กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 642.2 จูเหลี่ยนมีหมัดให้ต้องถาม
ไม้เท้าที่กำไว้ในมือสั่นสะท้านเบาๆ ในชายแขนเสื้อข้างหนึ่งก็ยิ่งมีริ้วคลื่นที่ยากจะสัมผัสได้ถึงกระเพื่อมขึ้น เพราะไม่ใช่การชักนำปราณวิญญาณจากการโคจรเวทวิชาอภินิหาร ดังนั้นแม้แต่หญิงชราผู้ดูแลศาลที่ตบะสูงที่สุดก็ยังไม่สังเกตเห็น
“ขอขมากับมารดาเจ้า ขอโทษกับมารดาเจ้าน่ะสิ!”
เรือนกายสีเขียวประดุจสายรุ้งเส้นหนึ่งพุ่งมาหล่นนอกศาลเทพวารี ยืนอยู่ข้างกายเผยเฉียน
ก็คือเฉินหลิงจวินที่หลอมข้องราชามังกรใบหนึ่งได้สำเร็จแล้ว
เฉินหลิงจวินไม่พูดไม่จาก็ยกประคองข้องราชามังกรของอุตรกุรุทวีปที่ฮว่อหลงเจินเหรินเป็นผู้ซ่อมแซมด้วยตัวเองไว้กลางฝ่ามือ ข้องราชามังกรพลันขยายใหญ่ดุจขุนเขาที่ปกคลุมตลอดทั้งศาลเทพวารีไว้ข้างใน
ข้องราชามังกรบนโลกใบนี้ แม้แต่เจียวหลงที่กำเริบเสิบสานก็ยังกำราบเอาไว้ได้ และหญิงชราและเสมียนของศาลเทพวารีที่อยู่เบื้องหน้าเฉินหลิงจวินผู้นี้ เดิมทีก็มีชาติกำเนิดมาจากภูตน้ำเซียนน้ำอยู่แล้ว การสยบกำราบตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นนั้น หญิงชรายังจะพอประคับประคองไม่ให้เรือนกายโยกคลอนได้บ้าง แต่บุรุษที่เป็นเสมียนของจวนเทพวารีกลับเข่าอ่อน ลงไปนั่งคุกเข่ากองอยู่กับพื้น เพียงแต่ว่าถูกหญิงชรายื่นมือมาคว้าจับไหล่เอาไว้ ถึงได้ไม่ขายหน้าไปมากกว่านี้
เฉินหลิงจวินกล่าว “จะขอขมาใช่ไหม ข้าผู้อาวุโสก็จะเลียนแบบเจ้าแล้วกัน ตบเจ้าก่อนแล้วค่อยขอโทษเจ้าอย่างไรล่ะ!”
หญิงชรายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตีแม่นางน้อยย่อมเป็นความผิด เพียงแต่ว่าเมื่อมีความผิดก็ขอโทษ แล้วยังมีความผิดอะไรอีกเล่า? เซียนซือท่านนี้อย่าได้ใช้อำนาจรังแกผู้อื่น วันนี้คิดจะใช้สมบัติอาคมตระกูลเซียนชิ้นนี้สยบศาลเทพวารีอย่างนั้นหรือ?”
เฉินหลิงจวินสีหน้ามืดทะมึน พยักหน้าเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ทำลายศาลเทพวารีแห่งนี้ให้ย่อยยับ แล้วข้าผู้อาวุโสก็จะตรงไปที่อุตรกุรุทวีปทันที ต่อให้นายท่านอยากด่าข้าก็ด่าไม่ได้แล้ว”
เผยเฉียนพลันเอ่ยว่า “เฉินหลิงจวิน ข้าโดนอาจารย์พ่อด่าจนชินแล้ว ให้ข้าทำเองเถอะ”
เฉินหลิงจวินอึ้งตะลึง
นายท่านของตนไหนเลยจะตัดใจด่าแม่นางน้อยผู้นี้ได้ลงคอ
เฉินหลิงจวินยิ้มเอ่ย “เผยเฉียน ตอนนี้ขอบเขตของเจ้า…”
ไม่รอให้เฉินหลิงจวินพูดจบ
เผยเฉียนก็กระแทกไม้เท้าเดินป่าในมือแรงๆ ด้ายสีทองที่อยู่ในชายแขนเสื้อซึ่งแม้แต่เผยเฉียนก็ข่มกลิ่นอายของมันไว้ไม่อยู่พลันแผ่ลามออกมาประหนึ่งน้ำตกที่ไหลทะลัก ด้ายเป็นเส้นพุ่งล้อมพันไม้เท้าเดินป่า
จนไม้เท้าเดินป่ากลายเป็นเหมือนกระบี่ยาวสีทองเล่มหนึ่ง
แล้วเผยเฉียนที่ถือกระบี่ก็ใช้กระบี่ค้ำยันพื้น
ชั่วพริบตานั้นระหว่างฟ้าดินเต็มไปด้วยกลิ่นอายของปณิธานกระบี่น่าสะพรึงกลัว
ต่อให้เป็นเฉินหลิงจวินที่เกิดมาก็มีเรือนกายแข็งแกร่งผิดปกติก็ยังอดไม่ไหวขยับเท้าออกห่างไปหลายก้าว
เซียนกระบี่ใหญ่บรรพจารย์สายของเซียนกระบี่หญิงโจวเฉิงเคยเอ่ยว่า เมื่อในใจไม่สบอารมณ์ ก็ควรออกกระบี่
หญิงชราผู้นั้นลนลานทำตัวไม่ถูก ไม่อาจประคับประคองท่าทีสุขุมเยือกเย็น คิดว่าเรื่องครั้งนี้เป็นเรื่องเล็กอย่างก่อนหน้านี้ได้อีกแล้ว
แม่นางน้อยที่สะพายหีบไม้ไผ่ตรงหน้าผู้นี้คือผู้ฝึกกระบี่ชัดๆ
ถึงขั้นมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่!
หญิงชราคนเฝ้าศาลไม่มีเวลามามัวสนใจเสมียนที่มีระดับขั้นธรรมดาในศาลวารีผู้นั้นอีกแล้ว นางรีบโคจรวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของเซียนน้ำ ใช้ริ้วคลื่นเสียงในใจแจ้งข่าวแก่เหนียงเนียงเทพวารีที่อยู่ในจวนวารีแม่น้ำใหญ่
เพียงแต่ว่าไม่มีการตอบสนองใดๆ กลับมา
เพราะกลางอากาศเหนือผิวน้ำของจวนวารีมีชายชราหลังค่อมที่ทะยานลมเดินทางไกลจากภูเขาลั่วพั่วมาหยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศ เอาสองมือไพล่หลัง ก้มหน้าลงมองแล้วยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ต้องตายแน่”
เผยเฉียนยกไม้เท้าเดินป่าที่มีปณิธานกระบี่สีทองล้อมพันขึ้น ดวงตาทั้งสองเป็นประกายระยิบระยับ
นางเอ่ยว่า “ข้านึกถึงคำพูดที่อาจารย์พ่อเคยพูด! จะขอโทษใครขึ้นอยู่ที่ความจริงใจ ไม่ได้อยู่ที่ว่าของขวัญที่นำมาขอขมามีมากหรือน้อย เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ลำดับขั้นตอนก็ไม่ถูกแล้ว แล้วจะเอาความจริงใจมาจากไหน? พวกเจ้าไม่ควรขอโทษภูเขาลั่วพั่ว แต่ควรขอโทษโจวหมี่ลี่”
เทพวารีแม่น้ำชงตั้นผู้นั้นหุบฝ่ามือเข้าด้วยกัน สีหน้าจนใจ จะปล่อยให้ศาลเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงรนหาที่ตายแบบนี้ต่อไปคงไม่ได้ เขาจึงรีบทะยานลมไปทันที เรื่องสนุกเห็นมามากแล้ว หากเอาแต่ความบันเทิงอย่างเดียวก็ง่ายที่จะนำหายนะมาสู่ตัว ไม่ช้าก็เร็วย่อมกลายเป็นที่หัวเราะเยาะเย้ยของคนอื่น
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะขยับเข้ามาใกล้จวนวารี ผู้เฒ่าคนนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า “ลำเอียงไม่เป็นกลาง เหตุผลบิดเบี้ยว ก็ต้องตายเหมือนกัน”
เทพวารีชุดดำจึงได้แต่พลิ้วกายนั่งลงบนผิวน้ำของแม่น้ำอวี้เจียง
สตรีท่าทางเยือกเย็นสวมชุดชาววังคนหนึ่งผุดขึ้นเหนือผิวน้ำ หัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “ภูเขาลั่วพั่วใช้กำลังมาท้าทายแม่น้ำอวี้เจียง ข้าจะต้องถวายฎีกาแก่กรมพิธีการต้าหลีร้องเรียนพวกเจ้าแน่นอน”
จูเหลี่ยนควักป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งของต้าหลีออกมา ซ้ำยังเป็นป้ายสงบสุขอันดับหนึ่งอีกด้วย เขาห้อยไว้ตรงเอว พยักหน้ายิ้มเอ่ย “ตกลง ข้าจะให้โอกาสนี้แก่เจ้า หลีกเลี่ยงไม่ให้แม่น้ำชงตั้นสหายร่วมงานของเจ้ารู้สึกว่าสตรีเช่นเจ้าดีแต่ปาก”
เหนียงเนียงเทพวารีผู้นั้นเห็นป้ายสงบสุขอันดับหนึ่งซึ่งเป็นของแท้แน่นอนก็พลันหน้าเปลี่ยนสี ขณะที่กำลังสองจิตสองใจว่าจะกัดฟันยอมก้มหัวให้อีกฝ่ายไปก่อน แล้วค่อยวางแผนทำอย่างอื่นดีหรือไม่…คิดไม่ถึงว่าหมัดหนึ่งจะพุ่งมาถึงแล้ว
นางถูกหมัดนั้นต่อยให้จมลึกไปถึงเบื้องล่างของแม่น้ำอวี้เจียง
ไม่เพียงแต่ร่างทองแน่นิ่งขยับไม่ได้ ยังมีเลือดสีทองไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดขององค์เทพอย่างนาง
ส่วนผู้เฒ่าร่างเล็กผอมบางผู้นั้น เมื่อปณิธานหมัดของทั้งร่างระเบิดแตกก็เหมือนเซียนที่ใช้วิชาหลบเลี่ยงน้ำ พลิ้วกายลงมายังก้นแม่น้ำจุดที่ห่างไปไม่ไกล
ผู้เฒ่าพูดกลั้วหัวเราะว่า “ผู้ดูแลภูเขาลั่วพั่ว จูเหลี่ยน วันนี้มาถามหมัดแก่จวนเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียง ล่วงเกินแล้ว”
ผู้เฒ่าถอยหลังไปหลายก้าว แล้วเดินหน้ามาก้าวเล็กๆ เรือนกายที่งองุ้มยิ่งโค้งงอ เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าผู้อาวุโสออกหมัดแบ่งแค่เป็นตาย ไม่ใช้เหตุผล”
บนผิวน้ำที่ห่างจากสนามรบใต้แม่น้ำมาไกล เทพวารีแม่น้ำชงตั้นขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งเครียด
ปรมาจารย์วิถีวรยุทธผู้นั้นไม่ได้เป็นแค่ขอบเขตเดินทางไกลธรรมดาๆ เท่านั้น
ปณิธานหมัดของผู้เฒ่ายิ่งใหญ่จนสยบข่มชะตาน้ำของแม่น้ำอวี้เจียงได้อย่างชะงัดนัก
นี่เป็นการสยบกำราบที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง!
หนึ่งหมัดผ่านไป
สายน้ำแหลกสลาย
ผู้เฒ่ายื่นมือมากระชากลำคอของสตรีสวมชุดชาววัง ทั้งร่างของฝ่ายหลังไหลอาบไปด้วยเลือดสดสีทองที่หยดลงในแม่น้ำที่ไหลซัดสาด
ผู้เฒ่าชำเลืองตามองเทพวารีของแม่น้ำชงตั้นแวบหนึ่ง ฝ่ายหลังลุกขึ้นกุมหมัดเอ่ย “ผู้อาวุโสเชิญไปที่ศาลเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงได้เลย”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เคยซื้อเคยขายหนังสือกับใต้เท้าเทพวารีมาไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว ภูเขาลั่วพั่วล้วนจำได้ ก่อนหน้านี้ข้าก็แค่สร้างสถานการณ์ข่มขวัญไปอย่างนั้นเอง ใต้เท้าเทพวารีอย่าได้อาฆาตแค้นเลย”
เทพวารีแม่น้ำชงตั้นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน
ทางฝั่งของศาลเจ้า คนดูแลศาลเห็นภาพเหตุการณ์นี้มาแต่ไกล ผู้เฒ่าขี่ลมทะยานมาถึง ในมือกระชากเอาเหนียงเนียงเจ้าแม่เทพวารีของตนที่บาดเจ็บสาหัสอย่างถึงที่สุดมาด้วย
หญิงชราอกสั่นขวัญบิน รีบร่ายวิชาอภินิหารอันน้อยนิดของตนสร้างเวทอำพรางตา อีกทั้งยังรีบปิดประตูใหญ่ของศาล หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่อยู่ด้านในมองเห็นภาพนี้
ก่อนหน้านี้ศาลเทพวารีก็มีเสียงอึกทึกเอะอะให้ได้ยินแล้ว ถึงอย่างไรทุกคนก็ไม่ได้ตาบอด ต่างก็มองเห็นข้องราชามังกรที่ลอยอยู่กลางอากาศชิ้นนั้น หญิงชราจงใจไม่ปิดประตู ก็แค่ขัดขวางไม่ให้พวกคนที่มาจุดธูปกราบไหว้ออกไปข้างนอก จงใจให้พวกเขามาเบียดกันอยู่ที่หน้าประตูเพื่อชมเรื่องสนุก
หลังจากที่จูเหลี่ยนพลิ้วกายลงบนพื้นก็โยนเหนียงเนียงเทพวารีไปไว้แทบเท้าหญิงชรา แล้วเดินมาหยุดอยู่ระหว่างเผยเฉียนกับเฉินหลิงจวิน ยื่นฝ่ามือสองข้างมากดศีรษะเล็กๆ ทั้งสอง ยิ้มเอ่ยว่า “ดีมาก”
เผยเฉียนปัดมือของพ่อครัวเฒ่าทิ้ง
เฉินหลิงจวินเก็บข้องราชามังกรที่ใหญ่มืดฟ้าบังดินชิ้นนั้นมา
จูเหลี่ยนเดินไปข้างหน้า ยกเท้าเหยียบลงบนศีรษะของเหนียงเนียงเทพวารีที่ลมหายใจรวยริน มองไปทางประตูใหญ่ ยิ้มเอ่ยกับหญิงชราคนเฝ้าศาลว่า “หญิงแก่อย่างเจ้า หน้าตาอัปลักษณ์จิตใจชั่วช้า เหตุใดไม่ลากพวกชาวบ้านให้มาช่วยแบ่งเบาอันตรายจากเจ้าต่อแล้วเล่า หรือยังคิดจะทำลายชื่อเสียงภูเขาลั่วพั่วของพวกเราอีกใช่ไหม? ไม่มีประโยชน์หรอกน่า”
จูเหลี่ยนเพิ่มพละกำลังของเท้าข้างนั้น ทำให้ศีรษะเกินครึ่งของเทพวารีจมยุบลงไปในดิน “เอาล่ะ แค่นี้ก็แล้วกัน จำไว้ว่าเอาของขวัญมาขอขมาด้วย คนไม่มาก็ไม่เป็นไร เพราะจะได้ประหยัดเงินค่าน้ำชาไปหลายถ้วย แต่เงินเทพเซียนของจวนวารีแม่น้ำอวี้เจียงจะต้องส่งไปให้ถึง ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราเป็นภูเขาลูกเล็ก ยากจนจนแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อแล้ว”
จูเหลี่ยนหันหน้ามาถาม “อยากจะสบายใจให้มากกว่านี้ หรืออยากยึดหลักเป็นคนควรเหลือพื้นที่ว่างเอาไว้ วันหน้าจะยังพบหน้ากันได้อีก?”
เผยเฉียนเหวี่ยงไม้เท้าในมือ ถามอย่างสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “รอให้พี่หญิงซิ่วซิ่วของเจ้ากลับมาก็รู้แล้ว”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นขอโทษก็จบเรื่องแล้ว”
จูเหลี่ยนก้มหน้าลงมองเหนียงเนียงเทพวารีที่ใกล้ตายแล้วยังมีอารมณ์มาแกล้งตาย แล้วรวมเสียงให้เป็นเส้น ยิ้มพูดกับอีกฝ่าย “เจ้าโชคไม่เลวเลยจริงๆ ถึงได้มาเจอกับภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา เจ้าแอบหัวเราะมีความสุขไปเถอะ ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่ศาลแห่งนี้เลย วันหน้าจะมีแม่น้ำอวี้เจียงหรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก ถ่ายทอดวิธีช่วยชีวิตให้แก่เจ้าแล้ว เจ้าไปใคร่ครวญเอาเอง”
สุดท้ายจูเหลี่ยนพาเผยเฉียนและเฉินหลิงจวินจากไปพร้อมกัน พวกเขาเดินเลียบลำน้ำจากไปอย่างสบายอารมณ์
จูเหลี่ยนนวดคลึงข้อมือ เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “ถึงอย่างไรก็ยังไม่สาแก่ใจมากพอ หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำมีสันดานแบบนี้เหมือนกันหมด วิธีการของหยวนเป่าถึงจะถูกต้อง โชคดีที่ไม่ได้เป็นแบบนี้กันไปซะหมด”
เผยเฉียนบ่น “ฆ่าแกงกันแบบนี้ เหมาะสมเสียที่ไหน พ่อครัวเฒ่า หยวนเป่าโง่เขลาผู้นั้นพูดอะไรอีกล่ะ? ตัวนางสูงก็จริง แต่เหตุใดสมองถึงได้เลอะเลือนนัก”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “กลับบ้านไปแล้วค่อยคุยกัน”
เผยเฉียนเอาไม้เท้าทิ่มหัวเฉินหลิงจวินที่มีท่าทางอัดอั้นเหมือนคนอารมณ์ไม่ดี ต่อให้จะทิ้งปณิธานกระบี่ไว้เพียงเล็กน้อยก็ยังเกือบทำให้เขาล้มแล้วลุกไม่ขึ้น ก่อนจะเริ่มชักกระตุก
เฉินหลิงจวินเหมือนคนเป็นโรคจับสั่น ชักอยู่นาน สุดท้ายกุมหัวโอดครวญ “เผยเฉียน อะไรกัน อะไรกัน!”
เผยเฉียนเองก็อึ้งตะลึงไป ก่อนจะรีบเอ่ยขอโทษอีกฝ่าย บอกว่าวันนี้ไม้เท้าเดินป่าแปลกประหลาดยิ่งนัก เห็นว่าเฉินหลิงจวินไม่โกรธก็รู้สึกว่าเขาช่างใจกว้าง! เผยเฉียนจึงหัวเราะร่า “เฉินหลิงจวิน วันนี้เจ้าลงมือได้อย่างไหลรื่นว่องไวนัก เจ็ดสิบสองข้อที่เขียนว่าเจ้าแย่งเมล็ดแตงของข้าในสมุดบัญชีเล่มเล็กของข้า ข้าจะลบทิ้ง ลบทิ้งให้หมดเลย!”
ลงบัญชีไว้ตั้งเจ็ดสิบสองครั้ง…
เพียงแค่เรื่องเมล็ดแตง
เฉินหลิงจวินแยกเขี้ยว โดนฟาดไปทีหนึ่ง แต่กลับยังยิ้มได้ “ข้าต้องขอบคุณเจ้านะ”
เผยเฉียนกระโดดโลดเต้น “ไปกินเมล็ดแตงกับหมี่ลี่ดีกว่า”
จูเหลี่ยนเอ่ย “เผยเฉียน อย่าลืมล่ะ”
เผยเฉียนร่ายกระบวนท่าวิชากระบี่มารคลั่งคอยข่มขู่เฉินหลิงจวินอยู่เป็นระยะ “รู้แล้ว ข้าจะกำชับหมี่ลี่น้อยเอง”
เฉินหลิงจวินเอ่ย “พ่อครัวเฒ่า ข้าคิดว่าจะไปที่อุตรกุรุทวีปแล้วล่ะ”
จูเหลี่ยนพยักหน้า “รีบไปรีบกลับ”
……
หร่วนฉงกลับจากเมืองหลวงต้าหลีมายังสำนักกระบี่หลงเฉวียน และยังคงทุ่มเทจิตใจอยู่กับเรื่องการหลอมกระบี่เหมือนเดิม
การประชุมในห้องทรงพระอักษร ทุกคนต่างก็ลงนามในสัญญาขุนเขา ใครแพร่งพรายออกไป ละเมิดคำสาบาน แล้วราชวงศ์ต้าหลีรู้เรื่องเข้า จะต้องถูกประหารเก้าชั่วโคตรเหมือนกันทั้งหมด
หร่วนฉงยิ่งไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เดิมทีเขาก็เป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ต้าหลีอยู่แล้ว
กิจธุระของสำนักกระบี่หลงเฉวียน หร่วนฉงยังคงไม่สนใจเรื่องใดอยู่เหมือนเดิม เรื่องน้อยใหญ่ในสำนักล้วนมอบให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดอย่างต่งกู่ สวีเสี่ยวเฉียวจัดการ การคบค้าสมาคมกับราชสำนักต้าหลีและบนภูเขาลูกอื่นๆ ก็ค่อยๆ มอบให้พวกเขาจัดการไปทีละก้าวนานแล้ว หลังจากที่บุตรสาวอย่างหร่วนซิ่วฝึกตนอยู่บนภูเขาหลงจี๋มานานหลายปี ก็ลงจากภูเขาเดินทางขึ้นเหนือไปอย่างเงียบเชียบ ไปเยือนอาณาเขตแห่งใหม่ของสำนักกระบี่หลงเฉวียน ยังดี สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ลงไม้ลงมือต่อกัน แต่พูดคุยปรึกษากับองค์เทพของอดีตขุนเขากลางอย่างปรองดอง นี่ทำให้หร่วนฉงวางใจได้ไม่น้อย
มีเขตอิทธิพลแล้ว แต่ไม่มีคนคอยจัดการดูแล นี่ก็คือจุดที่ทำให้สำนักกระบี่หลงเฉวียนกระอักกระอ่วนที่สุด
สำหรับสำนักแห่งหนึ่งที่มีอักษรจงในชื่อแล้ว ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่หลงเฉวียนก็น้อยเกินไปจริงๆ
ต่อให้จะทยอยรับลูกศิษย์มาอีกสามชุด ทว่าเพราะแต่ละชุดมีจำนวนคนไม่มาก ควันธูปจึงดูบางเบาอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นการที่สกุลซ่งต้าหลีมอบอาณาเขตเก่าของราชวงศ์จูอิ๋งให้กับภูเขาตะวันเที่ยง หร่วนฉงจึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรให้ไม่พอใจ ตัวเองความสามารถไม่มากพอ เก็บเนื้อชิ้นโตไว้ในกระเป๋าไม่ได้ มันเลยไปหล่นร่วงลงในถ้วยของคนอื่น ถ้าอย่างนั้นก็จงกินผักดองในถ้วยของตัวเองไปแต่โดยดี
แล้วนับประสาอะไรกับที่ก่อนหน้านี้ต้าหลีได้มอบอาณาเขตกว้างใหญ่ของพื้นที่อดีตขุนเขากลางให้กับสำนักกระบี่หลงเฉวียน นี่ก็ถือว่าเป็นการปูพื้นมาก่อนแล้ว
การที่ให้อยู่ใกล้กับเมืองหลวงก็คือการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งของฮ่องเต้หนุ่ม หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกขุนนางในราชสำนักคิดมาก เข้าใจผิดคิดว่าสำนักกระบี่หลงเฉวียนหล่นไปอยู่อันดับริมขอบแล้ว ภูเขาตะวันเที่ยงจึงจะเป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งวิถีกระบี่ของแจกันสมบัติทวีป
แน่นอนว่าสกุลซ่งต้าหลีก็ตัดข้อสงสัยว่าข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งไปได้ด้วย
ราชสำนักต้าหลี นับตั้งแต่อดีตฮ่องเต้จนถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน นับตั้งแต่หร่วนฉงเฝ้าพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจูจนถึงตอนนี้ ทุกด้านล้วนมีคุณธรรมน้ำใจกับเขาหร่วนฉงมากแล้ว
หลักๆ แล้วยังคงเป็นเพราะตัวหร่วนฉงเองไม่ยินดีที่จะรับลูกศิษย์มามากเกินความจำเป็น คนที่จิตใจไม่ผ่านด่าน ต่อให้เจ้าจะเป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด สถานที่แห่งอื่นย่อมรับตัวเอาไว้ จะไปอยู่ภูเขาตะวันเที่ยงที่มีหวังว่าจะได้เป็นสำนักกระบี่แห่งถัดไปก็ยังไม่มีปัญหา
ก่อนหน้านี้ในบรรดาลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อสิบสองคนก็มีคนที่จากไปแล้วครึ่งหนึ่ง ในบรรดานั้นยังมีตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่ตอนนี้ไปอยู่ภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว และได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ที่นั่นแล้ว ว่ากันว่ายังถูกบรรพจารย์ของยอดเขาแห่งหนึ่งรับเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายแล้วด้วย