กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 685.5 ดวงจันทร์บนฟ้า
เว่ยจิ้น หมี่อวี้ เซียนกระบี่คอขวดขอบเขตหยกดิบสองคน บวกกับผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งที่รู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้คนทั้งสองไม่ได้ เหวยเหวินหลง
พวกเขาโดยสารเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาของนครมังกรเฒ่าออกจากภูเขาห้อยหัวไปด้วยกัน
เรือนชุนฟานทั้งหลังหายวับไปภายในค่ำคืนเดียว
เรือนส่วนตัวขนาดใหญ่สี่แห่งของภูเขาห้อยหัว ทุกวันนี้จวนหยวนโหรวถูกรื้อจนเหลือแต่โครงเปล่าๆ สวนดอกเหมยและเรือนชุนฟานต่างก็ไม่อยู่แล้ว เหลือแค่ตำหนักสุ่ยจิ่งที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพัง อีกทั้งบรรพจารย์อวิ๋นเชียนที่เดิมทีเฝ้าพิทักษ์จวนตระกูลเซียนแห่งนี้ก็พาลูกศิษย์อายุน้อยกลุ่มใหญ่ออกเดินทางไกลไปเยี่ยมเยือนเซียนนานแล้ว
เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของเหวยเหวินหลงล้วนติดตามเซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนไปอยู่ที่ทักษินาตยทวีป
ก่อนหน้านี้ติดตามหมี่อวี้มา เหวยเหวินหลงจึงได้ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นครั้งแรก ครั้งนี้ออกจากภูเขาห้อยหัวก็ยังติดตามหมี่อวี้ไปเช่นกัน
เยี่ยนหมิงลงสนามรบ น่าหลันไฉ่ฮ่วนโดยสารเรือข้ามฝากหนันฉีของถ้ำซานสุ่ยมุ่งหน้าไปยังใบถงทวีป ไม่แน่เสมอไปว่าจะไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น มีความเป็นไปได้ว่าจะไปเกราะทองทวีปที่ขยับไปทางเหนือยิ่งกว่า หรืออาจถึงขั้นไปยังหลิวเสียทวีป
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘หาวเหลียง’ ลูกนั้นยังคงถูกอิ่นกวานหนุ่มแอบนำไปมอบให้เส้าอวิ๋นเหยียนแล้วส่งต่อให้หมี่อวี้อีกที
หมี่อวี้คิดจะมอบให้แม่หนูถ่านดำชื่อเผยเฉียนในนามของอิ่นกวานหนุ่ม เพราะแท้จริงแล้วเดิมทีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของพี่ชายเขาลูกนี้ก็ควรต้องเป็นของเฉินผิงอันอยู่แล้ว
คนทั้งสามพักในเรือนเล็กกุยม่ายที่เป็นของอิ่นกวานหนุ่ม
ตอนที่เรือข้ามฟากผ่านสำนักอวี่หลง มองสำนักแห่งนั้นอยู่ไกลๆ หมี่อวี้ก็กระตุกมุมปาก
บนเกาะกุ้ยฮวา ไม่ว่าจะเป็นผู้โดยสารที่เดินทางกลับบ้านเกิดซึ่งมีน้อยเพียงหยิบมือ หรือสมาชิกของเรือข้ามฟากที่มีมากยิ่งกว่า ทุกคนต่างก็หวาดกลัวกุ้ยฮูหยินที่มีบุคลิกเรียบร้อยสำรวมคนนั้น
เว่ยจิ้นปรึกษากับคนทั้งสอง การเดินทางกลับแจกันสมบัติทวีปที่เป็นบ้านเกิดของเขาในครั้งนี้ ขึ้นฝั่งที่นครมังกรเฒ่าแล้วจะต้องไปที่หอเทพเซียนของศาลลมหิมะก่อนรอบหนึ่ง เขาต้องเอาสุราไปเซ่นไหว้ที่หลุมศพอาจารย์ จากนั้นค่อยตรงไปที่ภูเขาลั่วพั่ว หลังจากนั้นเหวยเหวินหลงจะอยู่ต่อที่ภูเขาลั่วพั่ว หมี่อวี้ไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุยของอุตรกุรุทวีป เหวยเหวินหลงไม่มีความเห็นต่าง แต่หมี่อวี้กลับบอกว่าหากสำนักกระบี่ไท่ฮุยยินดีรับตนเป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อย่อมดีที่สุด ถือว่าไว้หน้าตน หากไม่ยินดีก็ช่างเถิด ถึงอย่างไรเขาก็ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าจะมาเกาะภูเขาลั่วพั่วกิน
บนยอดเขาของเกาะกุ้ยฮวาเหมาะแก่การชมทัศนียภาพเป็นที่สุด แสงอาทิตย์อัสดงอาบย้อมขอบฟ้าดุจผ้าแพรต่วน
เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตชื่อ ‘เสียหม่านเทียน’ (แสงเรืองรองเต็มฟากฟ้า) ผู้นี้ เวลานี้นั่งอยู่บนราวรั้วเพียงลำพัง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘หาวเหลียง’ ในมือถือเหล้าหมักกุ้ยฮวาหนึ่งกา กลิ่นสุราหอมโชยมาปะทะจมูก
ไม่รู้ว่าเหตุใดกวอจู๋จิ่วถึงไม่สามารถตามเขาไปที่แจกันสมบัติทวีปได้
เป็นผู้ฝึกตนสายอิ่นกวานเหมือนกัน และกวอจู๋จิ่วยังเป็นลูกศิษย์ของใต้เท้าอิ่นกวานอย่างเป็นทางการ อีกทั้งหมี่อวี้เองก็คาดหวังอย่างถึงที่สุดว่าจะมีคนบ้านเดียวกันไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองด้วยกัน สามารถพูดคุยกันด้วยภาษาถิ่นของบ้านเกิดได้
เคยได้ยินอิ่นกวานหนุ่มเล่าให้ฟังว่าหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่โอสถทองผู้ดูแลเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาลำนี้ คือผู้อาวุโสที่มีค่าพอให้ผูกมิตรด้วย
ส่วนลูกศิษย์เพียงคนเดียวของกุ้ยฮูหยิน แม่นางกุ้ยฮวาอย่างจินซู่นั่น
หมี่อวี้เคยได้ยินเรื่องของอีกฝ่ายมาเช่นกัน
เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาแค่อยากจะดื่มเหล้าเท่านั้น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คร้านจะคิดแล้ว
เนื่องจากหลายปีมานี้การค้าของเรือข้ามทวีปยิ่งนานวันก็ยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้นทุกที คนที่เดินทางมาท่องเที่ยวภูเขาห้อยหัวลดน้อยลงเรื่อยๆ เป็นเหตุให้กิจการของจิตรกรเกาะกุ้ยฮวาก็ซบเซาลงไปด้วย นานวันเข้าแผงวาดภาพใต้ต้นกุ้ยฮวาจึงเหลือเพียงแห่งเดียว จิตรกรหลายคนของตระกูลฟ่านล้วนไปจากเกาะกุ้ยฮวาแล้ว ไปหาเส้นทางทำมาหากินอย่างอื่นอยู่ที่นครมังกรเฒ่า
คนที่ยังอยู่ต่อคือจิตรกรวัยกลางคนผู้หนึ่ง คุณสมบัติในการฝึกตนไม่ได้เรื่อง เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง หากอยู่ในแคว้นเล็กใต้อาณัติของแจกันสมบัติทวีป คิดจะไปเป็นจิตรกรในวังหลวงก็ไม่ยาก เพียงแต่ว่าต้องอาศัยอยู่ใต้ชายคนคนอื่น เงินที่ได้มามีไม่มาก วาดภาพหนึ่งก็ขายได้แค่ไม่กี่ร้อยไม่กี่พันเหรียญตำลึงเงินเท่านั้น ในวงการภาพวาดของราชวงศ์ล่างมนุษย์ถือว่าเป็นราคาที่สูงเทียมฟ้าแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเงินเทพเซียนกลับไม่ถือเป็นค่าน้ำร้อนน้ำชาอะไรได้เลย
เห็นบุรุษคนนั้นนั่งเหม่ออยู่บนรั้ว เพราะซื้อเหล้าหมักกุ้ยฮวาไม่ไหว จิตรกรท่านนี้จึงหยิบเอาสุราดีในหมู่ชาวบ้านของนครมังกรเฒ่ากาหนึ่งเดินเข้าไปหาคนที่เขาไม่รู้ว่าเป็นใครผู้นั้น
ใช้สุราแสดงความเป็นมิตร ไม่แน่ว่าอาจได้รายได้เพิ่มมาอีกก้อนหนึ่ง แผงวาดภาพไม่มีลูกค้ามานานหลายวันแล้ว ยากที่จะใช้ชีวิตผ่านไปได้
หมี่อวี้หันหน้าไปมองจิตรกรตระกูลฟ่านที่มายืนอยู่ข้างกายเขานานแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะเปิดปากพูดอย่างไร ถามว่า “ได้ยินมาว่าวาดภาพที่นี่ หนึ่งภาพสามสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หากวาดสามภาพสามารถลดราคาได้ เก็บแค่ยี่สิบห้าเหรียญเท่านั้นหรือ?”
จิตรกรพยักหน้า “เมื่อก่อนตอนที่กิจการยังดีๆ เงินเกล็ดหิมะยี่สิบห้าเหรียญ พวกเราสามารถเก็บส่วนแบ่งไว้ได้ห้าเหรียญ ตอนนี้การค้าทำได้ยาก ตระกูลฟ่านมีคุณธรรมจึงยกให้จิตรกรอย่างพวกเราทั้งหมด”
ผู้โดยสารท่านนี้พูดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปได้ไม่คล่องแคล่วเท่าใดนัก
แต่ได้ยินมาว่าบุรุษหนุ่มที่รูปโฉมงดงามอย่างถึงที่สุดผู้นี้ก็คือสหายของเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะ
ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเริ่มต้นที่ขอบเขตเซียนดินกระมัง?
หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “เจ้าคงไม่ได้ชื่อซูอวี้ถิงหรอกกระมัง?”
จิตรกรตกตะลึงเล็กน้อย “ลูกค้ารู้ชื่อของข้าได้อย่างไร?”
ซูอวี้ถิงรู้จักตัวเองดี ฝีมือการวาดภาพอันน้อยนิดของตน ต่อให้อยู่ในสายตาของเซียนซือบนภูเขาแล้วจะไม่ถึงขั้นทนมองไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าฝีมือเลิศล้ำอย่างแน่นอน
หมี่อวี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คำบอกที่ว่าทุกอย่างลดเก้าส่วน ยังเหมือนเดิมหรือไม่ หากยังเหมือนเดิม ข้าก็จะขอให้อาจาร์ซูช่วยภาพวาดให้ข้าสามภาพ”
อาจารย์ซู
เพิ่มคำว่า ‘อาจารย์’ ก็เหมือนเพิ่มอักษรคำว่า ‘จื่อ’ ต่อท้ายชื่อ บนภูเขากับล่างภูเขาต่างก็ถือเป็นคำเรียกขานในเชิงบวกอย่างมาก
ซูอวี้ถิงตะลึงพรึงเพริดไปก่อน จากนั้นก็พลันกระจ่างแจ้ง ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาแกว่งเบาๆ เค้นสมองครุ่นคิดอยู่นาน ดูเหมือนจะนึกได้ แต่ก็ดันนึกไม่ออก
หมี่อวี้เอ่ยเตือน “คือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สะพายกล่องกระบี่สวมรองเท้าแตะ”
ซูอวี้ถิงใช้หมัดทุบฝ่ามือ หัวเราะร่าเสียงดัง “จำได้แล้วๆ ตอนแรกคุณชายคนนั้นยังระมัดระวังตัวอยู่บ้าง แต่พอได้ดื่มเหล้าเข้าไปกลับมีชีวิตชีวามากขึ้น”
แต่แล้วซูอวี้ถิงก็พลันรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าคุณชายท่านนั้นจะยังจำข้าผู้แซ่ซูได้ด้วย”
หมี่อวี้พยักหน้ารับ “เขาเคยเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟัง แล้วยังชมเชยเจ้ายกใหญ่ บอกว่าผลงานของอาจารย์ซูมีท่วงทำนองมีชีวิตชีวาเป็นเอกลักษณ์ เลือกใช้สีได้อย่างแม่นยำและระมัดระวัง ภาพวาดที่ออกมาจึงพอเหมาะพอดี ดังนั้นวันหน้าหากข้ามีโอกาสได้ขึ้นมาบนเกาะกุ้ยฮวาจะต้องมาให้ท่านวาดภาพให้ให้จงได้ จะไม่ขาดทุนแน่นอน”
ซูอวี้ถิงยิ่งเขินอาย เอ่ยเสียงแผ่วต่ำว่า “มิกล้าๆ”
หมี่อวี้กระโดดลงมาจากราวรั้ว แล้วเดินไปยังใต้ต้นกุ้ยบรรพบุรุษ
แสงสายันต์ค่อยๆ ลาลับหายไป สีสันยามค่ำคืนเริ่มมาเยือน หมี่อวี้แหงนหน้าขึ้น
รอคอยดวงจันทร์ลอยขึ้นฟ้าอยู่ใต้ต้นไม้
สามารถรอคอยให้ดวงจันทร์กลมดวงจันทร์เสี้ยว ดวงจันทร์สว่างดวงจันทร์มืด แต่คนเล่า?
……
ข้างกายลู่จือติดตามมาด้วยถัวเหยียนฮูหยินที่สวมหมวกม่านบดบังใบหน้า
เดินออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ผ่านประตูบานใหม่ ข้างกายเซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนติดตามมาด้วยลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเรือนชุนฟานหลายคน
พวกเขาพากันไปจากภูเขาห้อยหัวนับแต่นี้
ทางฝั่งของประตูบานเก่า นักพรตน้อยชำเลืองตามองไปทางภูเขาเดียวดาย เก็บหนังสือและเบาะรองนั่ง เอ่ยว่า “ไปล่ะ”
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่นั่งยองอยู่ที่เดิม “ไปเถิดๆ”
นักพรตน้อยถาม “จะไม่ตามข้าไปใต้หล้ามืดสลัวจริงๆ หรือ?”
จางลู่ส่ายหน้า “ข้าต้องการเบิกตาให้กว้างมองดูว่าวันหน้าใต้หล้าไพศาลจะยังเห็นกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นตัวตลกได้อีกหรือไม่?”
ร่างของนักพรตน้อยวูบหายไป มาหยุดอยู่ตรงรากภูเขาของตำหนักสุ่ยจิง ร่ายวิชาอภินิหาร ค้อมเอวลงแล้วยืดเอวตั้งตรงอีกครั้ง พลิกตำหนักสุ่ยจิ่งทั้งหลังให้ตลบอยู่บนภูเขาห้อยหัว ก่อนจะปล่อยให้มันร่วงหล่นลงมหาสมุทรใหญ่ไป
วันนี้ต้าเทียนจวินอยู่บนยอดเขา โยนโองการคำสั่งจากอาจารย์ให้กลายเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่พุ่งตรงไปยังม่านฟ้า จากนั้นเปิดค่ายกลออก ตราประทับตัวอักษณภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าแหวกม่านฟ้าออกไป ต่อมาก็มีเซียนนักพรตเต๋าของป๋ายอวี้จิงหลายคนรับภูเขาห้อยหัวไปจากน้ำวนบนม่านฟ้าซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างสองใต้หล้า แล้วกระชากพาไปที่ใต้หล้ามืดสลัว
ที่ตั้งเดิมของภูเขาห้อยหัว กลางอากาศเหลือแค่ประตูบานเก่าที่เชื่อมระหว่างใต้หล้าเปลี่ยวร้างกับใต้หล้าไพศาล รวมไปถึงเซียนกระบี่ใหญ่ที่ทรยศออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างจางลู่
……
เฉินชิงตูเผยร่างกายธรรมใช้หนึ่งกระบี่ฟันผ่าม่านฟ้า
ยกเมืองบินทะยาน
กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจพากันกรูขึ้นมาปักหลักอยู่บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไร้ผู้คนอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรแล้ว
ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจทุกคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่ว่าจะเป็นเซียนกระบี่หรือผู้ฝึกกระบี่ล้วนพากันออกกระบี่ สกัดขวางนครแห่งนั้น
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ส่วนใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง บวกกับห้าขอบเขตบนอีกจำนวนมากล้วนเลือกที่จะลงมือกับกายธรรมของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ ผู้เฒ่าชุดเทาคนนั้นหลุดหัวเราะพรืด “น่าสงสาร นี่ก็คือกระบี่สุดท้ายของเจ้าแล้ว ศึกใหญ่ครั้งนี้ หากพูดกันถึงเรื่องการสังหารเผ่าปีศาจข้า เจ้าเฉินชิงตูสู้ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
ผู้เฒ่าชุดเทาเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กายธรรมใหญ่โตมโหฬารดุจขุนเขาสูงตระหง่าน เรือนกายของเขาสูงกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่เสียอีก สองมือกำเป็นหมัด อาศัยอานุภาพของมหามรรคาจากตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่อยหมัดใส่ตรงกลางของกำแพงเมืองปราณกระบี่เต็มแรง
ต่อยให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เฉินชิงตูมิอาจออกกระบี่สกัดขวาง และยิ่งไม่อาจคุ้มครองปกป้องอย่างเต็มกำลังแห่งนั้นให้ทะลุเป็นรูขนาดใหญ่ยักษ์
กายธรรมของผู้เฒ่าชุดเทายืนอยู่ระหว่างช่องโหว่ สองหมัดทุบลงบนหัวกำแพงสองด้าน แต่ละหมัดที่ต่อยลงไป ทำให้กายธรรมของเฉินชิงตูที่ต่อให้ถูกวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์กระแทกลงบนร่างก็ยังคงแข็งแกร่งมิอาจทำลายยิ่งพร่าเลือนลงไปทุกขณะ
กายธรรมของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเพียงยืนอยู่ตรงที่เดิมในนคร หลังจากใช้กระบี่ผ่าเปิดม่านฟ้าแล้วก็ยืนค้ำฟ้ายันดิน ใช้สองหมัดกระชากน้ำวนให้แหกอ้า ไม่ให้มันหุบเข้าหากัน
นับตั้งแต่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกสร้างขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่ปรากฏความเสียหายหนักหนาขนาดนี้ อีกทั้งกำแพงเมืองยังหักออกเป็นสองท่อนโดยตรงอีกด้วย
ตรงคุกมี…คน? …ผู้หนึ่งที่ก้มหน้าค้อมเอวเดินโซเซออกมา
พอจะมองเห็นเค้าโครงร่างของคนผู้นั้นได้เลือนราง มีเพียงดวงตาสีทองคู่นั้นที่เปล่งประกายแสงเจิดจ้า นอกจากนั้นเหลือเพียงเงาดำเข้มข้นที่พร่าเลือน ราวกับว่าร่างทั้งร่างประกอบขึ้นมาจากเส้นด้ายสีดำเล็กบางแน่นขนัดหลายพันหลายหมื่นเส้น
เรือนกายนั้นพลันทะยานตัวขึ้นสูงแล้วหล่นกระแทกลงบนหัวกำแพงเมืองหนักๆ สะเทือนเผ่าปีศาจไปนับไม่ถ้วน
เผ่าปีศาจบางส่วนที่ขอบเขตสูงมากพอก็พากันอาศัยสัญชาตญาณเลือกที่จะหลบเลี่ยงตัวประหลาดนั้นไปให้ไกลมากที่สุด
เงาดำที่หล่นลงบนหัวกำแพงเมืองแหงนหน้ามองไป แล้วชูแขนขึ้นสูง บอกลากับนาง
ดูเหมือนว่าคนในใจของเขาจะอยู่บนดวงจันทร์บนฟ้าดวงนั้น นับแต่นี้ไปฟ้าดินต้องแยกจาก
เงาดำหันตัวกลับมา หันหลังให้กับนครทั้งแห่งที่กำลังบินทะยานช้าๆ หันหลังให้กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเฉินชิงตู
กายธรรมของเฉินชิงตูเอ่ยเสียงดังกังวาน “ไอ้หนู จงจดจำคำสัญญาเอาไว้ให้ดี ข้าผิดสัญญาได้ แต่เจ้าทำไม่ได้!”
ปกป้องกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งเอาไว้ให้มั่น หากใต้หล้าเปลี่ยวร้างก่อกรรมทำชั่วที่ใต้หล้าไพศาลสิบปีร้อยปี ก็ต้องพิทักษ์ปกป้องให้ได้สิบปีร้อยปี หากนานหนึ่งหมื่นปี เจ้าเฉินผิงอันก็ต้องนั่งพิทักษ์อยู่ที่นี่หนึ่งหมื่นปี!
จิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของเฉินชิงตูมาหยุดอยู่ข้างเงาร่างนั้น เอ่ยว่า “ลำบากแล้ว”
เงาดำส่ายหน้าเบาๆ แต่จากนั้นก็พยักหน้า
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสหัวเราะพลางตบไหล่คนหนุ่ม
เงาดำถอยหลังไปหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะอำลาเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
ระหว่างที่พูดคุยกันจิตวิญญาณของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ได้แหลกสลายไปแล้วหลอมรวมเข้ากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่ใต้ฝ่าเท้าอย่างแท้จริง บนโลกใบนี้ไม่มีเฉินชิงตูอยู่อีก
เงาดำที่เรือนกายพร่าเลือนนั้นยังคงไม่เอ่ยอะไรสักคำ ก้าวก้าวหนึ่งขึ้นไปบนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ สองนิ้วประกบเข้าด้วยกันแล้วพลันปาดวาดออกไป
บนหัวกำแพงเมืองปรากฎจิตวิญญาณที่แท้จริงของเซียนกระบี่แต่ละท่านที่อยู่ในม้วนภาพของหอจิ้งเจี้ยนซึ่งพากันเดินออกมา
เซียนกระบี่ในม้วนภาพวาดล้วนไร้สติปัญญา รู้แค่ว่านอกจากเงาดำนั้น ใครก็ตามที่ขึ้นมาบนหัวกำแพงล้วนต้องสังหารสิ้น
ขอแค่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งยังคงอยู่ เซียนกระบี่เหล่านี้ก็ไม่มีคำว่าตาย
ทำเรื่องนี้เสร็จ เงาดำก็พุ่งมาตรงช่องโหว่บนหัวกำแพงในเสี้ยววินาที มีเผ่าปีศาจพยายามจะมาดักขวางกลางทาง แต่ไม่ว่าจะเป็นร่างจริงของผู้ฝึกตนหรือการโจมตีจากสมบัติอาคมก็ล้วนแหลกสลายกลายเป็นผุยผงในเสี้ยววินาที
เงาดำเหมือนขุนเขาที่ตั้งตระหง่าน ยืนคุมเชิงอยู่กับผู้เฒ่าชุดเทาที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองอีกฝั่งหนึ่งอยู่ไกลๆ
ดวงตาสองข้างของเงาดำที่เป็นสีทองจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
ผู้เฒ่าชุดเทาส่ายหน้า “จะลำบากเช่นนี้ไปไย”
ใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองฝ่าย ตรงช่องโหว่ระหว่างกำแพงเมืองสองช่วง เหมือนเส้นทางที่กว้างขวางเส้นหนึ่ง บนนั้นมีกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันผ่านไป
เงาดำหายวับไปกลางอากาศ
หลังจากปรากฎตัวในจุดที่ห่างไปไกลก็กระชากเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบตนหนึ่งที่ทะยานลมข้ามผ่านหัวกำแพงเมืองลงมาจากทะเลเมฆ เอามือคว้าจับหัวของมันเอาไว้ เลือดเนื้อบนหน้าผากของอีกฝ่ายพร่าเลือนไปในเสี้ยววินาที แล้วก็ถูกเงาดำบีบให้แหลกอยู่กลางอากาศเช่นนั้น
จงจำเอาไว้ว่า บนโลกใบนี้ยังมีเฉินผิงอันที่เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมือง
——