กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 652.1 สิบห้าปีผ่านไปโดยไม่ทันรู้ตัว
ท่าเรือหนิวเจี่ยว ตอนนี้ไม่ได้มีแค่เรือข้ามฟากของกองทัพต้าหลีที่มาเยือนเท่านั้น ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีเรือพ่อค้ามาจอดเทียบท่ามากขึ้นเรื่อยๆ
ทำเอาเผยเฉียนที่ได้เห็นดวงตาเป็นประกาย นั่นคือเงินเทพเซียนที่ไหลพรวดๆ เข้าสู่กระเป๋าเงินของอาจารย์พ่อทั้งนั้นเลยนะ
‘ออกจากบ้านเดินทางไกล’ ครั้งนี้ เพราะว่าอยู่ในถิ่นของบ้านตัวเอง ดังนั้นแม่นางน้อยชุดดำที่อยู่ข้างกายเผยเฉียนที่แบกคานหาบเล็กๆ ไว้บนไหล่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าจึงรู้สึกว่าตนเองจะมีหน้ามีตา มีอำนาจบารมีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
โจวหมี่ลี่ยังมีความเสียดายอยู่นิดๆ ที่ตนไม่อาจแปะยันต์สองแผ่นไว้บนหน้าผากได้ ยันต์แผ่นหนึ่งเขียนคำว่าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาแห่งภูเขาลั่วพั่ว อีกแผ่นหนึ่งเขียนว่าภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้
เฉินหน่วนซู่อยู่ห่างไปไม่ไกล กำลังพูดเรื่องยิบย่อยให้เฉินหลิงจวินที่กำลังจะเดินทางไปอุตรกุรุทวีปฟัง ทำเอาเฉินหลิงจวินที่ฟังอยู่อ้าปากหาวตลอด
เผยเฉียนยกสองมือกอดอด กวาดตามองไปรอบด้าน มองขุนเขาสายน้ำอันยิ่งใหญ่งดงามของอาจารย์พ่อแล้วพยักหน้าเบาๆ อย่างพึงพอใจ
โจวหมี่ลี่ถามเสียงเบา “เฉินหลิงจวินกำลังจะจากไปแล้ว พวกเราไม่ควรเอ่ยอะไรสักคำสองคำหรือ? จากนั้นก็บีบน้ำตาออกมานิดๆ แบบนั้นน่าจะดูจริงใจกว่านะ”
เผยเฉียนกลอกตามองบน “วัตถุประสงค์หลายข้อของภูเขาลั่วพั่วล้วนถูกเจ้ากินไปหมดเหมือนข้าวในถ้วยแล้วหรือ?”
เผยเฉียนเอามือออกมาลูบศีรษะของเจ้าฟักแคระ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังดี “อาจารย์พ่อของข้าเคยบอกว่า หลักการเหตุผลก็คือถ้วยขาวใบใหญ่ วัตถุนอกกายอย่างอื่นจึงจะเป็นกับข้าวที่ใส่ไว้ในถ้วย ขอแค่ถ้วยไม่หายไป จะอย่างไรก็ยังได้กินข้าว ถ้าอย่างนั้นหลักการเหตุผลคืออะไร ข้าคิดไม่ออก หมี่อวี้เจ้าที่หัวสมองเลอะเลือนก็ยิ่งไม่ได้ความ ดังนั้นพวกเราแค่ต้องจำกฎของภูเขาลั่วพั่วเอาไว้ก็พอ ไม่มีทางทำผิดเป็นแน่”
โจวหมี่ลี่ขมวดคิ้ว แต่ไม่นานหัวคิ้วก็คลายออก นางเข้าใจแล้ว จึงเอ่ยเสียงเบา “พูดกับเฉินหลิงจวินประโยคหนึ่ง พวกเราก็ต้องมอบของขวัญก่อนจากลาให้ งั้นก็อย่าทำ! ถึงอย่างไรพวกเราก็สนิทกันมากขนาดนี้ ก็อย่าทำเรื่องที่ไร้สาระแบบนั้นเลย!”
เผยเฉียนดึงแก้มของหมี่ลี่น้อย หัวเราะฮ่าๆ “อะไรกับอะไรของเจ้าเนี่ย”
โจวหมี่ลี่หัวเราะคิกคักตามไปด้วย
เผยเฉียนยืนอยู่ที่เดิม สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งเฮือก จากนั้นก็ออกหมัดในระยะที่สั้นมากและช้ามาก พลางพูดกับตัวเองไปด้วยว่า “ขยุ้มนิ้วเข็มหนึ่งเล่ม หมัดกวาดไปแถบใหญ่ ออกหมัดเหมือนยิงธนู เก็บหมัดเหมือนกระบี่บิน…”
โจวหมี่ลี่ถาม “อะไรน่ะ?”
เผยเฉียนยังคงออกหมัดเชื่องช้า พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หลังจากวิชากระบี่มารคลั่งแล้ว ข้ายังสร้างวิชาหมัดล้ำโลกขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง คาถาเป็นข้าที่แต่งขึ้นมาเอง ร้ายกาจสุดๆ ไปเลย”
จากนั้นเผยเฉียนก็เริ่มพูดจาเหลวไหลส่งเดช “วิชาหมัดบนโลกใบนี้ นอกจากวิชาหมัดของอาจารย์พ่อข้าที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ก็ยังมีอีกสองชนิดที่ร้ายกาจมากเหมือนกัน หนึ่งคือวิชาหมัดหวังปาที่เรียนสำเร็จได้ด้วยตัวเอง อีกหนึ่งคือพรรคสะพานสวรรค์ที่เรียนรู้วิชามาจากผู้อื่น”
โจวหมี่ลี่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้โง่สักหน่อย แต่ก็ยังอดกึ่งเชื่อกึ่งกังขาไม่ได้ “วิชาหมัดนี้ของเจ้าเป็นวิชาที่ร้ายกาจแค่ไหน? ฝึกวิชาหมัดแล้วสามารถบินไปบินมาได้หรือไม่?”
เผยเฉียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นั่นก็ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลก่อนถึงจะทำได้ ข้ายังเร็วไปนัก หากไม่มีเวลาอีกสักหลายๆ ปีก็ทำไม่ได้เด็ดขาด”
โจวหมี่ลี่กระทืบเท้า พูดอย่างขุ่นเคือง “นานขนาดนี้เชียว! จะต้องแทะเมล็ดแตงกี่มากน้อยถึงจะทำสำเร็จ!”
เผยเฉียนกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าคิดว่าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดเป็นเรื่องง่ายนักหรือ”
โจวหมี่ลี่อึ้งตะลึง กอดไม้เท้าไว้ในอ้อมอก อีกมือหนึ่งยกขึ้นเกาแก้ม “แต่เจ้าคือเผยเฉียนนะ”
เผยเฉียนยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง เก็บหมัดกลับคืน กดศีรษะของหมี่ลี่น้อยโยกไปโยกมา “หัวเล็กๆ นี้ของเจ้า มองดูแล้วก็ไม่ใหญ่ เหตุใดถึงได้ฉลาดหลักแหลมแบบนี้นะ”
โจวหมี่ลี่ปล่อยศีรษะโยกไปตามมืออีกฝ่ายอยู่นาน แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจ “เหตุใดเจ้าขุนเขาไม่กลับมาบ้านสักทีนะ”
เผยเฉียนหัวเราะ “ก็บอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือว่า อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วก็เพราะอาจารย์พ่อของข้าช่วยป่าวประกาศแทนเจ้า ตอนนี้เรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับภูตใหญ่ของทะเลสาบคนใบ้ล้วนแพร่สะพัดไปทั่วแล้ว นั่นคือใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งเชียวนะ! เจ้าน่ะ จงยินดีเถอะ”
โจวหมี่ลี่เริ่มเกาแก้มอีกครั้ง “แต่ข้ายอมไม่ให้เขาเล่าเรื่องนะ อยากให้เขากลับมาบ้านเร็วๆ มากกว่า”
เผยเฉียนทำหน้าทะเล้นใส่ “อาจารย์พ่อของข้ากลับมาบ้านแล้ว เจ้าจะเลี้ยงปลาผักดองเขาหรือไร?”
โจวหมี่ลี่ยู่หน้า พูดอย่างขลาดๆ “ไม่กินจานใหญ่ กินจานเล็กแทนได้ไหม?”
เผยเฉียนอารมณ์ดีทันใด แต่ก็อดเสียใจนิดๆ ไม่ได้
นับแต่ที่เติบใหญ่ ก็ยากที่จะเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความกลัดกลุ้มน้อยหรือใหญ่ ก็ล้วนเป็นเหมือนแขกที่มาเยือนประตูหัวใจ มาเร็วก็จากไปเร็วเช่นกัน
เมื่อก่อนเผยเฉียนไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์พ่อถึงไม่อยากให้ตนกับพี่หญิงเป่าผิงเติบโตเร็วเกินไปนัก
ตอนนี้มองหมี่ลี่น้อย เผยเฉียนก็เริ่มเข้าใจแล้ว
เฉินหลิงจวินกำลังจะขึ้นเรือข้ามฟากลำนั้นแล้ว เผยเฉียนจึงตบศีรษะโจวหมี่ลี่เบาๆ “ไป ไปบอกลากัน จำไว้ล่ะว่า อาจารย์พ่อเคยบอกว่า หากมีสหายต้องโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนเดินทางไกล พวกเราห้ามพูดว่าเดินทางตามลมเด็ดขาด” (มาจากประโยค 一路顺风 แปลว่าเดินทางปลอดภัย เดินทางโดยสวัสดิภาพ แต่หากแปลตรงตัวจะแปลได้ว่าไปตามลม โดยทั่วไปหากมีคนที่ต้องเดินทางโดยเครื่องบิน คนจีนจะไม่นิยมใช้คำนี้อวยพรเวลาเดินทาง เพราะหากไปตามลม ลมมีขึ้นมีลง จึงอาจเป็นลางหมายถึงเครื่องตก)
โจวหมี่ลี่พยักหน้ารับแรงๆ “ทราบแล้วๆ!”
เด็กโง่หน่วนซู่คนหนึ่ง บวกกับเผยเฉียนและหมี่ลี่น้อย ต่างก็มาบอกลาเขา
เฉินหลิงจวินรู้สึกปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง แต่แม้จะอึดอัดเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ยังดีใจมากด้วย เพียงแต่ว่าไม่ยินดีจะแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้าเท่านั้น
หลังจากที่เฉินหลิงจวินจากไปแล้ว
เผยเฉียนสามคนก็รอกระทั่งเรือข้ามฟากทะลุทะเลเมฆไป ถึงจะเดินทางกลับภูเขาลั่วพั่วกัน
เฉินหน่วนซู่หันไปมองทะเลเมฆแวบหนึ่ง
เผยเฉียนเอ่ยเสียงเบาว่า “วางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก อย่าเห็นว่าเวลาปกติเฉินหลิงจวินทำตัวไม่เป็นการเป็นงาน อันที่จริงเขาฉลาดมากเลยล่ะ”
เฉินหน่วนซู่คลี่ยิ้ม เผยเฉียนยกมือข้างหนึ่งมาจับจูงมือของแม่นางน้อย
ตอนนี้ส่วนสูงของเผยเฉียนเกินพวกนางไปมากแล้ว
ในที่สุดก็คล้ายเด็กสาวคนหนึ่งแล้ว
เฉินหลิงจวินที่อยู่ในห้องพักบนเรือข้ามฟากไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ จึงนั่งฟุบตัวเหม่อลอยอยู่บนโต๊ะ
อันที่จริงตอนที่อยู่บนท่าเรือหนิวเจี่ยว นาทีที่เดินขึ้นมาบนเรือข้ามฟากของสำนักพีหมา เฉินหลิงจวินก็รู้สึกเสียใจภายหลังแล้ว เขานึกอยากจะกระโดลงจากเรือ แอบดอดกลับไป ถึงอย่างไรกิจการของภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ก็ยิ่งใหญ่ พื้นที่อาณาเขตก็มีมากมาย จะหาสถานที่สักแห่งหลบซ่อนตัว คาดว่าที่เว่ยป้อเห็นเขาแล้วหงุดหงิดก็คงไม่แน่เสมอไปว่าจะเอาเรื่องนี้ไปพูดให้พวกพ่อครัวเฒ่า พวกเผยเฉียนฟัง ผ่านไปสักพักค่อยโผล่หน้าไปที่ภูเขาลั่วพั่ว หาเหตุผลสักข้อหลอกให้พวกเขาลืมๆ ไป อย่างเช่นว่าลืมเลือกวันฤกษ์ดีจากปฏิทิน เป็นห่วงภูเขาหวงหู จำได้ว่าต้องไปบอกลาพวกสหายที่แม่น้ำอวี้เจียงกับแม่น้ำสายอื่นๆ ก่อน อันที่จริงตั้งใจฝึกตนอยู่ที่บ้านก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดี…
บนโต๊ะวางหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ไว้ใบหนึ่ง อันที่จริงคราวนี้ซานจวินใหญ่เว่ยทำตัวใจกว้างอย่างที่หาได้ยาก ยังให้เขายืมวัตถุจื่อชื่อมาด้วยชิ้นหนึ่ง
ในหีบไม้ไผ่ใส่แผนที่ของอุตรกุรุทวีปเอาไว้หลายแผ่น มีทั้งแผนที่ที่ตระกูลเซียนบนภูเขาเป็นผู้วาด แล้วก็มีทั้งแผนที่ลับมากมายที่ที่ว่าการของราชสำนักเก็บไว้อย่างดี บวกกับอักขรานุกรมท้องถิ่นอีกกองโต และยังมีสมุดอีกหลายเล่มที่เฉินผิงอันเขียนด้วยตัวเอง ล้วนเป็นเรื่องน้อยใหญ่ที่ต้องระวัง หากเอ่ยตามคำพูดของพ่อครัวเฒ่าก็คือขาดแค่ไม่ได้เขียนว่าต้องไปฉี่ไปอึที่ไหนก็เท่านั้น หากขนาดนี้แล้วยังลงนทีไม่สำเร็จ ก็ปล่อยให้ตัวเองจมน้ำตายไปซะเถอะ
อันที่จริงเฉินหลิงจวินก็ยังอดกลัวไม่ได้
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่แม่น้ำอวี้เจียงของแคว้นหวงถิง จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ชอบย้ายบ้านอยู่แล้ว รับเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงเป็นพี่น้อง มีสุขร่วมกันเสพ พอมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็ยังไม่อยากย้ายไปไหน เผยเฉียนกับหมี่ลี่น้อยยังไปเดินเล่นที่เมืองหงจู๋อยู่เป็นระยะ แต่เฉินหลิงจวินจะอยู่แค่บริเวณโดยรอบภูเขาน้อยใหญ่ของภูเขาลั่วพั่ว ท่องเที่ยวไปตามภูเขาแหวกว่ายไปตามสายน้ำ หาเรื่องชวนพวกเซียนซือผู้เฒ่าที่เป็นเพื่อนบ้านคุยกันไป พางูดำตัวนั้นเดินอาดๆ ออกตรวจตราไปทั่วทุกพื้นที่ มีอิสระเสรีเต็มที่
นับตั้งแต่ที่ผู้เฒ่าตาบอดนามว่าเจี่ยเฉิงผู้นั้นย้ายจากตรอกฉีหลงมาสร้างกระท่อมฝึกตนที่ภูเขาหวงหู เฉินหลิงจวินก็มักจะไปเป็นแขกที่นั่นบ่อยๆ พวกเขาพูดคุยกันถูกคออย่างยิ่ง หากคำพูดคุยโวโอ้อวดมีประโยชน์จริงๆ ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลก็คงกลายมาเป็นสวนดอกไม้ส่วนตัวของพวกเขาสองคนแล้ว
แต่ตอนนี้เฉินหลิงจวินเองก็รู้ดีว่า อีกฝ่ายยกยอปอปั้นตนเช่นนั้น
สาเหตุก็เป็นเพราะเฉินผิงอัน
เฉินหลิงจวินไม่ได้ไม่ชอบเรื่องประเภทนี้ เขาชอบมาก
ต่อให้ขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วจะดีแค่ไหน แต่ก็ยังมีความใกล้ชิดความห่างเหิน แบ่งแยกมาก่อนมาหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขากับเด็กโง่หน่วนซู่ผู้นั้น ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็น ‘คนเก่าแก่’ ที่มาอยู่ภูเขาลั่วพั่วกลุ่มแรกสุด
ภายหลังถึงได้มีพวกพ่อครัวเฒ่า เผยเฉียน สือโหรว เฉินยวนจีที่โง่งม หยวนเป่าที่หน้าตาขี้เหร่ หยวนไหลหนอนหนังสืออันดับรอง เพราะหนอนหนังสือใหญ่คือเฉาฉิงหล่าง
ต่อจากนั้นเฉินผิงอันก็หลอกเอาหมี่ลี่น้อยมาจากอุตรกุรุทวีปได้อีกคน
บางครั้งตัวเฉินหลิงจวินเองก็รู้สึกว่า พวกคนอย่างเว่ยป้อ พ่อครัวเฒ่าคงจะดูแคลนตน ก็โทษไม่ได้ที่พวกเขาจะตามองสูงไม่เห็นหัวกัน ต้องโทษที่ตนเองไม่ชอบทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกเขา ชอบอยู่เฉยๆ รอความตายไป คุยโวโอ้อวดวันๆ
คนเยอะ ครึกครื้น ดีจะตายไป
จะต้องแล่นไปที่อุตรกุรุทวีปที่อยู่ห่างไปไกลแสนไกล ไปฝึกตนอยู่ลำพังอย่างเดียวดายทำบ้าอะไร
ชายหาดโครงกระดูก สำนักพีหมา นครปี้ฮว่า จู๋เฉวียนเจ้าสำนัก และยังมีผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อสองคนของภูเขาลั่วพั่วอะไรนั่น หรือจะเป็นทะเลสาบคนใบ้ หลิ่วจื้อชิง สวนน้ำค้างวสันต์ นครเหนือเมฆ หรือลำน้ำจี้ตู๋ ถ้ำสวรรค์วังมังกรของภาคกลาง ส่วนที่อยู่ทางทิศตะวันตกสุดเรียกว่าอะไรแล้วนะ บวกกับยอดเขาสิงโต คู่สามีภรรยาหลี่เอ้อ หลี่หลิ่วพี่สาวพี่ไหว หลี่ซีเซิ่งพี่ชายเป่าผิงน้อย
สหายของนายท่าน ศาลเทพอัคคีแห่งหนึ่ง หลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุย ป๋ายโส่วลูกศิษย์ของเขา
นี่ข้าผู้อาวุโสไปฝึกตนเพื่ออนาคตที่ดีงั้นหรือ? นี่มันไปเยี่ยมเยือนตามบ้านเพื่อเอาของขวัญไปมอบให้ชัดๆ
ไม่กระโดดลงจากเรือข้ามฟากคงไม่ได้แล้ว!
เฉินหลิงจวินเก็บสัมภาระ แอบดอดจากชั้นสองมายังชั้นหนึ่ง ผลคือเว่ยป้อปรากฎตัวอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับราวรั้วของเรือข้ามฟาก
เฉินหลิงจวินหัวเราะร่า “ซานจวินใหญ่เว่ย จะเกรงใจกันแบบนี้ไปไย ไม่ต้องมาส่งๆ”
เว่ยป้อยิ้มเอ่ย “อาณาเขตขุนเขาเหนือของหนึ่งทวีปล้วนเป็นอาณาเขตของข้า ลืมไปแล้วหรือ?”
เฉินหลิงจวินวิ่งตุปัดตุเป๋มานวดแขนให้ใต้เท้าซานจวิน “ข้าหรือจะกล้าลืม ต่อให้ปวดฉี่ก็ต้องกลั้นไว้ กลัวว่าจะทำให้ขุนเขาสายน้ำอันงดงามของขุนเขาเหนือต้องสกปรก!”
เว่ยป้อเอ่ย “ภูเขาทายาทของขุนเขาเหนือตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป ข้าจะบอกกล่าวแก่เทพภูเขาของที่นั่นไว้ก่อน ให้เขาคอยมองเรือข้ามฟากบนทะเลเมฆ ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยกระโดดลงมาก็ยังไม่สาย เพราะข้าคงไปควบคุมอะไรไม่ได้ เจ้าสามารถเดินทางกลับมาช้าๆ ได้ ส่วนจะขึ้นฝั่งบนอาณาเขตของขุนเขาตะวันออกอย่างภูเขากานโจวหรือไม่ ก็ดูที่อารมณ์ของเจ้าแล้วกัน”
เฉินหลิงจวินอึ้งค้างไปทันที
……
นครลมเย็นเมืองแห่งการค้าเจริญรุ่งเรือง เวลาร้อยปีที่ผ่านไปรอบแล้วรอบเล่า ผู้คนยังคงใช้ชีวิตกันอย่างเปี่ยมสุขเสมอมา ราชสำนักผลัดเปลี่ยน ขุนเขาสายน้ำเปลี่ยนสี นครลมเย็นที่ตั้งอยู่ด้านล่างภูเขาแห่งนี้กลับตั้งตระหง่านไม่เคยเปลี่ยนแปลง จักรพรรดิฮ่องเต้แต่ละพระองค์ล้วนปฏิบัติต่อสกุลสวี่อย่างมีมารยาทเสมอมา
เพราะบรรพบุรุษของสกุลสวี่ผูกบุญสัมพันธ์ใหญ่เทียมฟ้าเอาไว้ ทำให้ได้ครอบครองแคว้นหูแห่งหนึ่ง ซึ่งสามารถทัดเทียมได้กับพื้นที่มงคลครึ่งตัว
เล่าลือกันว่าปีนั้นบรรพบุรุษสกุลสวี่ได้พบเจอกับเซียนจิ้งจอกท่านนั้นโดยบังเอิญ อีกฝ่ายมีหางถึงเจ็ดหางแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าทุกวันนี้มีหางเพิ่มขึ้นมาแล้วหรือไม่
สาวงามหนังจิ้งจอกเป็นผลผลิตอันขึ้นชื่อของสกุลสวี่นครลมเย็น ราคาแพงลิบลิ่ว แต่หายาก ผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ
เป็นอันดับหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป เมื่อเรือข้ามฟากของอุตรกุรุทวีปที่สัญจรไปมามีเพิ่มมากขึ้น กำลังทรัพย์ของสกุลสวี่นครลมเย็นก็เริ่มเพิ่มพูน โดยเฉพาะช่วงหลายปีก่อน เมื่อเจ้าประมุขสกุลสวี่เปลี่ยนกฎบรรพชน ให้แคว้นหูเริ่มใช้บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ เป็นเหตุให้ยันต์หนังจิ้งจอกแผ่นหนึ่งมูลค่าสูงขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว
สกุลสวี่เชิญจิตรกรเอกฝีมือดีมาวาดภาพสี่โฉมสะคราญและสิบแปดสตรี บ้างก็เป็นการจัดพิมพ์อย่างประณีต บ้างก็เป็นการคัดลอกลาย บวกกับพัดพับและสี่สมบัติแห่งห้องหนังสืออีกหลากหลายรูปแบบที่เอาออกมาวางขายพร้อมกัน ล้วนถูกคนรุมซื้อจนหมดเกลี้ยง
ตระกูลเซียนบนภูเขาบางแห่งที่ไม่ถูกกับนครลมเย็นได้เอ่ยถ้อยคำบาดหู บอกว่าสกุลสวี่นี้ขาดก็แค่ไม่ได้ขายภาพวังวสันต์ (ภาพการร่วมเพศในสมัยโบราณ) เท่านั้น หากเขาสวี่หุนกล้าขายสิ่งนี้ นั่นต่างหากจึงจะเรียกว่าเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง
จงใจกดสวี่หุนให้เป็นบุรุษที่กลิ้งเกลือกมัวเมาอยู่กับสตรี
เพียงแต่ว่าบุรุษผู้นี้กลับเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตก่อกำเนิดที่แท้จริง หลังจากได้ครอบครองเสื้อเกราะโหวจื่อแปลกประหลาดชิ้นนั้นก็ยิ่งเหมือนพยัคฆ์ติดปีก พลังการสู้รบเลิศล้ำ มีพลังพิฆาตโดดเด่นอย่างที่หาตัวจับได้ยากในบรรดาคนที่ต่ำกว่าห้าขอบเขตบนของแจกันสมบัติทวีป
ในห้องชั้นหนึ่งของเหลาสุราแห่งหนึ่งในตลาดนครลมเย็น คนหนุ่มผู้หนึ่งยังคงกินข้าวต่อ แต่บัณฑิตชุดเขียวกลับวางตะเกียบลงนานแล้ว เขาลุกขึ้นเดินไปยืนพิงหน้าต่าง มองกระแสผู้คนเบียดเสียดที่สัญจรกันอยู่บนถนนใหญ่ สตรีที่หน้าตางดงามมีอยู่มากจริงๆ
หลิ่วชื่อเฉิงโบกพัด ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คู่สามีภรรยาแห่งนครลมเย็น คนหนึ่งตั้งใจฝึกตน คนหนึ่งดูแลบ้านเรือนหาเงินเข้าบ้าน ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันยิ่งนัก”
คนหนุ่มเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าว แม้หลิ่วชื่อเฉิงจะขยับตะเกียบกินอาหารน้อย แต่กลับสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ บนโต๊ะจึงยังเหลืออาหารอีกมาก
หลิ่วชื่อเฉิงหันหน้ามามองคนหนุ่มแล้วยิ้มถาม “กู้ช่าน เจ้าไม่เคยบอกว่าทำไมถึงมาเดินเล่นแถวนี้ แล้วยังจงใจแยกตัวเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ออกไป ตอนนี้คงพูดได้แล้วกระมัง?”
กู้ช่านจะเอ่ยพูดจึงวางตะเกียบลง กลืนอาหารในปาก แล้วเงยหน้าเอ่ยว่า “ข้ามีสหายคนหนึ่ง ปีนั้นเกือบถูกคนผู้หนึ่งที่ชื่อว่าหลูเจิ้งฉุนต่อยตาย เจ้าหลูเจิ้งฉุนผู้นี้คือลูกหลานสกุลหลูบนถนนฝูลวี่ ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมาใช้ชีวิตอยู่ในนครลมเย็นได้ไม่เลวเลย”
ถ้ำสวรรค์หลีจู สี่ตระกูลสิบแซ่ใหญ่ ซ่ง หลี่ จ้าว หลู ล้วนเป็นตระกูลอันดับต้นๆ
เพียงแต่ว่าสกุลหลูของเมืองเล็กมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ที่ล่มสลายไปแล้วค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงมีจุดจบอเนจอนาถมากที่สุด หลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูหล่นลงบนพื้นดิน ก็มีเพียงสกุลหลูของเมืองเล็กเท่านั้นที่ไม่ได้สร้างความดีความชอบใดๆ
มีเพียงหลูเจิ้งฉุนคนเดียวที่ในอดีตติดตามสตรีของสกุลสวี่นครลมเย็นออกมาจากเมืองเล็ก สกุลสวี่เองก็ถือว่าปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเป็นอย่างดี ให้ทรัพยากรในการฝึกตนแก่เขาไม่น้อย และยังให้ตำแหน่งลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์เป็นยันต์คุ้มกันกาย ไม่ว่าจะหน้าตาหรือเหตุผลก็มีให้สกุลหลูทั้งสิ้น
หลิ่วชื่อเฉิงไม่ได้สนใจในตัวหลูเจิ้งฉุนผู้นั้น เพียงแค่ถามอย่างประหลาดใจ “คนอย่างเจ้าก็มีสหายกับเขาด้วยหรือ?”
กู้ช่านพยักหน้ารับ “ก็พอจะมีอยู่บ้าง”
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มกล่าว “อันที่จริงก็คงมีแค่เฉินผิงอันคนเดียวกระมัง?”