กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 669.2 ได้สามจากสี่
เข้าไปในห้องก็เจอแค่เหวยเหวินหลง คนอื่นๆ อย่างเส้าอวิ๋นเหยียน หมี่อวี้และเยี่ยนหมิง น่าหลันไฉ่ฮ่วนกำลังปรึกษาเรื่องการค้ากับพวกผู้ดูแลเรือกลุ่มหนึ่งในห้องโถงใหญ่
ในห้องที่อยู่ติดกันยังมีลูกศิษย์หลายคนของเส้าอวิ๋นเหยียนจากเรือนชุนฟานคอยช่วยคิดบัญชีอยู่
ถัวเหยียนฮูหยินถอนเวทอำพรางตาออก ยืนพิงประตูด้วยท่วงท่าเกียจคร้าน ใบหน้าเปลือยไร้ผงประทินโฉมย่อมทำให้ลดความน่าเกรงขามลง
น่าเสียดายที่เหวยเหวินหลงมองแค่แวบเดียวก็ไม่มองอีก จิตใจไร้ริ้วกระเพื่อม หน้าตาของสตรีผู้นั้นน่ามองก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่น่ารักเท่าสมุดบัญชี
เฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็ดึงสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากในกองสมุดบัญชีที่ทับกันราวกับภูเขา เขาเปิดอ่านรายการบัญชีพลางพูดคุยถึงสถานการณ์การค้าล่าสุดกับเหวยเหวินหลงไปด้วย
ถัวเหยียนฮูหยินอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ยิ่งไม่อาจไปพลิกเปิดสมุดบัญชีพวกนั้นอ่านส่งเดช นางจึงได้แต่นั่งอยู่บนธรณีประตู หันหลังให้ห้อง โน้มตัวไปด้านหน้า ยกสองมือขึ้นเท้าคาง
เหวยเหวินหลงตอบคำถามของอิ่นกวานหนุ่มเสร็จก็หันไปเห็นแผ่นหลังของถัวเหยียนฮูหยินตรงธรณีประตูโดยบังเอิญ แล้วก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายสายตาไปได้อีก
ที่แท้นอกจากสมุดบัญชีแล้วยังมีทัศนียภาพอย่างอื่นอยู่อีกหรือนี่
เฉินผิงอันชำเลืองมองท่าทางผิดปกติของเหวยเหวินหลงแล้วก็ไม่ได้รบกวนการชมทัศนียภาพของเจ้าหมอนี่
ถึงอย่างไรเหวยเหวินหลงก็เป็นชายโสด มองมากหน่อยก็ไม่เป็นไร ไม่แน่ว่ามองไปมองมาอาจฉลาดขึ้นก็ได้
เพียงแต่เฉินผิงอันเพิ่งจะเปิดบัญชีไปได้สองหน้า เหวยเหวินหลงก็คืนสติแล้ว ดูเหมือนจะยังคงรู้สึกว่าสมุดบัญชีบนโต๊ะค่อนข้างน่าสนใจมากกว่าอยู่ดี
หมี่อวี้กลับมาจากห้องโถงปรึกษางานเพียงลำพัง เดินผรุสวาทมาตลอดทาง เพราะถูกพวกผู้ดูแลเรือข้ามฟากที่ในสายตามีแต่เงินทำร้ายจิตใจ คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องน่ายินดีไม่คาดฝัน ได้พบถัวเหยียนฮูหยิน ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ราวกับมีลมพาให้ร่างล่องลอย สีหน้าสดชื่นมีชีวิตชีวาทันควัน
คิดไม่ถึงว่าถัวเหยียนฮูหยินจะลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว ปฏิเสธเขาให้ห่างไปไกลพันลี้ ไม่เปิดโอกาสให้หมี่อวี้ได้พูดคุยตีสนิทแม้แต่น้อย นางเอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “หากใต้เท้าอิ่นกวานเชื่อใจ ข้าจะไปย้ายสวนดอกเหมยด้วยตัวเองตอนนี้เลย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ร่างของถัวเหยียนฮูหยินจึงเปล่งวูบหายไป
หมี่อวี้ยืนอยู่ตรงหน้าประตู โบกมือพัดลมเย็นๆ เข้าหาตัวเบาๆ ยิ้มพูดกับเหวยเหวินหลงว่า “เจ้าห่านทึ่ม ก่อนหน้านี้เจ้าคงกินลมชมทิวทัศน์จนอิ่มเลยสินะ? หากข้าเป็นเจ้านะ ป่านนี้คงสอบถามถัวเหยียนฮูหยินด้วยความจริงใจไปแล้วว่าต้องการสองมือของข้าไปเป็นม้านั่งตัวเล็กหรือไม่”
เหวยเหวินหลงไร้คำพูดตอบโต้
เฉินผิงอันลุกขึ้นออกไปเดินเล่นในเรือนชุนฟานกับหมี่อวี้ วันนี้มีพ่อค้าสองกลุ่มจับมือกันมาเยือนถึงเรือน เฉินผิงอันคิดว่าจะไปเข้าฟังการประชุมครั้งที่สองด้วยตัวเอง รอให้ผู้ดูแลเรือกลุ่มแรกแยกย้ายกันก่อนแล้วค่อยไปที่โถงประชุมงาน
หมี่อวี้เอ่ยประโยคหนึ่งที่อยู่เหนือจากการคาดการณ์ “ถัวเหยียนฮูหยินแห่งสวนดอกเหมยคนนี้ก็เป็นสตรีที่มีชะตาชีวิตรันทด ดังนั้นพอเห็นคนแบบข้าก็เลยรังเกียจที่สุด”
เฉินผิงอันไม่ได้ห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘หาวเหลียง’ ลูกนั้นเอาไว้ สองเซียนกระบี่อย่างหมี่อวี้หมี่ฮู่ เรื่องในบ้านของพวกเขาสองพี่น้อง ในเมื่อหมี่ฮู่ตัดสินใจแล้ว เขาเฉินผิงอันก็ไม่คิดจะวาดงูเติมขา
หมี่อวี้พลันเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยกล้ากลับไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร”
เฉินผิงอันจึงได้รู้ว่าที่แท้เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้รู้ชัดเจนถึงความตั้งใจของหมี่ฮู่ผู้เป็นพี่ชายของตัวเองดี
หมี่อวี้เงียบไปพักใหญ่ “แต่ก็ยังต้องกลับไป หลบเลี่ยงอย่างไรก็หลบไม่พ้น”
เฉินผิงอันถึงได้หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นออกมาส่งให้หมี่อวี้
หมี่อวี้แค่ชำเลืองตามองแล้วก็ส่ายหน้า “พี่ชายข้ามอบให้ท่าน จะเอามาให้ข้าทำไม ใต้เท้าอิ่นกวาน ท่านเก็บไว้เถอะ พี่ชายข้าจะได้วางใจ ถึงอย่างไรกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของข้าก็ไม่จำเป็นต้องบำรุงด้วยความอบอุ่นอยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้ว”
ก่อนหน้านี้ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวาน หมี่อวี้กับผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ผลัดกันลงสนามรบไปเข่นฆ่าอยู่หลายครั้ง เขาออกแรงเต็มกำลังก็จริง แต่หมี่อวี้กลับไม่กล้าต่อสู้จนลืมความตายอย่างแท้จริง เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เพราะหากเขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ถึงเวลานั้นคนที่ช่วยเขา คนที่ต้องตายก่อนก็มีแต่พี่ชายของเขา
เฉินผิงอันเตะหมี่อวี้ “ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับไปซะ”
หมี่อวี้ออกไปจากเรือนชุนฟาน
หลังจากผู้ดูแลเรือกลุ่มแรกที่มาปรึกษางานในห้องโถงแยกย้ายกันไปแล้ว พวกเส้าอวิ๋นเหยียนสามคนต้องไปส่งแขก เฉินผิงอันถึงได้เดินเข้ามาในห้องโถงที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน
รอกระทั่งเส้าอวิ๋นเหยียน เยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วนที่จากไปหวนกลับมา เฉินผิงอันไม่ได้นั่งลงบนตำแหน่งประธาน แต่นั่งในตำแหน่งของหมี่อวี้ อยู่ใกล้กับเยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วน
เส้าอวิ๋นเหยียนจึงนั่งลงฝั่งตรงข้าม
น่าหลันไฉ่ฮ่วนรายงานความคืบหน้าด้านการค้ากับเรือข้ามฟากทั้งแปดทวีปอย่างละเอียด เรื่องเกี่ยวกับเงินเทพเซียนของธวัลทวีปยังคงเป็นเรื่องที่เป็นปัญหามากที่สุด สกุลหลิวของธวัลทวีปไม่เคยแสดงท่าทีที่ชัดเจน ยามพูดถึงเรื่องนี้น่าหลันไฉ่ฮ่วนก็เต็มไปด้วยความกังวล จากนั้นก็มีสีหน้าขุ่นเคือง “ไม่สู้แย่งชิงจวนหยวนโหรวนั่นมาโดยตรงเลย? ไม่ใช่ของที่ผ่านการหล่อหลอมอย่างสวนดอกเหมยและเรือนชุนฟานแล้วอย่างไร รื้อทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง พวกก้อนหินเสาคานที่สร้างศาลาหอเก๋งทั้งหลายล้วนเป็นเงินเทพเซียนทั้งนั้น! ถึงอย่างไรสกุลหลิวก็ไม่คิดจะย้ายเอาไปอยู่แล้ว คนจากไปเรือนก็ว่างเปล่า แทบจะถือว่าเป็นสิ่งของที่ไร้เจ้าของได้แล้ว อย่างมากก็แค่ให้เจียงเกาไถผู้ดูแลเรือหนันจีนำความไปบอกสกุลหลิวธวัลทวีปเป็นการส่วนตัว ถือเสียว่าพวกเรารับน้ำใจมาจากพวกเขา วันหน้าก็ให้เซียนกระบี่อย่างพวกเซี่ยซงฮวาช่วยใช้คืนให้ก็ได้แล้ว”
เส้าอวิ๋นเหยียนได้แต่ยิ้มเฝื่อน ช่างเป็นจินตนาการที่บรรเจิดนัก
พูดแค่เรื่องเดียว เซียนกระบี่อย่างเซี่ยซงฮวา ไม่ว่าใครก็โน้มน้าวนางได้หรือ?
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะเอ่ยว่า “ยังไม่ต้องรีบร้อน เรื่องรื้อถอนต้องทำแน่ คาดว่าสกุลหลิวแห่งธวัลทวีปก็คงรอให้พวกเราไปรื้อจวนหยวนโหรวอยู่ พวกเขาก็แค่นั่งอยู่ในบ้านรอให้พวกเราเอาน้ำใจนี้ไปส่งให้ถึงที่ ทว่าเพื่อนก็ส่วนเพื่อน ค้าขายก็ส่วนค้าขาย พวกเราเองก็ต้องคิดถึงเซียนกระบี่ที่ช่วยเหลือพวกเราซึ่งรวมถึงเซี่ยซงฮวาเป็นหนึ่งในนั้นให้ดีก่อนว่า พวกเขาควรจะได้รับอะไรเป็นการตอบแทนจากการแบกรับเรื่องนี้แทนพวกเรา ต้องเอาของอะไรออกมาจากหอโอสถบ้าง หรือควรจะให้คฤหาสน์หลบร้อนนำของเชลยศึกที่เก็บได้ออกมา วันหน้าพวกเจ้าสามคนก็ช่วยกันวางแผน ถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องสอบถามคฤหาสน์หลบร้อนแล้ว แค่แจ้งผลลัพธ์มาตามตรงก็พอ”
เยี่ยนหมิงถาม “เรื่องที่ลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงซื้อเรือนถิงอวิ๋น จะหมายความว่าพวกเราจะมีเส้นทางการเดินเรือเพิ่มมาอีกเส้นหนึ่งหรือไม่? เท่ากับว่าได้ผูกสัมพันธ์กับสำนักกุยหยกของใบถงทวีป? ใบถงทวีปมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ หากสามารถให้เรือข้ามฟากหลายลำของนครมังกรเฒ่าขนส่งทรัพยากรทั้งหมดมายังภูเขาห้อยหัวอย่างเต็มกำลังได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีทรัพยากรเพิ่มขึ้นมาอีกสองส่วน”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ได้แต่หยุดลงเพียงเท่านี้ การที่เจียงซ่างเจินส่งเงินเทพเซียนพวกนั้นมาโดยใช้สถานะของเจ้าประมุขสกุลเจียง เดิมทีก็เป็นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งอยู่แล้ว”
แม้จะบอกว่าทุกวันนี้เจียงซ่างเจินเป็นเจ้าประมุขคนใหม่ของสำนักกุยหยกแล้ว ทว่าสวินยวนขอบเขตบินทะยานคนใหม่ล่าสุดของใบถงทวีปย่อมไม่มีทางตอบตกลงกับเรื่องนี้แน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับที่เจียงซ่างเจินเองก็ไม่ได้เสียสติ
หากเจียงซ่างเจินกล้าเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้เสียงานส่วนรวมจริงๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะต้องสูญเสียตำแหน่งเจ้าสำนักไปทันที
สวินยวนทำเรื่องแบบนี้ได้แน่นอน ไม่แน่ว่าแม้แต่เจ้าประมุขสกุลเจียงก็อาจถูกเปลี่ยนคน พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาก็จะถูกเปลี่ยนเทพเทวดาไปด้วย
อยู่ตำแหน่งใดก็ทำหน้าที่ของตำแหน่งนั้น สำหรับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทุกคนแล้วล้วนเป็นหลักการเหตุผลใหญ่เทียมฟ้าที่ไม่อาจอ้อมผ่านไปได้
ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาก็มีผลได้ผลเสียของผู้ฝึกตนอิสระ เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลก็มีผลประโยชน์และความเสียหายของเซียนซือ
จู่ๆ ถัวเหยียนฮูหยินก็มาปรากฏตัวนอกประตูใหญ่ ในมือนางถือสวนกระถางใบหนึ่ง ในกระถางมีอาคารหอเรือน มีต้นไม้เขียวชอุ่ม ทุกรายละเอียดยิบย่อยล้วนปรากฏให้เห็นชัดเจน
สวนกระถางเล็กๆ ใบหนึ่งก็คือสวนดอกเหมยทั้งแห่งแล้ว แตกต่างจากในความคิดของเฉินผิงอันที่นึกว่าการย้ายเรือนต้องระดมกำลังยิ่งใหญ่ไปมาก
คาดว่านี่ก็คงเป็นสถานที่เงียบสงบในโลกมนุษย์ ป่าเขาขนาดเล็กบนฝ่ามือที่เรียกขานกันกระมัง
ถัวเหยียนฮูหยินยืนอยู่ตรงประตู โยนสวนกระถางให้อิ่นกวานหนุ่มเบาๆ ยิ้มถามว่า “เกี่ยวข้องกับโซ่วเฉินใช่หรือไม่?!”
พวกเส้าอวิ๋นเหยียนมึนงงไม่เข้าใจ
เฉินผิงอันเก็บสวนกระถางใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ เอ่ยว่า “อันที่จริงข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ เจ้าสามารถถามลู่จือเอาได้”
เส้าอวิ๋นเหยียนรอให้ถัวเหยียนฮูหยินเดินยักย้ายจากไปไกลแล้วก็เอ่ยสัพยอกว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ สี่จวนส่วนตัวขนาดใหญ่ในภูเขาห้อยหัวก็เหลือแค่ตำหนักสุ่ยจิ่งของสำนักอวี่หลงที่ยังไม่เป็นของพวกเราน่ะสิ”
เยี่ยนหมิงเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “ในเมื่อชอบดูเรื่องสนุก ชอบพูดจาเหน็บแนมก็ดูเสียให้พอ พูดเสียให้พอ”
น่าหลันไฉ่ฮ่วนมองไปทางด้านนอกของประตูใหญ่ นึกถึงสีหน้าและพฤติกรรมของผู้ฝึกตนตำหนักสุ่ยจิงและสำนักอวี่หลงขึ้นมาก็หัวเราะเสียงหยัน “ผู้ฝึกตนที่บริสุทธ์ไม่รู้เรื่องราวมีมากมายขนาดนั้น หากพวกเราไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ วันหน้ากำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราต้องโดนด่าว่าไม่สมกับเป็นผู้ฝึกกระบี่ ไม่คู่ควรเป็นเซียนกระบี่แน่ๆ หากใต้เท้าอิ่นกวานไม่ขัดขวาง ข้าก็จะไปบอกเตือนตำหนักสุ่ยจิงด้วยความหวังดีสักหน่อยว่าให้รีบย้ายสำนักออกไปซะ ไปเสพสุขกันอยู่ที่อื่น สูญเสียทรัพย์สมบัติบางส่วนไป ถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่มีชีวิตเหลืออยู่แล้ว”
เฉินผิงอันไม่คิดจะร่วมวงสนทนาเรื่องนี้ด้วย
กระทั่งเส้าอวิ๋นเหยียนลุกขึ้นไปต้อนรับผู้ดูแลเรือข้ามฟากกลุ่มที่สอง
น่าหลันไฉ่ฮ่วนถึงได้สังเกตเห็นว่าไม่มีเงาร่างของอิ่นกวานหนุ่มอยู่แล้ว
ต่อให้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้ในระยะประชิด แต่น่าหลันไฉ่ฮ่วนที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ยังสัมผัสถึงอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่น้อย ไม่มีริ้วคลื่นลมปราณให้จับได้สักเสี้ยวเดียว
การปรึกษาธุระต่อจากนั้นกินเวลานานครึ่งชั่วยาม ส่วนใหญ่เป็นทั้งสองฝ่ายที่โต้คารมกันไปมา
เส้าอวิ๋นเหยียนเถียงจนหน้าแดงก่ำ น่าหลันไฉ่ฮ่วนทำตัวเป็นคนเลว เยี่ยนหมิงไกล่เกลี่ยแบบลำเอียง
อันที่จริงเฉินผิงอันก็นั่งอยู่ด้านหลังเก้าอี้ของหมี่อวี้อยู่ตลอดเวลา มองดูทั้งสองฝ่ายต่อรองราคากันเงียบๆ
ยิ่งนานฟ้าดินเล็กของนกในกรงยิ่งแคบลงทุกที ทว่ากฎเกณฑ์ของฟ้าดินเล็กกลับยิ่งเข้มข้นรุนแรงมากขึ้น
เมื่อเฉินผิงอันเก็บวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเล่มนี้รวบรวมเข้าไปไว้ในพื้นที่ของวัตถุจื่อชื่อ ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดอย่างน่าหลันไฉ่ฮ่วนก็ยังไม่รู้ตัว
รับมือกับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่นอกเหนือจากสี่ผีใหญ่ตอแยยากแล้ว ขอแค่ต่ำกว่าห้าขอบเขตล่างลงมา อาศัยซ่งเจิน ไฮเหลยหรือยันต์ฟางชุ่นและเรือนกายของผู้ฝึกยุทธ จะขี่กระบี่ทะยานลมก็ได้ทั้งนั้น สามารถดึงระยะห่างของสองฝ่ายเข้ามาใกล้กันในชั่วพริบตา ร่ายนกในกรงออกมา เก็บนกในกรง เผชิญหน้ากับอีกฝ่าย หนึ่งหมัด ทุกอย่างสิ้นสุด
ผู้ดูแลเรือข้ามฟากคนหนึ่งที่ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมครั้งแรกในเรือนชุนฟานเถียงจนหน้าดำหน้าแดง ตบโต๊ะที่อยู่ข้างมือจนฝาถ้วยชากระเทือนขึ้นมา พูดอย่างเดือดดาลว่า “มีใครเขาทำการค้าอย่างพวกเจ้าบ้าง หั่นราคาราวกับเสียสติอย่างนี้! ต่อให้ใต้เท้าอิ่นกวานมานั่งอยู่ตรงนี้ เผชิญหน้ากัน ข้าผู้อาวุโสก็ยังยืนกรานประโยคนี้ ทรัพยากรของเรือข้ามฟากลำนั้นของข้า พวกเจ้าอยากซื้อก็ซื้อ หากเรือนชุนฟานยังหั่นราคาเหมือนฆ่าคนแบบนี้ ทำให้ข้าผู้อาวุโสโมโห…ข้าผู้อาวุโสก็คงไม่กล้าทำอะไรพวกเจ้าหรอก ข้าล่ะกลัวเซียนกระบี่อย่างพวกเจ้าจะตายแล้ว พอใจไหม? อย่างมากข้าก็แค่แทงตัวเองก่อนทีหนึ่งแล้วก็อยู่พักรักษาตัวที่นี่ไปเสียเลย ถือเป็นคำอธิบายให้ทั้งเรือนชุนฟานและทั้งสำนักของตัวเอง…”
เยี่ยนหมิงนวดคลึงจุดไท่หยาง อันที่จริงการค้าครั้งนี้ใช่ว่าจะไม่มีพื้นที่เหลือให้พูดคุยกัน ตามราคาที่เรือนชุนฟานเสนอไป อีกฝ่ายยังได้กำไรไปไม่น้อย แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายก่อกวนส่งเดช ความบันเทิงของคนทำการค้าก็อยู่ที่ตรงนี้
เยี่ยนหมิงไม่ได้รู้สึกรังเกียจ เพราะอย่างไรทำการค้าก็ต้องพูดภาษาการค้า เพียงแต่พวกจิ้งจอกเฒ่าเหล่านี้มากลุ่มหนึ่งแล้วยังมาอีกเรื่อยๆ ทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ แต่ละครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ สุดท้ายก็ยังทำให้คนเหนื่อยใจได้อยู่ดี
น่าหลันไฉ่ฮ่วนคลี่ยิ้มมีเลศนัย
จากนั้นผู้ดูแลเรือหลายสิบท่านก็พากันหันไปมองตรงจุดหนึ่ง เรือนกายสูงเพรียวของคนผู้หนึ่งโผล่ขึ้นมากลางอากาศ
ทุกคนพากันลุกขึ้นยืนในทันที
ฝั่งตรงข้ามมีคนหนุ่มผู้หนึ่งสอดสองมือประสานไว้ด้วยกัน วางสองมือทับลงด้านบนของพนักเก้าอี้กลม ยิ้มเอ่ย “มีดเล่มเดียวไม่พอ ข้ามีสองเล่ม แทงเสร็จแล้วอย่าลืมคืนให้ข้าด้วย”
แม้ว่าน่าหลันไฉ่ฮ่วนจะรู้สึกแค้นเคืองอิ่นกวานหนุ่มมาโดยตลอด แต่ก็จำต้องยอมรับว่า บางครั้งคำพูดของเฉินผิงอันก็ทำให้คนกระปรี้กระเปร่าได้จริงๆ
พวกผู้ดูแลเรือข้ามฟากที่ก่อนหน้านี้เคยพูดคุยกับอิ่นกวานหนุ่มมาก่อนได้บอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเองอย่างนอบน้อม จากนั้นกุมหมัดคารวะ “คารวะอิ่นกวาน!”
ผู้ดูแลเรือที่ก่อนหน้านี้โหวกเหวกว่าจะแทงตัวเองเหมือนถูกฟ้าผ่า ยืนอึ้งไร้คำพูด
แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้ทำให้ผู้ดูแลเรือคนนี้ลำบากใจ กลับกันยังเป็นฝ่ายยอมยกผลประโยชน์ให้อีกฝ่ายส่วนหนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไปจากห้องโถงใหญ่
ออกจากเรือนชุนฟานกลับกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้ เฉินผิงอันไม่ได้อ้อมระยะทางไปไกลเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา แต่เดินตรงไปยังประตูบานแรกสุด
ยังคงเป็นนักพรตน้อยที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเบาะรองนั่ง พอเห็นเฉินผิงอัน นักพรตน้อยก็ไม่เงยหน้า
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตูใหญ่ไม่ได้ปรากฏตัว และเฉินผิงอันก็ไม่ได้ไปทักทายเซียนกระบี่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีที่ชื่อว่าจางลู่ผู้นั้น
——