”
เว่ยป้อตบศีรษะของเฉินหลิงจวินเบาๆ “หากปากยังไม่มีหูรูดแบบนี้อยู่อีก รอให้เผยเฉียนกลับภูเขาลั่วพั่วมาเมื่อไหร่ เจ้าก็คอยรอดูได้เลย”
เฉินหลิงจวินเกือบจะลงไปนั่งคุกเข่าให้ซานจวินใหญ่เว่ยอยู่แล้ว เขารีบเขย่งปลายเท้าขึ้น วางมือสองข้างลงบนไหล่ของเว่ยป้อ ยิ้มประจบสอพลอ บอกให้เว่ยป้อนั่งลงพูดคุยกัน เขาจะได้ช่วยนวดไหล่ให้นายท่านผู้เฒ่าซานจวินได้ถนัด
สำนักกระบี่ไท่ฮุยของอุตรกุรุทวีปคือตระกูลเซียนอักษรจงชั้นสูงที่มีน้อยจนนับนิ้วได้! ป๋ายโส่วลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนกระบี่ฉีจิ่งหลงร้ายกาจหรือไม่?
ถูกฝ่าเท้าเดียวของเผยเฉียนเตะเข้าก็ลงไปนอนชักอยู่บนพื้นแล้ว
ประเด็นสำคัญคือเรื่องที่น่ากลัวที่สุดก็คือเผยเฉียนเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างมาก
เฉินยวนจี คู่พี่น้องหยวนเป่าหยวนไหล ระหว่างหยุดพักการฝึกหมัด ทั้งสามคนก็พากันเดินเล่นมาถึงลานบ้าน
เมื่อมาถึงพวกเขาก็สังเกตเห็นว่าเฉินหลิงจวินกำลังทุบนวดไหล่ให้เว่ยป้อพลางเอ่ยชื่นชมว่าพี่น้องต้าเฟิงช่างมีอารมณ์สุนทรีนัก หากพัดอันนี้มีสติปัญญาก็คงต้องซาบซึ้งใจจนน้ำหูน้ำตาไหล รู้สึกโชคดีที่ชาติก่อนตัวเองสะสมบุญกุศลเอาไว้ ชีวิตนี้ถึงได้ตกมาอยู่ในมือของพี่น้องต้าเฟิงได้
เฉินหน่วนซู่ลุกขึ้นยกที่นั่งให้ เฉินยวนจีและเด็กหนุ่มหยวนไหลต่างก็ไม่ได้นั่งลง หยวนเป่าเอ่ยขอบคุณคำหนึ่งแล้วก็นั่งลงทันที
เฉินหลิงจวินเหลือกตามองบน
นังหนูที่หลูป๋ายเซี่ยงเก็บมาผู้นี้ ตาไร้แววเป็นที่สุด
ดูคนที่นายท่านของตนเก็บมาสิ ในบรรดาคนเหล่านี้ที่มีตนเป็นผู้นำ มีใครบ้างที่ไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำ?
เอาแค่หมี่ลี่น้อยผู้นั้น เวลานี้คงจะนั่งคอยเผยเฉียนตาปริบๆ อยู่ที่ภูเขาฉีตุนกระมัง? นางยังพกเอาเมล็ดแตงถุงใหญ่ไปด้วย มโนธรรมในใจของแม่นางน้อยหมี่ลี่ใหญ่กว่าถ้วยข้าวเสียอีก
หยวนเป่าเองก็เพราะโชคดี มาถึงภูเขาลั่วพั่วช้าแล้ว พวกคนพิเศษที่มีความสามารถมากมายล้วนถูกนายท่านใหญ่เฉินอย่างเขาทุ่มสุดชีวิตอย่างไม่เสียดาย แต่ก็ต้องทำความเข้าใจกับเบื้องลึกเบื้องหลังของคนเหล่านั้นให้จงได้ อย่างเช่นลู่เฉินเอย หร่วนฉงเอย หยางเหล่าโถวเอย คนพวกนี้เขาล้วนเคยประมือมาก่อนแล้วทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของหยวนเป่าผู้นี้ เวลาเดินอยู่บนถนน ป่านนี้หัวน้อยๆ ก็คงถูกคนตบเละไปนานแล้ว
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หยวนเป่า มีเรื่องจะพูดหรือ?”
หยวนเป่าพยักหน้ารับ “สามารถรอให้อาจารย์ผู้เฒ่าจูเล่นหมากล้อมให้จบก่อนได้”
แม้ว่าเด็กสาวจะฉายประกายคมกริบ แต่อันที่จริงก็ยังรู้มารยาท
แล้วนับประสาอะไรกับที่หยวนเป่ามีความประทับใจที่ดีเยี่ยมต่อผู้อาวุโสจูเหลี่ยน คนที่นางไม่ประทับใจเลยก็คือเจิ้งต้าเฟิงผู้นั้น ส่วนอีกคนที่รู้สึกเฉยๆ ก็คือซานจวินผู้ยิ่งใหญ่ที่ชอบหาเรื่องมาเดินเล่นที่ภูเขาลั่วพั่วเป็นประจำ
ก่อนหน้านี้อาจารย์ผู้เฒ่าจูไปเยือนพื้นที่มงคลรากบัวมารอบหนึ่ง แล้วก็นำม้วนภาพที่เก็บซ่อนไว้ที่ในที่ลับม้วนหนึ่งออกมาด้วย ม้วนภาพนั้นยาวมาก คือผลงานอันเป็นที่ภาคภูมิใจของจิตรกรเอกท่านหนึ่งในบ้านเกิดของท่านอาจารย์ผู้เฒ่า
ร่ำรวย รุ่งเรือง ผู้คนเนืองแน่นแออัด เปี่ยมไปด้วยภาพบรรยากาศของความเจริญ
ตอนนั้นเผยเฉียนตาดีพบว่าบนม้วนภาพมีม้าอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นวัว หรือไม่ก็ลา จึงเอ่ยอย่างปลงอนิจจังไปหนึ่งประโยคว่า ลาน้อยมีมากขนาดนี้ หากข้ากัดฟันควักเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งจะสามารถซื้อมาจากเขาสักร้อยตัวได้ไหม?
พี่น้องหยวนเป่าหยวนไหลก็อยู่ด้วย หยวนไหลหาร้านหนังสือที่อยู่ในม้วนภาพ ส่วนหยวนเป่ามองม้วนภาพแค่ไม่กี่ทีก็หัวเราะเสียงหยัน เอ่ยประโยคหนึ่งว่า ลางแห่งการเสื่อมถอยแสดงออกมาอย่างชัดเจน
จูเหลี่ยนพยักหน้า เพราะนางพูดมีเหตุผล
อันที่จริงสิ่งที่วาดไว้บนม้วนภาพวาดก็คือเมืองหลวงที่จูเหลี่ยนเคยอยู่อาศัย เวลาไม่ถึงหกสิบปี ภาพบรรยากาศที่ธรรมชาติงดงามรายล้อม กลิ่นอายความสูงศักดิ์รุ่งเรืองเปี่ยมล้น กลับถูกกีบเท้าม้าเหยียบย่ำจนเละเทะ
ต่อให้จูเหลี่ยนจะพยายามอย่างสุดกำลังความสามารถก็ยังไม่อาจกอบกู้สถานการณ์กลับคืนมาได้ สุดท้ายถึงได้ออกจากราชสำนักเข้าสู่สนามรบ ก่อนหวนคืนกลับสู่ยุทธภพ เปลี่ยนจากคุณชายผู้สูงศักดิ์มาเป็นแม่ทัพบุ๋น สุดท้ายก็กลายเป็นคนบ้าวรยุทธ
ในชาตินั้น ชีวิตในอดีตที่ผ่านมา เรื่องที่จูเหลี่ยนภาคภูมิใจที่สุดมีสามเรื่อง
เขียนหนังสือ ตัวอักษรบรรจงขนาดเล็กของจูเหลี่ยน แม้แต่ชุยตงซานก็ยังรู้สึกว่างดงามมาก
ริเริ่มการทำบัญชีคู่
เขียนเคล็ดวิชาการเรียนวรยุทธขึ้นมาง่ายๆ เล่มหนึ่ง ธรณีประตูไม่สูง ฝ่าทะลุขอบเขตได้ไวมาก มีเพียงการเดินขึ้นสู่จุดสูงสุดที่ยากอย่างถึงที่สุด เขียนรวดเดียวมากถึงเก้าสิบเก้าเล่ม เห็นใครก็มอบให้ จากนั้นค่อยให้คนในยุทธภพไปแย่งชิงกันเอาเอง
บัณฑิต ชาวบ้าน ยุทธภพ
ย้อนกลับไปมองดูชีวิตที่ผ่านมา คุณชายจูเหลี่ยนผู้สูงศักดิ์ก็ดี จูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธก็ช่าง ล้วนถือว่ามีคำอธิบายให้แล้ว
จูเหลี่ยนเอาเม็ดหมากสีขาวที่กำลังจะวางลงบนกระดานใส่กลับโถเก็บเม็ดหมาก ยิ้มถามว่า “หยวนเป่า ตอนนี้สถานการณ์บนกระดานยากที่จะแบ่งแพ้ชนะ หากคิดจะรอให้พวกเราเล่นหมากกระดานนี้เสร็จเสียก่อนก็คงอีกนาน เจ้าพูดก่อนได้เลย”
เจิ้งต้าเฟิงหันไปแทะเมล็ดแตง
เว่ยป้อเองก็ไม่คิดอะไรมาก บนกระดานหมาก ขอแค่จูเหลี่ยนไม่จงใจคิดเป็นเวลานาน เจิ้งต้าเฟิงวางหมากอีกแค่สองสามทีก็ปิดกระดานได้แล้ว
หยวนเป่าเอ่ย “มีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับพื้นที่มงคลรากบัว ข้าคิดอะไรก็จะพูดอย่างนั้น หากมีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง อาจารย์ผู้เฒ่าจูโปรดให้อภัยด้วย”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “พูดมาได้เลย ผิดหรือถูกก็ใช่ว่าข้าจะเป็นคนตัดสินได้ ล้วนสามารถถกเถียง สามารถโต้แย้ง สามารถพูดคุยกันด้วยเหตุผลได้”
หยวนเป่าชอบผู้อาวุโสท่านนี้ก็ตรงความใจกว้าง เปิดเผยตรงไปตรงมาของเขานี่แหละ นี่จึงเป็นเหตุให้ยามอยู่กับเขา นางไม่เคยขัดเขินเหนียมอาย