กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 663.1 จากไปแล้วหวนกลับมา
ชายฉกรรจ์แบมือสองข้าง หงายฝ่ามือขึ้นด้านบนแล้วโบกเบาๆ สองที
กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากกันไปนาน ท่านี้เป็นการบอกเป็นนัยแก่คนบ้านเดียวกันที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าแม่นางคนดีที่อาลัยอาวรณ์ตนว่าให้ช่วยกันแสดงท่าทีหน่อย
บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เดิมทีตกสู่สภาวะเงียบงันพลันดังระงมไปด้วยเสียงเป่าปาก เสียงโห่ร้อง
ลู่จือเซียนกระบี่ใหญ่หญิงหลุบตาลงต่ำ คร้านจะมองบุรุษผู้นั้น นางไม่มองเขาสักครั้งจริงๆ
บุรุษที่หันหลังให้กำแพงเมืองพยักหน้า พอใจมาก ตนยังคงเป็นที่นิยมถึงเพียงนี้
นอกสนามรบ ต่อให้เป็นเด็กน้อยข้างทาง เวลาเจอกับชายฉกรรจ์ที่เป็นผีขี้เหล้านักพนันบวกกับชายโสดก็ยังเรียกอีกฝ่ายว่าอาเหลียงชาติสุนัข
บนสนามรบ บุรุษคนนั้นคืออาเหลียง แค่อาเหลียงเท่านั้น
อาเหลียงเคลื่อนเส้นสายตาชำเลืองมองกระโจมทัพที่กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ แล้วเอ่ยเสียงก้องกังวาน “ไม่ต้องลังเล เอาคนที่สู้เป็นออกมาสักสองสามคน!”
ชายฉกรรจ์เคราดกคนหนึ่งหมุนตัวกลับมาจ้องไอ้หมอนั่นเขม็ง พูดเสียงทุ้มหนัก “ข้าเอง”
อาเหลียงไม่ได้หันหน้ากลับไปมองหลิวชาที่ไปยืนอยูด้านข้างแม่น้ำยาวสีทองเพียงลำพัง ในอดีตพวกเขาถูกชะตากันมาก ทั้งสองฝ่ายเป็นทั้งมิตรทั้งศัตรู อาเหลียงหันตัวกลับมาช้าๆ ถูมือยิ้มกล่าว “พี่น้องคนดีมาปรึกษากันหน่อยไหม? เอาคนที่สู้ไม่ค่อยเป็นสักเท่าไรมาก่อน ช่วยให้ข้าอุ่นมือเสียหน่อย? ยอดฝีมืออย่างเจ้า ข้าคงเอาชนะได้แค่ไม่กี่คนหรอก”
หลิวชาที่สะพายกระบี่พกดาบพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “รอเจ้ามานานแล้ว เหตุใดถึงยังหากระบี่เหมาะมือสักเล่มไม่เจออีกเล่า?”
ฝ่ามือสองข้างของอาเหลียงประกบติดกัน บิดหมุนข้อมือเบาๆ ในเมื่อแค่ลงสนามรบก็เจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งเลย ถ้าอย่างนั้นตนก็คงต้องอุ่นมือไปเองก่อนแล้วกัน
หลิวชาใช้นิ้วโป้งดันด้ามดาบแล้วผลักออกเบาๆ ชั่วพริบตานั้นหลิวชาก็พลันข้ามผ่านแม่น้ำยาวสีทองมาหยุดอยู่ตรงหน้าอาเหลียง เงื้อดาบฟันฉับลงมา
บนสนามรบต่อจากนั้นมิอาจมองเห็นเงาร่างของคนทั้งสองได้อีก เห็นเพียงริ้วคลื่นกระเพื่อมอันน่าตะลึงพรึงเพริดเป็นวงๆ ราวกับโยนภูเขาใส่ในทะเลสาบ ริ้วคลื่นแต่ละชั้นพลันซัดกระจายออกไปรอบด้านในเสี้ยววินาที เหมือนเรือกระบี่ของสำนักโม่ที่พร้อมใจกันสาดยิงกระบี่เล็กจิ๋วออกไปจำนวนนับไม่ถ้วน
นับตั้งแต่ที่อาเหลียงร่วงลงมาจากฟ้า กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจในรัศมีร้อยลี้ที่ยังไม่ตายต่างก็รีบพากันถอยร่นหลบฉาก ขุนนางผู้ตรวจตราการศึกของกระโจมทัพใหญ่แต่ละแห่งล้วนไม่ได้ห้ามปราม
บนพื้นดินปรากฏหลุมลึกหลายหลุมที่แต่ละแห่งอยู่ห่างกันซึ่งมาพร้อมกับเสียงอสนีบาตดังกัมปนาท
หลังจากที่หลุมทุกแห่งเว้าลงกะทันหัน รอบด้านก็ไม่มีพลังชีวิตใดๆ เหลืออยู่อีก ไม่ว่าจะเป็นเรือนกายหรือจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ อาวุธสมบัติหนักบนภูเขาที่พอหล่นลงพื้นก็สลายเป็นผุยผงรวมเป็นหนึ่งกับดินทราย สุดท้ายล้วนถูกปกคลุมอยู่ในปราณกระบี่ที่รวมตัวกันไม่จางหาย ประหนึ่งค่ายกลกระบี่ตามธรรมชาติที่อยู่ดีๆ ก็ก่อตัวขึ้นมาหลายแห่ง ปราณกระบี่เยียบเย็นน่าสะพรึงกลัวบดขยี้สังหารหมื่นสรรพสิ่ง
ล้วนเกิดจากปราณกระบี่ที่หลงเหลืออยู่หลังจากผู้ฝึกกระบี่สองคนประมือกันในเสี้ยววินาที
ผู้ฝึกกระบี่ที่ต่างคนก็ต่างยืนอยู่บนยอดสูงสุดของวิถีกระบี่ในหนึ่งใต้หล้าต่อสู้กันจนฟ้าดินเกิดภาพเหตุการณ์ผิดธรรมชาติ
กระโจมทัพบางแห่งใกล้กับสนามรบที่คนทั้งสองต่อสู้กันถูกเส้นยาวเส้นหนึ่งกรีดผ่าออก ผู้ฝึกตนหลายคนที่หลบไม่ทันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายได้อย่างไร
หลิวชามายืนอยู่บนยอดกระโจมทัพแห่งหนึ่งที่ถูกฟันออกเป็นสองซีก กระโจมทัพใต้ฝ่าเท้าไม่ได้พังครืนลง ทว่าผู้ฝึกตนในกระโจมกลับแตกฮือเหมือนฝูงนกแตกรังไปนานแล้ว
ห่างไปหลายลี้ อาเหลียงหยุดยืนนิ่ง ยื่นมือออกมาคว้าจับกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งมาไว้ในฝ่ามือ เขากำกระชับมันไว้ในมือแน่น จากนั้นก็ใช้สองนิ้วดันปลายแหลมของกระบี่และด้ามกระบี่ เพิ่มน้ำหนักเล็กน้อย กดให้กระบี่โค้งงอจนเกินความเป็นจริง
กระบี่บินเล่มนี้เล็กบางเหมือนขนวัว ประเด็นสำคัญคือสามารถหลบซ่อนตัวตนพุ่งทะยานอยู่ในแม่น้ำกาลเวลาสายยาว ดูท่าแล้วน่าจะเป็นของเซียนกระบี่ที่ถนัดการลอบฆ่าอย่างถึงที่สุด
ชั่วเวลาเพียงเสี้ยวประกายไฟแลบ กระบี่บินกลับถูกสองนิ้วของอาเหลียงกดจนโค้งงอเหมือนพระจันทร์เต็มดวง แต่ถึงอย่างไรกระบี่บินเล่มนี้ก็ไม่ใช่ธนูคันใหญ่ ในขณะที่กำลังจะขาดผึงนั้น ห่างไปไกลมีเสียงร้องอึกอักที่ยากจะจับสังเกตได้ เจ้าของกระบี่บินจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลใช้วิชาลับบางอย่างฝืนบังคับดึงเอากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกไปจากพันธนาการสองนิ้วของอาเหลียง จากนั้นก็หลบหนีไปในเสี้ยววินาที โจมตีครั้งหนึ่งไม่สำเร็จจึงเตรียมจะเผ่นหนีออกจากสนามรบ คิดไม่ถึงว่าระหว่างที่หลบหนี บุรุษผู้นั้นกลับมาปรากฏตัวที่ด้านหลังของเขา ยื่นมือมากดศีรษะของเขา ปราณกระบี่เหมือนน้ำที่ราดรดหัว อาเหลียงกระชากมือมาด้านหลัง ทำให้เรือนกายของอีกฝ่ายผงะหงาย อาเหลียงก้มหน้าลงมองใบหน้าของศพเซียนกระบี่ผู้นั้น “ข้าก็ว่าแล้วว่าต้องไม่ใช่เจ้าตะพาบน้อยโซ่วเฉินนั่น ขอแค่บนสนามรบมีข้าอยู่ ชั่วชีวิตนี้เขาก็ไม่มีความกล้าจะออกกระบี่หรอก”
ศพนั้นถูกอาเหลียงผลักออกเบาๆ จึงลอยไปกระแทกลงพื้นห่างไปหลายสิบจั้ง
อีกทิศทางหนึ่ง บนพื้นดินพลันมีเสาลำแสงสีขาวหิมะที่บินทะยานขึ้นอย่างฉับพลัน จิตวิญญาณของเซียนกระบี่เผ่าปีศาจที่สละเนื้อหนังมังสาทิ้งได้ใช้ดวงจิตห่อหุ้มทั้งโอสถทองและก่อกำเนิดเอาไว้อย่างแน่นหนา พอถูกเสาลำแสงที่มีปณิธานกระบี่มากมายหาที่สิ้นสุดไม่ได้ซัดผ่านก็ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ได้อีก
ระหว่างที่หยุดพักในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ อาเหลียงกวาดตามองรอบด้าน เห็นเพียงเมฆหมอกขาวโพลน เห็นได้ชัดว่าตนเข้ามาอยู่ในฟ้าดินเล็กของปีศาจใหญ่บางตนแล้ว
“ลูกไม้เล็กๆ คิดว่าจะขู่ข้าได้หรือ? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าขี้ขลาด? ก็จริงนะ ข้าคือคนที่เห็นสตรีก็หน้าแดงแล้ว” อาเหลียงเป่าลมใส่มือถูเข้าหากันเพื่อหาความอบอุ่น หมอกขาวที่มีเขาเป็นจุดศูนย์กลางพากันถอยร่นออกไปด้วยตัวเอง
บนสนามรบที่ฟ้าดินมีเพียงสีขาวและสีดำปรากฏเรือนกายแท้จริงที่ใหญ่โตมโหฬารของปีศาจใหญ่ตนหนึ่ง เป็นผู้พิชิตเฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินแห่งนี้ กำลังหลุบตาลงต่ำมองมือกระบี่ตัวเล็กจ้อยที่ร่างเล็กเหมือนจุดดำจุดหนึ่ง
อาเหลียงเงยหน้าขึ้นแล้วก็ต้องอึ้งตะลึงไป ตัวใหญ่ไม่เบาเลยนี่นา
เขาจึงถามคำถามหนึ่งที่จริงใจอย่างมาก “ข้าไม่รู้จักเจ้าด้วยซ้ำ เจ้ากล้ามาได้อย่างไร?”
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก นอกจากพวกคนที่มีบัลลังก์อยู่ในบ่อโบราณตำหนักอิงหลิงพวกนั้นแล้ว เผ่าปีศาจคนอื่นๆ ล้วนไม่เคยทักทาย ไม่เคยประมือกับเขาอาเหลียงมาก่อน ถ้าอย่างนั้นอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ไม่มีคุณสมบัติให้เรียกว่าปีศาจใหญ่แล้ว ในเมื่อไม่ได้เป็นแม้แต่ปีศาจใหญ่ อยู่ในสายตาของเขาอาเหลียงจะ ‘น่ามอง’ ด้วยหรือ?
ปีศาจใหญ่เรือนกายมหึมาที่อาเหลียงแน่ใจว่า ‘ไม่รู้จักชื่อ’ ตนนั้นกำลังจะร่ายวิชาอภินิหารแห่งฟ้าดิน พยายามบดขยี้อาเหลียงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาเนิ่นนานผู้นั้น
คิดไม่ถึงว่านับตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของร่างจริงเผ่าปีศาจจะปรากฏเส้นตรงสีขาวเส้นหนึ่ง ราวกับว่าถูกคนใช้กระบี่ยาวฟันออกเป็นสองท่อน
ถึงอย่างไรก็อยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินตนนี้ แม้ว่ารากฐานมหามรรคาจะเสียหายไปในเสี้ยววินาที แต่คิดจะเปลี่ยนสนามรบกลับไม่ยาก เพียงแต่ว่าร่างจริงเพิ่งจะหยุดยั้งพลังอำนาจจากปณิธานกระบี่เชี่ยวกรากที่มาจากแสงยาวเส้นนั้นเอาไว้ได้อย่างถูไถแล้วมาโผล่ตรงริมขอบของฟ้าดินเล็ก พยายามจะทิ้งระยะห่างจากอาเหลียงผู้นั้นให้ไกลที่สุด แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็คิดไม่ถึงว่าตลอดทั้งฟ้าดิน ไม่เพียงแต่บนเส้นอาณาเขตของฟ้าดินเท่านั้น แม้แต่ด้านนอกฟ้าดินเล็กก็ยังมีเส้นแสงจำนวนมากนับพันเส้นพุ่งทะลุทะลวงฟ้าดิน ราวกับว่าฟ้าดินเล็กของเขาได้กลายไปเป็นฟ้าดินเล็กของคนผู้นั้นแล้ว
กลายเป็นป่ากระบี่ที่กระบี่หมื่นเล่มเสียบปักอยู่เต็มพื้น
สุดท้ายปีศาจใหญ่ที่ถูกแสงกระบี่หลายสิบเส้นหมายหัวร่างจริง อย่าว่าแต่ขยับเรือนกายเลย กระทั่งความคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นก็นำมาซึ่งความเจ็บปวดทรมาน มันค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าอยู่ในฟ้าดินเล็กของตนกลับต้องตกอยู่ในสภาพอันน่าเวทนาที่ไม่มีที่ให้มันหลบหนีได้เลย
อาเหลียงไม่ได้สนใจปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินตนนี้แม้แต่น้อย
ฟ้าดินของอีกฝ่ายเปราะบางเหมือนเครื่องกระเบื้อง ราวกับว่าถูกผู้ฝึกกระบี่ใช้ปลายกระบี่แตะเบาๆ ก็แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้แล้ว
หลังจากที่ฟ้าดินกลับคืนสู่ความแจ่มชัดอีกครั้ง แสงกระบี่มากมายนับไม่ถ้วนซัดออกไปโดยมีจุดที่อาเหลียงยืนอยู่เป็นจุดเริ่มต้น ประหนึ่งวงกลมยักษ์ที่ขยับขยายออกไปไม่หยุด ในรัศมีหลายสิบลี้ล้วนมีแต่ความว่างเปล่า
หลิวชาที่ก่อนหน้านี้ยืนอยู่ยอดกระโจม คิดจะต้านทานแสงกระบี่พวกนั้นย่อมไม่ยาก เวลานี้จึงเปลี่ยนมาลอยตัวอยู่กลางอากาศ กลายเป็นคนคนเดียวที่สามารถเหลืออยู่คุมเชิงกับอาเหลียงบนสนามรบได้อีกครั้ง
เขาเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “แนะนำคำหนึ่งว่า ไม่ว่าใครก็อย่าเข้ามายุ่ง”
ต่อให้ยินดีพาตัวมาตาย จะดีจะชั่วก็ควรจะทำให้อาเหลียงผู้นั้นบาดเจ็บได้สักหน่อย
หลิวชาสอดดาบกลับเข้าฝัก ยื่นมืออ้อมไปด้านหลัง ชักกระบี่ออกจากฝักมากำไว้ในมือ
อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เดินทางท่องไปทั่วสารทิศ แทบไม่เคยมีโอกาสได้ออกกระบี่ ดังนั้นหลิวชาถึงได้รอคอยที่จะได้กลับมาพบเจอกับอาเหลียงอีกครั้ง เดิมทีนึกว่าจะได้เจอกันที่ใต้หล้าไพศาล คิดไม่ถึงว่าบุรุษผู้นี้กลับฝ่าพันธนาการของใต้หล้าถึงสองแห่งติดต่อกันเพื่อมุ่งตรงกลับมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่
อาเหลียงยื่นมือออกไปบังคับกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่หอกระบี่สร้างขึ้นมาจากสนามรบทางทิศเหนือของแม่น้ำยาวสีทอง พอถูกเขากุมไว้ในมือแล้วก็ลองชั่งน้ำหนักมันดู เบากว่าเดิมมาก แล้วก็ต้องถอนหายใจ แม้แต่หอกระบี่ก็ยังถูกบีบให้ต้องลดวัสดุการทำกระบี่ สงครามครั้งนี้ช่างน่าหดหู่จริงๆ
ก่อนหน้านี้แค่เจอหน้ากันหลิวชาก็ต้อนรับเขาด้วยหนึ่งดาบที่พุ่งมาแสกหน้า ช่างไร้คุณธรรมในยุทธภพเกินไปแล้ว
อาเหลียงจึงตอบแทนชายฉกรรจ์เคราดกผู้นั้นไปด้วยหนึ่งกระบี่
หลังจากผลัดกันปล่อยกระบี่คนละครั้ง
อาเหลียงก็ถอยกลับเข้าไปในชั้นเมฆ ทะเลเมฆทั้งผืนที่แผ่ปกคลุมอยู่เหนือกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกปั่นคว้านจนเละประหนึ่งปุยนุ่นแตกกระจายบินว่อน
อาเหลียงก้าวเท้าหนึ่งถอยไปด้านหลัง กระทืบลงบนความว่างเปล่าเต็มแรงเพื่อหยุดร่างให้นิ่ง
แผ่นหลังของหลิวชากระแทกลงบนพื้นดินเต็มแรง ร่างจมอยู่ในหลุมลึกใต้ดิน มองไม่เห็นเงาร่างของเขา ได้ยินเพียงเสียงดังอื้ออึงเป็นระลอกดุจเสียงฟ้าคำราม
คนทั้งสองปล่อยกระบี่ที่สองด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม อาเหลียงพลัดหล่นลงมาจากทะเลเมฆ หลิวชาปรากฎกายอยู่บนพื้นดิน
ล้วนเป็นการปล่อยกระบี่ออกไปในแนวเส้นตรง
คราวนี้ทั้งสองฝ่ายถอยกรูดไปด้านหลังไกลกว่าเดิม
อาเหลียงถึงขั้นถูกหนึ่งกระบี่นั้นโจมตีให้ถอยกลับไปยังทะเลเมฆจุดที่สูงที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาสะบัดปลายกระบี่สลัดปณิธานกระบี่ของหลิวชาที่หลงเหลืออยู่บนตัวกระบี่ทิ้งไป ยิ้มเอ่ยกับนักพรตเฒ่าที่นั่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้า “ตาเฒ่า ไม่เจอกันยี่สิบปี แม่หนูน้อยในกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราที่ในอดีตที่ขี้มูกห้อยย้อย ป่านนี้คงเติบใหญ่กลายเป็นแม่นางที่งดงามดุจหยกดุจบุปผาหมดแล้วกระมัง? จะรู้หรือไม่ว่าพวกนางยังมีท่านอาอาเหลียงที่ออกจากบ้านเดินทางไกลอยู่อีกคนหนึ่ง?”
นักพรตเฒ่าที่มือประคองหางกวางเปลี่ยนแขนถือแส้ปัดฝุ่นที่ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ใบหน้าประดับยิ้มบางๆ ด่าไปประโยคหนึ่งด้วยภาษาท้องถิ่นของใต้หล้ามืดสลัว
หลังจากทั้งสองฝ่ายทักทายปราศรัยกันอย่าง ‘มีมารยาท’ ไปแล้ว ร่างของอาเหลียงก็พุ่งวูบหายไป
ตลอดทั้งทะเลเมฆถูกปณิธานกระบี่ชักนำจึงโยกคลอนอย่างรุนแรง อริยะลัทธิเต๋าที่นั่งขัดสมาธิอยู่รู้สึกระอาใจเล็กน้อย ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปกดทะเลเมฆเอาไว้เบาๆ ถึงได้หยุดยั้งการกระเพื่อมสั่นสะเทือนของทะเลเมฆเอาไว้ได้
อาเหลียงชูแขนข้างหนึ่งขึ้นสูงคล้ายเด็กน้อยที่ไม่เคยเรียนวิชากระบี่มาก่อน เพียงแค่เหวี่ยงแขนฟันกระบี่ลงไปเท่านั้น
แต่กลับทำให้ทั้งร่างหลิวชาและกระบี่จมหายเข้าไปในจุดลึกของใต้ดินอีกครั้ง
คราวนี้อาเหลียงกลับไม่ได้ถอยแม้แต่ครึ่งก้าว เพียงแต่ว่ากระบี่ยาวที่อยู่ในมือกลับแหลกยับเยินไปแล้ว
สนามรบประเภทนี้ ต่อให้จะมีแค่คนสองคนที่คอยคุมเชิงกัน
แต่ไม่ว่าใครก็ไม่ยินดีจะเข้าประชิดตัวอีกฝ่าย
เว้นเสียจากว่าผู้เฒ่าชุดเทาที่ยืนชมศึกอยู่นอกกระโจมผู้นั้นจะออกคำสั่งให้ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หลายคนเปิดฉากล้อมสังหารบุรุษคนนั้น
เพียงแต่ผู้เฒ่าชุดเทากลับทำเพียงแค่มองดูอยู่เฉยๆ
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์บางคนที่เดิมทีคันไม้คันมือจึงหยุดความคิดที่จะชิงลงมือก่อนลง
เพราะถึงอย่างไรหลิวชาผู้นั้นก็ยังไม่ได้ลงมืออย่างเต็มกำลัง
สองมือที่ไร้กระบี่ของอาเหลียงต่างก็ทำมุทรา ปราณกระบี่สองขุมบนสนามรบพากันซัดกรูเข้าหาตำแหน่งที่หลิวชาถอยไปอย่างบ้าคลั่ง แบ่งออกเป็นสัจธรรมแท้จริงแห่งวิถีกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่และของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเอง หนาข้นขุ่นมัว ปราณกระบี่สองเส้นจึงมองดูเหมือนเจียวหลงสองตัวที่ลงน้ำกระโจนเข้าไปในใต้ดิน
ใต้ดินในรัศมีร้อยลี้พลันยุบถล่มส่งเสียงครืนครั่น
อาเหลียงที่เดิมทีลอยสูงจากพื้นแค่ไม่กี่จั้งเปลี่ยนมาเป็นลอยตัวอยู่กลางอากาศสูง
ปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนพากันก้มหน้ามองไป
หลิวชามายืนอยู่บน ‘พื้นดิน’ ที่ต่ำกว่าสนามรบไปร้อยจั้ง มือหนึ่งไพล่หลัง สองนิ้วของอีกมือทำมุทรา ตอนนี้ในมือของชายฉกรรจ์เคราดกไม่ได้ถือกระบี่ ทว่าเบื้องหน้ากลับมีถาดหยกสีขาวหิมะที่จำแลงมาจากกระบี่พกกำลังเปล่งวงแสงบางเบาเป็นประกายแวววาว เส้นแสงระยิบระยับที่สาดยิงออกมาเหมือนดวงจันทร์แจ่มกระจ่างที่ค่อยๆ ลอยขึ้นบนโลกมนุษย์ ต้านทานธาราดวงดาวบนท้องฟ้าที่เกิดจากคลื่นปราณกระบี่สองเส้นนั้นเอาไว้
น้ำตกปราณกระบี่สองเส้นไหลซัดกระแทกลงบนดวงจันทร์สีเงินยวง
รากฐานพื้นดินเบื้องล่างที่อยู่ด้านหลังหลิวชาปริแตกย่อยยับไม่หยุด
ปราณกระบี่กระจายไปสี่ทิศ ผู้ฝึกตนเซียนดินเผ่าปีศาจขอบเขตไม่สูงจำนวนมากที่อยู่ห่างออกไปใช้วิชาอภินิหารมองภาพเหตุการณ์ผ่านฝ่ามือได้แค่ครู่เดียวก็รู้สึกว่าดวงตาทั้งสองปวดปร่า ประหนึ่งคนธรรมดาที่ใช้ตาเปล่าเพ่งมองแสงอาทิตย์ ได้แต่ถอนวิชาอภินิหารออก ไม่กล้าจ้องนิ่งไปยัง ‘ฟ้าดินเล็ก’ ที่เกิดจากการต่อสู้กันของคนทั้งสองอีก