กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 685.3 ดวงจันทร์บนฟ้า
สุดท้ายลี่ไฉ่พาเด็กหนุ่มและเด็กสาวออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
ตอนนี้ที่ภูเขาห้อยหัวไม่มีเรือข้ามทวีปของอุตรกุรุทวีปมาจอดเทียบท่าชั่วคราว พวกเขาจึงหาโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแล้วเข้าพักค้างแรมอย่างเรียบง่าย
ลี่ไฉ่ดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพัง
หลี่ถุ่ยมี่ เถาเหวิน โจวเฉิง น่าหลันเย่สิง เกาขุย เหยาชงเต้า ต่งซานเกิง…
จางเซา หลี่ติ้งแห่งธวัลทวีป หยวนชิงสู่แห่งทักษินาตยทวีป หานไหวจื่อแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุย เซี่ยจื้อแห่งฝูเหยาทวีป…
และยังมีผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยมากมายขนาดนั้น ในบรรดานั้นยังมีคนไม่น้อยที่อายุพอๆ กับเฉินหลี่ เกาโย่วชิง
ต่อจากนี้มีแต่จะยิ่งมากกว่านี้
ลี่ไฉ่เมามายจนดวงตาปรือปรอย เอนตัวพิงกรอบหน้าต่าง ให้เหล่าเหนียงที่เป็นขอบเขตหยกดิบผายลมสุนัขนี่เมาให้ตายไปเลยเถอะ
เกาโย่วชิงอยู่ในห้องติดกัน เด็กสาวกำลังพยายามปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของภูเขาห้อยหัวที่ต่างจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก รวมไปถึงความต่างราวฟ้ากับเหวของปราณวิญญาณกับปราณกระบี่
เฉินหลี่เป็นคนใจใหญ่ นอกจากฝึกกระบี่แล้วเขายังไปยืนชั่งน้ำหนักถุงเงินที่ร้านหนึ่งในโรงเตี๊ยมที่ขายสมบัติบนภูเขาโดยเฉพาะ เพราะหอหลิงจือได้ย้ายออกไปแล้ว ก่อนหน้านี้มีการเก็บกวาดคลังสินค้าจึงนำอาวุธวิเศษหลากหลายชนิดที่ระดับขั้นไม่สูงมากมาขายให้กับกองกำลังฝ่ายต่างๆ ในภูเขาห้อยหัวที่สนิทสนมคุ้นเคยกันในราคาถูก โรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้นสมบัติอาคมจึงมีไม่มาก ทว่ามองปราดๆ กลับทำให้คนหูตาพร่าลายได้
ลี่ไฉ่ที่คอยสังเกตปณิธานกระบี่บนร่างของเฉินหลี่อยู่ตลอดเวลาขมวดคิ้ว ปราณสังหารของนางพลันท่วมทะยาน พุ่งตัวกระโจนออกไปทันใด
ลี่ไฉ่ยื่นมือไปคว้ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของเด็กหนุ่มเอาไว้ ฝ่ามือนองไปด้วยเลือด เลือดสดสีแดงฉานหยดลงพื้น แต่นางกลับไม่รู้สึกรู้สาแม้แต่น้อย เพียงเอ่ยกับเฉินหลี่ว่า “ผู้ฝึกกระบี่ตายไปมากมายขนาดนั้นหาใช่เพื่อให้เจ้าพาตัวมาตายที่ใต้หล้าไพศาลไม่ หากอยากตายจริงๆ ก็ได้เหมือนกัน รอให้เจ้ากลายเป็นเซียนกระบี่ก่อนค่อยว่ากัน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งตายไป ใครจะจำได้ว่าเจ้าเป็นใคร? หากเจ้ายังควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้อีกก็ไปเป็นผู้ฝึกตนอิสระซะเถอะ ต้องตายเร็วแน่นอน ไม่อย่างนั้นการฝึกตนวันหน้า เจ้าต้องถูกคนอื่นฟันตายเสียก่อน ส่วนข้าก็ถูกเจ้าทำให้โมโหปางตาย ถึงเวลานั้นก็ไม่รู้แล้วว่าจะช่วยเจ้าแก้แค้นอย่างไร”
คนที่กระบี่บินของเฉินหลี่หมายหัวคือเถ้าแก่ร้านที่มีสีหน้าตื่นตระหนกคนหนึ่ง พอเห็นลี่ไฉ่ก็ค้อมเอวเอ่ยขออภัยเซียนกระบี่หญิงท่านนี้ พร่ำพูดเหตุผลมากมายอย่างเช่นว่าตัวเองมีตาแต่ไม่มีแวว ทว่าโทษทัณฑ์ของเขาก็ไม่สมควรถึงแก่ความตาย แน่นอนว่าก็ไม่ถึงขั้นต้องฆ่าฟันกันจริงๆ จะว่าไปแล้วยังเป็นเพราะจิตแห่งกระบี่ของเฉินหลี่เวลานี้ไม่มั่นคง จิตสังหารเข้มข้นเกินไป คนออกมาจากสนามรบแล้ว แต่จิตแห่งกระบี่กลับยังวนเวียนอยู่ที่นั่น
นี่เป็นเรื่องดี แต่หากลี่ไฉ่ไม่สนใจไยดี ถ้าอย่างนั้นต่อให้เฉินหลี่ไปถึงอุตรกุรุทวีปแล้ว ขอแค่ต้องลงจากเขาไปฝึกประสบการณ์ก็ต้องตายแน่นอน
ลี่ไฉ่ปล่อยมือออก เด็กหนุ่มก็รีบเก็บกระบี่บินมาทันที
เฉินหลี่เอ่ยอย่างละอายใจว่า “ข้าไม่ได้รู้สึกไม่พอใจในตัวอาจารย์แม้แต่น้อย กับอุตรกุรุทวีปก็ไม่มีความรู้สึกเช่นนี้เลย”
ลี่ไฉ่ยิ้มเอ่ย “อาจารย์ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ สนแค่ว่าเจ้าตั้งใจฝึกกระบี่หรือไม่ ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงจะมีเซียนกระบี่ในหกสิบปีอย่างแท้จริงได้หรือไม่”
เฉินหลี่กล่าวอย่างจริงใจว่า “เลื่อนขั้นเป็นเซียนกระบี่ภายในหกสิบปีค่อนข้างจะยากอยู่บ้าง”
ลี่ไฉ่ตบไหล่เด็กหนุ่ม เช็ดเลือดในฝ่ามือของตัวเองลงบนเสื้ออีกฝ่าย “เป็นบุรุษตัวโตๆ คนหนึ่งก็ควรเอาความองอาจออกมาใช้บ้าง! ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของข้าลี่ไฉ่ ต่อให้เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลาง ยามที่พูดคุยกับคนอื่น โดยเฉพาะยามที่ต้องร้องตะโกนว่าจะเข่นฆ่าใคร น้ำเสียงที่ใช้ก็ต้องเป็นน้ำเสียงของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน!”
ได้ยินคำว่า ‘เซียนกระบี่ร้อยปี’ กับ ‘เซียนกระบี่หกสิบปี’ บุรุษที่เป็นเถ้าแก่ของร้านย่อยในโรงเตี๊ยมก็ถึงกับหนังตากระตุก เสียใจจนไส้เขียวแล้ว จึงรีบคิดหาวิธีที่จะชดเชยแก้ไข
ลี่ไฉ่ใช้เสียงในใจเอ่ยกับเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มจึงซื้ออาวุธวิเศษสองชิ้นที่ถูกชะตามากมาด้วย ‘ราคาสูง’ อย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
ตอนที่กลับไปยังที่พัก ลี่ไฉ่ก็ใช้เสียงในใจถามว่า “จำเจ้าหมอนั่นได้แล้วหรือยัง? วันหน้าก็หาทางเอาคืนด้วยตัวเอง”
เฉินหลี่ค่อยๆ คลี่ยิ้ม พยักหน้ารับอย่างแรง
ลี่ไฉ่ไปเคาะประตูห้องของเกาโย่วชิง ดึงแก้มเด็กสาวแล้วบิดเต็มแรง “เฉินหลี่ต้องสำรวมตัวให้มากหน่อย ส่วนเจ้าเกาโย่วชิง เจ้านี่เป็นอย่างไรกันนะ? ขี้ขลาดกลัวมีเรื่องเกินไปหน่อยกระมัง? เฉินหลี่ออกกระบี่อาจารย์ย่อมขัดขวาง แต่ในใจกลับดีใจ เจ้ากลับดีนัก มองดูเรื่องสนุกอยู่ไกลๆ ไม่มีความคิดจะออกกระบี่สักนิดเลยหรือ? อาจารย์อารมณ์ไม่ดีมากๆ เลยนะ!”
เกาโย่วชิงที่ถูกดึงแก้มเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “อาจารย์ ท่านพี่ข้าบอกกับข้าว่ามาถึงใต้หล้าไพศาลแล้วต้องอดทนแล้วอดทนอีก ห้ามก่อเรื่องไม่เป็นเรื่องเด็ดขาด”
ลี่ไฉ่ร้องถุยคำหนึ่ง “มิน่าเล่าทุกวันนี้เกาเหย่โหวถึงยังเป็นก่อกำเนิดเน่าๆ อยู่”
เกาโย่วชิงตาแดงก่ำทันที
ไม่เพียงแต่คิดถึงพี่ชายที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ยังกังวลด้วยว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่ได้แค่จากเป็นกันเท่านั้น แต่กังวลว่าแท้จริงแล้วนี่จะเป็นจากการตายอย่างไร้เสียงครั้งหนึ่ง
ลี่ไฉ่รีบปล่อยมือออกทันที เอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “ก็ได้ๆ ทนก็ทน แต่อาจารย์จะสอนวิธีลักไก่เล็กๆ ให้พวกเจ้า ตัวเองถูกรังแกก็อดทนไว้ แต่หากสหายร่วมสำนักถูกรังแก เจ้าก็ยืนกรานว่าจะฟันแม่งมันให้ตายท่าเดียวไปเลย ที่ควรฆ่าก็ฆ่า ไม่ควรฆ่าก็อย่าฟันมั่วซั่วนะ แค่ฟันให้ปางตายก็พอ ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงของพวกเรายังพอมีเงินอยู่บ้าง พอจะออกค่ายาได้ไหว! เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้ากับเฉินหลี่ อะไรที่ควรอดทนก็ทนไว้ ยามใดที่ต้องระบายโทสะก็ปล่อยออกไปเลย หากสู้ไม่ไหวจริงๆ ก็กลับมาบ้าน แล้วค่อยเรียกให้อาจารย์ไปช่วยไงล่ะ..”
แรกเริ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวยังรับฟังอย่างอารมณ์ดี แต่พอได้ยินคำว่า ‘กลับบ้าน’ ก็พากันเงียบงันไปทันที
ลี่ไฉ่ถอนหายใจเบาๆ โบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้างแล้วไปดื่มเหล้าของตัวเองต่อ ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้พวกลูกศิษย์ว่า “ไปฝึกกระบี่กันเถิด”
……
ในที่สุดเฒ่าหูหนวกก็กลับมาที่คุก โยวอวี้และฉางหมิงต่างก็ติดตามผู้เฒ่ามาเยือนที่ศาลาเป็นครั้งแรก
คุกที่ขังเมิ่งโผไว้ ว่างเปล่าแล้ว
เฒ่าหูหนวกมาถึงขั้นบันไดก็ชำเลืองตามองในศาลา อิ่นกวานหนุ่มสวมชุดคลุมอาคมที่ไม่คุ้นตาชิ้นหนึ่ง ชุดคลุมอาคมตัวนั้นใหญ่มาก ชายแขนเสื้อกว้างลากระไปกับพื้น
เฉินผิงอันเหมือนคนเข้าฌาน ไม่รับรู้ถึงการมาเยือนของเฒ่าหูหนวกเลยแม้แต่น้อย
เฒ่าหูหนวกยื่นมือออกไปคว้า บังคับปิ่นหยกบนมวยผมของเฉินผิงอันให้มาหยุดลอยอยู่ตรงหน้าตัวเอง แล้วเอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสต้องการยืมใช้ของสิ่งนี้ เพียงไม่นานก็จะเอามาคืนอิ่นกวานแล้ว”
เฉินผิงอันยังคงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
เฒ่าหูหนวกจึงเหลือบตามองเหนี่ยนซินที่นั่งอยู่ด้านล่างของขั้นบันได แล้วเก็บปิ่นหยกเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง ผู้เฒ่าไม่เชื่อใจเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้น แต่กับแม่นางน้อยที่ดื้อดึงผู้นั้น เขายังรู้สึกว่านางพึ่งพาได้
เหนี่ยนซินสัมผัสได้ถึงสายตาของเฒ่าหูหนวกที่มองมา จึงเปิดปากเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เขารนหาที่เอง ไม่เกี่ยวกับซวงเจี้ยงสักเท่าไร”
สตรีที่จำแลงร่างมาจากเงินเหรียญทองแดงแก่นทองขมวดคิ้วน้อยๆ
ซวงเจี้ยงหัวเราะคิกคัก “สหายฉางมิ่ง การทำการค้าบนโลกใบนี้ ไหนเลยจะมีหลักการที่ตัวเองได้ผลประโยชน์มาฝ่ายเดียว ได้เก้าต้องคืนหนึ่ง นี่ต่างหากจึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้อง เจ้าน่ะก็หัดเรียนรู้จากบรรพบุรุษของข้าให้มากๆ เถอะ”
สตรีพยักหน้ารับเบาๆ
ไม่รู้ว่าเหตุใดพอมองแผ่นหลังของอิ่นกวานหนุ่มในเวลานี้ โยวอวี้ถึงได้รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
เฒ่าหูหนวกมาอย่างรีบร้อน แล้วก็รีบไปจากคุกอย่างรีบร้อน
เด็กหนุ่มกับหญิงสาวเดินขึ้นบันไดไปด้วยกัน
ซวงเจี้ยงติดตามมาด้านหลัง “สหายฉางมิ่ง พวกเราไปกวาดพื้นดินกันต่อดีไหม?”
สตรียิ้มเอ่ย “รอมานานมากแล้ว”
……
กระบี่สุดท้ายของเกาขุยถามกระบี่แก่บรรพจารย์หลงจวิน
หลังจากที่หลงจวินรับกระบี่ไปแล้วก็สังหารเซียนกระบี่คนสุดท้ายของสายตัวเองกับมือตนเอง
ห่างจากชุดคลุมยาวสีเทาตัวนั้นไปไม่ไกล ป๋ายอิ๋งโครงกระดูกขาวนั่งอยู่บนบัลลังก์ราชา พอเห็นภาพนี้ก็รู้สึกเพียงว่าสมองของผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้พิลึกพิลั่นไม่มีใครแพ้ให้ใครเลย
โชคดีที่วันหน้าหากไปถึงใต้หล้าไพศาลแล้วก็จะไม่มีคนที่เป็นเช่นนี้อยู่อีก นอกจากเฉินฉุนอันแห่งทักษินาตยทวีปที่รับมือได้ค่อนข้างยากแล้ว ผู้ฝึกตนของทวีปอื่นๆ อย่างฝูเหยาทวีปและใบถงทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บรรลุมรรคาที่อยู่บนยอดเขาซึ่งฝึกปรือเวทคาถาจนประสบความสำเร็จ รวมไปถึงภูเขาตระกูลเซียนส่วนใหญ่ แต่ละฝ่ายมีสันดานอย่างไร ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทุกคนล้วนรู้ชัดเจนแก่ใจดี เหนือทำเนียบวงศ์ตระกูลคือใคร เป็นการถ่ายทอดอย่างเป็นระบบระเบียบเช่นไร เหล่าบรรพจารย์และผู้ฝึกตนเซียนดินตลอดหลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมานี้ทำเรื่องสมคบคิดใดบ้างที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง แต่ละคนนิสัยเป็นอย่างไร สิ่งที่ลูกศิษย์ในสำนักพวกเขาต้องการคืออะไร ล้วนกระจ่างแจ่มชัด
เซียนกระบี่ที่สง่างามที่สุดแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เคยใช้จอกน้ำพุสุราดื่มเหล้า ชอบเอนตัวพิงเสาระเบียงจุดกำยานหอม มองดูคนงามร่ายรำกระบี่ ถุงหอมหลายสิบชนิดที่เขาสร้างขึ้นเองล้วนเป็นที่นิยมในหมู่สตรีน้อยใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ซุนจวี้เฉวียนเส้นผมแผ่สยาย เท้าสองข้างเปลือยเปล่า
รอบด้านสนามรบที่มีเซียนกระบี่เป็นจุดศูนย์กลางล้วนมีแต่เศษซากแขนขาของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจ
มือหนึ่งถือกระบี่ยาวที่หักท่อน ชุดคลุมอาคมเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด
เซียนกระบี่ที่สายตาพร่าเลือนกวาดตามองไปรอบด้าน กำลังเมามายอยู่ในความฝันอย่างนั้นหรือ? ชีวิตคนก็เหมือนการเมามายครั้งใหญ่
เซียนกระบี่แห่งแผ่นดินกลางที่เกิดมาก็มีใบหน้าอมทุกข์ ยามอยู่บนสนามรบ ในที่สุดก็หาวิธีที่พอใจกันทั้งสองฝ่ายได้
แล้วก็มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจอายุน้อยที่ตัดหัวผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้สำเร็จ น้ำตาร้อนๆ กลบดวงตา ชูศีรษะนั้นขึ้นสูง แผดเสียงคำราม “ศิษย์แก้แค้นให้อาจารย์ได้แล้ว!”
จากนั้นก็โยนหัวในมือทิ้ง กระโจนเข้าหาความตายอย่างห้าวหาญ ในเมื่อมาอยู่บนสนามรบ จะไม่ตายก็คงไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็พยายามช่วงชิงผลงานการต่อสู้มาให้แก่สำนักและแก่เผ่าของตนให้ได้มากที่สุด
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง พวกปีศาจใหญ่และเซียนดินทั้งหลายต่างก็ต้องการช่วงชิงอาณาเขตในใต้หล้าไพศาล ปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนแต่ละตนต่างก็มีมหามรรคาให้ต้องเดิน เซียนดินอาจต้องเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน หรือไม่ก็ช่วงชิงเอาพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคล วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินมาให้ได้มากกว่าเดิม แต่พวกเผ่าปีศาจจำนวนมากกว่านั้นที่ชีวิตไร้ค่าดุจดั่งมดตัวหนึ่งกลับได้แต่ถูกขับไล่มาที่นี่ ตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างถูกภูเขาทัวเยว่แบ่งออกเป็นยี่สิบสาย บนเส้นทางยี่สิบสายที่มุ่งหน้าเข้าสู่สนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เผ่าปีศาจมารวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง ทว่ายังไม่ทันถึงสนามรบรอบทางก็เต็มไปด้วยกระดูกขาวโพลนแล้ว
ปีศาจใหญ่ฉงกวงเด็ดหัวของเซียนกระบี่คนหนึ่ง เหมือนว่าจะแซ่จ้าว มันไม่สนใจ ถึงอย่างไรทางกระโจมทัพก็จะต้องบันทึกคุณความชอบนี้ให้กับตน
การที่ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดผู้นี้ยินดีหวนกลับคืนมายังสนามรบด้วยตัวเองอีกครั้ง เหตุผลนั้นไม่ค่อยเหมือนกับหวงหลวนที่จุดจบน่าสังเวชซึ่งต้องทำความดีชดใช้ความผิดสักเท่าไร ฉงกวงมองออกอย่างแม่นยำว่าจุดเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิงของสถานการณ์การรบ อยู่ที่บัณฑิตซึ่งเป็นอริยะคนสุดท้ายของสามลัทธิยอมสลายตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตทิ้งไปอย่างไม่เสียดาย พอเขาตายไปแล้ว โชคชะตาของขุนเขาสายน้ำก็กลายมาเป็นทางฝ่ายของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่สยบกำราบกำแพงเมืองปราณกระบี่ไว้ได้อย่างสิ้นเชิง พวกผู้ฝึกกระบี่ที่ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่จำต้องถอยกลับเข้าหัวกำแพงเมือง ก็เหมือนอย่างที่ทางกระโจมทัพคาดการณ์เอาไว้ เมื่อการศึกถูกผลักดันไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ผู้ฝึกกระบี่ก็จะตายมากขึ้นเรื่อยๆ ตายเร็วขึ้นเรื่อยๆ
อาเหลียงถูกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์สามตนร่วมมือกันกักขังไว้ในฟ้าดินแห่งหนึ่ง อยู่ดีๆ เขาก็หายตัวไปจากการมองเห็นของผู้คนบนหัวกำแพงเมือง ไม่รู้ว่าหายไปที่ไหน
หลิวชาโจมตีให้ฉีถิงจี้ถอยร่น
ใจกลางสนามรบจึงเหลือแค่เซียนกระบี่สองท่านอย่างเฉินซีและน่าหลันเซาเหว่ย
จากนั้นก็เป็นลู่จือ เยว่ชิง หมี่ฮู่ กวอเจี้ย เยี่ยนหมิง รวมไปถึงโฉวเหมียวเซียนกระบี่สายอิ่นกวานที่พิทักษ์แนวเส้นการรบไว้อย่างแน่นหนา ช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตให้แก่เหล่าผู้ฝึกกระบี่ด้านหลังที่กำลังถอยกลับไปยังหัวกำแพงเมือง
นอกจากเซียนกระบี่แล้วยังมีเงาร่างของหญิงชราเรือนกายเล็กเตี้ยอยู่คนหนึ่ง นางอาศัยสองหมัดเปล่าๆ ต่อยทะลุศีรษะและลำตัวของผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจไปนับไม่ถ้วน
เวลานี้ศัตรูที่คุมเชิงกับหญิงชราคือผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจสำนักการทหารเรือนกายกำยำที่สวมเสื้อเกราะสีทองตนหนึ่ง เสื้อเกราะวิเศษเปล่งประกายระยิบระยับ แสงสีทองบนร่างส่ายสะบัดพลิ้วไสว สองมือของมันถือดาบ ตรงเอวยังพกดาบ แต่กลับไม่เคยชักดาบออกจากฝัก
เห็นได้ชัดว่าเผ่าปีศาจตนนี้หมายหัวผู้ฝึกยุทธหญิงมานานมากแล้ว จึงใช้วิชาอภินิหารย่อขุนเขาสายน้ำมาจากจุดไกลบนสนามรบ แล้วอยู่ดีๆ ก็เงื้อดาบฟันฉับลงมาทำให้แผ่นหลังของหญิงชราถูกกรีดเป็นรอยเลือดเส้นยาว
หญิงชราร่างเล็กเตี้ยขยับเท้าหลบไปด้านข้างสองสามก้าว ฝืนทนกับอาการบาดเจ็บตั้งท่าหมัดขึ้นมาอีกครั้ง
หากเป็นตอนที่อยู่ในขอบเขตสูงสุด ยังเป็นขอบเขตสิบเหมือนในอดีต ผู้ฝึกตนสำนักการทหารก่อกำเนิดเล็กๆ คนหนึ่ง ข้าป๋ายเลี่ยนซวงก็สามารถต่อยให้แหลกสลายได้ด้วยหมัดเดียว
แสงกระบี่รุ้งขาวเส้นหนึ่งตามหาร่างของหญิงชราเจออย่างยากลำบาก พลันพุ่งกระโจนมาถึงแล้วใช้หนึ่งกระบี่ฟันทั้งเสื้อเกราะและร่างของผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนนั้นให้ขาดท่อน หญิงสาวพุ่งตัวมาหยุดอยู่ข้างกายหญิงชรา เอ่ยว่า “กลับไปด้วยกัน”
ปีศาจใหญ่หลายตนที่อยู่ห่างไปไกลเริ่มเผยกาย
“คุณหนู ปล่อยให้เป็นแบบนี้เถิด วันหน้าก็ถือเสียว่าข้าแอบอู้ก็แล้วกัน”
หญิงชราเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอคุณหนูโปรดรีบกลับไป หากคุณหนูไม่ตอบตกลง ข้าจะออกหมัดอย่างสบายใจได้อย่างไร ตอนอยู่ตระกูลเหยา อยู่จวนหนิง ข้าไม่เคยเกียจคร้าน วันนี้ขอคุณหนูอนุญาตให้ข้าได้เห็นแก่ตัวสักครั้ง”
หญิงชราขยับมาบังอยู่เบื้องหน้าหนิงเหยา หันหน้าเข้าหาสนามรบทางทิศใต้ หันหลังให้กับบ้านเกิด ยิ้มเอ่ยว่า “คุณหนู วันหน้าดูแลตัวเองให้ดี แล้วก็ดูแลท่านเขยให้ดี บุรุษดีๆ อย่างท่านเขย เจอแล้วก็อย่าปล่อยให้เขาหลุดมือไป อย่าให้สตรีผู้อื่นฉกฉวยไปได้ อย่าว่าแต่นายท่านกับฮูหยินเลย ต่อให้เป็นข้ากับเจ้าสุนัขเฒ่าน่าหลันก็ยังไม่ยอม”
หญิงชราเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “แม่หนูหนิง! ไม่ต้องรอข้า ไปรอเฉินผิงอันเถอะ! ร้อยปี พันปี ล้วนคุ้มค่า!”
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าป๋ายเลี่ยนซวงใช้หมัดเปิดทาง มุ่งหน้าไปเบื้องหน้าทั้งอย่างนี้ ทั้งคนและหมัดล้วนจากไปไกล
การเดินทางครั้งนี้ของหญิงชรามีทั้งความละอายใจ มีความอาลัยอาวรณ์ แล้วก็ทั้งปล่อยวาง
——