กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 661.1 นกที่อยู่ในกรง
เฉินผิงอันบุกทะลวงค่ายกลรบมุ่งหน้าไปทางทิศใต้เพียงลำพัง ทุกที่ที่ผ่านไม่ว่าจะเป็นเวทอาคมหรืออาวุธวิเศษล้วนไหลกรูกันเข้ามาหา ดั่งฝนห่าใหญ่ที่ตกลงมาเป็นระลอก
และในที่สุดเฉินผิงอันก็ไปชนตอ คือชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยที่สวมเสื้อเกราะพันโซ่สีแดงสดคนหนึ่ง แต่กลับสวมกวานม่วงทองหางหงส์ที่เสียบขนของไก่ฟ้าหางลายขวางยาวมากสองชิ้น ราวกับการแต่งกายอันฉูดฉาดของนักแสดงงิ้วในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดของใต้หล้าไพศาล
กล้ามาเดินอาดๆ อยู่บนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นนี้ นอกจากจะไม่กลัวตายแล้วต้องยังมีคุณสมบัติมากพอที่จะไม่กลัวตายอีกด้วย เรือนกายของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนนี้ว่องไวมากจนแทบจะใกล้เคียงกับยันต์ย่อพื้นที่ พริบตาเดียวก็ขยับจากจุดที่ห่างไปหลายลี้มาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน หนึ่งหมัดต่อยทะลุปณิธานหมัดที่หนาข้นซึ่งปกป้องอยู่รอบกายของเฉินผิงอันไปโดยตรง หมัดพุ่งกระแทกเข้าที่จุดไท่หยางของเฉินผิงอัน จนร่างของเฉินผิงอันปลิวกระเด็นออกไปด้านข้างหลายสิบจั้ง
เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งยันพื้น พลิ้วตัวพลิกกลับ ลุกขึ้นยืนนิ่ง ฝ่ายหลังตามติดมาเป็นเงา ผลัดกันแลกหมัดคนละหมัด
ทั้งสองฝ่ายถอยกรูดออกไปด้านหลังแทบจะเวลาเดียวกัน บนพื้นดินถูกครูดให้เกิดเป็นร่องลึกจมหัวเข่า ฝ่ายหลังสะบัดข้อมือข้างขวาที่ออกหมัด สองนิ้วของมือข้างซ้ายคีบดึงขนนกชิ้นหนึ่งให้งอลงมา เมื่อเปิดปากพูดกลับเอ่ยภาษาท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ “เจ้าก็คืออิ่นกวานคนใหม่? เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลแล้ว? หมัดหนักไม่เบา มิน่าเล่าถึงสามารถแพ้ให้เฉาสือสามครั้งก่อนแล้วค่อยเอาชนะอวี้เจวี้ยนฟูสามครั้งได้”
เขายกมือขวาขึ้นบอกเป็นนัยให้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่กรูกันมาหมายล้อมสังหารเฉินผิงอันถอยร่นออกไป ยกสนามรบนี้ให้แก่ตนและอิ่นกวานหนุ่มแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินผิงอันใช้นิ้วโป้งปาดเลือดที่ซึมออกมาตรงมุมปาก แล้วใช้ฝ่ามือนวดคลึงจุดไท่หยางข้างขมับ แรงไม่น้อยเลยจริงๆ น่าจะเป็นขอบเขตยอดเขาคนหนึ่ง ขอบเขตของผู้ฝึกยุทธเผ่าปีศาจอาศัยข้อได้เปรียบด้านเรือนกายที่แข็งแกร่งมาแต่กำเนิด ดังนั้นจึงไม่ใช่กระดาษเปียก เพียงแต่ว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า บนร่างมีโชคชะตาบู๊ฝากฝังอยู่ก็ไม่ควรพาตัวมาตายแบบนี้ถึงจะถูก ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายหรือการออกหมัด อีกฝ่ายดูจะ ‘ไม่ยี่หระ’ เกินไปสักหน่อย
แต่เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็เข้าใจได้ จึงเปิดปากเอ่ยกับศัตรูบนสนามรบอย่างที่หาได้ยาก “เจ้าคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดที่แข็งแกร่งที่สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง? ต้องการหาโอกาสฝ่าทะลุขอบเขตเพื่อจะได้รับโชคชะตาบู๊?”
ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยปล่อยขนนกที่อยู่ในมือ มันพลันเด้งตัวกลับไปที่เดิม เขาพยักหน้ารับพลางยิ้มเอ่ย “เป็นอย่างไร? เจ้ากับข้ามาถามหมัดกันสักครั้งดีไหม? หากข้าบอกว่าจะไม่มีใครมาร่วมวงด้วยแน่นอน เจ้าต้องไม่เชื่อแน่ และข้าเองก็คงจะไปควบคุมผู้ฝึกกระบี่เดนตายที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ พวกนั้นไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร ขอแค่เจ้าตอบตกลง การถามหมัดของผู้ฝึกยุทธต่อจากนี้ ใครก็ตามที่ขัดขวางการออกหมัดของข้า แม้แต่ตัวเจ้าเองก็ล้วนถือเป็นศัตรูของข้าที่ต้องโดนสังหารทิ้งทั้งหมด”
เฉินผิงอันยื่นมือข้างหนึ่งชี้ไปทางกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยิ้มเอ่ย “ในเมืองมีผู้อาวุโสขอบเขตเก้าคนหนึ่งที่สอนวิชาหมัดให้ข้า เจ้าสามารถไปถามหมัดที่นั่นได้”
สีหน้าของชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยมืดทะมึน ตนจริงใจอย่างถึงที่สุดแล้ว ทว่าอิ่นกวานหนุ่มที่ทุกวันนี้ชื่อเสียงเลื่องลือกลับไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ย “จะพูดคุยกับเจ้าอีกสองสามคำเป็นครั้งสุดท้าย ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่ง ไม่ว่าแพ้ให้ใคร ต่อให้เขาจะเป็นเฉาสือ ก็ล้วนไม่ถือว่าพ่ายแพ้อย่างสมเกียรติอะไร แพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่แข็งแกร่งที่สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่พูดถึงว่าหมัดแข็งหรือไม่ พูดถึงแค่ความกล้าหาญของตัวผู้ฝึกยุทธเอง ก็ไม่ได้ร้ายกาจอะไรเลยจริงๆ หากเจ้าได้รับคำว่า ‘แข็งแกร่งที่สุด’ มาครองแล้วเลื่อนเป็นขอบเขตเก้า นั่นก็คงเป็นเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว”
การพูดคุยกันของทั้งสองฝ่าย อันที่จริงไม่ได้มีความหมายอะไร
ก็แค่ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีแผนการที่ไม่เล็ก ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยแสร้งทำเป็นคนใจกว้าง ต้องการถามหมัดกับเฉินผิงอันเพียงลำพัง ก็แค่หวังจะใช้อิ่นกวานหนุ่มเป็นหินรองฝ่าเท้าบนเส้นทางสายวรยุทธ หากสามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้ในครั้งนี้ นอกจากจะได้รับโชคชะตาบู๊จากใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ยังสามารถดึงเอาโชคชะตาบู๊ส่วนหนึ่งมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อีกด้วย
ส่วนเฉินผิงอันนั้น แน่นอนว่าต้องการตามหาตัวอันดับหนึ่งของร้อยเซียนกระบี่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างคนนั้นอย่างลับๆ ก่อนหน้านี้อริยะของสามลัทธิสร้างแม่น้ำสายยาวสีทองขึ้นมาสองครั้ง เฉินผิงอันก็ออกจากนครมาสังหารศัตรูสองครั้ง เคยประมือกับอีกฝ่ายมาก่อนแล้ว การประมือของพวกเขามองดูคล้ายว่าจะหยุดแค่พอสมควร ไม่ได้ลงมืออย่างเต็มกำลัง แต่ในจุดเล็กๆ ที่เป็นรายละเอียดกลับเชื่อมโยงต่อกันเป็นทอดๆ ใครที่เปิดช่องโหว่ในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งก่อน คนผู้นั้นก็ต้องตาย อีกทั้งยังถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางเป็นการตายอย่างกล้าหาญอะไรแน่นอน มีแต่จะทำให้ผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตไม่สูงซึ่งชมศึกอยู่รู้สึกประหลาดใจก็เท่านั้น
ดูเหมือนว่าชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยจะไม่เหลืออารมณ์มาวางแผนปัดแข้งปัดขากันต่อแล้ว เขาจึงใช้รองเท้าตวัดกรวดทรายบนพื้นขึ้นมาเบาๆ “ยืนพูดจบแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะให้โอกาสเจ้าได้นอนพูดบ้าง ใช่แล้ว ข้าชื่อโหวขุยเหมิน”
เฉินผิงอันเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง ผินหน้าน้อยๆ ยื่นนิ้วชี้ไปที่จุดไท่หยางของตน บอกเป็นนัยว่าหากมีปัญญาก็ลองต่อยมาตรงนี้อีกหมัดหนึ่งสิ
จู่ๆ เขาก็มีความคิดว่าสามารถลองดูได้
ซึ่งเงื่อนไขของการลองดูได้นี้ ก็คือให้อีกฝ่ายลองดูก่อน
โหวขุยเหมินย่อมไม่เกรงใจ
หลังจากปล่อยหนึ่งหมัดไปแล้วก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย ไม่ได้ฉวยโอกาสไล่โจมตีต่อเพื่อเอาชนะ เพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม มองคนหนุ่มที่ถูกหมัดของตนต่อยกระเด็นออกไป
คนหนุ่มที่ไม่ได้หลบเลี่ยงยิ่งไม่คิดจะเอาคืนกระทืบพื้นแรงๆ หนึ่งครั้ง หยุดร่างให้นิ่ง ยิ้มมองมาทางโหวขุยเหมิน สีหน้านั้นแฝงไว้ด้วยการเย้ยหยัน
เมื่อครู่นี้โหวขุยเหมินกังวลว่าจะมีกับดักจึงออมแรงไว้หลายส่วน
อิ่นกวานหนุ่มคนหนึ่งที่ความสามารถด้านการวางแผนเลื่องลือไปทั้งหกสิบกระโจมทัพ คงไม่โง่ขนาดยืนรอให้ตนต่อยตายหรอกกระมัง
ดังนั้นเมื่อปล่อยหมัดนั้นไปได้สำเร็จ เขาจึงเกิดรู้สึกเสียดายขึ้นมาภายหลัง หากหมัดนี้ไม่ใช่การหยั่งเชิง แต่เป็นการปล่อยออกไปอย่างเต็มแรง เวลานี้คนหนุ่มผู้นั้นจะยังยืนอยู่ได้อีกหรือ?
เพียงแต่ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงฝืนรับหมัดนี้ของตน?
เฉินผิงอันชี้ไปยังตำแหน่งหัวใจของตัวเอง “เอามาอีกหมัด”
โหวขุยเหมินยกแขนสองข้างขึ้น นิ้วทั้งสองของมือสองข้างแยกกันไปคีบขนนก การแต่งกายนี้ของเขา เสื้อเกราะโซ่แดง กวานม่วงทองและขนนกที่เป็นประกายแวววาวสองชิ้นล้วนไม่ใช่วัตถุทั่วไปบนภูเขา แต่เป็นสมบัติหนักของสำนักการทหารยุคดึกดำบรรพ์ครบชุด เพียงแต่ว่าหลังจากผ่านการหลอมแล้วก็ได้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของมันไปเท่านั้น ระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียน ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน มีชื่อว่ากรงขังกระบี่ สามารถกักตัวกระบี่บินของเซียนกระบี่ไว้ได้ครู่หนึ่ง เซียนกระบี่ที่ไร้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต หากปล่อยให้เขาประชิดตัว ถ้าอย่างนั้นก็จงยอมต่อสู้ด้วยเรือนกายกับเขาโหวขุยเหมินแต่โดยดี
โหวขุยเหมินปล่อยขนนกทั้งสองชิ้นออก ร่างพุ่งวูบหายไป ก่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกยุทธคนรุ่นเดียวกันที่รนหาที่ตายแล้วปล่อยหมัดเข้าใส่ ร่างทั้งร่างของอิ่นกวานหนุ่มจึงลอยลิ่วไปตกกระแทกลงในจุดที่ห่างไปไกล
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ถ่มเลือดคำหนึ่งทิ้ง ชำเลืองตามองโหวขุยเหมินแล้วสบถด่ามารดาอีกฝ่ายไปคำหนึ่งด้วยภาษาท้องถิ่นของบ้านเกิด
เดิมทีคิดว่าจะให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดขั้นสูงสุดคนนี้ช่วยฝ่าคอขวดขอบเขตเจ็ดให้กับตน คิดไม่ถึงว่าการปล่อยหมัดทั้งสองครั้งของเจ้าโหวขุยเหมินผู้นี้จะอืดอาดยืดยาดเพียงนี้ นี่ทำให้เฉินผิงอันที่ชินกับน้ำหนักหมัดของหลี่เอ้อบนยอดเขาสิงโตอุตรกุรุทวีปรู้สึกเหมือนถูกสตรีข่วนหน้าสองทีอย่างเสียเปล่า
ทุกวันนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่มีถ้อยคำที่เป็นธรรมประโยคหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่ว มองดูอิ่นกวานหนุ่มตีคน หรือมองดูเขาโดนคนตี ล้วนเป็นเรื่องที่ชวนให้สบายตาสบายใจ
สีหน้าของโหวขุยเหมินซับซ้อนยิ่ง
เฉินผิงอันจึงถามด้วยภาษากลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง “สรุปแล้วเจ้าคิดจะฆ่าอิ่นกวานเพื่อสร้างคุณความชอบ หรือคิดจะถามหมัดกับผู้ฝึกยุทธเพื่อฝ่าทะลุขอบเขตกันแน่?!”
โหวขุยเหมินสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง สองหมัดต่อยกันเบาๆ เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “หมัดสุดท้ายนี้ หากเจ้าไม่ตาย ก็ถือว่าข้าแพ้ เฉินผิงอัน ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็มีสิ่งที่ต้องการเหมือนกัน ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกันว่าวิชาหมัดของใครสูงกว่ากันแน่?! หมัดนี้ เชิญเจ้าเอาคืนได้ตามสบาย”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว
พอจะมองออกได้รำไรว่าปณิธานหมัดที่ท่วมท้นของโหวขุยเหมินได้มารวมตัวกันสร้างภาพบรรยากาศที่พร่าเลือนอย่างหนึ่งรอบกายเขา ทำให้เขาคล้ายอริยะผู้หนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็ก
ในอดีตตอนที่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ยามนั้นได้ออกเดินทางไกลไปพร้อมกับจางเย่แห่งเกาะชิงเสีย เฉินผิงอันก็ค้นพบถึงร่องรอยบางอย่างที่ตนเองมองออกอย่างเลือนรางแล้ว
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ ชายแขนเสื้อสองข้างที่ม้วนขึ้นจึงคลี่ลงมาเบาๆ
พริบตานั้น
สนามรบจุดที่อิ่นกวานหนุ่มและโหวขุยเหมินยืนอยู่ก็มีฝุ่นคลุ้งฟุ้งตลบมืดฟ้ามัวดิน
ท่ามกลางพายุทรายที่พัดกระโชกสอดแทรกไปด้วยปณิธานหมัดเล็กละเอียดแน่นขนัดที่สาดยิงไปยังสี่ด้านแปดทิศ สับสนวุ่นวายเหมือนกระบี่บินที่เล็กมากๆ นับพันนับหมื่นเล่มถูกสาดยิงออกมา
ชั่วขณะนั้นพื้นดินสั่นสะเทือน พายุทรายซัดออกไปสี่ทิศ เห็นเพียงว่ามือข้างหนึ่งของโหวขุยเหมินกุมลำคอตัวเองเอาไว้แน่น เลือดสดทะลักออกมาตามร่องนิ้ว มือหนึ่งกุมเป็นหมัด กวาดตามองไปรอบด้าน
สุดท้ายโหวขุยเหมินมองเห็นว่าด้านหลังผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนหนึ่ง อิ่นกวานหนุ่มคนนั้นใช้มือซ้ายที่ถือมีดสั้นแทงเข้าที่หัวใจด้านหลังของผู้ฝึกกระบี่เดนตาย แล้วจึงใช้มีดสั้นในมือขวาปาดที่ลำคอของอีกฝ่ายเบาๆ
โหวขุยเหมินมิอาจพูดได้อย่างราบรื่นอีกแล้ว คำพูดของเขาฟังอู้อี้ไม่ชัดเจน “เฉินผิงอัน ในฐานะที่เจ้าเป็นอิ่นกวาน ข้าได้สัมผัสความสามารถของเจ้าด้วยตัวเองแล้ว เพียงแต่ในฐานะผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ช่างทำให้คนผิดหวังจริงๆ ทำให้ข้าผิดหวังอย่างยิ่ง”
ที่แท้ก่อนหน้านี้ตอนที่ถามหมัด อิ่นกวานหนุ่มฝืนรับหมัดของโหวขุยเหมินไปหนึ่งหมัด แต่กลับใช้มีดที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อแทงเข้าที่ลำคอของฝ่ายหลังแล้วกรีดจากล่างขึ้นบน ไม่เพียงเท่านี้ มือซ้ายของเขายังตบด้ามมีดกระแทกซ้ำ หากไม่เป็นเพราะโหวขุยเหมินกระทืบเท้าหนักๆ ทะยานร่างขึ้นสูง จากนั้นถอยห่างออกมาหลายก้าว ก็คงถูกคมมีดคว้านลิ้น ตามด้วยถูกปลายมีดแทงทะลุหัวกะโหลกไปแล้ว
หากเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของใต้หล้าไพศาล ไม่มีเรือนกายที่แข็งแกร่งมาแต่กำเนิดช่วยประคับประคอง ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ต้องไม่อาจเอ่ยอะไรได้อีกแม้แต่ครึ่งคำแน่นอน
เฉินผิงอันผลักศพของนักรบเดนตายที่เป็นผู้ฝึกกระบี่เบื้องหน้าตนออกไปเบาๆ รวมเสียงให้เป็นเส้น ยิ้มบางๆ เอ่ยกับโหวขุยเหมินว่า “ก่อนหน้านี้ที่เจ้าออกหมัดสามครั้ง มีครั้งไหนบ้างที่เหมาะสมกับสถานะของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว หากหมัดครั้งแรกของเจ้าบริสุทธิ์มากพอ ข้าก็ไม่ถือสาหากจะแลกหมัดกับเจ้าสามหมัด ไม่แน่ว่าต่างคนอาจจะต่างฝ่าทะลุขอบเขต นั่นต่างหากถึงจะเป็นดั่งคำกล่าวที่บอกว่าใครเป็นใครตายล้วนดูแค่หมัดสูงต่ำที่แท้จริง”
เมื่อเฉินผิงอันเผยกายอีกครั้ง สนามรบก็เกิดเป็นพื้นที่ว่างแถบใหญ่ด้วยตัวเองอีกครั้ง
มือสองข้างของอิ่นกวานหนุ่มถือมีดสั้นกลับด้าน (หันปลายมีดไปด้านหลังแทนที่จะหันมาข้างหน้า) เขาคลายมือออกเบาๆ แล้วกุมกระชับเบาๆ อีกครั้ง
นี่คือความเคยชินเล็กๆ ที่เรียนรู้มาจากอวี๋ลู่
ส่วนท่าถือมีดนั้นมาจากท่าทางการพกดาบอย่างหนึ่งซึ่งเห็นมาจากหมู่บ้านวารีกระบี่ของแคว้นซูสุ่ย แต่อันที่จริงหากอยู่ในยุทธภพล่างภูเขา พวกนักฆ่ามือดาบก็ล้วนทำเช่นนี้ แต่ในสายตาเฉินผิงอันนี่ไม่มีความหมายมากพอ เป็นท่าที่ตายตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น
ถึงอย่างไรโหวขุยเหมินก็แค่รู้จักอิ่นกวานหนุ่ม แต่กลับไม่รู้ถึงความเคยชินในการเข่นฆ่าของเฉินผิงอัน
ยามที่เขาเริ่มทำตัวอืดอาดชักช้า นั่นแสดงว่าต้องมีวิธีการบางอย่างรออยู่เบื้องหลัง
ไม่อย่างนั้นทุกถ้อยคำที่เอ่ยพูด อย่างมากสุดก็มีแต่จะเกิดขึ้นหลังจากแบ่งเป็นตายกันไปแล้วเท่านั้น