กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 669.1 ได้สามจากสี่
หลินจวินปี้คิดไม่ถึงว่าผังหยวนจี้จะเป็นคนปากมากเหมือนกัน เรื่องที่ตนต้องจากไป ผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ของสายอิ่นกวานจึงรู้กันหมดแล้ว
ฟ้าสางวันนี้ หลินจวินปี้เก็บห่อสัมภาระอย่างเรียบง่าย ไปเดินเที่ยวรอบคฤหาสน์หลบร้อนมาก่อนรอบหนึ่ง สุดท้ายกลับไปที่ห้องโถงใหญ่ ไล่สายตามองไปตามโต๊ะแต่ละตัว
สำหรับผู้ฝึกตนที่ไม่รู้ร้อนหนาวด้านล่างภูเขาแล้ว เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีแค่ดีดนิ้วก็ผ่านไป แต่หลินจวินปี้กลับรู้สึกเหมือนนอนหลับฝันตื่นใหญ่อยู่ที่นี่ และยังถึงขั้นอาลัยอาวรณ์ไม่อยากตื่น
หลินจวินปี้ส่ายหน้า เก็บความคิดทั้งหมดคืนมา รู้สึกเพียงว่าจากไปโดยไม่บอกลาเช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกกระบี่แต่ละคนจะพากันขี่กระบี่มาถึง นอกจากอิ่นกวานหนุ่มแล้ว ทุกคนล้วนมากันครบ แม้แต่กวอจู๋จิ่วก็ยังหิ้วเอาฆ้องมาด้วย
หลินจวินปี้จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ แล้วประสานมือคารวะทุกคน
ยามส่งสหายกลับไป ทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่จำเป็นต้องเลี้ยงเหล้า นี่คือกฎ คนทั้งกลุ่มจึงไปดื่มเหล้าที่ร้านของเถ้าแก่รอง เช้าตรู่เช่นนี้ยังพอจะมีที่ว่างเหลือให้นั่ง ทุกคนต่างก็จิบกันคำเล็กๆ สุราอำลามักจะไม่ดื่มอย่างเต็มคราบ หยุดแค่พอประมาณ หลินจวินปี้ขอป้ายสงบสุขแผ่นหนึ่งมาจากเถ้าแก่ใหญ่เตี๋ยจ้าง เด็กหนุ่มชุดขาวที่เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้วเขียนประโยคหนึ่งว่า ‘หลินจวินปี้เคยมาดื่มเหล้าที่นี่ สามปีฝ่าแค่สามขอบเขตเท่านั้น’ แล้วเอาไปแขวนไว้บนผนังด้วยตัวเอง
แผ่นไม้กับแผ่นไม้ ราวกับผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นสหายกัน
กู้เจี้ยนหลงเอ่ยประโยคที่เป็นธรรมมาคำหนึ่งว่า “ประโยคนี้ของจวินปี้ซุกซ่อนมาดของอิ่นกวานเอาไว้ สองคำว่า ‘เท่านั้น’ ช่างมหัศจรรย์จนเกินบรรยาย”
สุดท้ายหลินจวินปี้ยกถ้วยเหล้าขึ้น กระดกดื่มจนหมด ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ได้อยู่ร่วมกับทุกท่าน ดั่งอยู่ในห้องที่อบอวลไปด้วยกลิ่นดอกจือหลันนานวัน” (เปรียบเปรยถึงการได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมรอบด้าน เหมือนคนที่อยู่ในห้องที่อวลด้วยกลิ่นดอกไม้เป็นเวลานานก็จะมักไม่ได้กลิ่นของมันเพราะความเคยชิน)
หลินจวินปี้เอ่ยกับกวอจู๋จิ่วว่า “วันหน้าเมื่อข้ากลับไปยังบ้านเกิด หากต้องออกเดินทางไกลอีกครั้งจะต้องมีหีบไม้ไผ่และไม้เท้าเดินป่าด้วยแน่นอน”
สุดท้ายทุกคนลุกขึ้นยืนกุมหมัด ไม่ได้ไปส่งหลินจวินปี้ไกลๆ กวอจู๋จิ่วรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้ตีฆ้องของตัวเอง
เด็กหนุ่มชุดขาวที่สะพายเพียงห่อสัมภาระเล็กๆ ไว้บนไหล่เดินออกจากร้านเหล้ามาเพียงลำพัง มุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ของภูเขาห้อยหัว ที่นั่นตั้งอยู่ระหว่างนครกับหอมายา เมื่อเทียบกับประตูเก่าที่มีนักพรตหญิงจากเรือนซือเตาเป็นผู้เฝ้าแล้วยังอยู่ห่างจากนครมากกว่า แล้วก็ครึกครื้นมากกว่า ทุกวันนี้การทำการค้าระหว่างเรือนชุนฟานกับเรือข้ามทวีปทั้งแปดลำของใต้หล้าไพศาล ยิ่งนานวันก็ยิ่งราบรื่น เฉินฉุนอันแห่งทักษินาตยทวีป ตระกูลอวี้ของอวี้เจวี้ยนฟู โจวเสินจืออาจารย์ลุงของเซียนกระบี่ขู่เซี่ย เจียงซ่างเจินเจ้าประมุขคนใหม่ของสำนักกุยหยกใบถงทวีป สำนักใหญ่ทั้งหลายของอุตรกุรุทวีป บวกกับความสัมพันธ์ควันธูปที่เซียนกระบี่ต่างถิ่นมากมายไปผูกไว้กับทวีปใหญ่ของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าต่างก็ออกแรงทั้งในทางแจ้งและทางลับ ดังนั้นผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดที่อิ่นกวานหนุ่มและเซียนกระบี่โฉวเหมียวเป็นกังวลจึงไม่เกิดขึ้น สำหรับสถานการณ์ใหม่ที่เรือข้ามฟากทั้งแปดทวีปสร้างขึ้นมา ศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางไม่สนับสนุน แต่ก็ไม่ได้มีการต่อต้านอย่างโจ่งแจ้ง
ในห่อสัมภาระที่หลินจวินปี้นำมาล้วนเป็นวัตถุรรมดาทั่วไป ตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ที่จัดพิมพ์อย่างประณีตเล่มหนึ่ง พัดพับไม้ไผ่หยกที่ซื้อมาจากร้านตระกูลเยี่ยนเล่มหนึ่ง รวมไปถึงของขวัญเล็กๆ ที่สหายอย่างพวกผังหยวนจี้มอบให้ ของขวัญเบาน้ำใจหนัก หลินจวินปี้รู้สึกยินดีจากใจจริง มีเพียงพวกคนที่ความสัมพันธ์ไม่ดีมากพอเท่านั้นถึงจะเกรงใจกันในเรื่องของการมอบของขวัญ หากเป็นสหายกันจริงๆ กลับกลายเป็นว่าจะเรียบง่ายตามใจมากกว่า
ตลอดทางที่เดินผ่านมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ตรงประตูใหญ่ หลินจวินปี้มองเห็นอิ่นกวานหนุ่มที่ไม่ได้สวมหน้ากาก แล้วยังมีสตรีหน้าตาธรรมดาอีกคนหนึ่งยืนอยู่ ข้างกายของนางคล้ายจะมีกลิ่นหอมเย็นของพืชพรรณธรรมชาติลอยล้อมวน สตรีน่าจะร่ายเวทอำพรางตาปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริง คนที่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มีน้อยจนนับนิ้วได้ เซียนกระบี่ดูแคลนที่จะทำ ผู้ฝึกกระบี่ไม่มีความจำเป็น แน่นอนว่าใต้เท้าอิ่นกวานเป็นข้อยกเว้น ยามอำมหิตขึ้นมา แม้แต่หน้ากากสตรีเขาก็ยังสวมใส่ได้ หากพูดตามคำกล่าวของกู้เจี้ยนหลง อิ่นกวานหนุ่มที่ลงสนามรบด้วยการแต่งกายเป็นสตรีออกกระบี่ เรือนกายยังสะโอดสะองไม่น้อย ประโยคนี้กวอจู๋จิ่วมาได้ยินเข้าก็เท่ากับว่าใต้เท้าอิ่นกวานได้ยินแล้วเหมือนกัน ดังนั้นกู้เจี้ยนหลงจึงเดินกะเผลกไปเดือนหนึ่ง
หลินจวินปี้เดาตัวตนของสตรีออกอย่างง่ายดาย เจ้าของที่อยู่เบื้องหลังสวนดอกเหมยหนึ่งในสี่จวนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขาห้อยหัว ถัวเหยียนฮูหยิน
เรื่องของศิษย์พี่เปียนจิ้ง ถัวเหยียนฮูหยินไม่เพียงแต่ไม่ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย ยังไม่รู้ว่าไปสวามิภักดิ์กับลู่จือได้อย่างไร ภูตห้าขอบเขตบนที่ชื่อเสียงด้านความงามเลื่องลือไปทั้งใต้หล้าไพศาลผู้นี้ทำความดีชดใช้ความผิด ทรัพย์สินทั้งหมดของสวนดอกเหมย หลังจบเรื่องก็ได้ยกให้คฤหาสน์หลบร้อนอย่างเปิดเผย หากจะบอกว่านางคิดใช้แผนสาวงาม ไม่ว่ากับใครก็คงใช้ได้ผล มีเพียงกับอิ่นกวานหนุ่มเท่านั้นที่ไม่ได้ผลแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง ส่วนความวกวนอ้อมค้อมของการเปลี่ยนแปลงภายในสวนดอกเหมย อิ่นกวานหนุ่มไม่ได้เล่าอย่างละเอียด แล้วก็ไม่มีใครคิดจะไปซักไซ้เขาด้วย
เฉินผิงอันบอกว่าเขาจะไปที่เรือนชุนฟานพอดี ถือว่าไปทางเดียวกัน
หลินจวินปี้ย่อมไม่มีความเห็นใดๆ อยู่แล้ว
ใต้เท้าอิ่นกวานในทุกวันนี้ ยามไปกลับระหว่างภูเขาห้อยหัวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรมากนัก อะไรที่ควรรู้ก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ อะไรที่ไม่ควรรู้ ทางที่ดีที่สุดก็คือไม่รู้นั่นแหละดี จากการป้องกันอันเข้มงวดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ ใครที่มีใจ ล่วงรู้เข้า นั่นก็คือปัญหาใหญ่เทียมฟ้า อำนาจของสายอิ่นกวานใหญ่มาก กระบี่บินฆ่าคนไม่จำเป็นต้องอธิบายเหตุผล ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่ชั้นสูงบนถนนไท่เซี่ยงและถนนอวี้ฮู่ ขอแค่ทำตัวเป็นที่น่าสงสัย ถูกคฤหาสน์หลบร้อนหมายหัว สายอิ่นกวานก็สามารถขี่กระบี่เข้าไปเยือนได้ดั่งสถานที่ไร้ผู้คน
สองปีที่ผ่านมานี้ จากรายงานมากมายที่มีเพียงอิ่นกวานคนเดียวที่รับรู้ได้ เมื่อสืบสาวตามเบาะแสไปแล้ว เคยมีการล้อมจับดักสังหารเกิดขึ้นมากมาย หลินจวินปี้เคยเข้าร่วมการล้อมฆ่าด้วยตัวเองถึงสองครั้ง ล้วนเป็นการลงมือกับ ‘พ่อค้า’ ทางฝั่งของหอมายา รัดกุมจนน้ำสักหยดก็ไหลออกไปไม่ได้ ง่ายดายราวกับเอามีดสับผัก มรสุมครั้งหนึ่งได้เกี่ยวพันไปถึงก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่มีชื่อเสียงด้านคุณธรรมสูงส่ง ฝ่ายหลังสร้างกิจการอยู่ในหอมายามานานหลายปี เสแสร้งได้อย่างดีเยี่ยม แล้วก็ยิ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน ฝ่ายของสายอิ่นกวานก็ไม่ยินดีจะอธิบายให้แน่ชัด พื้นที่ครึ่งหนึ่งของหอมายาจึงเกือบจะเกิดจลาจล ผลคือเซียนกระบี่หกท่านที่มีเกาขุยเป็นหนึ่งในนั้นพากันขี่กระบี่ออกมาจากนคร ตั้งแต่ต้นจนจบอิ่นกวานหนุ่มไม่เอ่ยอะไรสักคำ ภายใต้สายตาจับจ้องของคนมากมาย เขายืนเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้ออยู่นอกหอเรือน กระทั่งโฉวเหมียวลากศพออกมานอกประตูถึงได้หมุนตัวเดินจากไป วันนั้นร้านค้าน้อยใหญ่ในหอมายาปิดลงไปถึงยี่สิบสามร้าน กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่คิดจะขัดขวางแม้แต่น้อย ปล่อยให้พวกเขาย้ายไปอยู่ที่ภูเขาห้อยหัว แต่วันต่อมาทุกร้านล้วนได้เปลี่ยนเถ้าแก่คนใหม่
การออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน นับตั้งแต่โฉวเหมียวมาจนถึงต่งปู้เต๋อ แล้วไปจนถึงกวอจู๋จิ่วที่เห็นๆ อยู่ว่ายังเป็นเพียงแม่นางน้อยคนหนึ่ง ล้วนว่องไวคล่องแคล่วทั้งสิ้น
แต่เรื่องสกปรกมากมายก็ใช่ว่าแค่ออกกระบี่อย่างสาแก่ใจก็สามารถแก้ไขได้แล้ว หลินจวินปี้จำได้ว่าอิ่นกวานหนุ่มไปอยู่ที่หอกระบี่นานถึงสิบวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์หลบร้อนก็ไม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พวกผู้ฝึกกระบี่ฟังแบบตรงไปตรงมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพียงเอ่ยว่าได้แก้ไขภัยซ่อนแฝงที่ไม่เล็กอย่างหนึ่งไปได้แล้ว
บางครั้งหลินจวินปี้ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หากสายอิ่นกวานของพวกเรา คฤหาสน์หลบร้อนหลังนี้ของพวกเราเป็นสำนักหนึ่งที่ลงหลักปักฐานอยู่ในใต้หล้าไพศาล จะเป็นอย่างไรนะ?
อิ่นกวานหนุ่มเป็นเจ้าขุนเขา เซียนกระบี่โฉวเหมียวคือผู้คุมกฎ เซียนกระบี่หมี่อวี้รับผิดชอบเรื่องทำเนียบวงศ์ตระกูล เหวยเหวินหลงดูแลเงินทอง ผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ก็สงบใจฝึกกระบี่ของตัวเองไป ขณะเดียวกันแต่ละคนก็ดูแลยอดเขาดูแลสายของตัวเอง แยกย้ายกันแตกกิ่งก้านสาขา อาศัยความชื่นชอบของตัวเองรับลูกศิษย์มา
จะต้องเป็นภาพอันยิ่งใหญ่สง่างามมากแน่นอน อย่างมากสุดไม่ถึงสองร้อยปี ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลล้วนต้องหันมามองพวกเขาเสียใหม่ น่าเสียดายที่นี่เป็นเพียงแค่ความคิดเพ้อฝันของเขาหลินจวินปี้เอง
ถัวเหยียนฮูหยินเงียบงันมาตลอดทาง อย่างมากก็แค่ลอบมองเด็กหนุ่มสองสามครั้งเท่านั้น ‘เปียนจิ้ง’ ผู้นั้นเคยพูดถึงศิษย์น้องเล็กคนนี้ เขาให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายมาก
มาถึงภูเขาห้อยหัว หลินจวินปี้ทำตามคำกำชับในจดหมายลับของอาจารย์ตัวเองด้วยการไปพบกับสหายเก่าของอาจารย์ที่จวนหยวนโหรวก่อน จากนั้นก็จะนั่งเรือข้ามฟากลำหนึ่งกลับไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคืนนี้
อยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ของจวนหยวนโหรว เฉินผิงอันหยิบกล่องไม้ใบหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เอ่ยว่า “บรรจุข้าวของของสหายเก่าที่เคยมาดื่มเหล้าที่ร้านซึ่งจากไปแล้ว เจ้าจงเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี วันหน้าอาจได้นำไปใช้ ข้าหวังแค่ว่าเจ้าจะไม่ทำผิดต่อของที่อยู่ในนี้ อย่าให้ข้ามองคนผิด มอบของสิ่งนี้ให้ผิดคน”
หลินจวินปี้ใช้สองมือรับกล่องไม้มา เดาเอาว่าด้านในน่าจะเป็นป้ายสงบสุขหลายแผ่นที่ปลดมาจากผนังของร้านเหล้า ของขวัญก่อนจากลาชิ้นนี้มีน้ำหนักสำคัญอย่างยิ่ง
ขอแค่หลินจวินปี้มีใจ พอกลับไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาก็สามารถนำมันไปเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์ควันธูปจากแต่ละฝ่ายได้ ชื่อเสียงดีงามในราชสำนักกับชื่อเสียงบนภูเขา ล้วนถือเป็นผลประโยชน์ที่จับต้องได้จริงทั้งสิ้น
หลินจวินปี้เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ใต้เท้าอิ่นกวานโปรดวางใจ วันหน้าจวินปี้จะทำอะไรมีแต่จะยิ่งรู้จักหนักเบา”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “เรื่องหนึ่งก็ส่วนเรื่องหนึ่ง ถูกเรื่องไม่ถูกคน กลับไปถึงราชวงศ์เส้าหยวน หวังว่าเจ้าจะทั้งศึกษาเล่าเรียนและฝึกตนไปได้พร้อมๆ กัน คนผู้หนึ่งเมื่อเข้าไปอยู่ในฝูงชน จากคนที่ใสสะอาดยังกลายเป็นขุ่นมัวได้ง่าย จวินปี้เจ้าต้องไตร่ตรองดูให้มาก”
หลินจวินปี้ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะ “จวินปี้ขออำลาอิ่นกวาน”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน
เฉินผิงอันกับถัวเหยียนฮูหยินมุ่งหน้าไปที่เรือนชุนฟาน หลินจวินปี้มองแผ่นหลังของคนทั้งสอง แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นว่า “วิญญูชนต้องการเงินทองทรัพย์สิน ก็ต้องได้มาด้วยวิธีที่ถูกต้อง ในด้านการค้า จวินปี้ไม่เคยเห็นใครเปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างอาจารย์เฉินมาก่อน”
เฉินผิงอันไม่ได้หันกลับมา เพียงโบกมือให้เขา
หลินจวินปี้มองส่งคนทั้งสองจากไป
ขยับเข้ามาใกล้เรือนชุนฟาน
ถัวเหยียนฮูหยินคลี่ยิ้มหวาน ใช้เสียงในใจเอ่ยกับอิ่นกวานหนุ่ม “หลินจวินปี้จากไปแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นคนอื่นๆ ของสายอิ่นกวานควรจะไปที่ไหนต่อ? จะต้องหนีไปเหมือนกันหรือ?”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึย้อนถาม “หนี?”
ถัวเหยียนฮูหยินหันหน้ามามองอิ่นกวานหนุ่ม ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าขออภัย แต่กลับยืนกรานคำเดิม “ถ้อยคำที่เลือกใช้อาจจะผิดไปบ้าง แต่ความหมายยังคงเป็นความหมายนี้ ขอแค่เป็นคนที่มีชีวิตรอดออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่เรียกว่าหนีได้อย่างไร? แน่นอนว่ายกเว้นอาจารย์ลู่”
เรียกสตรีคนหนึ่งว่าอาจารย์ ใต้หล้าไพศาลถือเป็นการให้ความเคารพอย่างใหญ่หลวง
เฉินผิงอันเอ่ย “ถัวเหยียนฮูหยิน ขนาดสวนดอกเหมยยังมีขาให้วิ่งหนี แล้วเจ้ายังกล้าพูดถึงคนต่างถิ่นของสายอิ่นกวานเราอีกหรือ?”
ถัวเหยียนฮูหยินเปลี่ยนน้ำเสียงพูดเสียใหม่ “บอกตามตรง ข้ายังคงนับถือความกล้าหาญและฝีมือของคนรุ่นเยาว์เหล่านี้อยู่มาก วันหน้ากลับไปยังใต้หล้าไพศาลแล้ว พวกเขาก็น่าจะได้กลายเป็นวีรบุรุษ เป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ร้ายกาจของพื้นที่หนึ่ง การที่พูดจากระทบกระเทียบเช่นนี้ก็เพราะว่าอิจฉา อายุน้อย อีกทั้งเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ย่อมมีความหวังบนมหามรรคา ทำให้เมื่อใดที่คนอื่นได้เห็นก็ล้วนต้องริษยาเมื่อนั้น”
เข้ามาในเรือนชุนฟาน เฉินผิงอันเอ่ยว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงต้องให้เจ้าไปภูเขาห้อยหัวด้วยกัน?”
สายตาถัวเหยียนฮูหยินฉายแววไม่พอใจ กัดริมฝีปาก “เรื่องนี้ข้าจะเดาได้อย่างไร ใต้เท้าอิ่นกวานตำแหน่งสูงอำนาจใหญ่ พูดอะไรก็คืออย่างนั้นแหละ”
เฉินผิงอันพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “หาช่วงเวลาที่คนน้อยๆ เจ้าก็ย้ายทั้งสวนดอกเหมยไปไว้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ซะ อยู่ที่นั่นจะมีประโยชน์ คฤหาสน์หลบร้อนจะช่วยบันทึกคุณความชอบให้เจ้าครั้งหนึ่ง”
ถัวเหยียนฮูหยินบ่น “ขนาดสวนดอกเหมยที่มีแต่เปลือกใต้เท้าอิ่นกวานก็ยังไม่ยอมละเว้นอย่างนั้นหรือ? รังแกสตรีคนหนึ่งเอาจริงเอาจังเช่นนี้คงไม่เหมาะเท่าไรกระมัง? จะให้ข้าเก็บไว้เป็นความทรงจำบ้างไม่ได้เลยหรือ? ในอนาคตพอไปถึงทักษินาตยทวีป ข้าก็ควรจะต้องพยายามสุดความสามารถอันน้อยนิดที่มี ให้อาจารย์ลู่ได้มีสถานที่ฝึกตนที่สงบสุขบ้างกระมัง?”
เฉินผิงอันเอ่ย “มีหรือไม่มีสวนดอกเหมยที่เกะกะตานั่นอยู่ ด้วยนิสัยของลู่จือมีแต่จะเป็นฝ่ายช่วยให้เจ้าตัดขาดบุญคุณความแค้นในอดีต ให้เจ้าได้ฝึกตนอย่างสงบ เจ้าก็อย่าได้ทำอะไรที่เกินความจำเป็นเลย มีเพียงเจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหริน มีกำลังพอให้ปกป้องตัวเองยามอยู่ในใต้หล้าไพศาลได้อย่างแท้จริง ต่อให้ลู่จือไม่อยู่ข้างกาย ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าดูแคลนถัวเหยียนฮูหยิน สำนักศึกษาแต่ละแห่งก็จะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างมีมารยาท”
ถัวเหยียนฮูหยินยังคงไม่พอใจ “ไม่มีบุปผาแสงจันทร์ มีแต่ฟืนข้าวเกลือน้ำมัน ข้าช่างเป็นคนที่ชวนให้กลัดกลุ้มในโลกมนุษย์ที่น่าสงสารนี้จริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ย “คนฉลาดย่อมไม่กล่าวโทษผู้อื่น”
ถัวเหยียนฮูหยินตวัดตามองค้อน ด้วยความงามที่เป็นธรรมชาติ เสน่ห์ของนางจึงแผ่กลิ่นอายอย่างเต็มที่ “เวลาที่อาจารย์เฉินใช้เหตุผลก็ช่างไร้อารมณ์สุนทรีจริงๆ”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “ข้าสนิทกับเจ้ามากหรือ?”
ถัวเหยียนฮูหยินแสร้งทำท่าน่าสงสาร “เซี่ยฮูหยินของร้านเหล้าในนครสนิทกับอาจารย์เฉินมากหรือ?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด เขาถูกอาเหลียงและเถ้าแก่เซี่ยเล่นงานซะแล้ว
ถัวเหยียนฮูหยินเปลี่ยนสีหน้าเป็นใคร่รู้ “ข้าแค่เคยได้ยินมาว่าเซี่ยฮูหยินคนนั้นเคยเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด ภายหลังมหามรรคาขาดสะบั้น กระบี่บินหัก จิตแห่งกระบี่แหลกสลาย เหตุใดถึงได้ชื่นชอบเจ้าอยู่คนเดียว เรื่องนี้เป็นมาอย่างไรกันแน่? รูปโฉมของอาจารย์เฉินคงไม่ถึงขั้นทำให้เซี่ยฮูหยินหลงรักตั้งแต่แรกเห็นหรอกกระมัง หากอาจารย์เฉินยินดีเล่าให้ฟัง เรื่องย้ายสวนดอกเหมย ข้าก็เต็มใจทำแล้ว”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่เคยเจอภูตห้าขอบเขตบนที่ไหนน่าเบื่อขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ
——