กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 666.1 ไม่ใช่คนในตำรา
บทที่ 666.1 ไม่ใช่คนในตำรา
คนต่างถิ่นสองคนดื่มเหล้าของต่างบ้านต่างเมือง
อาเหลียงเปิดปากพูดสัพยอกขึ้นมาก่อนว่า “ฟื้นตัวเร็วขนาดนี้เชียว เรือนกายของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวร้ายกาจจริงๆ”
การฟื้นตัวของเส้นเอ็นกระดูกและเลือดเนื้อ จิตวิญญาณที่วุ่นวายเริ่มเข้าสู่สภาวะมั่นคงสงบนิ่ง การซ่อมแซมบำรุงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตด้วยความอบอุ่น ทั้งสามอย่างนี้ล้วนพัฒนาอย่างรวดเร็วจนอยู่เหนือการคาดการณ์ของอาเหลียงจริงๆ
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย นึกแล้วก็ยังหวาดหวั่นไม่หาย”
ไม่เพียงแต่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้นที่เลือกจะส่งข่าวลับไปยังกระโจมทัพของใต้หล้าเปลี่ยวร้างด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ทางฝั่งของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจก็มีผู้ฝึกตนนำรายงานข่าวมาเปิดโปงแก่กำแพงเมืองปราณกระบี่เหมือนกัน
เมื่อผ่านศึกนี้ไป ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ห้าคนของกระโจมเจี่ยเซิน ทางฝั่งของคฤหาสน์หลบร้อนก็ได้ทำการประเมินพลังการสู้รบที่แท้จริงซึ่งละเอียดยิ่งกว่าเดิมออกมาอีกฉบับหนึ่งแล้ว
แน่นอนว่าการที่อิ่นกวานหนุ่มใช้วิธีการอันเป็นสมบัติก้นกรุของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม ทุกวันนี้กระโจมทัพหลายแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ต้องรู้กันอย่างชัดเจนแล้วเช่นกัน
อาเหลียงเอ่ยหยอกล้อ “จะเอาแต่มองดูโจรกินเนื้อ ไม่ดูโจรถูกตีไม่ได้ หลักการนี้ข้าเข้าใจ”
ไม่ว่าจะเป็นคนต่างถิ่นคนใด คิดจะมีพื้นที่หยัดยืนอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างมั่นคง ล้วนไม่ใช่เรื่องง่าย
อาเหลียงเป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ย่อมเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง
อาเหลียงยืดแขนบิดขี้เกียจ เอ่ยว่า “ไป จะพาเจ้าไปเดินเล่นแถวนครสักหน่อย เส้นเอ็นหัวใจของคนคนหนึ่งจะปล่อยให้ขึงตึงอยู่ตลอดเวลาไม่ได้”
เฉินผิงอันที่อยู่ด้านข้าง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังตระหนักไม่ได้ว่า ลมหายใจของเขา นับตั้งแต่ที่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร ตั้งแต่เล็กจนโตล้วน ‘อยู่ในกฎเกณฑ์’ ตลอดมา
คนเรามีลมหายใจก็คือมีชีวิต นี่เป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง แทบจะเป็นพื้นฐานของผู้ฝึกตนทุกคน ในเมื่อทั้งชีวิตล้วนทุ่มเทเพื่อการมีชีวิตอมตะ ดังนั้นก็ย่อมต้องเริ่มลงมือจากคำว่าหายใจเข้าออก
ร้านยาตระกูลหยางของถ้ำสวรรค์หลีจู ผู้เฒ่าที่ลำดับอาวุโสสูงอย่างถึงที่สุดคนนั้น ในอดีตเคยได้ถ่ายทอดวิชาการหายใจให้กับเฉินผิงอัน ไม่ใช่วิชาที่เลิศล้ำอะไรนัก ระดับขั้นธรรมดา แต่มีความสงบและเป็นกลาง เป็นไปตามลำดับขั้นตอน จึงเป็นเหมือนการบำรุงด้วยอาหารอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนการรักษาด้วยยา แม้ว่าเมื่อทำจนเคยชินกลายเป็นธรรมชาติจะไม่สร้างภาระทางร่างกายใดๆ ให้แก่เฉินผิงอัน กลับกันยังจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว เหมือนต้นกำเนิดน้ำเป็นของสายน้ำเส้นหนึ่งที่ไหลรินมาหล่อเลี้ยงผืนนาหัวใจ ทว่าการฝึกตนก็คือการฝึกตน การเป็นคนก็คือการเป็นคน ระหว่างผืนนาหัวใจมีคันนาแบ่งแยกชัดเจน จะเดินก็ต้องมีทางให้เดิน ราวกับว่าทุกก้าวล้วนไม่อาจล้ำเส้นกฎเกณฑ์ ทุกวันจะต้องคอยเฝ้าเก็บเกี่ยวผลผลิตในผืนไร่นา หัวใจคนถูกพันธนาการเช่นนี้ เป็นเรื่องดีก็จริง แต่กลับจะทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกเบื่อหน่าย ดังนั้นเด็กหนุ่มรองเท้าสานของตรอกหนีผิงในปีนั้นจึงถูกกล่อมเกลาไปอย่างเงียบเชียบจนมักจะทำให้คนรู้สึกว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัยอยู่เสมอ
หลังจากที่เฉินผิงอันเรียนวิชาหมัด ทุกครั้งที่ออกท่องยุทธภพเพียงลำพังก็มักจะชอบจงใจควบคุมลมหายใจและฝีเท้าเสมอ แม้จะมีขอบเขตสูงก็จะแกล้งทำเป็นขอบเขตต่ำได้อย่างเชี่ยวชาญ เทียบกับคนเก่าแก่ในยุทธภพแล้วยังดูโชกโชนมากกว่า นี่ไม่ได้เป็นเพราะพรสวรรค์นำพาไปเสียทั้งหมด
เฉินผิงอันลุกขึ้นตาม ยิ้มถามว่า “พาลูกสมุนไปด้วยได้หรือไม่?”
อาเหลียงพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็พาไปกันคนละหนึ่งคน”
เฉินผิงอันหันไปเรียกกวอจู๋จิ่ว ทุกวันนี้นางยังถือว่าเป็นลูกศิษย์คนเล็กของเฉินผิงอัน แต่ด้วยอายุของเฉินผิงอันในตอนนี้ที่เพิ่งจะสามสิบปี สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว อายุของเขาก็เหมือนเด็กเล็กในหมู่ชาวบ้านเท่านั้น โอกาสที่กวอจู๋จิ่วจะกลายเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาลั่วพั่วจึงมีน้อยมาก
กวอจู๋จิ่วสะพายหีบหนังสือขึ้นหลังอีกครั้ง หยิบไม้เท้าเดินป่ามาถือไว้ในมือ
ส่วนอาเหลียงหันไปเรียกซ่งเกาหยวนผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยจากตำหนักเขากวางของฝูเหยาทวีป ตำหนักเขากวางคือพรรคตระกูลเซียนอันดับหนึ่งของฝูเหยาทวีป บรรพจารย์หลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกล้วนเป็นสตรี ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกตนหญิงอยู่เยอะมาก ผู้ฝึกตนชายของตำหนักเขากวางจึงเป็นที่อิจฉาของคนนอกมากที่สุด ตำหนักเขากวางมีเวทคาถาน้ำเลื่องลือไปทั่วทั้งทวีป ยึดครองน่านน้ำเกือบครึ่งของลำน้ำใหญ่สายหนึ่งที่ไหลลงสู่มหาสมุทร ท่าเรือตู้ฟู่และท่าเรือแยนจือที่อยู่ใต้อาณัติของตำหนักเขากวางก็ยิ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงดังไปทั่วสารทิศ สถานที่แห่งหนึ่งจำเป็นต้องให้สตรีที่เดินทางผ่านท่าเรือลบเครื่องประทินโฉม เปลี่ยนมาสวมกระโปรงผ้าปักปิ่นไม้อย่างเรียบง่าย ไม่อย่างนั้นเหนียงเนียงเทพวารีจะก่อคลื่นลมมรสุมด้วยความพิโรธ แต่อีกสถานที่หนึ่งกลับตรงกันข้าม สตรีจะต้องประทินโฉมแต่งหน้า สวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสงดงาม ถึงจะสามารถเดินทางข้ามผ่านน่านน้ำได้อย่างปลอดภัย ตำหนักเขากวางไม่เคยซักไซ้ ขอแค่ท่าเรือทั้งสองแห่งไม่ทำให้คนบาดเจ็บหรือถึงแก่ชีวิต ก็ล้วนปล่อยให้เหนียงเนียงเทพวารีทั้งสองท่านตั้งกฎประหลาดตามความชื่นชอบของตัวเองไป
ท่าเรือตู้ฟู่และท่าเรือแยนจือ แน่นอนว่าอาเหลียงที่ท่องเที่ยวอยู่ในฝูเหยาทวีปมานานหลายปีต้องเคยเดินทางผ่านมาก่อน แล้วยังเคยคบค้าพูดคุยกับเหนียงเนียงเทพวารีทั้งสองท่านอย่างถูกคอ คนหนึ่งร่าเริง คนหนึ่งขี้อาย ล้วนเป็นแม่นางที่ดี
ส่วนการพบเจอกันโดยบังเอิญในตำหนักเขากวางครานั้น นั่นคือกลางดึกคืนหนึ่งที่แสงจันทร์ทอประกาย ตอนนั้นอาเหลียงรับปากเหนียงเนียงเทพวารีของท่าเรือตู้ฟู่ว่าจะเอาของขวัญพบหน้ามามอบให้เป็นการชดเชย ช่วยให้สตรีที่น่าสงสารผู้นั้นได้ซ่อมแซมใบหน้าที่ปริร้าวกลับคืนมาเหมือนเดิม เขาจึงไปยังสระดอกบัวพื้นที่ต้องห้ามที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษของตำหนักเขากวาง ใบบัวทุกใบของที่นั่นล้วนมีสรรพคุณที่มหัศจรรย์ ไม่รู้ว่าถูกผู้ฝึกตนหญิงที่ไม่พอใจรูปโฉมของตัวเองกี่มากน้อยคิดคำนึงถึง มาขอร้องอ้อนวอนตำหนักเขากวางอย่างยากลำบากก็ยังไม่ได้รับใบบัวสักใบ มีมูลค่าแต่หาซื้อไม่ได้ พื้นที่ต้องห้ามของตำหนักเขากวางน่าสนใจอย่างมาก ตอนนั้นอาเหลียงได้แต่หมอบคลานไปตลอดทาง อ้อมไปวนมาถึงได้แอบดอดไปถึงริมสระใบบัวได้ เขากำลังกระดกก้นแกะเมล็ดมัวมากินพลางปลิดใบบัวมาด้วย คิดไม่ถึงว่าบนใบบัวขนาดใหญ่คล้ายผ้าห่มคลุมเตียงสีเขียวมรกตซึ่งห่างไปไกลใบหนึ่งจะมีแม่นางคนหนึ่งลุกพรวดขึ้นมา นางเบิกตาทั้งคู่ออกกว้าง มองบุรุษสกปรกที่ในอ้อมอกหอบใบบัวเล็กๆ ไว้หลายใบกำลังนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นเด็ดดอกบัวเอาเมล็ดมัวมาแทะกิน พอเห็นนาง อาเหลียงก็ยื่นมือมาให้ ถามนางว่าจะลองชิมดูไหม
สตรีรับรองแขกได้อย่างมีมารยาท เวทคาถาน้ำที่งดงามอย่างถึงที่สุดสายหนึ่งพุ่งเข้ามาแสกหน้า
เรื่องราวในอดีตกลายเป็นความทรงจำให้หวนคำนึง
คนทั้งสี่เดินเท้าออกมาจากคฤหาสน์หลบร้อน เฉินผิงอันมีจิตใจละเอียดอ่อนจนเกิดเป็นความเคยชิน เขาสังเกตเห็นว่าในบรรดาคนทั้งหลายที่นั่งอยู่ในห้องก่อนหน้านี้ ดูคล้ายสภาพจิตใจของต่งปู้เต๋อกับผังหยวนจี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ บางอย่าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าก่อนที่ตนจะมาถึง อาเหลียงพูดคุยอะไรกับพวกเขาไปบ้าง
ออกมาจากประตูใหญ่ ซ่งเกาหยวนปลุกความกล้า ถามเสียงเบาทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ “ผู้อาวุโสอาเหลียง วันหน้าจะยังไปเยือนตำหนักเขากวางของพวกเราอีกหรือไม่?”
อาเหลียงยิ้มถาม “พูดมาเถอะ เป็นผู้อาวุโสคนใดในสำนักของเจ้าที่แม้จะผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้วก็ยังคงคิดถึงข้าไม่คลาย จะไปหรือไม่ไปเยือนตำหนักเขากวาง ตอนนี้ข้าไม่กล้ารับรอง”
เพราะควรหลีกเลี่ยงการเอ่ยนามผู้อาวุโส ซ่งเกาหยวนจึงใช้เสียงในใจแอบกระซิบบอกผู้อาวุโสอาเหลียง “เป็นบรรพจารย์หรงกวานที่มักจะพูดถึงผู้อาวุโสบ่อยๆ”
ในความเป็นจริงแล้ว ทุกครั้งที่บรรพจารย์ซึ่งอยู่ห่างจากเรื่องราวทางโลกมาร้อยกว่าปีผู้นั้นออกจากด่าน จะต้องไปที่สระดอกบัว แล้วมักจะพร่ำพูดว่าเมล็ดบัวรสจืดปนขม สามารถบำรุงหัวใจได้
จริงดังคาด จริงดังคาด อาเหลียงทอดถอนใจ “เป็นนางเองหรือ”
ซ่งเกาหยวนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ก่อนที่ข้าจะออกเดินทางไกล บรรพจารย์หรงกวานได้กำชับผู้น้อยว่าหากได้พบกับผู้อาวุโสอาเหลียงที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะต้องเอ่ยประโยคหนึ่งกับผู้อาวุโสอาเหลียง”
อาเหลียงไม่เอ่ยคำใด
ซ่งเกาหยวนเอ่ยว่า “ประโยคที่บรรพจาร์หรงกวานอยากบอกก็คือ ‘ตอนนั้นบอกได้แค่ว่าปกติ’”
อาเหลียงเกาหัว ไม่ได้ถามอะไรมากความ
ซ่งเกาหยวนเองก็ไม่กล้าทำให้ผู้อาวุโสอาเหลียงลำบากใจ
แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องราวบางอย่างไม่อาจใช้เหตุผลมาอธิบายได้ นอกจากจะทำให้ลำบากใจแล้วก็มีแต่จะชวนอึดอัดใจยิ่งกว่าเดิม
เดินเตร็ดเตร่มุ่งหน้าไปยังนคร ระหว่างนั้นผ่านเรือนพักส่วนตัวของเซียนกระบี่สองหลัง อาเหลียงแนะนำให้ฟังว่าฐานรากของเรือนหลังหนึ่งคือศาลาที่เซียนกระบี่ท่านหนึ่งนำมาหลอมเป็นศิลาหยกขาวแกะสลักเป็นกวีเซียนโผผินบินสู่แสงจันทร์ ส่วนเจ้าของเรือนอีกหลังหนึ่งชอบเก็บสะสมแท่นฝนหมึกโบราณของใต้หล้าไพศาล เพียงแต่ว่าเจ้าของคนเก่าของเรือนทั้งสองต่างก็ไม่อยู่แล้ว หลังหนึ่งว่างเปล่าไร้ผู้คน ไม่มีคนพักอาศัย อีกหลังหนึ่งทุกวันนี้มีผู้ฝึกตนหลอมกระบี่อยู่ด้านในสามคน คือลูกศิษย์ของเซียนกระบี่คนหนึ่ง ต่างก็อายุไม่มาก ได้รับคำสั่งเข้มงวดก่อนอาจารย์ที่เป็นเซียนกระบี่จะตายบอกว่า ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสามคนนี้ ขอแค่ยังไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดได้ก็ห้ามเดินออกจากจวนแม้แต่ครึ่งก้าว อาเหลียงมองกำแพงของเรือนส่วนตัวหลังนั้นอยู่ไกลๆ แล้วทอดถอนใจเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ช่างลำบากทำด้วยใจจริงๆ
เฉินผิงอันมีสีหน้าปั้นยาก
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสามคนที่อยู่ในเรือนนั้นล้วนเป็นบุรุษทั้งหมด ไม่เพียงแต่ไม่สามารถออกจากจวนได้ ได้ยินมาว่ายังต้องแต่งกายเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้วด้วย นี่คือเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เคยมีกระบี่บินส่งข่าวไปให้คฤหาสน์หลบร้อน แจ้งว่าพวกเขาหวังจะออกจากเมืองไปสังหารศัตรู แต่สายอิ่นกวานลองไปเปิดเอกสารเก่าๆ ดูก็พบว่าเซียนกระบี่ที่ลาจากโลกนี้ไปแล้วท่านนั้นเคยมีการลงนามสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกับคฤหาสน์หลบร้อนมาก่อน มีชื่อของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าและตราประทับเป็นฝ่ามือเล็กๆ น่าจะเป็น ‘ลายมือ’ ของเซียนสวิ้นอิ่นกวานคนก่อน
เฉินผิงอันจึงได้แต่ปล่อยไป ปฏิเสธคำขอร้องของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองทั้งสามท่านอย่างละมุนละม่อม
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เรื่องการไหว้วานฝากฝังของเซียนกระบี่ที่รบตายถือเป็นกฎที่ใหญ่ที่สุด ขอแค่มีการบันทึกลงบนกระดาษก็ต้องทำตาม ไม่มีพื้นที่ว่างให้ปรึกษาอีก
ตรงหัวกำแพงมีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมา เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่รูปโฉมอ่อนเยาว์ ทว่าไว้หนวดไว้เคราเต็มหน้า พอโผล่หัวออกมาก็เปิดปากด่าอาเหลียงทันที
อาเหลียงเองก็ด่ากลับ บอกว่าข้าก็แค่เล่าเรื่องหนึ่งให้อาจารย์พวกเจ้าฟังเท่านั้น อาจารย์ของพวกเจ้าคิดจะทำตาม เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นเอ่ยอย่างเดือดดาล ชาติสุนัข กล้าเข้ามาต่อยกันสักรอบไหมเล่า
อาเหลียงกระโดดตัวขึ้นสูงแล้วถ่มน้ำลายไปทางนั้น
เฉินผิงอันยื่นมือมาคลึงขมับ แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าวิชาก้นกรุในการด่ากันของสองผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอย่างเฉิงเฉวียนและจ้าวเก้ออี๋จะเลียนแบบมาจากอาเหลียง
จากนั้นบุรุษก็สังเกตเห็นว่าข้างกายมีกวอจู๋จิ่วที่เบิกตากว้างกับซ่งเกาหยวนที่เหมือนถูกร่ายเวทกักร่างยืนอยู่ เขารีบปาดเส้นผม พร่ำพูดว่าเสียกิริยาแล้ว เสียกิริยาแล้ว ไม่ควรเลย ไม่ควรเลย
พอเฉินผิงอันถาม ปมปริศนาของคดีที่ไขไม่ลงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงคลายลงได้ในที่สุด ที่แท้เซียนกระบี่ผู้เฒ่าคนนั้นมีวิชาอภินิหารที่ประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง เชี่ยวชาญการค้นหาเมล็ดพันธ์บนวิถีกระบี่เป็นที่สุด ในความเป็นจริงแล้วกลุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่อยู่ในช่วงเวลายิ่งใหญ่อันดีงามของกำแพงเมืองปราณกระบี่รุ่นนี้ก็มีถึงครึ่งหนึ่งที่ถูกเซียนกระบี่ผู้เฒ่าหมายตา ลูกหลานชนชั้นสูงบนถนนไท่เซี่ยง ถนนอวี้ฮู่ยังนับว่าดี แต่ตรอกในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดอย่างตรอกหลิงซี ตรอกซัวลี่ที่หากมีตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ซึ่งมีหวังว่าจะบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ปรากฎขึ้นมา ก็อาจจะมีบางคนที่ตกหล่นไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ และใต้หล้าแห่งนี้ก็ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วผู้ฝึกลมปราณทุกคน หากยิ่งเดินขึ้นมาบนเส้นทางการฝึกตนได้เร็วเท่าไร ผลสำเร็จในอนาคตก็ย่อมสูงมากเท่านั้น อย่างเตี๋ยจ้าง แท้จริงแล้วก็เป็นต้นกล้าดีที่อาเหลียงอาศัยเวทคาถาที่เซียนกระบี่ท่านนั้นถ่ายทอดให้ตามหาจนเจอ ผู้ฝึกกระบี่หลายคนที่ในอนาคตได้กลายเป็นเซียนกระบี่ ตอนเป็นเด็กคุณสมบัติไม่โดดเด่นมากนัก กลับกันยังซุกซ่อนอำพรางอย่างลึกล้ำ ยากที่จะสังเกตพบ
มีครั้งหนึ่งอาเหลียงดื่มเหล้ากับเซียนกระบี่เฒ่าที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน พูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลปัญญาชนแห่งหนึ่งของใต้หล้าไพศาล ตระกูลแห่งนี้บรรพบุรุษสอบเคอจวี่ไม่ติดหลายครั้ง ถูกสหายร่วมเรียนที่มีชื่อติดบนกระดานทองคำหมิ่นเกียรติจึงกลับคืนบ้านเกิดด้วยความเจ็บแค้น ไปเป็นครูสอนหนังสือด้วยตัวเอง บอกให้บุรุษทุกคนที่อยู่ในตระกูลสวมใส่ชุดของสตรีแล้วเริ่มตรากตรำเล่าเรียนหนังสือ ขอแค่สอบไม่ติด ก่อนอายุสี่สิบก็ได้แต่สวมชุดของสตรีไปเรื่อยๆ แรกๆ พวกเขาก็กลายเป็นตัวตลกของผู้คน ทว่าสุดท้ายแล้วครอบครัวกลับรุ่งโรจน์เพราะมีถึงหกคนที่สอบติดจิ้นซื่อ สามคนได้รับบรรดาศักดิ์ชั้นสูง
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “รู้สึกว่าเป็นเรื่องเด็กเล่นมากเลยใช่ไหม? ทำให้ผู้มีพรสวรรค์หนุ่มทั้งสามคนถูกคนหัวเราะเยาะมาหลายสิบปี เป็นเหตุให้คนทั้งสามรู้สึกว่าขอแค่ออกจากบ้านไปออกกระบี่ได้ก็ยินดีจะตายอยู่บนสนามรบ นั่นถึงจะเป็นการหลุดพ้นของพวกเขา”
อาเหลียงเอ่ยอีกว่า “เวทกระบี่ของสายผู้เฒ่าคนนั้นเป็นวิธีการที่ฆ่าศัตรูแต่ทำร้ายตัวเอง ดังนั้นจึงง่ายที่จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ยืนยาว กลายเป็นเซียนกระบี่ได้เร็วมาก หลังจากกลายเป็นเซียนกระบี่แล้วก็ตายเร็วที่สุดเหมือนกัน ตอนที่ผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ยังสามารถปกป้องลูกศิษย์ของตัวเองได้ แต่พอผู้เฒ่าจากไป อย่าว่าแต่ลูกศิษย์สามคนนี้เลย ต่อให้รับมาอีกสามสิบคน หากยังทำสงครามด้วยวิธีนี้ จุดจบย่อมไม่ต่างจากเรือนหลังแรก ป่านนี้ในเรือนคงไม่มีคนอยู่ไปนานแล้ว รับลูกศิษย์มาแล้วก็เห็นพวกเขาเป็นดั่งบุตรชายบุตรสาวของตัวเอง นั่นเท่ากับว่ามีพันธะให้ห่วงใย คนเป็นอาจารย์ เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาทุกคนล้วนต้องมีความรับผิดชอบต่อชีวิตของลูกศิษย์ตัวเอง”
อาเหลียงปลดกาเหล้าลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ถือโอกาสเล่าเรื่องเก่าๆ เรื่องหนึ่งให้พวกเจ้าฟังไปเลยแล้วกัน ในอดีตมีเซียนกระบี่ผู้เฒ่าคนหนึ่งมาหาผู้เฒ่า ถามว่าเวทคาถานั้นสามารถนำไปเผยแพร่ได้หรือไม่ จะได้สะดวกต่อการนำมาขุดหาตัวพวกผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้มากกว่าเดิม ผู้เฒ่าไม่ตอบตกลง บอกว่าวิชานี้ไม่อาจแพร่งพรายแก่คนนอก ต่อให้เฉินชิงตูออกจากหัวกำแพงเมืองมาขอร้องเขาด้วยตัวเองก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายใช้ประโยคหนึ่งตอกกลับเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่หวังดีทำเพื่อส่วนรวมคนนั้นไปว่า ‘ใครแม่งเป็นคนบอกว่าต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่เท่านั้นถึงจะเป็นเรื่องดี เจ้าฉีจิ้งถิงเป็นคนตั้งกฎหรือไร?’”