กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 673.2 ชีวิตคนฝันซ้อนฝัน
เฒ่าหูหนวกบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลเหล่านี้ แม้ว่าจะถือว่ามีอำนาจมาก แต่กลับเป็นแมลงน่าสงสารที่เดินไปสุดปลายทางบนมหามรรคา หากร่างทองเกิดการเสื่อมสลายผุเปื่อย ต่อให้มีแค่ตำหนิเพียงเสี้ยวเดียว นั่นก็หมายความว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งกำลังจะเดินไปสู่ความพินาศอย่างเป็นทางการ ไม่มีโอกาสที่จะพลิกฟื้นสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันเอ่ยคำหนึ่งขึ้นมาว่า บุญบารมี
เฒ่าหูหนวกพยักหน้าเอ่ย “นี่ก็คือวิธีการชดเชยแก้ไขที่อริยะของสามลัทธิมีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในรุ่นหลัง แล้วก็เป็นกุญแจสำคัญในการทำให้แผ่นดินของใต้หล้าทั้งหลายมั่นคง”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่อันดับแรกได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก ต่อมาจึงได้รับการยอมรับจากสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ ถือเป็นเสาคานสำคัญที่เชื่อมโยงล่างภูเขากับบนภูเขาของใต้หล้าไพศาลเสมอมา ทำให้คนธรรมดาและผู้ฝึกตนไม่ถึงขั้นต้องตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ปะทะกันซึ่งหน้าตลอดเวลา ศาลเถื่อนในหลายๆ พื้นที่ที่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามถึงทำให้ทางราชสำนักไม่ไปสืบสาวราวเรื่อง สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อก็ไม่ซักไซ้เอาผิด แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะพวกเขาเห็นแก่คุณความชอบจากการที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเถื่อนเหล่านั้นช่วยชดเชยแก้ไขขนบธรรมเนียมประเพณีพื้นบ้าน ช่วยโน้มน้าวให้คนเป็นคนดี
เมื่อเดินไปถึงจุดหนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งมีเรือนกายสูงใหญ่มาก ร่างครึ่งหนึ่งจมหายเข้าไปในทะเลเมฆ ไม่สามารถมองเห็นรูปโฉมทั้งหมดได้
เฉินผิงอันงอสองเข่าเล็กน้อยแล้วพลันออกแรง ดีดตัวขึ้นสูงพุ่งไปยังทะเลเมฆ
สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ชุดตัวยาวปลิวสะบัด ก้าวเดินออกไปบนทะเลเมฆ ในที่สุดก็มองเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีสีหน้าเคร่งขรึมองค์นั้น เท้าของเฉินผิงอันเหยียบอยู่บนกระบี่บินซงเจิน ไฮเหลย ลอยตัวอยู่เหนือก้อนเมฆ
อารมณ์ของเฉินผิงอันพลันเคร่งเครียด “ผู้ฝึกกระบี่อวี่ซื่อคนนั้น?”
เหนือทะเลเมฆที่รายล้อมสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นี้เอาไว้มีหยดน้ำสีเขียวมรกตที่ฟูมฟักขึ้นมาตามธรรมชาติก่อตัวขึ้นมากถึงร้อยกว่าหยด ความเข้มข้นของโชคชะตาน้ำนั้นช่างน่าเหลือเชื่อ เห็นได้ชัดว่าไม่เคยผ่านการหล่อหลอมมาก่อน ทว่าระดับขั้นกลับใกล้เคียงโอสถวารีที่มาจากศาลจวนวารีแห่งหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าไม่สามารถเทียบเคียงกับโอสถวารีของเสิ้นเจ๋อขวดที่ฮว่อหลงเจินเหรินมอบให้ได้ ทว่าวัตถุอย่างไข่มุกน้ำนี้ สำหรับเทพวารี แม่ย่าลำคลองแห่งใดก็ตามบนโลก รวมไปถึงผู้ฝึกตนที่ฝึกวิชาน้ำแล้ว เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า ประเด็นสำคัญคือได้มาครองง่าย มีมากมายไม่ขาดสาย ไม่ว่าสำนักใดก็ล้วนน้ำลายสออยากครอบครอง
พูดถึงแค่สำนักอวี่หลงที่อยู่ติดกับร่องเจียวหลงแห่งนั้น หากสามารถย้ายเอาองค์เทพนี้ไปไว้ที่สำนักแล้วสร้างให้เป็นแกนกลางรากฐานของค่ายกลใหญ่แห่งขุนเขาสายน้ำ กำลังอำนาจของสำนักก็จะสามารถยกระดับขึ้นไปอีกหนึ่งขั้นใหญ่ๆ ได้แล้ว
การที่จิตของเฉินผิงอันสัมผัสกับองค์เทพนี้ได้เป็นเพราะเขารู้สึกว่ามีกลิ่นอายคล้ายคลึงกับผู้ฝึกกระบี่หนุ่มอวี่ซื่อ
เฒ่าหูหนวกที่ยืนอยู่ด้านข้างพยักหน้ารับ “มีประวัติความเป็นมา อิ่นกวานไม่เสียแรงที่เป็นอิ่นกวาน ใต้คมกระบี่ไม่สังหารคนไร้ชื่อเสียงจริงๆ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “กระโจมเจี่ยเซินเล็กๆ กลับมีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนถึงเพียงนี้”
เฒ่าหูหนวกเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ใต้เท้าอิ่นกวานคว้าชัยชนะในศึกสามครั้งติด ใต้หล้าของบ้านเกิดก็อาจจะไม่เชื่อเสมอไปนะ”
เฉินผิงอันถาม “คุกน้ำของเด็กหนุ่มคนนั้นมาจากการสั่งสมของไข่มุกน้ำพวกนี้หรือ?”
เฒ่าหูหนวกคร้านจะปิดบังรายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้ จึงยอมรับอย่างผึ่งผาย
ในเรื่องของการเลี้ยงมังกร ธรณีประตูสูงเกินไป จะต้องหาเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่มีค่าพอให้อบรมปลูกฝังให้เจอก่อน แล้วค่อยใช้เวทเลี้ยงมังกร จากนั้นยังต้องมีวิธีสร้างบ่อมังกรอีกด้วย
โชคดีที่เฒ่าหูหนวกล้วนไม่ขาดสิ่งเหล่านี้
เส้นทางการฝึกตนของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานทุกคนบนโลกสามารถนำมาแต่งเป็นนิยายเรื่องเล่าประหลาดที่เปี่ยมไปด้วยสีสันตระการตาได้จริงๆ
เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “หากผู้อาวุโสลงมือ ผู้ฝึกตนเฒ่าปีศาจพวกนั้นจะตายอย่างไร?”
เฒ่าหูหนวกตอบรับง่ายๆ “ง่ายดายเพียงขยี้นิ้ว”
ใช้ตบะขอบเขตบินทะยานที่เสินชี่สมบูรณ์พูนล้นมารับมือกับพวกนักโทษที่อย่างมากสุดขอบเขตก็ไม่เกินเซียนเหรินพวกนั้น เฒ่าหูหนวกนั่งเฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้จึงช่วงชิงฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคีมาได้ทั้งหมด จึงง่ายดายเพียงขยี้นิ้วจริงๆ
ผู้เฒ่าเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “หากเป็นพวกปากมาก ด่าคนแล้วขอร้องให้ไว้ชีวิต ก็จะตายช้าหน่อย อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็ได้เรียนรู้วิธีลอกหนังพันเส้นเอ็นบางส่วนมาจากแม่นางน้อยคนนั้น”
เฉินผิงอันพึมพำกับตัวเองว่า “อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานจนเกือบลืมไปแล้วว่าเซียนกระบี่คือเซียนกระบี่ ปีศาจใหญ่ก็คือปีศาจใหญ่”
ยังจำการเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปในปีนั้นได้ดี ภาพเหตุการณ์ตอนที่ได้พบจีเยว่เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรครวญครั้งแรก นั่นต้องเรียกว่าระมัดระวังทุกย่างก้าว เหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบางๆ เดินผิดก้าวหนึ่งก็จะต้องจมสู่ห้วงแห่งหายนะมิอาจหวนคืน
ย้อนไปไกลยิ่งกว่านั้น ตอนที่อยู่บนเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยว อาศัยบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำมาชมการถามกระบี่สามครั้งระหว่างสวนลมฟ้ากับภูเขาตะวันเที่ยง ฉากสุดท้ายที่หลี่ถวนจิ่งขอบเขตก่อกำเนิดเก็บกระบี่ช่างสง่างามเปี่ยมบารมี
หรือไกลยิ่งกว่านั้นก็คือค่ำคืนที่ฝนใหญ่ตกกระหน่ำไปพักค้างแรมในจวนโบราณ แล้วได้เจอกับ ‘ปีศาจใหญ่’ ห้าขอบเขตกลางของแคว้นกู่อวี๋
สมกับคำว่าม้าขาวควบผ่านช่องแคบ เวลาผ่านไปเพียงชั่วพริบตาจริงๆ
เฉินผิงอันเอ่ย “ผู้อาวุโสเชิญเก็บโชคชะตาน้ำส่วนนี้ได้ตามสบาย ข้าสามารถหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งได้”
เฒ่าหูหนวกดึงเอาไข่มุกหยดน้ำสีเขียวมรกตหลายสิบเม็ดมาต่อหน้าเฉินผิงอัน แล้วใช้วิชาจักรวาลชายแขนเสื้อเก็บไว้ในกระเป๋า น่าจะเป็นส่วนที่มีโชคชะตาน้ำเปี่ยมล้นสมบูรณ์ที่สุด
จากนั้นเฉินผิงอันก็เปิดปากขอไข่มุกน้ำจากอีกฝ่ายมาครึ่งหนึ่ง ส่วนใหญ่เขาเก็บไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เหลือหยดน้ำแค่สามหยดเอาไว้เท่านั้น ครั้นจึงนั่งขัดสมาธิ เริ่มทำการหล่อหลอมพวกมันอย่างเปิดเผยโดยใช้คาถาที่บันทึกไว้บนป้ายศิลาขอฝนนอกศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอ
โชควาสนาแห่งฟ้าดินส่วนนี้ ทั้งสองฝ่ายแบ่งกันคนละครึ่ง
เฒ่าหูหนวกสามารถรับได้ ดังนั้นจึงไม่มีความลังเลใดๆ
เฒ่าหูหนวกชำเลืองตามองวิถีการโคจรคร่าวๆ ของคาถาหลอมน้ำบทนี้ของคนหนุ่มแล้วเอ่ยชื่นชม “ลำพังเพียงแค่มีคาถาบทนี้ หากวันใดถูกบีบให้จนตรอกจริงๆ ใต้เท้าอิ่นกวานก็สามารถสละเนื้อหนังมังสาทิ้ง เลือกแม่น้ำที่ติดกับลำน้ำใหญ่สายหนึ่งแล้วหันไปเป็นองค์เทพแห่งสายน้ำได้เลย”
เฉินผิงอันยังคงหลับตามีสมาธิแน่วแน่หลอมไข่มุกน้ำสามเม็ดที่ระดับขั้นเท่าเทียมกับโอสถวารีอยู่เหมือนเดิม ความเร็วนั้นเร็วมาก ทางฝั่งจวนน้ำในร่างของเขาเหมือนมีฝนรสหวานพรมฉ่ำหลังจากแห้งแล้งมานาน พวกเด็กๆ ชุดเขียวพากันง่วนทำงาน ช่วยกันซ่อมแซมจุดด่างพร้อยบนวัตถุแห่งชะตาชีวิตอักษรน้ำ ภาพฝาผนังของจวนน้ำที่แทบจะกลายเป็นเพียงลายเส้นขาวดำก็ถูกเติมสีสันกลับไปอีกครั้ง บ่อน้ำน้อยที่แห้งขอดจนเห็นก้นบ่อก็มีน้ำเป็นที่ไหลรินไม่ขาดสายเข้ามาเติมเต็ม
เฉินผิงอันแบ่งสมาธิเล็กน้อยมาเอ่ยว่า “แนะนำผู้อาวุโสว่าอย่าไปใต้หล้าไพศาลจะดีกว่า”
เฒ่าหูหนวกถาม “ทำไมล่ะ?”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่เอ่ยอะไร
เด็กผมขาวคนนั้นมาโผล่อยู่บนไหล่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลุดหัวเราะพรืดเอ่ยว่า “เฒ่าหูหนวกเจ้าชมคนอื่นเก่งเกินไป จะต้องถูกคนสับร่างเป็นแปดชิ้นแล้วค่อยเอามาบดเป็นเนื้อบดแน่นอน”
จากนั้นเด็กชายผมขาวก็เอ่ยเย้ยหยันขึ้นมาอีก “คนหนุ่มอย่างเจ้าสมองไม่ค่อยเฉียบไวนัก เฒ่าหูหนวกผู้นี้จงใจเลือกเอาไข่มุกน้ำที่ปราณวิญญาณบางเบาเพราะรู้ว่าเจ้าจะต้องเปิดปากขอเขา บนทะเลเมฆแห่งนี้มีหยดน้ำโผล่ขึ้นมาไม่ขาดสาย ไข่มุกที่มีโชคชะตาน้ำเข้มข้นที่สุดกลุ่มนั้น เฒ่าหูหนวกจะต้องจงใจละพวกมันไว้อย่างแน่นอน คนโง่อย่างเจ้าเป็นอิ่นกวานได้อย่างไร ห่างชั้นกับเซียวสวิ้นผู้นั้นไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้เลย มิน่าเล่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้พิทักษ์เอาไว้ไม่อยู่”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เฒ่าหูหนวกก็ยิ่งวางเฉย ไม่ได้อธิบายอะไร
ถึงอย่างไรหากเทวบุตรมารนอกโลกตนนี้ฉวยโอกาสเล่นงานจิตใจของอิ่นกวานหนุ่ม เฒ่าหูหนวกก็ไม่มีทางนิ่งดูดายแน่
เทวบุตรมารนอกโลกที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดตนนี้อารมณ์แปรปรวนผิดปกติ อยู่ดีๆ ก็เดือดดาลอย่างหนัก เอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของใต้หล้าไพศาลยังเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนขนาดนี้ สมควรแล้วที่ถูกเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างยึดครองปล้นสะดม จะได้เปลี่ยนขนบธรรมเนียมแบบใหม่เสียที!”
เฉินผิงอันดึงเอาไข่มุกน้ำอีกส่วนหนึ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้วหล่อหลอมให้เป็นโชคชะตาน้ำของจวนน้ำตนเอง
เป็นถึงผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้า ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็เป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางได้แล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องมีเวทคาถาที่ยอดเยี่ยมกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตสาม
เด็กผมขาวคนนั้นคล้ายจะสัมผัสได้ถึงสภาพจิตใจของอิ่นกวานหนุ่มจึงเต้นผางด่าดังลั่น “เจ้าคนหน้าไม่อาย แค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่สู้มดสักตัวยังไม่ได้ ยังมีหน้ามาพึงพอใจด้วยหรือ?!”
นาทีถัดมาเด็กชายก็พลันเงียบเสียงลง กลับมานั่งขัดสมาธิอีกครั้ง เอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าเด็กแซ่เฉินคนนั้นมีจิตแห่งมรรคาสมบูรณ์แบบ เป็นคนมีความสามารถที่ควรค่าแก่การปลูกฝัง ที่ข้ามีเวทคาถาชั้นสูงห้าชนิดที่ช่วยให้มุ่งตรงสู่ห้าขอบเขตบน ลี้ลับมหัศจรรย์เป็นที่สุด เจ้ามีวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เมื่อเรียนวิชานี้ก็เหนื่อยแค่ครึ่งเดียวแต่ได้ผลเกินครึ่ง ต้องการเรียนหรือไม่? ข้าสาบานได้ว่าขอแค่เจ้าพยักหน้าตอบตกลง มันจะไม่มีภัยร้ายใดๆ ซ่อนแฝงอย่างแน่นอน ไม่เชื่อเจ้าสามารถถามเฒ่าหูหนวกดูได้ ข้ารับรองว่าเจ้าจะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบได้อย่างรวดเร็ว การค้าที่ไม่ต้องลงทุนแบบนี้ จะทำหรือไม่?!”
เฉินผิงอันลืมตามอง ยิ้มถามว่า “เจ้ารู้สึกว่าเมื่อตัวเองเปรียบเทียบกับลู่เฉินแล้ว ใครมีมรรคกถาสูงกว่ากัน?”
เด็กชายผมขาวหัวเราะดังลั่น เพียงชั่วพริบตาตรงหัวไหล่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฎร่างของนักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวคนหนึ่ง เขาคลี่ยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันเอ่ยกับเฒ่าหูหนวก “ก่อกวนแบบนี้ ไม่มีใครคอยควบคุมบ้างหรือ?”
เฒ่าหูหนวกพยักหน้ารับ “มีสิ”
แสงกระบี่เฉียบคมเส้นหนึ่งพุ่งมาถึงในเสี้ยววินาที โจมตีให้ ‘ลู่เฉิน’ ผู้นั้นแหลกสลาย ประหนึ่งก้อนน้ำแข็งที่ถูกค้อนทุบแตก
เด็กชายผมขาวไปรวมตัวเป็นร่างมนุษย์อยู่ในจุดที่ห่างไปไกล ยังคงปลอดภัยดี ทว่าชุดคลุมอาคมบนร่างกลับขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดี เขาไม่เปิดปากพูดอีกต่อไป ราวกับว่าเคยให้สัญญากับเจ้าของแสงกระบี่เส้นนั้นมาก่อน
เขาเบิกตามองไปยังจุดหนึ่งที่ห่างไปไกล จากนั้นก็กลายร่างเป็นรุ้งยาวพุ่งเข้าหาจุดที่มีโครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์โครงหนึ่งซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ชักกระบี่ออกจากฝัก เริ่มทำการ ‘เจาะภูเขา’ ใช้กระบี่สั้นแทนเหล็กหมาด ใช้ฝ่ามือแทนค้อน เสียงดังเป้งๆๆ พริบตาเดียวเศษชิ้นส่วนโครงกระดูกนับไม่ถ้วนก็เหมือนฝุ่นผงปลิวว่อน ในที่สุดก็ถูกเขาขุดเอาเศษชิ้นส่วนร่างทองที่มีขนาดใหญ่เท่าลูกเกาลัดออกมาได้ เขากำไว้ในฝ่ามือแล้วบีบให้แหลก ก่อนจะเอาไปถูชุดคลุมอาคมบนร่างของตัวเอง แสงสีทองเหมือนน้ำที่ไหลริน ประหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่ทำการซ่อมแซมชุดคลุมอาคมด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันถามเบาๆ “วัตถุดิบในการสร้างเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหาร แท้จริงแล้วก็คือเศษชิ้นส่วนของร่างทองสิ่งศักดิ์สิทธิ์เองหรือ?”
เม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารสามชนิดที่มีเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างเป็นหนึ่งในนั้น สรุปแล้วสร้างขึ้นมาจากวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินชนิดใดกันแน่ ในตำราต่างๆ ของใต้หล้าไพศาลไม่ได้มีบันทึกเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อก่อนเฉินผิงอันก็ไม่เคยถามชุยตงซาน เว่ยป้อ แต่กลับรู้ถึงประวัติความเป็นมาของเหรียญทองแดงแก่นทองมานานแล้ว หลังจากที่พื้นที่มงคลรากบัวเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลาง นอกจากเงินเทพเซียนแล้วก็ยังต้องการเงินเหรียญทองแดงแก่นทองปริมาณมากด้วย
เฒ่าหูหนวกพยักหน้ารับ “ขั้นตอนการสร้างเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารซับซ้อน วัตถุที่เป็นพื้นฐานก็คือเศษชิ้นส่วนร่างทอง”
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสพลันมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน
เพียงแต่ว่านาทีถัดมากลับถูกแสงกระบี่โจมตีจนแหลกไปอีกครั้ง
จากนั้นเด็กชายผมขาวที่เพิ่งจะขุดเอาเศษชิ้นส่วนร่างทองชิ้นที่สองออกมาได้ก็พุ่งตัวไปยังทางเข้าของคุก เพียงแต่ว่าหนีมาได้ครึ่งทางก็ถูกแสงกระบี่ฟันจนร่างแหลกอีกครั้ง
เขายื่นหัวออกมาจากในคุก แสงกระบี่ก็พุ่งมาถึงอีก เด็กชายชุดขาวจึงได้แต่นั่งยองอยู่บนขั้นบันได ใช้เศษชิ้นส่วนร่างทองขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นนั้นมาซ่อมแซมชุดคลุมอาคมต่อไป
เฒ่าหูหนวกยิ้มเอ่ย “หลังจากทำผิดสัญญา ภายในเวลาสิบวันเขาก็ได้แต่อยู่ในคุกแห่งนี้”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “สำหรับข้าแล้วจะไม่ยิ่งยุ่งยากกว่าเดิมหรือ? รบกวนผู้อาวุโสเซียนกระบี่ท่านนั้นเปลี่ยนวิธีลงโทษเขาได้หรือไม่?”
เฒ่าหูหนวกเอ่ย “แค่มีเหล้าก็พอ”
เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
ตอนจากมาค่อนข้างจะฉุกละหุก ในวัตถุจื่อชื่อจึงเหลือเหล้าแค่สองกา
เขาตัดใจมอบให้คนอื่นไม่ลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เจอกับเหนี่ยนซินแล้วก็ยิ่งมอบเหล้าสองกานี้ออกไปไม่ได้
ถูกเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นตอแยไม่เลิก ก็ถือเสียว่าเป็นการขัดเกลาจิตแห่งมรรคาก็แล้วกัน
คิดไม่ถึงว่าภาพเหตุการณ์ผิดปกติจะเกิดขึ้น เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเดินออกมาจากในคุกช้าๆ ในมือหิ้วคอของเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นราวกับหิ้วลูกเจี๊ยบ
ไม่เหมือนกับตอนเผชิญหน้าแสงกระบี่เหล่านั้นอีก เมื่ออยู่ในมือของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เด็กชายผมขาวตัวสั่นสะท้าน ท่าทางหวาดกลัวอย่างยิ่ง
เพียงแต่เฉินผิงอันยังกังขาว่าภาพที่ตัวเองเห็นอยู่ในเวลานี้อาจเป็นเวทอำพรางตาที่เทวบุตรมารจงใจสร้างขึ้นมาหรือไม่
แต่ไม่นานเขาก็แน่ใจได้ว่าเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสตัวจริง ไม่ใช่ภาพลวงตาใดๆ
เพราะในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันปรากฎกระดาษแผ่นหนึ่งที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสโยนมาให้ ด้านบนนั้นเขียนการจัดการที่เขามีต่อเซียนกระบี่หลายท่านเอาไว้อย่างชัดเจน
เฉินผิงอันเพิ่งจะอ่านจบ กระดาษแผ่นนั้นก็หลอมละลายหายไปแล้ว
เกี่ยวกับผู้ฝึกกระบี่มีพรสวรรค์อายุน้อยนอกเหนือจากเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทางถอยของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสตัดสินใจได้นานแล้ว แล้วก็เคยบอกกล่าวเฉินผิงอันอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา เฉินผิงอันก็มีการปรับเปลี่ยนแก้ไขบ้างเล็กน้อย บางอย่างเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ตอบตกลง แต่บางอย่างกลับยังคงปฏิเสธ
เมื่อเห็นกระดาษแผ่นนี้ก็ยิ่งเข้าใจความต้องการของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมากขึ้น
แทบไม่ต่างจากการคาดเดาของตน
เซียนกระบี่ผู้อาวุโสสามท่านที่เคยสลักตัวอักษรไว้บนกำแพงเมือง ฉีถิงจี้ เมื่อศึกใหญ่ผ่านพ้นไปจะเดินทางไปเยือนฝูเหยาทวีปเพียงลำพัง ลูกหลานตระกูลฉีบนถนนไท่เซี่ยง บรรพบุรุษท่านนี้มิอาจนำพาไปด้วยแม้แต่คนเดียว
เมื่อฉีถิงจี้ไปถึงฝูเหยาทวีปก็จำเป็นต้องเฝ้าพิทักษ์ถ้ำซานสุ่ยของที่นั่นร้อยปี ร้อยปีให้หลัง ต้องการไปไหนก็ตามใจเขา หากเผ่าปีศาจไปโจมตีฝูเหยาทวีป ฉีถิงจี้ก็ห้ามสวามิภักดิ์ต่อใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ต้องขุดหลุมไปซ่อนตัวแต่โดยดี
เฉินซีต้องรบตายอยู่บนสนามรบ ใช้วิธีการสละร่างไปจุติใหม่ จิตวิญญาณจะถูกเก็บไว้ในตะเกียงแห่งชะตาชีวิตดวงหนึ่ง ซึ่งผู้ฝึกกระบี่คนอื่นจะนำพาไปที่ใต้หล้าแห่งที่ห้า แม้ว่าจะรับรู้เรื่องในอดีตชาติได้ตั้งแต่เกิด แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีผู้พิทักษ์มรรคาคนหนึ่ง
ส่วนต่งซานเกิง ไม่ไปไหนทั้งนั้น จะเป็นหรือตายก็จะอยู่ที่บ้านเกิด