กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 664.2 เมาเหล้า
กล่าวมาถึงตรงนี้ บุรุษก็เช็ดปากแล้วหัวเราะชอบใจอยู่กับตัวเอง
เรื่องราวบนโลกสั้นเหมือนฝันวสันต์ ฝันวสันต์ไร้ร่องรอยให้ตามหา หวงเหลียงยังไม่สุกงอมความฝันก็สลายหายไปแล้ว…
บัณฑิตนึกถึงคำกลอนไพเราะงดงามบางอย่างบนหน้าหนังสือขึ้นมาได้ ช่างถูกต้องยิ่งนัก
เฉินผิงอันโล่งอก น่าจะเป็นตัวจริงแล้ว
เฉินผิงอันจ้องตากับอาเหลียงอยู่นาน ประโยคแรกที่เปิดปากกลับเป็นคำถามที่ทำลายบรรยากาศอย่างยิ่ง “อาเหลียง ท่านจะจากไปเมื่อไหร่?”
หวังให้อาเหลียงกลับคืนมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่ไม่ต้องการให้อาเหลียงอยู่ต่อที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เพราะจะต้องตาย
สงครามครั้งนี้ คนเดียวที่กล้าพูดว่าตัวเองไม่มีทางตายอย่างแน่นอน มีเพียงผู้เฒ่าชุดเทาของกระโจมเจี่ยจื่อแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างเท่านั้น
ต่อให้เป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างพวกหย่างจื่อ หวงหลวนก็ยังไม่กล้าแน่ใจเช่นนี้
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น
“ข้าอยากไป ขอบเขตบินทะยานกลุ่มใหญ่ก็ยังรั้งข้าไว้ไม่อยู่ ข้าไม่อยากไป เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ไล่ข้าไม่ได้ เด็กอย่างเจ้าคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมข้าได้งั้นหรือ?”
อาเหลียงถอนหายใจ แกว่งกาเหล้าในมือ เอ่ยว่า “ยังเป็นเหมือนเดิมจริงๆ จะคิดมากขนาดนั้นไปทำไม เจ้าดูแลได้ไม่ทั่วถึงเสียหน่อย ตอนนั้นเป็นเด็กหนุ่มก็ไม่เหมือนเด็กหนุ่ม ตอนนี้เป็นคนหนุ่มแล้วก็ยังไม่เหมือนคนหนุ่มอยู่ดี เจ้าคิดว่าผ่านธรณีประตูบานนี้มาได้แล้ววันหน้าก็จะมีชีวิตที่สุขสบายอย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ”
ผลของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ มองดูเหมือนสามารถแก้ไขเหตุของเมื่อวานได้แล้ว ทว่ามันมักจะกลายเป็นเหตุของเรื่องราวในวันพรุ่งนี้เสมอ
ฝึกตนบนภูเขา เหตุใดต้องขึ้นเขา? ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ต้องการยึดครองพื้นที่ฮวงจุ้ยที่เป็นมงคลอย่างเดียวเท่านั้น
อาเหลียงยื่นมือออกไปใช้กาเหล้าชี้คนหนุ่ม “ไม่ควรให้เจ้าทั้งฝึกหมัดทั้งฝึกตนเร็วขนาดนี้ จั่วโย่วเป็นศิษย์พี่ที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย คราวหน้าเจอกันข้าต้องตำหนิเขาสักหน่อยแล้ว”
ผู้ฝึกตน เหนื่อยใจไม่เหนื่อยกาย ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เหนื่อยกายไม่เหนื่อยใจ เจ้าเด็กนี่กลับดีนัก เอาครบทั้งสองอย่าง แบบนี้ไม่เท่ากับว่าหาเรื่องลำบากใส่ตัวหรอกหรือ
แต่อาเหลียงก็ไม่ได้พูดอะไรแรงๆ เพราะคำพูดบางอย่างของตน หากพูดออกไปแล้วก็เหมือนคนยืนพูดไม่ปวดเอว แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าแค่ยืนพูดแล้วยังปวดเอวอยู่หน่อย ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้ของบุรุษก็ถือว่าไม่มีหวังแล้ว
อาเหลียงบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันพักรักษาตัวต่อไป ตัวเองนั่งกลับลงไปบนธรณีประตู ดื่มเหล้าต่ออีกครั้ง เหล้าหมักตระกูลเซียนกานี้เขาไปขอมาจากจวนของเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนตอนที่เดินทางมาที่นี่ ในบ้านไม่มีคนอยู่ก็อย่าโทษว่าเขาเข้าไปเยือนโดยไม่ทักทาย
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “ต่อสู้มาก่อนแล้วหรือ?”
อาเหลียงหันหน้าเข้าหาลานบ้าน สีหน้าเกียจคร้าน หันหลังให้เฉินผิงอัน “ไม่มาก แค่สองครั้ง หากยังสู้ต่อ คาดว่าทางฝั่งกระโจมเจี่ยจื่อคงระเบิดเป็นแน่ นับแต่เด็กข้าก็กลัวการแหย่รังแตนเป็นที่สุด ก็เลยรีบมาหลบอยู่ที่นี่ จิบเหล้าสักสองสามอึกระงับความตกใจ”
หากไม่ถูกคนรุมซ้อม กลับกลายเป็นว่าเขาอาเหลียงจะรู้สึกไม่กระฉับกระเฉงเอาเสียเลย
เพียงแต่ว่ากว่าจะหวนกลับมาสถานที่เดิมได้ไม่ใช่เรื่องง่าย รสชาติของสุรายังคงเดิม ทว่าเพื่อนๆ หลายคนกลับกลายเป็นสหายเก่าไปแล้ว ยังคงเป็นความเสียใจที่มีมากกว่า
ชั่วชีวิตนี้ดูเหมือนว่าเขาจะทำตัวไม่เอาไหนแบบนี้มาโดยตลอด ดังนั้นต่อให้ดื่มเหล้าไปมากแค่ไหนก็ยากที่จะเบิกบานได้อย่างแท้จริง
อาเหลียงถามชวนคุย “เจ้าไปตอบตกลงอะไรกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไว้หรือเปล่า?”
เฉินผิงอันเอ่ย “สามารถเฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้นานขึ้นอีกสามปี”
โดยไม่ทันรู้ตัวก็อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาหลายปีแล้ว หากอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลก็มากพอให้เฉินผิงอันไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วเดินเที่ยวเล่นให้ทั่วอีกรอบหนึ่ง หากออกเดินทางไกลเพียงลำพังก็สามารถท่องไปทั่วอุตรกุรุทวีปหรือใบถงทวีปได้แล้ว
หลังรับตำแหน่งอิ่นกวาน ทุกวันที่อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน แต่ละวันที่ผ่านไปยาวนานราวกับหนึ่งปี การกระทำที่ถือเป็นความผ่อนคลายเพียงอย่างเดียวก็คือการไปช่วยสอนหมัดให้กับพวกเด็กๆ ที่อยู่ในคฤหาสน์หลบหนาว
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็โง่จริงๆ”
อาเหลียงส่ายหน้า เอ่ยว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า หากให้โฉวเหมียวมาเป็นใต้เท้าอิ่นกวาน เจ้าเป็นผู้ช่วยเขา จะสบายกว่านี้มาก จุดจบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมสักเท่าไร ทุกวันนี้ใต้หล้าแห่งที่ห้าถูกบุกเบิกแล้ว เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสได้เล่าเรื่องวงในอะไรเกี่ยวกับหอมายาทางทิศเหนือของนครให้เจ้าฟังหรือไม่?”
เฉินผิงอันจงใจมองข้ามคำถามข้อแรก เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “เคยเล่า ตลอดทั้งหอมายาคือแท่นบินทะยานจำลองที่ทยอยสร้างมาเป็นเวลานานหลายพันปี บวกกับคฤหาสน์หลบร้อนและคฤหาสน์หลบหนาวของสายอิ่นกวานที่เป็นค่ายกลซานซานยุคดึกดำบรรพ์แห่งหนึ่ง ถึงเวลานั้นจะพาเมล็ดพันธ์วิถีกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งแหวกม่านฟ้าไปเยือนใต้หล้าแห่งใหม่ เพียงแต่ว่าในนี้ยังมีปัญหาใหญ่อยู่อีกข้อหนึ่ง หอมายาเป็นเหมือนวัดเล็กๆ ที่ไม่อาจรองรับพระโพธิสัตว์ใหญ่อย่างพวกเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนเอาไว้ได้ ดังนั้นคนที่จากไปจึงต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางและห้าขอบเขตล่างเท่านั้น อีกทั้งเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเองก็ไม่วางใจที่จะให้เซียนกระบี่คนใดเฝ้าพิทักษ์ที่นั่น”
อาเหลียงจุ๊ปากเอ่ยชม “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสช่างเก็บซ่อนได้ลึกล้ำยิ่งนัก ขนาดข้าก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ ในอดีตเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วทิศก็น่าจะพอเดาออกคร่าวๆ ได้บ้างแล้ว เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่ถือสาที่จะบีบเซียนกระบี่ในท้องถิ่นทั้งหมดให้ไปเดินอยู่บนเส้นทางความตาย แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมีดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือใจกว้างกับพวกเด็กรุ่นเยาว์มาโดยตลอด จะต้องเหลือทางถอยไว้ให้พวกเขาอย่างแน่นอน เจ้าพูดแบบนี้ก็เข้าใจได้แล้ว ใต้หล้าแห่งใหม่นั้น ภายในระยะเวลาห้าร้อยปีย่อมไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนใดเข้าไปด้านในเด็ดขาด หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกการต่อสู้ทำลายจนเละ”
สมกับคำว่าในลานบ้านของคนตระกูลใหญ่ไม่ซ่อนเงินไว้สองไหจริงๆ
เรื่องใหญ่อย่างการบินทะยานที่น่าตะลึงพรึงเพริดเช่นนี้ ถึงเวลานั้นจะให้ใครเป็นคนเฝ้าพิทักษ์? แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่ออกกระบี่ด้วยตัวเอง
อาเหลียงอดไม่ไหวกระดกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ พูดทอดถอนใจว่า “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสของพวกเราท่านนี้ต่างหากถึงจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้อย่างไม่สาแก่ใจมากที่สุด มีชีวิตอัดอั้นจะตายมิตายแหล่มาหมื่นปี ผลกลับกลายเป็นว่าเพียงแค่เพื่อปล่อยสองกระบี่ในท้ายที่สุด ดังนั้นเรื่องบางอย่างที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสทำลงไปอาจไร้คุณธรรม เจ้าจะด่าก็ได้ แต่อย่าได้เคียดแค้นเขาเลย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีทางเกลียด ไม่กล้าด่า”
อาเหลียงยิ้มกล่าว “ด่าทุกๆ สามวันห้าวันก็ไม่เป็นไรหรอก”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ข้าด่าเขาไปแล้วก็หนีเขาไม่พ้นเสียหน่อย”
อาเหลียงพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “ดื่มเหล้าชวนคุย พูดจาประจบสอพลอ บีบไหล่ทุบหลัง คอยพูดกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสว่าลำบากท่านแล้วอยู่บ่อยๆ จะให้ขาดสักเรื่องไม่ได้เชียวนะ อีกอย่างเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้แล้วก็ลองเดินกะเผลกๆ ไปที่กระท่อมบนหัวกำแพงเมืองดู ไปชมทัศนียภาพ ถึงเวลานั้นการกระทำที่ไร้เสียงย่อมเอาชนะการกระทำที่มีเสียงได้ แสร้งทำเป็นน่าสงสาร? ต้องเสแสร้งด้วยหรือ เดิมทีก็น่าจะสงสารจะแย่อยู่แล้ว หากเปลี่ยนมาเป็นข้าก็คงนึกอยากจะไปยืมเสื่อสักผืนมาจากสหายแล้วปูนอนอยู่นอกกระท่อมของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้รู้แล้วรู้รอดเสียเลย!”
เฉินผิงอันหัวเราะ จากนั้นความคิดก็เริ่มพร่าเลือนแล้วหลับไปอย่างสบายใจ
อาเหลียงนั่งอยู่บนธรณีประตูเพียงลำพัง ไม่มีทีท่าว่าจะจากไป เพียงแค่ดื่มเหล้าช้าๆ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว หลักการเหตุผลก็มีอยู่แค่ข้อเดียว เด็กที่ร้องไห้เป็นย่อมได้กินลูกกวาด เฉินผิงอัน นับตั้งแต่เด็กเจ้าก็ไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้ จึงต้องเสียเปรียบอย่างหนัก”
คนมีความสามารถย่อมต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น นานวันเข้าก็ย่อมทำให้คนรอบข้างเกิดความเคยชินไปเอง
สายของเหวินเซิ่ง
ซิ่วไฉเฒ่าอยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้า มีคุณูปการในเรื่องโชควาสนา
ชุยฉานลูกศิษย์คนแรกเฝ้าพิทักษ์แจกันสมบัติทวีป
จั่วโย่วตรึงกระบี่พิทักษ์ใบถงทวีป
ลูกศิษย์คนสุดท้ายเฉินผิงอันอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ รับหน้าที่เป็นอิ่นกวานมาสองปีครึ่งแล้ว
รวมไปถึงผู้ฝึกกระบี่ของตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่
ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งหรือคนอ่อนแอ ทุกหลักการเหตุผลของทุกคนล้วนนำความดีและความเลวที่แท้จริงมาสู่วิถีทางโลกที่ส่ายโงนเงนนี้ได้ทั้งหมด
ครู่หนึ่งต่อมาเฉินผิงอันก็สะดุ้งตื่นจากฝันอีกครั้ง เขาลุกพรวดขึ้นนั่ง เหงื่อท่วมเต็มศีรษะ
อาเหลียงไม่ได้หันกลับมา เพียงเอ่ยว่า “เป็นแบบนี้ไม่ได้นะ วันหน้าย่อมเกิดจิตมาร”
เฉินผิงอันยกมือซ้ายขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก สีหน้าเศร้าโศก ทอดตัวนอนลงบนเตียงอีกครั้ง หลับตาลง
อาเหลียงเงียบงันไม่เอ่ยคำใด
เขานั่งดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพัง
คงเป็นเพราะรู้สึกว่านั่งอยู่บนธรณีประตูค่อนข้างเจ็บก้นจึงเปลี่ยนท่านั่งมาเป็นนั่งยองดื่มเหล้า
ปีนั้นตอนที่อยู่แจกันสมบัติทวีป บุรุษสวมงอบหลอกเด็กหนุ่มขาเปื้อนโคลนให้ไปดื่มเหล้า
อันที่จริงบนโลกนี้ไม่เคยมีเซียนสุราที่ดื่มเหล้าเมามายแล้วยังมีอิสระเสรี เห็นชัดๆ ว่ามีแค่ผีขี้เหล้าที่เมาตายและยังไม่เมาตายเท่านั้น
บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ชิงช้าอันนั้นไม่อยู่แล้ว
เซียนกระบี่บางคนไม่ต้องรู้สึกไม่กล้าขยับตะเกียบเพียงแค่มองบะหมี่หยางชุนอีกแล้ว
ก่อนจะรบตาย หยวนชิงสู่เซียนกระบี่จากต่างถิ่นเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอันฮึกเหิม
หานไหวจื่อเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยแห่งอุตรกุรุทวีป ก่อนและหลังตาย ไร้คำพูดใดๆ
หญิงชราผมขาวโพลนคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของจวนหนิง กำลังพึมพำเบาๆ ว่า สุนัขเฒ่า สุนัขเฒ่า กลับมาเฝ้าประตู