กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 645.2 ลงจากหัวกำแพงเมือง
กระโจมทัพทั้งหกสิบแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างส่งกองกำลังทหารไปชดเชยอย่างต่อเนื่อง การโจมตีเมืองแต่ละช่วงเวลาล้วนเชื่อมโยงติดกันอย่างแนบแน่น รอบคอบรัดกุม ใต้หล้าเปลี่ยวร้างตั้งท่าชัดเจนว่าจะไม่เปิดโอกาสให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้หยุดพักแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ยินดีจะเปิดโอกาสให้เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนได้หายใจหายคอ ภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียดกดดันอย่างถึงที่สุดนี้ กฎเกณฑ์ของสายอิ่นกวานที่แรกเริ่มเดิมทีทำให้เซียนกระบี่ออกกระบี่อย่างอึดอัดเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ได้แต่ทำตามระเบียบขั้นตอนไม่อาจออกกระบี่อย่างสาแก่ใจ เวลานี้กลับเริ่มค่อยๆ ปรากฏประสิทธิผล
ก่อนที่จะเป็นเช่นนี้ ในฐานะค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย พลังพิฆาตของแต่ละคนที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน มาดของเซียนกระบี่ที่โดดเด่นสง่างามยามอยู่บนหัวกำแพงเมืองล้วนถูกทำให้เจือจางไปอย่างที่มองไม่เห็น ผลลัพธ์ที่แลกมาได้ก็คือพลังพิฆาตที่แข็งแกร่งขึ้นไปอีกระดับของตลอดทั้งค่ายกลกระบี่
ตอนนี้ต่อให้เซียนกระบี่บางท่านถอนตัวออกจากสนามรบเพื่อไปเลี้ยงกระบี่และพักผ่อน ข้อเสียก็ยังลดน้อยลงตามไปด้วย
เพราะการศึกษาและแทรกซึมที่สายอิ่นกวานมีต่อค่ายกลกระบี่นั้นลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ อย่าว่าแต่เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนเลย สายของอิ่นกวานไม่เพียงแต่คุ้นเคยกับกระบี่บินและวิชาอภินิหารของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดและโอสถทองทุกคน ตอนนี้แม้แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่อีกสามขอบเขตที่เหลือก็ท่องจำได้อย่างขึ้นใจจนถึงขั้นที่เรียกว่าเกินจริงไปมาก
สายน้ำแปรปรวนไม่เคยแน่นอน ทหารไม่หน่ายการศึก ผู้ฝึกกระบี่บนหัวกำแพงเปลี่ยนค่ายกลไปอย่างต่อเนื่อง และยิ่งมีการสลับตำแหน่งกันเป็นระยะ ผู้ฝึกกระบี่หลายคนที่เดิมทีไม่เคยแม้แต่จะทักทายกันก็ได้มาร่วมงานกันอย่างปรองดอง
ใช้กระบี่บินทีละสองสามเล่มมาร่วมมือกัน ถึงขั้นที่ว่านำกระบี่บินหลายสิบเล่มมาสร้างเป็นค่ายกลกระบี่ เสริมด้วยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต ขอแค่อดทนจนผ่านการขัดเกลาให้กลมกลืนกันในช่วงแรกไปได้ พลานุภาพก็จะเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด
ลำพังเพียงแค่กระบี่บินและวิชาอภินิหารที่เป็นหนึ่งในห้าธาตุ เมื่อสร้างกันขึ้นเป็นค่ายกล ตอนนี้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีค่ายกลกระบี่มากถึงสามสิบเอ็ดแห่งแล้ว
กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตก็เหมือนคนครอบครัวใหญ่ที่รากฐานของตระกูลลึกล้ำอุดมสมบูรณ์ สรุปแล้วมีเงินทองมีที่นามากแค่ไหนกันแน่ บางทีแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้จึงเป็นเหมือนการเก็บเอาเหรียญทองแดงจากทุกซอกมุมมาบันทึกลงบนบัญชี
สามารถมีสถานการณ์อย่างทุกวันนี้ได้ สายอิ่นกวานทุกคนล้วนเป็นบุคคลที่จะขาดไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว
และในบรรดาคนเหล่านี้ ก็มีเซียนกระบี่โฉวเหมียวที่เข้าใจกระบี่บินและวิชาอภินิหารเป็นอย่างดี มีหลินจวินปี้ที่มองสถานการณ์ภาพรวมแล้วสรุปวางแผน ความคิดประหลาดที่ผุดวาบขึ้นมาในบางครั้งของกวอจู๋จิ่ว เป็นสามคนนี้ที่มีคุณความชอบมากที่สุด
แต่ช่วงเวลาระหว่างนี้ การวางแผลกลยุทธของสายอิ่นกวานก็ใช่ว่าจะไม่มีช่องโหว่เสียเลย ถึงขั้นที่ว่ายังเคยเกิดข้อผิดพลาด เป็นความผิดพลาดร้ายแรงที่จำเป็นต้องให้ผู้ฝึกกระบี่บนสนามรบใช้กระบี่บินและชีวิตของตัวเองไปชดเชย
ระหว่างผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีการทะเลาะเบาะแว้งที่ทำลายความปรองดอง ไม่เคยมีความไม่พอใจต่อกันเสียเลย เพราะถึงอย่างไรบนสนามรบเล็กๆ แห่งหนึ่งก็มักจะปรากฏกรณีสองอย่างที่เป็นทางแยกอยู่เสมอ หากก่อนที่ผลลัพธ์จะปรากฏ ทั้งสองกรณีนี้ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองจะมีโอกาสชนะมากกว่า ชนะได้อย่างมั่นคงกว่า หากสถานการณ์ของสงครามดำเนินไปได้ตามที่คาดการณ์ก็ยังพูดได้ง่าย แต่หากเกิดปัญหาขึ้นจะยุ่งยากอย่างมาก ฝ่ายที่ผิดจะต้องรู้สึกละอายใจ ส่วนฝ่ายที่ถูกก็จะรู้สึกอึดอัด
การโต้เถียงที่ดุเดือดรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นระหว่างสวีหนิงกับเฉากุ่น พวกเขาทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดง อีกนิดเดียวทั้งสองฝ่ายก็เกือบจะได้ถามกระบี่กันแล้ว
กลยุทธหนึ่งที่คฤหาสน์หลบร้อนตั้งขึ้นมาเป็นเหตุให้ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินของกำแพงเมืองปราณกระบี่รบตาย แล้วยังพาให้ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางอีกสามสิบเอ็ดคนกายดับกระบี่ย่อยยับ
ทุกคนต่างก็เจ็บปวดใจ เสวียนเซินที่รับผิดชอบกำหนดรายละเอียดของกลยุทธก็ยิ่งเจ็บปวดเคียดแค้น คำพูดของสวีหนิงที่แม้ว่าแรกเริ่มจะเป็นแค่คำบ่น แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง เสวียนเซินสีหน้าหม่นหมอง ในใจรู้สึกผิด จึงไม่ได้ตอบโต้อะไร เฉากุ่นที่สนิทกับเสวียนเซินมากทนไม่ไหวจึงเปิดปากด่าอีกฝ่ายไปโดยตรง บอกให้สวีหนิงทำปากให้สะอาดหน่อย เลิกทำตัวเป็นคนลาดหลังเกิดเรื่องเสียที
สวีหนิงจึงทักทายบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเสวียนเซินไปรอบหนึ่ง
เสวียนเซินมีฝีมือการเล่นหมากล้อมสูง ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ประลองกับหลินจวินปี้บ่อยๆ แล้วยังสามารถผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะกับอีกฝ่ายได้ด้วย แน่นอนว่าฝีปากด่าคนก็ยิ่งร้ายกาจ ด่าเสียจนสวีหนิงหน้าเขียวคล้ำ ทำท่าจะถามกระบี่
ตอนนั้นบรรยากาศในห้องโถงเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด หากเกิดการถามกระบี่กันขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร สำหรับสายอิ่นกวานแล้ว อันที่จริงก็ไม่ถือว่ามีผู้ชนะ
หลัวเจินอี้จึงเอ่ยประโยคหนึ่งว่า หากก่อนหน้านี้เลือกใช้วิธีของสวีหนิง มีหรือจะเกิดความเสียหายมากขนาดนี้ หากจำไม่ผิด เป็นเพราะพวกเจ้าที่โต้เถียงเขา แล้วแบบนี้จะเรียกว่าสวีหนิงทำตัวเป็นคนฉลาดหลังจบเรื่องได้อย่างไร
เดิมทีฉางไท่ชิงก็เป็นภูเขาลูกเดียวกับสวีหนิงและหลัวเจินอี้อยู่แล้ว แล้วก็ยิ่งเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกับสวีหนิง จึงเอ่ยประโยคที่รุนแรงยิ่งกว่าบอกว่า ก่อนเกิดเรื่องโง่ หลังจบเรื่องทำผิดไม่ยอมรับ ก็โง่ยิ่งกว่า
ซ่งเกาหยวนผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่ถึงแม้เวลาปกติจะสนิทกับพวกหลัวเจินอี้ แต่สำหรับเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่ายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเฉากุ่น เสวียนเซิน จึงเปิดฉากทะเลาะกับฉางไท่ชิงอย่างรุนแรง
หลินจวินปี้พยายามห้ามทัพ ผลคือทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีใครฟัง ต่งปู้เต๋อไม่ดาจด่าสวีหนิงและเสวียนเซินได้ แต่คิดจะด่าหลินจวินปี้กลับไม่มีปัญหา
กวอจู๋จิ่วไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ราวกับว่าไม่ว่าจะพูดอะไรก็ผิดไปหมด
หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันกับโฉวเหมียวต่างก็อดทนข่มกลั้นเอาไว้ได้ ภูเขาสองลูกที่ถูกอำพรางไว้ของผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นและผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นก็คงจะเกิดรอยร้าวเพราะเรื่องในครั้งนี้ไปแล้ว
หลังจากที่โฉวเหมียวมองสบตากับเฉินผิงอัน เซียนกระบี่โฉวเหมียวก็เป็นคนที่บอกให้สวีหนิงหุบปากก่อน
จากนั้นเฉินผิงอันจึงเปิดปากถามพวกเขาว่าสรุปแล้วอยากจะพูดคุยกันด้วยเหตุผลหรืออยากจะระบายอารมณ์ใส่กันกันแน่? หากจะคุยด้วยเหตุผลก็ไม่จำเป็นต้องคุย ความเสียหายทางการศึกใหญ่หลวงขนาดนี้ล้วนเป็นเพราะกลยุทธที่ผิดพลาดของคนทั้งสายอิ่นกวาน ทุกคนล้วนมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ อีกทั้งยังเป็นเขาอิ่นกวานที่มีความผิดใหญ่หลวงที่สุด เพราะเขาเป็นคนตั้งกฎ การเลือกและตัดกลยุทธแต่ละอย่างล้วนอิงไปตามกฎเกณฑ์ การซักไซ้เอาผิดหลังจบเรื่องใช่ว่าจะทำไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ต้องทำด้วย แต่ห้ามกล่าวโทษแค่คนใดคนหนึ่งเด็ดขาด คิดจะดึงปัญหาออกมาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ตามมาคิดบัญชีกันย้อนหลัง กล้าคิดบัญชีกันแบบนี้ ศาลของสายอิ่นกวานเล็กเกินไป ปรนนิบัติไม่ไหว ขออภัยที่รับใช้ไม่ได้
หากใครมีไฟโทสะแล้วหวังว่าจะอาศัยการด่าสักคำสองคำมาระบายอารมณ์ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ หรือต่อให้จะถามกระบี่กันอย่างสาแก่ใจสักครั้งก็ได้เหมือนกัน ทว่าให้จับกลุ่มกันสามต่อสาม เติ้งเหลียงกับหลัวเจินอี้ เฉากุ่นกับฉางไท่ฉิง เสวียนเซินกับสวีหนิง ถือเสียว่าเป็นการเฝ้าด่านผ่านด่านที่มาช้าไปครั้งหนึ่ง หลังสู้กันเสร็จก็ให้จบกันแต่เพียงเท่านี้ ทว่าบนสมุดบัญชีเล่มนั้นของข้าคงจะต้องเขียนวีรกรรมยิ่งใหญ่ของนายท่านเซียนกระบี่ทั้งหลายไว้ให้มากขึ้นแล้ว
ทุกคนในห้องโถงพากันเงียบงัน
เฉินผิงอันถึงได้ร่วมกับโฉวเหมียวและหลินจวินปี้ทบทวนกระดาน วิเคราะห์ผลได้ผลเสียจากแผนการของเฉากุ่นอย่างละเอียดอีกครั้ง ไม่ได้ปฏิเสธกลยุทธนั้นทั้งหมดเพียงแค่เพราะผลลัพธ์ออกมาแย่
มาถึงเวลานี้ ผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ก็ล้วนสงบอารมณ์กันได้มากแล้ว
สุดท้ายเฉินผิงอันให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า “สามารถมานั่งอยู่ที่นี่ได้ล้วนเป็นคนฉลาดหลักแหลมกันทั้งนั้น อีกทั้งแต่ละคนยังมีความฉลาดในแบบที่แตกต่างกันออกไป”
“ดังนั้นทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่จึงยิ่งต้องพิถีพิถันกับการทำตามกฎเกณฑ์ ยึดหลักเป็นคนที่มีมโนธรรม ข้าเชื่อว่าประโยคแรกเริ่มสุดของสวีหนิงนั้นไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร ข้าถึงขั้นไม่รู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้พูดไม่ได้ ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ ควรต้องเอามาพูดกันให้ชัดเจน ให้เสวียนเซินเข้าใจว่าตัวเองทำผิด ไม่ใช่แค่เพราะว่าเจตนาเดิมของเจ้าเสวียนเซินดีแล้วจะสามารถยกโทษให้ทั้งหมดได้”
“ในเมื่อทำความผิดไปแล้วก็ไม่ควรช่วยเจ้าปิดบังเพียงเพราะว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ล้วนมาจากสายอิ่นกวานเหมือนกัน ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เพราะเป็นสหาย ถึงได้ต้องปิดประตูแล้วด่าเจ้าต่อหน้า พวกเรากลายมาเป็นคนของสายอิ่นกวานปีกว่าแล้ว นิสัยคร่าวๆ ของแต่ละคนเป็นอย่างไร ต่างคนต่างรู้ชัดเจนกันดี ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด หาข้อผิดพลาดเพื่อด่าคนอื่น ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอีกหรือ? พวกเจ้ามีใครบ้างที่แท้จริงแล้วไม่เข้าใจหลักการเหตุผล?”
เซียนกระบี่โฉวเหมียวก็พูดตามขึ้นว่า “สิ่งที่จำเป็นต้องเอาออกมาพูดกันมากที่สุด อันที่จริงไม่ใช่เสวียนเซินกับสวีหนิง แต่เป็นเรื่องที่เฉากุ่นกับหลัวเจินอี้ที่ต่างคนต่างช่วยคนที่ตัวเองสนิทปกป้องความผิด เรื่องราวเรื่องหนึ่งจะต้องกวนน้ำให้ขุ่นถึงจะเรียกว่ามีคุณธรรมมีน้ำใจอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากไม่เป็นเพราะมีเซียนกระบี่ใหญ่โฉวเหมียวที่วิชากระบี่เลิศล้ำคอยนั่งคุม พวกเจ้าคงจะตีกันจนมันสมองไหลออกมาแล้วกระมัง? โชคดีที่ข้าคาดการณ์ได้ล่วงหน้า แบ่งคนกลุ่มละสามคนให้ขึ้นหัวกำแพงเมืองไปสังหารปีศาจ แยกพวกเจ้าออกจากกัน ไม่อย่างนั้นวันนี้ขาดคนหนึ่ง พรุ่งนี้หายไปคนหนึ่ง ไม่ถึงครึ่งปีคนของคฤหาสน์หลบร้อนก็คงหายไปแล้วเกินครึ่ง โต๊ะหนังสือแต่ละตัวว่างเปล่า ข้าคงได้แต่วางกระถางธูปไว้โต๊ะละใบ ปักธูปไว้สามดอก ค่าใช้จ่ายนี้จะคิดบนหัวใคร? คฤหาสน์หลบร้อนดีๆ กลับกลายเป็นเหมือนโถงเซ่นไหว้ดวงวิญญาณ เมื่อถึงเวลานั้นข้าควรด่าว่าพวกเจ้าเป็นลูกล้างลูกผลาญดี หรือคิดถึงคุณความชอบความเหนื่อยยากของพวกเจ้าดีล่ะ?”
เอาแล้วๆ
วิธีการที่ใต้เท้าอิ่นกวานถนัด คำพูดเหน็บแนมระคายหูที่ไม่ได้ยินมานาน
เซียนกระบี่โฉวเหมียวเอ่ย “ยังคงเป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่ใจกว้างเปิดเผย ยินดีเป็นฝ่ายยอมรับความผิดมหันต์มาไว้เอง”
เฉินผิงอันหันมองกู้เจี้ยนหลง แต่ก็ยังไม่ได้ยินคำพูดที่เป็นธรรม กู้เจี้ยนหลงหันมองไปทางหวังซินสุ่ยเงียบๆ หวังซินสุ่ยไม่ยินดีรับภาระหนักครั้งนี้จึงมองกวอจู๋จิ่ว กวอจู๋จิ่วก้มหน้าลงมองโต๊ะหนังสือ
เฉินผิงอันจึงได้แต่เปิดสมุดเล่มหนึ่ง คือสมุดอี่เปิ่นที่เอาไว้จดบันทึกคุณความชอบและความผิดพลาดของสายอิ่นกวานโดยเฉพาะ แล้วเริ่มจรดพู่กันเขียน
ครู่หนึ่งต่อมา โฉวเหมียวก็ถามว่า “สวีหนิง หลัวเจินอี้เขียนแล้ว เสวียนเซินกับเฉากุ่นก็เขียนเหมือนกัน เนื้อหาที่ทะเลาะกันก็เขียนไว้คร่าวๆ เหตุใดถึงไม่เห็นสองคำว่า ‘อิ่นกวาน’ แล้วก็สามคำว่า ‘เฉินผิงอัน’ เลยเล่า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่โฉวเหมียว พวกเรามาลองเดิมพันกันดูดีไหม? เดิมพันกันว่าสรุปแล้วบนสมุดอี่เปิ่นของข้าได้เขียนความผิดของตัวเองลงไปหรือไม่?”
โฉวเหมียวพยักหน้า “เดิมพัน”
เฉินผิงอันตบโต๊ะดังป้าบ “ทุกคนสามารถวางเดิมพันได้”
นอกจากกวอจู๋จิ่วแล้ว ทุกคนล้วนลงเดิมพันข้างเดียวกับโฉวเหมียวว่าใต้เท้าอิ่นกวานไม่ได้เขียน เดิมพันเล็กๆ น้อยๆ เพื่อความสนุก ก็แค่เงินร้อนน้อยไม่กี่เหรียญเท่านั้น
ผลคือเฉินผิงอันพลิกกระดาษกลับไปอีกหน้า จากนั้นก็ยกสมุดขึ้น ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ทุกท่านจงเบิกตาสุนัขดูให้ดี! เอาเงินมาๆ”
กวอจู๋จิ่วกระโดดผลุงขึ้น “เก็บเงินๆ!”
ทุกคนที่แพ้เงินเดิมพันต่างหันมามองโฉวเหมียว
โฉวเหมียวมองเฉินผิงอันด้วยสีหน้าจนใจ ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ไม่คิดว่าจะต้องเสียชื่อเสียงไปด้วย ถ้าอย่างนั้นแบ่งกันสี่ต่อหกคงไม่ได้แล้ว ห้าต่อห้าดีกว่า”
เฉินผิงอันด่าอย่างขุ่นเคือง “มารดาเจ้าเถอะ โฉวเหมียวเจ้าไม่ใช่หน้าม้าของข้าสักหน่อย!”
กู้เจี้ยนหลงเอ่ยอย่างขลาดๆ “ใต้เท้าอิ่นกวาน ขอให้ข้าได้พูดจาอย่างเป็นธรรมสักคำ แยกแยะเรื่องเงินๆ ทองๆ อย่างชัดเจนจึงจะเป็นลูกผู้ชาย แบบนี้ดูไม่ค่อยมีคุณธรรมสักเท่าไหร่เลยนะ”
หวังซินสุ่ยพยักหน้า “ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง แสร้งทำเป็นตกตะลึง อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี”
กวอจู๋จิ่วถอนหายใจ
เพื่อหาเงินส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ อาจารย์ก็ช่างลำบากแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันพลันหันมามองม้วนภาพบนพื้นแล้วเอ่ยเสียงหนักว่า “ต้องเตรียมให้เซียนกระบี่ออกจากหัวกำแพงเมือง ไปช่วยแบ่งแยกสนามรบแล้ว”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ก่อนหน้านี้มีโอกาสไปเยือนหัวกำแพงเมืองอยู่หลายครั้ง ข้าล้วนยอมถอยให้พวกเจ้า เพราะคิดว่าเหลือเอาไว้ก่อน ดังนั้นตอนนี้ข้ายังพอจะมีเวลาอีกประมาณยี่สิบวันที่สามารถออกจากคฤหาสน์หลบร้อนไปฆ่าปีศาจ เวลาระหว่างนี้โฉวเหมียวกับหลินจวินปี้รับผิดชอบดูแลสถานการณ์โดยรวม หากมีเรื่องที่ยากจะตัดสินใจได้จริงๆ พวกเจ้าก็ใช้กระบี่บิน ‘อิ่นกวาน’ ส่งข่าวไปแจ้งเซียนกระบี่เว่ยจิ้นที่หัวกำแพงเมือง เขาจะแจ้งให้ข้ากลับเข้ามาจัดการเรื่องนี้ชั่วคราว”
หลัวเจินอี้ลังเลเล็กน้อย กำลังจะพูดโน้มน้าวใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้ว่าอย่าทำอะไรโดยใช้อารมณ์
แต่นางก็จำต้องยอมรับว่า เมื่อผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานสามารถร่วมมือกันอย่างรู้ใจมากขึ้น อันที่จริงการที่เฉินผิงอันนั่งบัญชาการณ์อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ใหญ่ได้มากนัก แต่มีหรือไม่มีเฉินผิงอันอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรก็ยังแตกต่างกัน อย่างน้อยที่สุดการโต้เถียงบางอย่างที่ไม่มีความจำเป็นก็จะลดน้อยลง
คิดไม่ถึงว่าโฉวเหมียวจะใช้เสียงในใจพูดกับหลัวเจินอี้ว่า “ปล่อยให้เขาไป คนที่ในใจอัดอั้นมากที่สุดไม่ใช่พวกเรา คนผู้หนึ่งที่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยแสดงอารมณ์แม้แต่น้อยมาเป็นเวลานานถึงปีกว่า นับว่าไม่ง่ายเลย”
หลัวเจินอี้พลันกระจ่างแจ้ง หากไม่เป็นเพราะโฉวเหมียวเอ่ยเตือน นางก็ไม่เคยสนใจเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ
——