กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 668.2 ปิ่นปักผม
เอ่ยลาป๋ายหมัวมัวแล้ว เฉินผิงอันก็พาอาเหลียงและกวอจู๋จิ่วเดินเท้าออกมาจากคฤหาสน์หลบหนาว
อาเหลียงเอ่ย “จู๋จิ่วอ่า ก่อนหน้านี้อาจารย์ของเจ้าพูดถึงคนที่มาดูการเรียนวิชาหมัด พูดถึงแค่ข้า ลืมพูดถึงเจ้า เจ้าเสียใจหรือไม่?”
กวอจู๋จิ่วทำสีหน้ากังขา “อาจารย์ก็พูดไปแล้วไงล่ะ ผู้อาวุโสอาเหลียงท่านไม่ได้ยินหรือ?”
อาเหลียงอึ้งตะลึงไป “ทำไมข้าไม่เห็นได้ยินเลย?”
กวอจู๋จิ่วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าพูดในใจตัวเองแทนอาจารย์ไปแล้ว”
อาเหลียงชมเชย “กวอจู๋จิ่ว จิตแห่งกระบี่นี้ของเจ้าช่างร้ายกาจจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อาเหลียง แล้วปราณกระบี่สิบแปดหยุดนั่นล่ะ จะสอนให้ลูกศิษย์คนนี้ของข้าได้ไหม?”
อาเหลียงกล่าวอย่างจนใจ “ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่าจะสอน แต่จู๋จิ่วไม่สนใจเลยนี่นา”
อาเหลียงลูบเส้นผม “แต่กวอจู๋จิ่วบอกว่าทั้งรูปโฉมและวิชาหมัดของข้าล้วนดีเยี่ยม เอ่ยถ้อยคำที่มาจากใจเช่นนี้ก็คู่ควรให้ท่านอาอาเหลียงทำหน้าหนาสอนสุดยอดเคล็ดวิชานี้ให้นางแล้ว แต่ไม่ต้องรีบร้อน วันหน้าข้าจะไปเป็นแขกที่จวนตระกูลกวอเอง”
กวอจู๋จิ่วมองสบตากับเฉินผิงอันแล้วยิ้มให้กัน
อาจารย์ท่านเข้าใจนะ
อาจารย์อย่างข้าเข้าใจ
กวอจู๋จิ่วไม่กล้าอยู่นาน วันนี้นางแอบปีนกำแพงหนีออกมา ต้องกลับบ้านแล้ว
หลังจากบอกลาอาจารย์และผู้อาวุโสอาเหลียงแล้ว แม่นางน้อยที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่า บนหลังสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กก็วิ่งตะบึงจากไป
อาเหลียงกับเฉินผิงอันไปที่ร้านเหล้าของเตี๋ยจ้าง
อาเหลียงถาม “หลังจากเซียนกระบี่เถาเหวินตายไป เงินเทพเซียนที่แลกเปลี่ยนมาจากผลงานการสู้รบของเขาค่อนข้างมากเลยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันตอบตามตรงไม่ปิดบัง “ข้าก็เอาออกมาส่วนหนึ่งด้วย”
ร้านเหล้า เจ้ามือ เงินเทพเซียนทั้งหมดที่เฉินผิงอันได้มาจากพวกผีขี้เหล้าและนักพนันของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตลอดหลายปีมานี้ บวกกับอาศัยรายได้จากการขายตราประทับ พัดพับที่ร้านของตระกูลเยี่ยน ล้วนคืนให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ในนามมรดกที่เหลือไว้ของเซียนกระบี่เถาเหวินทั้งหมดไม่เหลือแม้แต่เหรียญเงินเกล็ดหิมะเดียว แน่นอนว่าไม่ใช่เถาเหวินที่ต้องการให้เฉินผิงอันทำเช่นนี้ แต่เฉินผิงอันคิดจะทำแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เถาเหวินฝากธุระหลังจากที่ตนตายไว้กับอิ่นกวานหนุ่ม
คิดจะเข้าตาเซียนกระบี่สักคน ไม่ใช่แค่อาศัยว่าหาเงินมาได้มากน้อย หรือเอ่ยถ้อยคำไพเราะเสนาะหูไปเท่าไร
อาเหลียงถามอีก “เงินเทพเซียนมากมายขนาดนั้นไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เจ้ากลับเอาไปวางไว้บนโต๊ะในลานบ้าน ปล่อยให้ผู้ฝึกกระบี่มาหยิบเอาไปง่ายๆ แบบนั้น วางใจได้หรือ? สายอิ่นกวานไม่ได้จับตามองที่นั่นอยู่หรือไร?”
ศึกใหญ่ปิดฉากลงชั่วคราว เรื่องการหลอมกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่จึงเป็นเรื่องสำคัญในสำคัญอีกที การกินเงินของผู้ฝึกกระบี่บนโลกนั้นขึ้นชื่อเรื่องของความไร้เหตุผลมากที่สุด
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้มีเซียนกระบี่ที่กระเป๋าฟีบแบนอยู่มากมายขนาดนั้น
ยิ่งระดับขั้นของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสูงเท่าไร รวมไปถึงขอบเขตของตัวผู้ฝึกกระบี่เองที่ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากตระกูลใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้บนถนนไท่เซี่ยงแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าพูดอีกว่าตัวเองหาเงินมาได้เยอะ
มีเพียงช่วงเวลาที่ไม่ได้เป็นด่านสำคัญในการฝึกตน ในมือของผู้ฝึกกระบี่ถึงจะพอมีเงินเหลือเอามาซื้อเหล้ามาเล่นพนันได้ตามใจชอบ
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ที่ไปหยิบเงินในเรือนของเถาเหวินด้วยตัวเอง บางทีอาจเอาไปแค่ส่วนที่ตัวเองขาดในเวลานี้เท่านั้น แต่ก็ต้องมีผู้ฝึกกระบี่บางคนที่แอบขโมยเงินเทพเซียนไปเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีใครจับตาดูที่นั่น เถาเหวินไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ข้าเองก็ไม่คิดมาก ไม่ใช่เรื่องการค้าขายอะไรสักหน่อย ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยให้มากเกินไป”
อาเหลียงพยักหน้า “ควรจะคิดแบบนี้แหละ ผ่อนคลายสักหน่อย”
เฉินผิงอันปลดปิ่นปักผมหยกขาวที่เสียบอยู่บนมวยผมลงมา
อาเหลียงรับมาไว้ ปล่อยจิตใจให้จ่อมจมอยู่ภายในปิ่น จากนั้นก็หลุดหัวเราะพรืด “ซิ่วไฉเฒ่าตัวดี ตอนนั้นแม้แต่ข้าก็ยังโดนหลอกไปด้วย”
เฉินผิงอันถึงขั้นคร้านจะใช้เสียงในใจพูดคุย เขาเปิดปากพูดตามตรง “การจับคู่ต่อสู้กับหลีเจินก่อนหน้านี้ก็อาศัยปิ่นหยกชิ้นนี้นี่แหละ ถึงสามารถพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ได้ ไม่อย่างนั้นตอนนั้นข้ายังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ไม่มีทางเอาชนะหลีเจินได้เลย”
ปิ่นหยกขาวถูกคลายพันธนาการแล้ว แน่นอนว่าอาเหลียงต้องมองเห็นทุกอย่างปรุโปร่ง
เฉินผิงอันเอ่ย “การไหลรินไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลาตรงกันข้ามกับพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์ส่วนใหญ่ น่าจะประมาณหนึ่งเดือนบนภูเขา หนึ่งปีบนโลกกระมัง”
ปิ่นหยกขาวคือพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์ที่ประหลาดมากแห่งหนึ่ง อาณาเขตไม่ใหญ่ อย่างมากสุดก็ได้แค่บรรจุคนร้อยกว่าคนไว้ภายในเท่านั้น ปราณวิญญาณก็ธรรมดาเหมือนกัน ไม่ถือว่าเป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยพิเศษอะไร แล้วก็ไม่เหมาะให้เป็นสถานที่สำหรับฝึกตนด้วย
อาเหลียงถอนหายใจ “ซิ่วไฉเฒ่าเหนื่อยยากด้วยความหวังดีจริงๆ”
เพื่อลูกศิษย์อย่างฉีจิ้งชุน ซิ่วไฉเฒ่าก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างสุดแสน
มาหลบภัยอยู่ที่นี่ มองมันเป็นห้องหนังสือแห่งหนึ่ง พอจะสามารถอ่านตำราอย่างสงบได้ เวลาผ่านไปร้อยปีหลายร้อยปี ฟ้าดินเปลี่ยนสี ไม่แน่ว่าคราวหน้าที่หวนคืนสู่ใต้หล้าไพศาลอาจได้เห็นทัศนียภาพอีกรูปแบบหนึ่ง
ความตั้งใจเดิมของซิ่วไฉเฒ่านั้นมีความเป็นไปได้มากว่าต้องการถ่วงเวลาให้ถึงตอนที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลัทธิขงจื๊อบุกเบิกเส้นทางของใต้หล้าแห่งที่ห้า มีใต้หล้าใหม่เอี่ยมที่อาณาบริเวณกว้างขวางเพิ่มเข้ามา เปลี่ยนกระดานหมากอันใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม พื้นที่ให้วางเม็ดหมากมีเพิ่มมากขึ้น ความหวังในการมีพื้นที่หยัดยืนของลูกศิษย์อย่างฉีจิ้งชุนก็จะเพิ่มมากขึ้น
ตอนที่ซิ่วไฉเฒ่าออกมาจากสวนป่ากงเต๋อ อาจจะได้เตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เขายินดีจะใช้คุณความชอบในการบุกเบิกฟ้าดินแห่งใหม่มาแลกเปลี่ยนพื้นที่ให้ลูกศิษย์อย่างฉีจิ้งชุนได้หยัดยืนอยู่ในโลกมนุษย์
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “อาจารย์เป็นอาจารย์เช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นทุกวันนี้ข้าที่ปฏิบัติต่อลูกศิษย์ของตัวเองจะกล้าทำอย่างขอไปทีได้อย่างไร ศิษย์พี่เหมาเคยบอกว่าเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกเหมือนเดินบนแผ่นน้ำแข็งมากที่สุดในใต้หล้านี้ก็คือการถ่ายทอดวิชาความรู้ การอบรมสั่งสอนผู้อื่น เพราะไม่รู้เลยว่าประโยคไหนของตัวเองจะทำให้ลูกศิษย์คนใดจดจำขึ้นใจไปตลอดชีวิต”
อาเหลียงคืนปิ่นหยกขาวให้กับเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเสียบปิ่นปักมวยผมไว้อีกครั้ง
ตัวอักษรเล็กๆ แปดตัว คิดถึงวิญญูชน ผู้อ่อนโยนดุจหยก
อาเหลียงสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย อาบแสงอาทิตย์อันอบอุ่น
คนหนุ่มที่อยู่ด้านข้างสวมชุดตัวยาวสีเขียว ปักปิ่นหยกขาวไว้บนมวยผม สวมรองเท้าผ้าพื้นขาว ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
เฉินผิงอันพลันถามว่า “อาเหลียง ต่อสู้ติดต่อกันสองครั้งเลยได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?”
อาเหลียงออกจากหัวเมืองสองครั้ง ครั้งแรกยังนับว่าดี ต่อให้มีเซียนกระบี่นั่งเฝ้าพิทักษ์หัวเมือง แต่ก็ยังพอจะมองเห็นได้คร่าวๆ
แต่การหวนกลับสนามรบครั้งที่สอง มีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่งลงมืออย่างเต็มกำลัง สกัดกั้นฟ้าดิน
เฉินผิงอันจึงอดเป็นกังวลไม่ได้
คิดไม่ถึงว่าอาเหลียงจะส่ายหน้า “ไม่ได้รับบาดเจ็บ แค่ร่ายความสามารถก้นกรุบางอย่าง คราวหน้าที่ลงสนามรบอีกครั้งต้องโดนพุ่งเป้าเล่นงานแน่นอน ก็เหมือนวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินสองเล่มของเจ้า เมื่อคนนอกไม่รู้ มันก็คือกุญแจสำคัญที่จะตัดสินแพ้ชนะ พอรู้แล้ว คราวหน้าที่เอาออกมาใช้ก็ยากที่จะได้ผลลัพธ์ดีดังเดิม เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ได้อยู่ในใต้หล้าไพศาลที่พเนจรไปได้เรื่อยจึงมักจะเจอกับคนแปลกหน้าอยู่เสมอ สนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะว่าใหญ่ก็ใหญ่มาก จะว่าเล็กก็เล็ก ข้ารู้จักคุ้นเคยกับปีศาจใหญ่พวกนั้นเป็นอย่างดี จึงเข้าใจวิธีการคร่าวๆ ของพวกเขากระจ่างแจ้ง อีกทั้งพวกเรายังต้องงัดข้อกับตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ปัญหาอยู่ที่ว่าอีกฝ่ายไม่ขาดสมบัติอาคมหรืออาวุธเซียน ต่อให้ตัวพวกเขาเองไม่มีก็สามารถไปหยิบยืมมาได้”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างตกตะลึง “ขนาดนี้แล้วยังไม่บาดเจ็บอีกหรือ?”
อาเหลียงยิ้มกล่าว “จะลองแสดงให้เจ้าดูไหมล่ะ? พอได้เห็นแล้ว เจ้าก็จะรู้เองว่าทำไมข้าถึงสามารถถอยออกมาอย่างปลอดภัยได้”
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน “อยู่บนถนนใหญ่แบบนี้อย่าเลยดีกว่า”
อาเหลียงบ่น “รอบด้านไร้ผู้คน พวกเราสองคนตาใหญ่มองตาเล็ก แค่แสดงฝีมือให้ดูจะเป็นไรไป?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “หากท่านกล้าแสดง ข้าก็กล้าเรียน”
อาเหลียงหยุดเดิน ใช้ปลายเท้าขยี้พื้นเบาๆ
เฉินผิงอันไม่เข้าใจจึงหยุดเดินตาม ตั้งตารอดู
จู่ๆ บนชั้นสองของเหลาสุราแห่งหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกลก็มีคนตะเบ็งเสียงด่า “เจ้าชาติสุนัข คืนเงินมา! ข้าผู้อาวุโสเคยเห็นคนเป็นเจ้ามือหลอกเอาเงินคนอื่นมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครที่เป็นเจ้ามือแพ้แล้วเผ่นหนีไม่ยอมจ่ายเงินแบบนี้!”
ทันใดนั้นพวกนักดื่มที่นั่งอยู่ตามมุมต่างๆ ก็พากันร้องสนับสนุน ใช้ตะเกียบเคาะชาม ฝ่ามือตบโต๊ะ เสียงเป่าปากดังระงม
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ สีหน้าเป็นธรรมชาติ เรื่องเล็กควบคุมได้สบาย
อาเหลียงยืดคอยาวด่ากลับไป “ข้าผู้อาวุโสไม่คืนเงินก็เพราะช่วยเก็บเงินให้เจ้า เก็บเงินก็คือการเก็บเหล้า มารดาเจ้าเถอะ ยังมีหน้ามาด่าข้าอีกหรือ?”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอึ้งงันพูดไม่ออก
พอร้อนใจขึ้นมาผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็เตรียมจะพ่นน้ำลายให้เต็มหน้าเจ้าชาติสุนัขผู้นั้น
คิดไม่ถึงว่าอาเหลียงจะกระทืบเท้าเบาๆ
ตรงปลายเท้ามีตัวอักษรสีทองผุดขึ้นมาหนึ่งตัว จากนั้นตัวอักษรแต่ละตัวก็ร้อยเรียงกันเป็นวงกลมเล็กๆ อยู่ข้างริมเท้าของอาเหลียง
ล้วนเป็นคำสอนของอริยะ
มีประโยคหนึ่งของปรมาจารย์มหาปราชญ์แห่งลัทธิขงจื๊อเป็นวงกลมเริ่มต้นวงแรก
จากนั้นก็เป็นการบรรยายสัจธรรมแห่งมหามรรคาหยินหยางของลัทธิเต๋า
ต่อมาก็เป็นคัมภีร์เกี่ยวกับฟ้าดินและมนุษย์ของลัทธิขงจื๊อที่ร้อยเรียงต่อกันเป็นวงกลมใหญ่ยิ่งกว่าเดิม คือบทกวีบทความที่แตกต่างกันของการผลัดเปลี่ยนสี่ฤดูกาล
ห้าธาตุ
สิบสองชั่วยาม
ยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาล
ความรู้อันเป็นรากฐานของอริยะปราชญ์เจ็ดสิบสองท่านที่มีเทวรูปตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง
วงกลมอักษรสีทองแต่ละวงผุดจากในไปนอก ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ มากมายจนนับไม่หมด
คัมภีร์แต่ละบทของสามลัทธิร้อยสำนัก หรือไม่ก็เป็นถ้อยคำเริ่มบทถ้อยคำท้ายบทที่มีชื่อเสียง ถ้อยคำที่แสดงให้เห็นถึงความองอาจกล้าหาญของนักประพันธ์ อริยะผู้ทรงคุณธรรม แม่ทัพบู๊ขุนนางผู้มีชื่อเสียง เซียนกระบี่ วีรบุรุษผู้กล้านับร้อยนับพันท่าน ล้วนมาปรากฎอยู่ในตัวอักษรเหล่านี้
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมอง อักษรสีทองพวกนั้นปรากฏเร็วเกินไป และความหมายที่ซ่อนแฝงในแต่ละประโยคก็ยิ่งใหญ่เกินไป เป็นเหตุให้เฉินผิงอันไม่กล้ากะพริบตา
ชั่ววินาทีนั้นตลอดทั้งนครพลันเต็มไปด้วยอักษรสีทองหนาแน่น
เฉินผิงอันถึงขั้นมองเห็นประโยคไพเราะจำนวนไม่น้อยที่ตัวเองเคยแกะสลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่
มองเห็นคำกล่าวมากมายในคัมภีร์พุทธ คัมภีร์สำนักนิติธรรม มองเห็นตัวอักษรที่หลี่ซีเซิ่งเคยเขียนเป็นยันต์ไว้บนผนังเรือนไม้ไผ่
จิตของอาเหลียงขยับเล็กน้อย ภาพเหตุการณ์ประหลาดก็จางหายไป เขายิ้มเอ่ยว่า “แค่เรียนรู้คร่าวๆ ก็พอแล้ว เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าใครก็ไม่อาจกลายเป็นอีกคนหนึ่งได้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าอาเหลียงคืออาเหลียง เสี่ยวฉีคือเสี่ยวฉี เจ้าเฉินผิงอันก็คือเฉินผิงอัน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จากนั้นอาเหลียงก็หันหน้ามองไปทางชั้นที่สอง “เมื่อครู่นี้เจ้าโวยวายว่าอะไรนะ?”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงใจ “อาเหลียง จะดื่มเหล้าหรือไม่ ข้าจะเลี้ยงเอง”
ปากอาเหลียงตอบกลับไปว่า “มารดาเจ้าเถอะ เจ้าเห็นข้าอาเหลียงเป็นคนอย่างไร ข้าเป็นคนที่ชอบติดเงินแล้วยังขอเหล้าคนอื่นดื่มอีกอย่างนั้นหรือ?!”
ทว่าสายตากลับจ้องไปยังผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนนั้นเขม็ง ไม่มีทีท่าว่าจะจากไปแม้แต่น้อย
“แค่นี้ยังไม่พอ!”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าพูดจาเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล มือข้างหนึ่งโบกอย่างแรงก็มีสหายรีบโยนเหล้ากาหนึ่งมาให้ พอผู้ฝึกกระบี่เฒ่ารับเอาไว้ได้แล้วเขาก็เปลี่ยนมาใช้สองมือประคองจับกาเหล้า โยนออกไปนอกหอด้วยท่วงท่าอ่อนโยน “น้องอาเหลียง พวกเราสองพี่น้องไม่ได้เจอหน้ากันมานานมากแล้ว พี่ชายคิดถึงเจ้ายิ่งนัก หากมีเวลาว่างข้าจะไปจัดเลี้ยงโต๊ะใหญ่ที่ร้านเหล้าของเถ้าแก่รอง พวกเรามาดื่มกันให้พอไปเลย!”
หลังจากที่เฉินผิงอันกับอาเหลียงที่ได้เหล้าไปเปล่าๆ กาหนึ่งจากไปแล้ว
ทางฝั่งของหอสุรา ผู้ฝึกกระบี่เฒ่านั่งลงแล้วก็ลูบหนวดยิ้ม “ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ มีใครสามารถทวงหนี้ได้อย่างข้าบ้าง ถึงขั้นทำให้อาเหลียงแสดงค่ายกลใหญ่เพื่อหลบหนี้แบบนี้? พวกเจ้าน่ะเพราะอาศัยใบบุญของข้า ดังนั้นวันนี้ข้าจะไม่ควักเงินจ่ายแล้ว พวกเจ้าใครจะเป็นคนจ่ายเงินล่ะ?”
อาเหลียงที่เดินอยู่บนถนนดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนที่ไม่ว่าจะห้ามอย่างไรคนอื่นก็ยังยืนกรานจะมอบให้ตนกานั้น แล้วพลันเอ่ยว่า “เจ้าบอกเรื่องใหญ่เรื่องนั้นกับแม่หนูหนิงหรือยัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ต้นสายปลายเหตุและผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นล้วนบอกกับนางอย่างชัดเจนแล้ว ข้ารู้สึกว่ายิ่งเป็นคนใกล้ชิดเท่าไรก็ยิ่งควรบอกเรื่องนี้ให้ชัดเจน”
อาเหลียงยิ้มกล่าว “มิน่าเล่าสายเหวินเซิ่งถึงมีเพียงเจ้าที่ไม่ใช่ชายโสด นี่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลนะ”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มไม่รับคำ
ไปถึงร้านเหล้า กิจการรุ่งเรืองมากกว่าที่อื่น ต่อให้โต๊ะเหล้าจะมีอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังไม่มีที่ว่าง คนที่นั่งยองดื่มเหล้าข้างทางมองไปมีมากมาย
อาเหลียงจึงไปนั่งดื่มเหล้าข้างทางกับเฉินผิงอัน ด้านหน้าวางบะหมี่หนึ่งถ้วยและผักดองจานเล็กหนึ่งจาน
รอบด้านมีแต่เสียงจอแจดังวุ่นวาย พวกผีขี้เหล้าน้อยใหญ่ทั้งหลายที่มาดื่มเหล้าที่นี่ล้วนเป็นคนใจใหญ่ หากใจไม่ใหญ่ คาดว่าก็คงไม่เป็นลูกค้าที่กลับมาเยือนอีก ดังนั้นจึงไม่มีใครให้ความสำคัญกับอาเหลียงและอิ่นกวานหนุ่มมากนัก แต่ละคนไม่ทำตัวห่างเหิน
อาเหลียงมือหนึ่งถือถ้วยเหล้า อีกมือหนึ่งคีบผักดองเข้าปากแล้วก็ต้องตัวสั่นเยือก เค็มชะมัดยาด ต้องรีบม้วนบะหมี่หยางชุนคำใหญ่เข้าปากตามไป
ฟังเจ้าพวกนั้นโม้ว่ากับแกล้มของที่นี่อร่อย หลายๆ คนที่เพิ่งถูกลากมาดื่มเหล้าที่นี่ นานวันเข้าก็จะรู้สึกว่ารสชาติของเหล้าดูเหมือนจะไม่เลวจริงๆ
อาเหลียงล่ะอัดอั้นนัก ตอนนี้คนเป็นหน้าม้าไม่ต้องเก็บเงินกันแล้วหรือไร?
เฉินผิงอันใช้สองมือประคองถือถ้วยเหล้าจิบคำเล็กๆ ดื่มหมดไปหนึ่งอึกก็มองไปยังถนนใหญ่ที่ผู้คนเดินกันขวักไขว่
ไปๆ มาๆ เดินๆ หยุดๆ บ้างรีบร้อน บ้างเชื่องช้า
คนข้างกาย พรุ่งนี้อาจจากไป คนที่ออกเดินทางไกล พรุ่งนี้อาจหวนคืนบ้านเกิด