กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 679.1 ชิ้นที่ห้า
เฉินผิงอันเก็บวัตถุแห่งชะตาชีวิตทั้งสี่ชิ้นลงไป ถามว่า “ชื่อเดิมของเจ้าคืออะไร?”
อู๋เตี๋ยย่อมต้องเป็นชื่อที่เทวบุตรมารนอกโลกตนนี้ตั้งขึ้นเองอย่างส่งเดช แม้แต่โยวอวี้กับตู้ซานอินก็ยังไม่เชื่อ
เด็กชายผมขาวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ซวงเจี้ยง”
เฉินผิงอันถามต่ออีกว่า “แซ่ล่ะ?”
การที่เขาถามเช่นนี้ สาเหตุก็เพราะพวกเผ่าปีศาจที่ถูกขังเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่นปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนห้าท่านที่ใช้นามแฝง ได้แก่อวิ๋นชิง ชิงชิว เมิ่งโผ จู๋เชี่ย โหวฉางจวิน นอกจากปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินคนสุดท้ายที่พรสวรรค์เลิศล้ำที่มีแซ่แล้ว คนอื่นๆ ที่ต่อให้จะเป็นแค่นามแฝงก็ยังไร้แซ่ ส่วนชื่อจริงนั้นก็ยิ่งไม่ทางเอามาเปิดเผยกันง่ายๆ
เผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางก็เหมือนกัน ไม่ว่านามแฝงจะเป็นอย่างไร เว้นเสียจากว่าอยู่ในช่วงเวลาที่ร่างกำลังจะดับสูญมรรคาจะเสื่อมสลายเท่านั้น วิธีการของคนเย็บผ้าที่เหนี่ยนซินใช้จึงจะสามารถดึงเอาชื่อจริงจากโอสถทองและก่อกำเนิดของพวกเขามาทำความคุ้นเคยได้
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของใต้หล้าไพศาลนั้นพิถีพิถันในเรื่องของการกราบอาจารย์เหมือนเลือกครรภ์มาเกิด ถ้าอย่างนั้นในเรื่องชื่อจริงของเผ่าปีศาจ นับแต่โบราณมาก็ย่อมถูกมองเป็นเรื่องใหญ่ตัดสินเป็นตายอันดับหนึ่ง
‘ภาพค้นภูเขา’ ที่ป๋ายเจ๋อเป็นผู้เขียนได้เปิดเผยชื่อจริงและรากฐานของเผ่าปีศาจให้แก่หลี่เซิ่ง นอกจากนั้นยังสร้างกระถางขนาดใหญ่ไว้บนยอดเขาร่วมกับหลี่เซิ่ง นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เผ่าปีศาจในปีนั้นต้องพ่ายแพ้ถอยร่น
หากใต้หล้าเปลี่ยวร้างโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่บุกเข้ามาในใต้หล้าไพศาล ถ้าอย่างนั้นชื่อแห่งชะตาชีวิตทุกชื่อที่อริยะลัทธิขงจื๊อกุมไว้ในมือ สำหรับเผ่าปีศาจแล้วก็ล้วนถือเป็นด่านกีดขวางด่านแล้วด่านเล่า
ตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งหลายที่อยู่ในกระโจมเจี่ยเซินอย่างจู๋เชี่ย อวี่ซื่อ จวินถาน หลิวป๋าย ต่างก็ไม่มีแซ่ เพราะกำลังรอให้ภูเขาทัวเยว่ประทานแซ่ให้ อีกทั้งชื่อก็ค่อนข้างจะแปลกและฟังยาก นี่ก็เพื่อพยายามหลีกเลี่ยงชื่อแห่งชะตาชีวิตที่อริยะลัทธิขงจื๊อมีอยู่ให้ได้มากที่สุด
เด็กชายผมขาวส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ข้ามีชาติกำเนิดมาจากชาวบ้านลี้ภัยสัญชาติทาสของธวัลทวีป ติดตามตระกูลตระกูลคนรวยมา อย่าพูดถึงเลยจะดีกว่า อันที่จริงยังมีชื่ออีกชื่อหนึ่ง นั่นคือเสี่ยวฉ่าว ภายหลังชีวิตที่สงบสุขแล้วจึงไปเป็นเด็กรับใช้ของคุณชายน้อยมีเงิน อาจารย์ในโรงเรียนคนหนึ่งจึงช่วยตั้งชื่อซวงเจี้ยง (ช่วงที่เริ่มเกิดน้ำค้างแข็ง) ให้กับข้า อากาศเยียบเย็น ปราณหยินเข้มข้น เดิมทีก็ไม่ใช่ชื่อที่ดีสักเท่าไร แต่ปีนั้นไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ยังดีใจอย่างมาก เพราะรู้สึกว่าในที่สุดก็มีชื่อที่เกี่ยวข้องกับตำรากับเขาแล้ว”
เด็กชายผมขาวลอยตัวอยู่กลางอากาศ ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ยกขาขึ้นไขว่ห้าง “อาจารย์ผู้เฒ่าก็เป็นคนถ่ายทอดมรรคาของข้าครึ่งตัว คือผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต ในแคว้นเล็กๆ ใต้อาณัติที่ห่างไกลก็ถือว่าเป็นนายท่านเทพเซียนผู้เฒ่าที่ร้ายกาจมากแล้ว ตอนที่เขายังหนุ่มพอจะเข้าใจศาสตร์แห่งการประคับประคองมังกรอยู่บ้าง จึงคอยช่วยเป็นกุนซืออยู่เบื้องหลัง เพียงแต่ว่าโชคไม่ดี จึงไม่ประสบความสำเร็จ ภายหลังหมดอาลัยตายอยากก็เลยมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ บางครั้งก็ขายความรู้หาเงินเก็บส่วนตัว มีครั้งหนึ่งออกเดินทางไกล บอกกับข้าว่าจะไปท่องเที่ยวตามขุนเขาสายน้ำ แล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก หลายปีต่อจากนั้นข้าถึงได้รู้ว่าอาจารย์ผู้เฒ่าไปช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้กับสหายที่เป็นขุนนางจากจวนน้ำศาลเถื่อนที่ชอบก่อกรรมทำเข็ญไปทั่วแห่งหนึ่ง ผลคือทวงความเป็นธรรมไม่สำเร็จ ยังต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ด้วย ดวงวิญญาณถูกนำไปจุดเป็นตะเกียงน้ำ ด้วยความโมโห ข้ายอมทุ่มชีวิตอย่างไม่เสียดาย ทำลายศาลและร่างทองของพ่อปู่ลำคลองจนแหลกสลาย แต่ก็ยังไม่สาแก่ใจมากพอ จึงเคี้ยวเศษชิ้นส่วนร่างทองกลืนเข้าท้อง เพียงแต่ว่าการเข่นฆ่าของพวกเราสองฝ่ายทำให้น้ำท่วมไกลร้อยลี้ เดือดร้อนคนในพื้นที่ จึงถูกทางการไล่ฆ่า กระเซอะกระเซิงอย่างยิ่ง”
เทวบุตรมารนอกโลกที่เดิมทีมีชื่อว่าซวงเจี้ยงยิ้มเอ่ยว่า “หญ้าน้อยไม่ยกตนสูง เติบใหญ่จึงออกจากขุนเขา”
เฉินผิงอันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในประวัติศาสตร์ของธวัลทวีปมีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานนามว่า ‘ซวงเจี้ยง’ ด้วย
หากจะพูดถึงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนทั้งหมดซึ่งรวมขอบเขตหยกดิบ เซียนเหรินและบินทะยานเป็นหนึ่งในนั้น นอกจากแจกันสมบัติทวีป ใบถงทวีปและอุตรกุรุทวีปแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่ได้รู้มากนัก ไม่กล้าพูดว่าเคยได้ยินชื่อมาทั้งหมด แต่หากพูดถึงแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานของใต้หล้าไพศาล หลังจากที่เฉินผิงอันได้เป็นอิ่นกวานก็เคยไปทำความเข้าใจมาเป็นพิเศษ แล้วนับประสาอะไรกับที่เอกสารคดีลับของคฤหาสน์หลบร้อนมีกองทับกันดุจขุนเขา คิดจะสืบสาวเบาะแสก็ง่ายดายอย่างยิ่ง น่าจะไม่มีใครที่หลุดรอดไปได้มากนัก
เด็กชายผมขาวดีดตัวขึ้นมาในท่านอนหงาย หัวเราะร่าเอ่ยว่า “นี่คือเรื่องใหม่ที่ข้าเพิ่งแต่งขึ้นมา บรรพบุรุษอิ่นกวานฟังแล้วก็ปล่อยเลยไปเถิด”
เฉินผิงอันเอ่ย “เรื่องราวเป็นจริงหรือเท็จ ข้าไม่แน่ใจ แต่ข้าแน่ใจได้เลยว่า มีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่เจ้าจะมาจากใต้หล้ามืดสลัว”
เด็กชายผมขาวร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็เอ่ยอย่างกระจ่างแจ้งว่า “รู้แล้วว่าเผยพิรุธที่ตรงไหน ไม่ควรบอกว่าถูกทางการไล่ฆ่า เพราะนอกจากใต้หล้ามืดสลัวที่ขุนนางต้องมีหนังสือรับรองแล้ว ที่ว่าการของราชสำนักในใต้หล้าไพศาลย่อมไม่มีความกล้านี้ ยิ่งไม่มีความสามารถนี้”
ใต้หล้าแห่งนั้นกับใต้หล้าไพศาลที่เมธีร้อยสำนักร้องประชันกัน แตกต่างกันอยู่มาก ลัทธิเต๋าเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว ขุนนางในราชสำนักก็มีนักพรตเต๋าอยู่มาก
ดังนั้นต้องไม่มีทางมีภาพเหตุการณ์ที่ขุนนางทำพิธีขอฝนอย่างแน่นอน ขุนนางในท้องถิ่นของใต้หล้ามืดสลัวสามารถใช้เวทลับเรียกลมเรียกฝนมาได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะขอพรหรือขอให้พ้นหายนะ ไหนเลยจะยังต้องการสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ฐานะไม่สูง แม้จะบอกว่าไม่ถึงขั้นต้องลงไปทำงานจุกจิกใช้แรงงาน แต่เมื่อเทียบกับความมีหน้ามีตาอย่างไร้ขีดจำกัดของเทพวารี ซานจวินเทพภูเขาของใต้หล้าไพศาลแล้ว ความต่างก็มากมหาศาลนัก
เฉินผิงอันเอ่ย “ข้าเคยโชคดีได้ท่องเที่ยวร่วมกับนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูในอุตรกุรุทวีป ได้รับผลเก็บเกี่ยวมามหาศาล วันหน้าหากมีโอกาสจะต้องไปเยี่ยมเยือนถึงที่เพื่อขอบคุณอย่างแน่นอน”
ในฐานะผู้นำของสายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋า ไม่ว่าจะเป็นมรรคกถาหรือเวทกระบี่ของนักพรตซุนก็ล้วนสูงส่ง แต่เฉินผิงอันกลับเลื่อมใสในฝีมือการแกล้งทำเป็นเล่นผีหลอกเจ้าของอีกฝ่ายมากกว่า
เชี่ยวชาญเข้าขั้น ฝีมือเลิศล้ำดุจเทพอำนวย
เมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับนักพรตซุนแล้ว ตนยังห่างชั้นอีกไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้
เด็กชายผมขาวพยักหน้ารับ “พอจะเดาออกแล้วล่ะ นักพรตวัยกลางคนของที่เรือนไม้แห่งนั้น เดิมทีก็คือศิษย์น้องของนักพรตซุน เทวรูปไม้นั้นตัดมาจากไม้ท้อบรรพบุรุษของอารามเสวียนตูใหญ่ รากภูเขาของภูเขาห้าสี ปณิธานเต๋าที่แฝงอยู่ในนั้นก็คือรากฐานของสายเซียนกระบี่แห่งอารามเสวียนตูใหญ่ ข้าไม่ได้ตาบอด ย่อมต้องมองเห็น ดังนั้นที่จู๋เชี่ยบอกว่าเจ้าชะตาชีวิตดี จะว่าผิดก็ผิด แต่จะว่าถูกก็ถูกเหมือนกัน”
คิดจะไปอยู่ใต้หล้าแห่งอื่น ไปเยี่ยมเยือนอารามเสวียนตูใหญ่ ก็หมายความว่าเฉินผิงอันต้องเป็นขอบเขตบินทะยานถึงจะได้
เฉินผิงอันถามคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญ “เจ้าเคยได้ยินเรื่องศาสตร์ของการหลอมสามขุนเขาหรือไม่?”
เด็กชายผมขาวมีสีหน้าเหยเก “เคยได้ยิน แต่ก็แค่เคยได้ยินเท่านั้นจริงๆ”
เฉินผิงอันถามอีก “ถ้าอย่างนั้นข้าสามารถอาศัยสิ่งนี้มาหลอมหัวใจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดวงนั้นได้หรือไม่? โครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างนี้เคยเป็นขุนนางผู้ช่วยของเทพอัคคียุคโบราณหรือ?”
เด็กชายผมขาวหัวเราะคิกคัก “จะสามารถหลอมได้หรือไม่ ข้าไม่แน่ใจนัก ส่วนเรือนกายของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น จะเรียกว่าแค่ห้าธาตุเสียที่ไหน ต้องเรียกว่าครอบจักรวาล ขาดอะไรก็ชดเชยสิ่งนั้น กรงขังแห่งนี้ก็คือวัตถุที่ผ่านการหล่อหลอมมาก่อน มีเพียงบ่อลาวาแห่งนั้นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยแตะต้อง แต่กระนั้นอยู่มาหมื่นปีก็ยังไม่เสื่อมสลาย ข้าไม่กลัวว่าเจ้าจะหลอมไม่ได้ กลัวแต่ว่าเมื่อเจ้าหลอมไปแล้ว เรือนกายและจิตวิญญาณจะไม่อาจแบกรับได้ไหว เรื่องใหญ่สองเรื่องอย่างการรวบรวมห้าธาตุ เย็บผ้าด้วยชื่อจริงที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งหมดล้วนจะเสียเปล่า หากไม่เชื่อเจ้าก็ลองถามเหนี่ยนซินดูสิ”
เหนี่ยนซินยืนอยู่ตรงขั้นบันได ตอบอย่างรวดเร็วฉับไว “เว้นเสียจากว่าข้าสละยันต์ทองตำราหยกทิ้งไป ตัวอักษรทั้งหมดก็ล้วนนำมาสร้างผนังทั้งสี่ทิศของห้องหัวใจได้”
สมบัติล้ำค่าของตระกูลเซียนสองชิ้นล้วนมีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียน ยิ่งเป็นรากฐานมหามรรคาของเหนี่ยนซิน ค่าตอบแทนย่อมมากมหาศาล
เฉินผิงอันถาม “เงื่อนไขคือ?”
เหนี่ยนซินเอ่ย “เจ้ายืนกรานมาตลอดว่าให้เย็บผ้าแค่ร่างท่อนบนเท่านั้น รบกวนช่วยยกเลิกความยืนหยัดที่สมองมีปัญหาแบบนี้ทีเถอะ”
เฉินผิงอันกล่าว “ขอปฏิเสธ”
เด็กชายผมขาวรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เขารอชมเรื่องสนุกนี้มานานมากแล้ว ในที่สุดก็ขึ้นเวทีแสดงเสียที
เหนี่ยนซินเอ่ยอย่างมีโทสะ “เฉินผิงอัน! สามสิบสองจุดในการเย็บผ้า หากอยู่แค่แขนขาทั้งสี่กับร่างท่อนบน ย่อมเสียสมดุลอย่างเลี่ยงไม่ได้ เจ้ารู้สึกว่ามันเข้าท่าแล้วหรือ? ในฐานะคนเย็บผ้า สภาพของข้าในตอนนี้ เจ้าคิดว่าข้าเป็นสตรีที่สนใจเรื่องข้อต้องห้ามระหว่างชายหญิงหรือไร? และเจ้ายังเป็นถึงอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นผู้ฝึกตนที่มีปณิธานอยู่ที่การเดินขึ้นสู่ยอดเขา! ยังจะมาถือสาข้อห้ามระหว่างชายหญิงเล็กน้อยแค่นี้อีกหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถือสิ ในสายตาของผู้อาวุโสเหนี่ยนซิน ข้าเป็นแค่เป้าหมายในการเย็บผ้าที่ท่านต้องถลกหนัง ดึงเส้นเอ็น สาวกระดูกเท่านั้น แต่ในสายตาของข้า ถึงอย่างไรผู้อาวุโสก็ยังเป็นสตรี”
เหนี่ยนซินโมโหจนหน้าเขียว “เฉินผิงอัน เจ้านี่มันเหลือเชื่อจริงๆ!”
เด็กชายผมขาวกุมท้องหัวเราะก๊ากกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น เพียงแต่ว่าพยายามสะกดกลั้นไม่ให้เสียงหลุดรอดออกมาอย่างยากลำบาก
สนุกจริง สนุกจริง สะใจนัก สะใจนัก
เฉินผิงอันกุมหมัดขออภัย “ขอผู้อาวุโสเหนี่ยนซินโปรดอภัยให้ด้วย”
ร่างของเหนี่ยนซินพุ่งวูบหายไป
เฉินผิงอันกลับไม่ได้กังวลว่าเหนี่ยนซินจะโยนภาระหน้าที่ทิ้ง ทำให้เรื่องของการเย็บผ้าต้องเสียเปล่ากลางคันทั้งอย่างนี้
แต่มีความเป็นไปได้มากว่าการเย็บผ้าครั้งถัดไป เหนี่ยนซินจะทำให้ตนต้องเจอกับความยากลำบากมากกว่าเดิม อีกทั้งยังเป็นความยากลำบากที่ไม่จำเป็นอีกด้วย
รอกระทั่งเหนี่ยนซินจากไปแล้ว เด็กชายผมขาวก็กลับมานั่งตัวตรงอย่างสำรวมอีกครั้งหนึ่งแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสซวงเจี้ยง เหตุใดถึงไม่หัวเราะสนุกสนานต่อไปแล้วเล่า”
เด็กชายผมขาวใช้หมัดทุบหัวใจเบาๆ “ปวดใจๆ ต้องทนเห็นบรรพบุรุษอิ่นกวานเข้าใจผิดเหนี่ยนซิน หัวใจก็เจ็บปวดราวถูกคว้าน”
เจ้าเรียกผู้อาวุโสของเจ้า ข้าเรียกบรรพบุรุษของข้า พวกเราสองพี่น้องสนิทสนมกันอย่างดี
เฉินผิงอันถาม “หากหล่อหลอมมันแล้วจะส่งผลต่อคุกหรือไม่?”
เด็กชายผมขาวพยักหน้ารับ “แน่นอน คุกแห่งนี้จะสูญเสียพันธนาการในการสยบกำราบไปถึงครึ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นไร ต่อให้ไม่เหลืออยู่เลยก็ยังมีเฒ่าหูหนวก ห่างไปไกลยังมีสิงกวานอยู่อีกคน ต่อให้เผ่าปีศาจพวกนั้นวิ่งวุ่นไปทั่วก็ยังไม่เกิดความวุ่นวายใดๆ”
นอกจากพวกอวิ๋นชิงที่เป็นปีศาจใหญ่เหล่านี้แล้ว เผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางที่อยู่ในคุกก็เหลือแต่ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดห้าคนแล้ว ทุกคนต่างก็มีประสบการณ์การเข่นฆ่ามาอย่างโชกโชน ล้วนรับมือยากทุกคนอย่างไม่มีข้อยกเว้น
เฉินผิงอันเอ่ย “มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าอวิ๋นชิงจะฝ่าพันธนาการเลือกออกไปจากคุก ต่อให้จะมีอิสระแค่ชั่วครู่ชั่วยามก็ยังอยากจะออกจากคุกไปมองดูซากปรักสนามรบโบราณดูสักหน่อย เมิ่งโผนั้นยินดีตายอยู่ภายใต้คมกระบี่ของสิงกวาน ไม่ใช่มาถูกทหารตัวเล็กๆ ไร้นามอย่างข้าสังหาร”
เด็กชายผมขาวลูบคลำปลายคาง “ก็จริงนะ แต่ทีนี้จะทำยังไงกันดีล่ะ?”
เฉินผิงอันมองฝ่ายตรงข้าม ก่อนหน้านี้ไม่ใช่พูดว่าตัวเองได้รับบรรพบุรุษที่ดีมาหรอกหรือ?
เด็กชายผมขาวทอดถอนใจอย่างเศร้าใจ “ข้าจะช่วยบรรพบุรุษอิ่นกวานจับตามองประตูใหญ่ของกรงขังพวกนั้นก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันกล่าว “ผู้อาวุโสเฉิงซานช่วยบอกกล่าวแก่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสทีว่าข้าจะหลอมวัตถุแล้ว”
เสียงของเฒ่าหูหนวกดังขึ้นมาในทะเลสาบหัวใจ “ต้องเตรียมวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินอะไรไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้อง”
นอกจากเตาตู้ทองห้าสีแล้ว เฉินผิงอันยังมีโชควาสนาที่ฮว่อหลงเจินเหริน ‘ชี้แนะ’ ให้อีก หลังจากเลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกล การชี้นำนั้นก็ยิ่งชัดเจน แค่ต้องให้เหนี่ยนซินช่วยสาวออกมาให้เท่านั้น นอกจากนี้ก็ยังมีคาถาเซียนหลอมสามขุนเขาบทนั้น แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
เด็กชายผมขาวมีสีหน้ากลัดกลุ้มเล็กน้อย “ไม่คิดจะเลื่อนจากขอบเขตสามเป็นขอบเขตหยกดิบในรวดเดียวจริงๆ หรือ?”
หากเฉินผิงอันหลอมสำเร็จก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะก้าวผ่านธรณีประตูใหญ่ ได้เลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิต
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เด็กชายผมขาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าอย่างนั้นข้ายอมถอยให้ก้าวหนึ่ง ล้มเลิกการกระทำเล็กๆ นั่น ไม่มีความคิดที่จะช่วงชิงเนื้อหนังมังสาของเจ้าดุจนกพิราบยึดรังนกกางเขนอีก ขอแค่ว่าให้มีสถานที่ให้พักพิง ได้ออกไปจากคุกโดยที่ยังมีชีวิต หวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถหวนกลับคืนไปยังใต้หล้ามืดสลัวได้ก็พอ นอกจากนี้เงื่อนไขก็ยังคงเดิม ข้าจะคิดเสียว่าตัวเองจ่ายเงินซื้อชีวิตก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า
เด็กชายผมขาวลุกขึ้นยืนช้าๆ เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์กลายเป็นนักพรตพกดาบที่ในมือถือประคองไม้ปัดฝุ่นด้ามหนึ่งเอาไว้ ลักษณะของชุดคลุมเต๋าทั้งไม่อยู่ในสามสายของป๋ายอวี้จิง แล้วก็ไม่ใช่สายเซียนกระบี่ของอารามเสวียนตูใหญ่ กลับเป็นชุดคลุมอาคมสีม่วงที่เฉินผิงอันไม่เคยเห็นและยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน สาบเสื้อคู่ ชุดตัวยาวแนบตัว ใช้ด้ายสีเงินสีทองปักเป็นรูปดวงตะวันจันทรา ดวงดารา ไท่จี๋ปากว้า ลายเมฆโบราณ และรูปสัตว์เซียนแต่ละชนิดของสิบเกาะสามทวีป ราวกับว่าชุดคลุมเต๋าชุดนี้ก็คือถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่อาณาเขตกว้างใหญ่ หมื่นสรรพสิ่งถือกำเนิด
เวลานี้นักพรตที่สวมชุดถ้ำเซียนสวรรค์ราวกับมีดวงดาวโคจรอยู่ในดวงตาทั้งคู่ สีหน้าของเขาเฉยชา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเล่นงานข้า ให้ข้าช่วยเจ้าส่งข่าวกระบี่บินแทนเจ้าครั้งหนึ่ง ทำให้ข้าสูญเสียตบะไปร้อยปี แต่เจ้าเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งกลับมีสติปัญญาถึงเพียงนี้แล้ว ห้าครั้งที่ข้าทยอยเข้าไปเยี่ยมชมสภาพจิตใจของเจ้า คิดหรือว่าข้าจะไม่ทิ้งแผนรับมือเอาไว้บ้างเลย?”
ไม่เพียงแต่เฒ่าหูหนวกเท่านั้นที่มาถึงในเสี้ยววินาที แม้แต่แสงกระบี่ที่สิงกวานมอบให้ตู้ซานอินแล้วเส้นนั้นก็ยังพุ่งเข้ามา แหวกม่านปราการที่มองไม่เห็นหลายชั้น ส่องประกายแสงพร่างพราว
บางทีนี่ต่างหากจึงจะเป็น ‘ร่างจริงกายจริง’ ของซวงเจี้ยงผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานแห่งใต้หล้ามืดสลัว
เฉินผิงอันโบกมือ บอกเป็นนัยแก่เฒ่าหูหนวกว่าไม่ต้องลงมือ เขามองประสานสายตากับเทวบุตรมาร ถามว่า “คิดจะบังคับซื้อบังคับขายกันจริงๆ หรือ?”
นักพรต ‘ซวงเจี้ยง’ ยิ้มบางๆ “ลองดูไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ลองดูได้”
เฒ่าหูหนวกขมวดคิ้วเป็นปม
ต่อให้ลองจบแล้วเทวบุตรมารตนนี้ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่จะมีประโยชน์อะไรต่อเจ้าเฉินผิงอันกันเล่า ทำตัวปรองดองกันอย่างเสแสร้งเหมือนก่อนหน้านี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมต้องฉีกหน้ากันเช่นนี้ด้วย สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้วต่างก็ไม่ใช่การค้าที่คุ้มค่า แน่นอนว่าสำหรับ ‘ซวงเจี้ยง’ ผู้นั้นแล้ว การกระทำนี้เป็นเพราะเขาไร้หนทางให้เดินต่อแล้วจริงๆ หากตอนที่เฉินผิงอันออกไปจากคุก ขอแค่ไม่ขอร้องเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้ช่วยเมตตาเทวบุตรมาร ก็หมายความว่าเฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าจะให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสออกกระบี่หนึ่งครั้ง
แต่หากเฉินผิงอันทำตัวอืดอาดชักช้า ในใจเกิดความคิดที่จะทำตัวเลอะเลือน ทั้งไม่ช่วยและไม่ฆ่า ด้วยนิสัยของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่เฒ่าหูหนวกรู้จัก เฉินผิงอันเองนั่นแหละที่หาเรื่องลำบากใส่ตัว