กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 652.4 สิบห้าปีผ่านไปโดยไม่ทันรู้ตัว
ตรอกหนีผิง ตรอกซิ่งฮวา นั่นล้วนเป็นสถานที่ของคนมีความสามารถ มีแต่ยอดฝีมือถือกำเนิด
พูดถึงแค่เจ้าน้ำเต้าตันเฉินผิงอันผู้นั้น ในช่วงเวลาที่เขาเป็นเด็กหนุ่มก็แค่ไม่เคยปล่อยกระบวนท่าเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วความสามารถด้านนี้ของเขาได้ถูกเก็บสะสมเป็นกำลังภายในวันแล้ววันเล่า
เจิ้งต้าเฟิงอารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน ซูเตี้ยนดื้อดึงเกินไป สือหลิงซานก็ซื่อเกินไป ในที่สุดก็มีคนที่เข้าใจพูดคุยมาเสียที สนุกล่ะทีนี้ เจิ้งต้าเฟิงขยับม้านั่งมาใกล้ธรณีประตูอีกนิด หัวเราะร่าเอ่ยว่า “หยางสู่ ได้ยินมาว่าเจ้าชอบไปจุดธูปที่ศาลเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูเป็นประจำหรือ? รู้กฎของการจุดธูปที่แท้จริงหรือไม่? อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เรื่องประเภทนี้จะต้องพิถีพิถันเรื่องวิถีเก่าๆ อยู่บ้างกระมัง? เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมต้องถือธูปด้วยมือซ้าย? แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าคือคนถนัดซ้าย หากเป็นเช่นนี้จะไม่ค่อยดีเท่าไร?”
คนหนุ่มที่มีชื่อว่าหยางสู่ใจแกว่ง เพียงแต่ว่าสีหน้ายังคงแสดงความดูแคลน คร้านจะพูดคุยด้วย
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะคิกคัก “สิบห้ารักและถนอมสตรีบ้านใกล้เรือนเคียง สามสิบชื่นชอบบุตรชายคนอื่น ห้าสิบหกสิบสะใภ้บ้านคนอื่นดี บ้านสามของตระกูลหยางช่างมีขนบธรรมเนียมที่ดีจริงๆ”
หยางสู่หน้าแดงก่ำทันใด คว้าลูกคิดรางนั้นขว้างใส่เจ้าตะพาบนั่นเต็มแรง
เจ้าประมุขบ้านสามของสุกลหยางมีชื่อเสียงที่ไม่ดีในแถบถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่จริงๆ เป็นคนมีเงินประเภทที่ว่า ‘ไม่ได้ผูกปมเอวกางเกง’
เจิ้งต้าเฟิงรับลูกคิดรางนั้นไว้ได้ “นี่เป็นเครื่องมือในการหาเงินของตระกูลหยางเจ้าเชียวนะ จะขว้างทิ้งไม่ได้เด็ดขาด หากกระแทกจนพังแล้วใครจะเป็นคนชดใช้? ข้ามันหนุ่มโสดยากจน ส่วนเจ้าก็แค่พอจะมีเงินเก็บอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ ต่อให้ใส่ร้ายข้า แต่จะได้ผลหรือ? เจ้าว่าสุดท้ายแล้วต้องเป็นใครที่ได้ชดใช้ ทุกวันนี้เจ้ารอเหยียบน้ำขุ่น ไปหาเงินนอกรีตที่ผิดต่อมโนธรรมในใจที่เขตการปกครองเอาเถอะ ถ้าถามข้านะ อย่าไปจะดีกว่า ความรุ่งโรจน์และความเสื่อมถอยของตระกูล อยู่ที่ศีลธรรมจรรยาและมารยาท ไม่ได้อยู่ที่ยากดีมีจน ตั้งใจเรียนหนังสือเถอะ หากเจ้าไม่ได้เรื่องก็ให้กำเนิดลูกกระต่ายที่มีไอ้จ้อนสักสองสามคน ก็ยังมีหวังว่าจะพึ่งพาลูกหลานสร้างความรุ่งโรจน์ให้ตระกูลได้”
สีหน้าของหยางสู่เปลี่ยนมาเป็นเขียวคล้ำ โมโหจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า ยกมือข้างหนึ่งขึ้น “อย่ามาตีกับข้านะ ข้าลงมือไม่รู้หนักเบา ปล่อยหมัดนี้ออกไป คาดว่าเจ้าก็คงต้องเริ่มฝึกวิชาหมัดเมาแบบที่ว่าไร้อาจารย์ก็กระจ่างแจ้งได้เองแล้ว”
หยางสู่เตรียมจะเดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมา ไม่ได้มาตีกับอีกฝ่าย แต่จะกลับบ้าน
ผ้าม่านพลันถูกเลิกขึ้น ผู้เฒ่าเอ่ยว่า “หยางสู่ เจ้ามาคิดเล็กคิดน้อยกับคนเฝ้าประตูคนหนึ่ง ไม่อายบ้างหรือ?”
หยางสู่แค่นเสียงเย็นชาในลำคอ แม้จะมีบันไดให้ลงแล้ว เขาก็ยังจะไปจากร้านตระกูลหยางอยู่ดี เพียงแต่ฝีเท้าเนิบช้า ก้าวเดินได้ค่อนข้างมั่นคง
กระทั่งหยางสู่เดินแนบติดประตูใหญ่ฝั่งหนึ่งก้าวข้ามผ่านธรณีประตูและเดินจากไปไกลในท้ายที่สุด หยางเหล่าโถวที่นานๆ ทีจะเดินออกมาด้านหน้าของร้านก็เดินมาที่หน้าประตู เอ่ยว่า “งัดข้อกับเศษสวะคนหนึ่ง สนุกนักหรือ? อีกฝ่ายฟังเข้าใจภาษาคนหรือไร?”
เจิ้งต้าเฟิงลุกขึ้นยืนนานแล้ว พยายามจะยืดเอวให้ตรงได้มากที่สุด
ผู้เฒ่ารับลูกศิษย์ เคารพครูบาอาจารย์ให้ความสำคัญกับควันธูป นี่คือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง
เจิ้งต้าเฟิงเดินตามผู้เฒ่าเข้าไปที่เรือนด้านหลัง ผู้เฒ่าเลิกผ้าม่านขึ้น คนเดินผ่านธรณีประตูไปแล้วจึงปล่อยมือลงจากผ้าม่าน เจิ้งต้าเฟิงจับประคองผ้าม่านไว้เบาๆ คนเดินผ่านไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงจับไว้อยู่ ก่อนจะปล่อยลงเบาๆ
หยางเหล่าโถวไปนั่งลงบนขั้นบันไดด้านหน้าห้องหลัก เคาะกระบอกยาสูบ หยิบถุงยาเส้นตรงเอวออกมา
เพียงไม่นานก็เริ่มพ่นควันโขมง
กระบอกยาสูบไม้ไผ่เล็กบางเป็นคนอื่นที่มอบให้ ส่วนใบยาเส้นนั้นเป็นเจ้าลูกกระต่ายน้อยหลี่ไหวที่นำมามอบให้ ผ่านไปนานหลายปี กระบอกยาสูบก็เปลี่ยนจากสีเขียวปลั่งราวกับจะเค้นน้ำออกมาได้ ถูกเสียดสี ถูกควันรมจนกลายเป็นสีไม้ไผ่เหลืองอ่อน
หยางเหล่าโถวเอ่ย “พื้นที่รากบัวเล็กๆ แห่งหนึ่ง ต่อให้ไปเยือน แต่จะมีความหมายอะไร”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “จะดีจะชั่วก็เป็นใต้หล้าไพศาล”
หยางเหล่าโถวชำเลืองตามองลูกศิษย์คนนี้
ฉลาดเกินไป ไม่เคยเป็นเรื่องดี
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยอย่างจนใจ “ข้าจะเชื่อฟังอาจารย์”
เอาล่ะ คราวนี้ต้องได้ออกเดินทางไกลจริงๆ แล้ว
หยางเหล่าโถวเอ่ย “พอไปถึงที่นั่นก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เส้นทางจะเดินได้ยากยิ่งกว่าเดิม เพียงแต่ว่าขอแค่เส้นทางไม่ยากเกินกว่าจะเดิน ก็มักจะมีคนอยู่มาก การที่ให้ฟ่านจวิ้นเม่ากลายเป็นซานจวินขุนเขาใต้ ไม่ใช่เจ้า ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”
ถึงอย่างไรเจิ้งต้าเฟิงก็พร้อมรับฟังคำสั่งสอนอยู่แล้ว
หยางเหล่าโถวถาม “เจ้าคิดว่าทำไมลัทธิขงจื๊อถึงต้องมาบุกเบิกใต้หล้าแห่งที่ห้าเอาในเวลานี้? ต้องรู้ว่าใต้หล้าแห่งนั้นถูกค้นพบมานานแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงตอบ “หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นว่ากำลังเกิดศึกใหญ่ แต่เมธีร้อยสำนักไม่ให้ความช่วยเหลือ กลับกันยังคอยถ่วงแข้งถ่วงขา เก่งอยู่ในโปงผ้าห่มตัวเอง ตอนนี้อยู่ดีๆ ก็มีใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งโผล่ขึ้นมา มีความสามารถก็ไปช่วงชิงกันเอาเอง”
หยางเหล่าโถวถามอีก “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงมีเพียงใต้หล้าไพศาลที่ยอมรับลัทธิเต๋าและลัทธิพุทธได้มากที่สุด? พูดถึงแค่ใต้หล้ามืดสลัวแห่งนั้น สำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ วัดของลัทธิพุทธิเคยมีที่ให้หยัดยืนไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงสีหน้าเคร่งเครียด คำถามข้อนี้ หากให้ตนเป็นคนคิดต้องไม่มีทางคิดหาคำตอบได้อย่างแน่นอน
หยางเหล่าโถวโบกมือปัดไล่ควันที่ลอยคลุ้ง เอ่ยถาม “ในอดีตข้าเคยด่าอริยะสามลัทธิว่าผีซิว (ปี่เซี่ยะ) ถูกไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ก็แค่ไม่รู้ว่าสรุปแล้วจะเป็นท่านไหนที่มาตบบ้องหูข้าก่อน”
อาจารย์ในทุกวันนี้ เมื่ออยู่กับตนกลับไม่ถือสาที่จะพูดให้เยอะขึ้นแล้ว
แต่เจิ้งต้าเฟิงกลับคิดถึงช่วงเวลาอันน่าเวทนาที่ ‘อาจารย์พูดน้อย ไม่เกินสิบคำ’ มากกว่า
เจิ้งต้าเฟิงพลันอึ้งตะลึง
หยางเหล่าโถวหัวเราะเสียงเย็น “ในที่สุดก็คิดออกแล้ว? บอกว่าเจ้าฉลาดสู้หลี่เอ้อไม่ได้ แต่เจ้ากลับไม่เคยยอมรับ”
หลี่เอ้อเคยเตือนเจิ้งต้าเฟิงว่าให้ลองคิดดูดีๆ ว่าเหตุใดอาจารย์ถึงไม่เคยพูดกับเจ้าเกินสิบคำ
ปีนั้นเจิ้งต้าเฟิงเป็นดั่งเงามืดใต้โคมไฟ รู้สึกแค่ว่าอาจารย์เห็นตนแล้วขวางหูขวางตา จึงไม่ยินดีจะพูดมากแม้แต่คำเดียว
สิบ
ขอบเขตสิบของผู้ฝึกยุทธ
ตอนนั้นตนใช้ขอบเขตเดินทางไกลขั้นสูงสุดของผู้ฝึกยุทธเดินทางลงใต้ไกลไปถึงนครมังกรเฒ่า เพื่อเฝ้าร้านยาฮุยเฉินแห่งนั้น ภายหลังเจอกับเฉินผิงอันก็ฝ่าทะลุขอบเขต อีกนิดเดียว ขาดอีกแค่นิดเดียวจริงๆ ก็จะฝ่าทะลุคอขวดสองขั้น เลื่อนจากขอบเขตแปดสู่ขอบเขตสิบโดยตรง!
หยางเหล่าโถวแค่นเสียงเย็น “ปีนั้นหากเจ้ามีความสามารถทำให้ข้าพูดเกินได้แม้แต่คำเดียว ป่านนี้ก็เป็นขอบเขตสิบไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีเรื่องราวสกปรกมากมายอย่างในตอนนี้ เจ้าเตร็ดเตร่ไปนู่นไปนี่ส่งเดช กับฉีจิ้งชุนก็เคยถกถามปัญหา กับตาเฒ่าเหยาก็เคยคุยเล่นด้วย แล้วอย่างไร? ตอนนี้เป็นขอบเขตสิบหรือว่าขอบเขตสิบเอ็ดล่ะ? หืม คูณไปอีกสองก็น่าจะพอดีแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงค่อนข้างเคยชินกับอาจารย์ที่เป็นเช่นนี้มากกว่า
แต่เจิ้งต้าเฟิงก็ยังเอ่ยเถียงอย่างที่หาได้ยาก “ความรู้ของอาจารย์ฉีกับเหยาเหล่าโถวนับว่าดีมาก แต่เป็นข้าเองที่หัวช้า ไม่อาจเรียนรู้ถึงแก่นสำคัญ”
“ข้าเคยบอกว่าเจ้าหัวไวหรือ?”
หยางเหล่าโถวคีบยาเส้นขึ้นมาหยิบมือหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน “บ้านหลังหนึ่ง อะไรที่ทำร้ายไปถึงเส้นเอ็นและกระดูกได้มากที่สุด? กระดาษหน้าต่างเป็นรู? ประตูพัง? นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ไหม? ต่อให้เป็นบ้านคนยากจนในตรอกหนีผิงตรอกซิ่งฮว่า เงินซ่อมแซมบ้านแค่นี้จะยังควักออกมาไม่ได้อีกหรือ? พูดถึงแค่บ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอัน เด็กตัวใหญ่เท่าก้นถือมีดผ่าฟืนเดินขึ้นเขาลงเขารอบหนึ่งก็สามารถเปลี่ยนของเก่าเป็นของใหม่ได้แล้ว หลักการเหตุผลของคนอื่น ต่อให้เจ้าเรียนรู้ได้ดีแค่ไหน คิดว่าตัวเองเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่แท้จริงแล้วก็ไม่ต่างจากการทำงานอย่างแปะภาพเทพทวารบาล แขวนกลอนคู่เท่านั้น ถูกลมพัดตากฝนเวลาสั้นๆ แค่ปีเดียว สีสันก็อ่อนจางแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ย “คือการเปลี่ยนเสาเปลี่ยนคาน ต้องทำงานใหญ่”
หยางเหล่าโถวพยักหน้ารับ “เจ้าคิดว่าหลักการเหตุผลของคนอื่นเรียนได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ? ต้องหักเสาคานแต่เดิมที่มีทิ้งไปก่อน นี่คือการซ่อมแซมครั้งใหญ่บนเส้นทางหัวใจ นี่ต่างหากถึงจะเป็นความหมายที่แท้จริงของการฝึกฝนจิตใจ งัดข้อกับตัวเอง ต้องอดทนให้ได้”
หยางเหล่าโถวถอนหายใจ “ไม่พูดถึงเรื่องไกลตัว พูดถึงแค่ฉีจิ้งชุนผู้นั้น ถามใจตัวเองอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูหกสิบปี ก็ยังไม่อาจคิดหลักการใหญ่ที่ ‘สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน’ ออกมาได้ แล้วค่อยมามองเฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าเขาคิดว่าตัวเองเข้าใจหลักการเหตุผลสักกี่ข้อ? ไม่มากหรอก ก็มีแค่ไม่กี่ข้อนั่นแหละ การวางตัวเป็นคน สรุปแล้วข้าเป็นคนอย่างไร การศึกษาหาความรู้ ควรจะทำความเข้าใจกับโลกใบนี้อย่างไร ฝึกตน ควรจะหยัดยืนอย่างไร จะมีชีวิตอยู่ในวิถีทางโลกต่อไปอย่างไร ควรจะผสมผสานให้กลมกลืนกับวิถีทางโลก ทำให้มีชีวิตได้ดียิ่งกว่าเดิมอย่างไร ก็มีแค่สามเรื่องนี้ แค่หลักการเหตุผลไม่กี่ข้อเท่านั้น เป็นคนดีหรือไม่ สะสมจากน้อยเป็นมาก เป็นคนดีอย่างแท้จริง ซับซ้อนไหม? ง่ายมากเลยล่ะ แต่คิดจะทำจริงๆ ล่ะง่ายไหม? ยากยิ่งนัก”
หยางเหล่าโถวพอจะเดาเส้นสายความรู้ของฉีจิ้งชุนในปีนั้นออกได้คร่าวๆ แล้ว
มรรคาจารย์เต๋าเคยเอ่ยว่า เต๋าสูญสิ้นก็บังเกิดคุณธรรม คุณธรรมสูญสิ้นก็บังเกิดมนุษยธรรม มนุษยธรรมสูญสิ้นจึงบังเกิดครรลองธรรม
คาดว่าฉีจิ้งชุนคงกำลังคิดหาวิธีไขเรื่องนี้ มีความเป็นไปได้ว่าจะพยายามอนุมานย้อนกลับ ไม่ใช่ลำดับขั้นตอน แต่กลับเป็นลำดับขั้นตอน
ถึงขั้นที่ว่าสิ่งที่ฉีจิ้งชุนคิดยังใหญ่ยิ่งกว่าเรื่องนี้เสียอีก
น่าเสียดายที่ทุกอย่างล้วนเป็นดั่งหมอกควันที่จางหาย
เจิ้งต้าเฟิงถาม “แล้วศิษย์ล่ะ?”
หยางเหล่าโถวย้อนถาม “อาจารย์นำพาเข้าสำนัก ฝึกตนอยู่ที่ตัวเอง หรือยังจะต้องให้อาจารย์สอนลูกศิษย์ด้วยว่าควรจะกินข้าว ควรจะขี้เยี่ยวอย่างไร?”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “ไปเยือนใต้หล้าแห่งนั้น ศิษย์จะต้องตรึกตรองให้ดี”
หยางเหล่าโถวยกมือขึ้นสะบัดขายแขนเสื้อ ศาลเล็กขนาดจิ๋วที่ถูกหลอมเก็บไว้ก็กลิ้งออกมา ผู้เฒ่าโบกฝ่ามือ ประกายแสงสีทองเป็นจุดๆ เปล่งระยิบระยับแล้วพุ่งวูบหายเข้าไปในหว่างคิ้วของเจิ้งต้าเฟิง
เจิ้งต้าเฟิงนั่งนิ่งไม่ขยับ
หยางเหล่าโถวเอ่ย “ของกลับคืนสู่เจ้าของ เอามาไว้กับข้า ไม่เกะกะตา เพราะถึงอย่างไรก็ไม่คิดจะมอง แต่รำคาญใจ”
แสงสีทองเหล่านั้นก็คือจิตวิญญาณของเจิ้งต้าเฟิง
เจิ้งต้าเฟิงลุกขึ้นยืน ค้อมเอวกุมหมัด “ศิษย์ขอบพระคุณอาจารย์ที่ช่วยถ่ายทอดมรรคาปกป้องมรรคา”
หยางเหล่าโถวพ่นควันขโมง
เจิ้งต้าเฟิงรีบนั่งลงทันที
ยืนอยู่อย่างนั้นดูไม่ให้ความเคารพอาจารย์สักเท่าไร
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ากลับไปมอง ผ่านไปไม่นานเท่าไรก็มีคนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่หน้าตาเบิกบาน สะพายหีบไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าเดินเข้ามาในเรือนด้านหลัง
เจิ้งต้าเฟิงพยายามขึงหน้าให้ตึง
คนหนุ่มที่เร่งรีบเดินทางเดินมาหยุดอยู่ข้างกายหยางเหล่าโถว ทรุดตัวลงนั่งยอง บีบนวดไหล่ให้เขาแล้วจุ๊ปากพูด “วางใจเถอะๆ กระดูกเส้นเอ็นร่างนี้ยังแข็งแรงอยู่เหมือนเดิม ราวกับหนุ่มน้อยอย่างไรอย่างนั้น คิดจะแต่งเมียเข้าบ้านก็ยังไม่เกินไป ต้าเฟิงเจ้าเองก็จริงๆ เลย เป็นลูกศิษย์ประสาอะไร ไม่รู้จักช่วยอาจารย์ของตัวเองหาคนที่เหมาะสมเสียบ้าง? ตัวเจ้าเองหาเมียได้ยาก แต่หาอาจารย์แม่สักคนจะยากมากเลยหรือ?”
หยางเหล่าโถวไม่ถือสา
เจิ้งต้าเฟิงเองก็เห็นมาจนชินแล้ว
ฟ้าดินกว้างใหญ่ คาดว่าก็คงมีแต่หลี่ไหวนี่แหละที่กล้าทำแบบนี้ต่อผู้เฒ่า
หยางเหล่าโถวถาม “จะไปทัศนศึกษาที่สำนักศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋นอีกแล้วหรือ?”
หลี่ไหวนั่งแปะลงไปบนพื้นทันที “นี่ยังเป็นเรื่องรอง ข้าจะต้องไปประลองเวทกับเผยเฉียนเสียก่อน แน่นอนว่าเป็นการประลองบุ๋น ไม่ได้เจอกันหลายปี ข้ากับนางต่างก็สะสมทรัพย์สมบัติได้มากพอแล้ว นี่ก็นัดรบกันบนลานกว้างนอกศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อไม่ใช่หรือ นี่คือเรื่องโด่งดังในยุทธภพที่ยอดฝีมือประมือกันเชียวนะ นางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มา ก่อนหน้านี้เจอกันที่สำนักศึกษาแล้ว นางบอกว่าจะต้องเก็บรวบรวมสมบัติเสียก่อน วันหน้าค่อยมาต่อสู้กัน”
หลี่ไหวเอ่ยอย่างเสียดาย “น่าเสียดายที่หลี่เป่าผิงออกท่องยุทธภพไปเพียงลำพังแล้ว หากข้าแพ้เผยเฉียนขึ้นมายังพูดได้ง่าย แต่หากไม่ระวังเอาชนะนางได้ ไม่มีหลี่เป่าผิงคอยช่วยคุมหลังให้ ข้ากลัวว่าจะลงจากภูเขาลั่วพั่วมาไม่ได้”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “เจ้ามีคนที่กลัวด้วยหรือ?”
หลี่ไหวพยักหน้า “มีสิ กลัวอาจารย์ฉี กลัวเป่าผิง กลัวเผยเฉียน อาจารย์มากมายขนาดนั้นในสำนักศึกษา ข้าก็กลัวหมดนั่นแหละ”
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยสัพยอก “เฉินผิงอันล่ะ กลัวหรือไม่?”
หลี่ไหวคิดอย่างจริงจัง ก่อนเอ่ยว่า “มีเขาอยู่ ถึงจะไม่กลัวอะไรเลยกระมัง”
ถนนฝูลวี่ หลี่ซีเซิ่งบัณฑิตที่ออกเดินทางไกลไปเยือนอุตรกุรุทวีป หลี่เป่าผิงที่ไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย จ้าวเหยาที่เดินทางไกลอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ตรอกเถาเย่มีเซี่ยหลิงที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลงเฉวียน มีเถาหยาสาวใช้ตระกูลเว่ยที่ไปเยือนเมืองหลวงต้าหลี และยังมีหลินโส่วอีที่ทั้งฝึกตนและศึกษาความรู้ไปได้พร้อมกันอย่างไม่มีปัญหา
ตรอกหนีผิงมีเฉินผิงอันที่ไปอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ กู้ช่านที่หลังจากสร้างมรสุมยักษ์ไว้ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนก็เริ่มจำศีลอีกครั้ง ซ่งจี๋ซินที่กลายเป็นอ๋องเจ้าเมืองของต้าหลี สาวใช้จื้อกุย
ตรอกซิ่งฮวามีหม่าขู่เสวียนที่ถูกขนานนามให้เป็นผู้นำของผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์ของหนึ่งทวีป
คู่พี่น้องหลี่หลิ่ว หลี่ไหว
ต่งสุ่ยจิ่งที่ทำการค้า
ร้านยาตระกูลหยางก็มีซูเตี้ยน สือหลิงซาน
คนที่โชคดีที่สุดของเมืองเล็ก ส่วนใหญ่มักจะมีฐานกระดูกหนักที่สุด ยกตัวอย่างเช่นหลี่ไหว กู้ช่าน ปีนั้นคนที่ได้ใบไหวจากต้นไหวโบราณซึ่งร่วงลงมาไปมากที่สุด แท้จริงแล้วก็คือกู้ช่าน เทพไม่รู้ผีไม่เห็น อยู่ดีๆ ในกระเป๋าของเจ้าขี้มูกยืดน้อยก็มีใบไม้บรรจุอยู่กำใหญ่ กระทั่งกลับมาถึงตรอกหนีผิง ได้รับคำเตือนจากเฉินผิงอันถึงได้พบว่าในกระเป๋ามีใบไหวอยู่มากมายถึงเพียงนั้น
คนที่ดวงแข็งที่สุด คาดว่าน่าจะเป็นเฉินผิงอันแล้ว
แต่ทุกอย่างนี้ เด็กๆ และเหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวของตรอกเล็กถนนใหญ่แห่งถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต เพียงชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปเกือบสิบห้าปี แต่ละคนต่างก็มีสิ่งที่ได้ประสบพบเจอ โชควาสนาและความสำเร็จต่างกันไป แต่ก็ไม่ถือว่าราบรื่นมากนัก
โดยไม่ทันรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปสิบห้าปี เด็กน้อยหลายคนในเมืองเล็กต่างก็อายุยี่สิบปี ส่วนเด็กหนุ่มเด็กสาวในปีนั้นก็ยิ่งอยู่ในวัยตั้งตัวอายุสามสิบกันแล้ว