กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 689.1 พบเจอในยุทธภพทักทายว่าลำบาก
เว่ยป้อเชิญหมี่อวี้ให้ไปเป็นแขกที่จวนซานจวินใหญ่บนยอดเขาพีอวิ๋น
เป็นเพราะว่าที่นี่คือพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยม คือถ้ำสถิตเทพเซียนอย่างสมชื่อ กินอาณาบริเวณกว้างขวางยิ่ง ประหนึ่งสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง ไร้ผู้ฝึกตนแล้วก็ไร้ซึ่งคนธรรมดา หิมะกดทับลงบนกิ่งสน หล่นร่วงลงพื้นดังเผลาะๆ เซียนน้ำภูตภูเขาเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
สุดท้ายเว่ยป้อพาหมี่อวี้มาที่หอสูงแห่งหนึ่งที่ร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้ มีชื่อว่าอิ๋งหราน
เวลาปกติเว่ยป้อชอบมานั่งที่นี่เพียงลำพัง ร่ำสุราชมทัศนียภาพ สี่ด้านแปดทิศล้วนปรากฏอยู่ในคลองจักษุ
บนหออิ๋งหรานมีเพียงเบาะรองนั่งสีขาวหิมะเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นอยู่อีก
ยามค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยขึ้นกลางนภา สีขาวหิมะกับแสงจันทร์ประชันกันส่องแสง นอกกลุ่มขุนเขายังพอจะมองเห็นเค้าโครงร่างของเขตการปกครองหลงเฉวียน อำเภอไหวหวงและเมืองหงจู๋สามแห่งที่ตั้งอยู่ในทิศทางต่างกันผ่านแสงตะเกียงได้รางๆ ประหนึ่งวางตะเกียงสามดวงขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันไว้บนพื้นหิมะ ต่อให้เทพเซียนจะอยู่ในจวนบนภูเขาก็ยังพยายามอดกลั้นไม่กล้าหายใจ ด้วยกลัวว่าจะเป่าให้แสงตะเกียงใต้ดวงจันทร์ดับลง
หมี่อวี้ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หาวเหลียงที่ยังไม่มีโอกาสมอบออกไปลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก กวาดตามองทัศนียภาพยามราตรีแล้วทอดถอนใจเอ่ยว่า “เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ คนมีความสามารถ สภาพแวดล้อมงดงาม โชคดีได้พึ่งใบบุญของเหวยเหวินหลง ระหว่างที่เดินทางมาข้าถึงได้รู้ว่าคนของถ้ำสวรรค์หลีจูหลายคนที่วัยเดียวกันกับใต้เท้าอิ่นกวาน เมื่อออกไปแล้วต่างก็โดดเด่นกันอย่างมาก หม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่ กู้ช่านแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองต้าหลี ส่วนหลิวเสี้ยนหยางผู้นั้น ข้าเคยพบเขาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อนสองสามครั้ง ร้ายกาจมากเลยล่ะ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของหลิวเสี้ยนหยาง ขนาดอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังถือว่าหาได้ยากยิ่ง”
เว่ยป้อเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ดินและน้ำดี เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่จวนเทพภูเขาทุกแห่งที่สามารถจัดงานเลี้ยงท่องราตรีได้ติดต่อกันหลายครั้งเช่นนี้ ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ เสียงทุบหม้อขายเหล็กจะดังได้ไม่ขาดสาย ถึงอย่างไรในบ้านก็ต้องมีหม้อมีเหล็กไม่ใช่หรือ?”
หมี่อวี้หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ซานจวินขุนเขาเหนือที่มีอำนาจสูงส่งมากบารมีของแจกันสมบัติทวีปท่านนี้น่าสนใจยิ่งกว่าที่จินตนาการเอาไว้เสียอีก แบบนี้สิดี หากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่คร่ำครึเกินไปย่อมทำให้เสียบรรยากาศอันดี
ดื่มเหล้าอึกใหญ่ หมี่อวี้ก็หุบยิ้ม เอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานเคยบอกว่า หากไม่เป็นเพราะเว่ยซานจวินช่วยปกป้องคุ้มครอง ภูเขาลั่วพั่วก็ไม่มีทางมีกิจการได้อย่างในทุกวันนี้ ไม่อย่างนั้นต่อให้ได้มาอยู่ในมือก็ไม่ได้ทางถือไว้ได้อยู่ กลับกลายเป็นว่าจะเป็นหายนะอย่างหนึ่ง”
เว่ยป้อเอ่ย “เหตุผลเดียวกัน หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอัน ข้าเว่ยป้อก็คงไม่ได้เป็นซานจวินแห่งขุนเขาใหญ่ ภูเขาลั่วพั่วอาศัยบารมีของภูเขาพีอวิ๋น ภูเขาพีอวิ๋นเองก็อาศัยบารมีของภูเขาลั่วพั่ว เพียงแต่ว่าคนหนึ่งอยู่ในที่แจ้ง คนหนึ่งอยู่ในที่ลับก็เท่านั้น”
คนคนหนึ่งที่สามารถมอบใจให้ได้อย่างวางใจ กับอีกคนหนึ่งที่สามารถเชื่อใจได้ การพูดคุยของทั้งสองฝ่ายต่อจากนั้นจึงจริงใจต่อกันอย่างมาก
เว่ยป้อบอกเล่าถึงความน่ากังวลในระยะใกล้และระยะไกลของภูเขาลั่วพั่วให้แก่เซียนกระบี่ท่านนี้ฟังอย่างละเอียด ส่วนหมี่อวี้ก็เล่าถึงสถานการณ์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้ซานจวินฟัง ส่วนเรื่องเกี่ยวกับใต้เท้าอิ่นกวานนั้น หมี่อวี้ไม่ได้พูดอะไรมาก
หลังจากเว่ยป้อใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็บอกเรื่องวงในส่วนที่ไม่ควรเอามาพูดคุย แต่สามารถบอกเล่ากันเป็นการส่วนตัวได้ส่วนนั้นแก่หมี่อวี้ไปด้วย
สุดท้ายหมี่อวี้ก็เอ่ยอย่างจนใจว่า “เชือกกองหนึ่งที่พันกันยุ่งเหยิง คิดจะจัดการขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ใช้กระบี่ฟันใครให้ตายเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้นสินะ?”
เว่ยป้อส่ายหน้า “ในเมื่อช่วงนี้เฉินผิงอันถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่สามารถกลับบ้านเกิดมาได้ ถ้าอย่างนั้นการรับรองแขกของภูเขาลั่วพั่วก็ต้องแตกต่างไปจากเดิมแล้ว เอาแต่หลบซ่อนอย่างเดียวไม่ใช่เรื่องดี ส่วนเรื่องที่ว่าจะออกกระบี่หรือไม่ ออกกระบี่เมื่อไหร่ ออกกระบี่กับใคร ต้องดูที่การตัดสินใจของจูเหลี่ยน”
หมี่อวี้พยักหน้า “ใต้เท้าอิ่นกวานให้ความเคารพจูเหลี่ยนมาก ข้าแค่ฟังคำสั่งจากเขาก็พอ”
เกี่ยวกับจูเหลี่ยน แม้จะยังไม่ได้พบหน้า แต่กลับได้ยินชื่ออีกฝ่ายมานานมากแล้ว
เว่ยป้ออดไม่ไหวจริงๆ จึงถามว่า “เซียนกระบี่หมี่ ขอละลาบละล้วงถามสักคำ เหตุใดเจ้าถึงได้เคารพนับถือเฉินผิงอันถึงเพียงนี้”
หมี่อวี้ช่วยแก้ไขให้ “ต้องบอกว่าเคารพยำเกรงถึงจะถูก ข้าเป็นคนเกียจคร้านที่ไม่ยินดีใช้สมอง มักกลัวที่จะคบค้าสมาคมกับคนบางคนที่ฉลาดจนถึงระดับหนึ่งอยู่เสมอ บอกตามตรง ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ของพวกเจ้า ข้ายินดีที่จะเป็นศัตรูกับผู้ฝึกตนทั้งทวีป แต่ไม่ยินดีจะเป็นศัตรูกับอิ่นกวานคนเดียว”
ในเมื่อหมี่อวี้ไม่ได้บอกเล่าอย่างละเอียดทั้งหมด เว่ยป้อก็ไม่สะดวกจะถามเกี่ยวกับเรื่องราวและสิ่งที่เฉินผิงอันพบเจอมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้มากความ เซียนกระบี่ขอบเขตคอขวดหยกดิบคนหนึ่งเรียกเฉินผิงอันว่า ‘ใต้เท้าอิ่นกวาน’ อยู่ตลอดเวลา แค่นี้ก็สามารถอธิบายปัญหาได้อย่างชัดเจนแล้ว
เว่ยป้อกล่าวปลงอนิจจัง “ข้ารู้ว่าเฉินผิงอันจะต้องเติบโต แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้”
หมี่อวี้ไม่ค่อยยินดีจะพูดคุยเรื่องนี้ จึงถามว่า “เหตุใดเวลาดื่มเหล้าจะต้องตบราวรั้วไปด้วย?”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ไม่มีใครให้พูดคุย ย่อมต้องหาความบันเทิงให้ตัวเอง”
หมี่อวี้พยักหน้ารับ “เว่ยซานจวินเองก็เหมือนใต้เท้าอิ่นกวาน ต่างก็เคยเล่าเรียนเคยอ่านตำรามาก่อน”
หนึ่งปียาวนาน มีเพียงคืนนี้ทัศนียภาพงดงาม ดวงจันทร์ทอแสงกระจ่างเต็มฟากฟ้า
เว่ยป้อกล่าว “เซียนกระบี่หมี่ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้อง หากตอบตกลง อาจจะต้องเสียเวลาของเซียนกระบี่หมี่ประมาณปีกว่าๆ ส่วนทางฝั่งภูเขาลั่วพั่วนี้ ข้าจะช่วยจับตามองให้เอง”
หมี่อวี้เอ่ย “เชิญพูดมาได้เลย”
เว่ยป้อกล่าว “อีกไม่นานตำหนักฉางชุนจะมีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลกลุ่มหนึ่งเดินทางลงใต้มาท่องเที่ยว แล้วก็จะผ่านมาทางเมืองหงจู๋ ในบรรดาคนทั้งห้า คนที่ขอบเขตสูงที่สุดก็แค่ขอบเขตประตูมังกร แต่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ยังมีผู้ฝึกตนสิ้นแคว้นอีกไม่น้อยที่เห็นต้าหลีเป็นศัตรู ในงานเลี้ยงท่องราตรีหลายครั้งที่ผ่านมา ตำหนักฉางชุนมือเติบใจกว้างมากเป็นพิเศษ ข้าเลยอยากจะตอบแทนน้ำใจพวกเขา พวกนางเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างไกล จำเป็นต้องออกไปจากอาณาเขตของทิศเหนือ แทนที่จะให้พวกนางติดค้างน้ำใจจิ้นชิงซานจวินขุนเขากลาง ก็ไม่สู้ใช้สถานะของสหาย รบกวนให้เซียนกระบี่หมี่ออกเดินทางสักครั้ง”
หมี่อวี้เอ่ยสัพยอก “ข้ากำลังอยากทำความคุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมประเพณีของแจกันสมบัติทวีปพอดี ก่อนหน้านี้เดินทางขึ้นเหนือมากับเว่ยจิ้น ไปที่ไหนก็เจอแต่คนมาประจบสอพลอ คิดอยากจะดื่มสุราเคล้านารีอย่างสงบสักครั้งยังยาก”
เว่ยป้อบอกเล่าสถานการณ์การ ‘ปกป้องมรรคา’ ในครั้งนี้ให้ฟังคร่าวๆ จากนั้นก็มอบเอกสารผ่านด่านฉบับหนึ่งที่เตรียมเอาไว้นานแล้วให้กับหมี่อวี้ หมี่อวี้เปิดดูจึงเห็นว่าระบุชื่อ อวี๋หมี่ คนของเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี หมี่อวี้ยิ้มอย่างชอบใจ อวี๋หมี่ (ข้าวที่ยังเหลือ/แซ่หมี่ที่ยังเหลือ) ชื่อที่ดี
นอกจากนี้เว่ยป้อยังมอบกิ่งไม้กิ่งหนึ่งให้กับหมี่อวี้ ด้านบนมีใบไม้สีเขียวปลั่งราวกับจะคั้นน้ำได้อยู่หลายใบ เว่ยป้อเอ่ย “นี่คือหนึ่งในกิ่งเหลียนหลี่ หากมีเรื่องเร่งด่วนถึงขนาดที่แม้แต่ข้าก็ยังจัดการไม่ได้จริงๆ ข้าจะเผากิ่งอีกครึ่งหนึ่ง ใบไม้บนกิ่งเหลียนหลี่ในมือของเซียนกระบี่หมี่กิ่งนี้ก็จะแห้งเหี่ยว เมื่อกลับเข้ามาในอาณาเขตของขุนเขาเหนือค่อยเผากิ่งเหลียนหลี่ในมือ ข้าก็จะสามารถปรากฏตัวทันที ส่งเซียนกระบี่หมี่กลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว”
หมี่อวี้เก็บพวกมันใส่ไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อพร้อมกันทั้งหมด
เว่ยป้อทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
หมี่อวี้จึงหัวเราะร่าเอ่ยว่า “วางใจเถอะๆ ข้าหมี่อวี้ไม่มีทางทำตัวเจ้าชู้เสเพลเด็ดขาด”
เพราะถึงอย่างไรเว่ยป้อก็เคยบอกว่าตำหนักฉางชุนคือสำนักตระกูลเซียนที่มีผู้ฝึกตนหญิงอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนภูเขาลั่วพั่วก็ได้สร้างคลังเก็บเอกสารลับแห่งหนึ่งไว้นานแล้ว แม้ว่าบันทึกลับเกี่ยวกับตำหนักฉางชุนจะมีไม่มาก อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบของภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นได้ติด แต่หมี่อวี้ก็เปิดอ่านอย่างตั้งใจ หลังจากที่เหวยเหวินหลงเข้ามาอยู่ในภูเขาลั่วพั่ว เนื่องจากพกพาวัตถุฟางชุ่นที่เซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนอาจารย์ผู้มีพระคุณมอบให้มาด้วย ด้านในล้วนเป็นเอกสารประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าของแคว้นต่างๆ รายงานขุนเขาสายน้ำที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้วของแจกันสมบัติทวีป ดังนั้นจำนวนบันทึกลับของคลังลับภูเขาลั่วพั่วจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัวภายในค่ำคืนเดียว
เว่ยป้อกล่าวอย่างจนใจว่า “เฉินผิงอันบอกมาไว้ในจดหมายแล้วว่า ไม่ต้องให้ข้าเป็นกังวลเรื่องการวางตัวของหมี่อวี้ แต่ให้กังวลกับใบหน้าของหมี่อวี้”
หมี่อวี้กล่าวอย่างสะท้อนใจ “คนที่รู้ใจข้าคืออิ่นกวานนี่เอง ข้าคนนี้ไม่ใช่คนเลว แต่ที่จะทำให้เสียเรื่องได้ง่ายก็คือใบหน้านี้นี่แหละ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หมี่อวี้ก็หัวเราะเสียงดัง “พี่เว่ย ข้าไม่ได้ด่ากระทบจริงๆ นะ”
เพราะซานจวินที่อยู่ข้างกายท่านนี้ก็คือบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งเช่นกัน
เว่ยป้อนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ก็กลั้นยิ้ม ไม่ยินดีจะพูดเรื่องนี้ต่อ จึงเปลี่ยนเรื่องพูดไปว่า “หากเซียนกระบี่หมี่ไม่รู้สึกว่ายุ่งยาก บนภูเขาลั่วพั่วยังมีหนังหน้ามนุษย์ที่จูเหลี่ยนตั้งใจเย็บขึ้นมาอีกหลายแผ่น สามารถเอามาให้เซียนกระบี่หมี่เลือกใช้ได้”
หมี่อวี้คือเซียนกระบี่จริงแท้แน่นอนท่านหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหมี่อวี้กับเฉินผิงอันจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าหมี่อวี้จะปรับตัวได้กลมกลืนกับภูเขาลั่วพั่วมากแค่ไหน เว่ยป้อก็ยินดีแล้วก็จำเป็นต้องปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างมีมารยาท
หมี่อวี้พยักหน้ารับ “เรื่องเล็ก”
จากนั้นวันต่อมาก็มีผู้ฝึกตนจากตำหนักฉางชุนห้าคนนั่งโดยสารเรือข้ามฟากของสำนักพีหมามาถึงท่าเรือหนิวเจี่ยว คนหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกตนหญิงอายุน้อยที่มีชาติกำเนิดจากหญิงชาวเรือของเมืองหงจู๋ คิ้วตาโฉมหน้างดงาม ชื่อเล่นว่าอีซาน ชื่อเดิมว่าอีซาน (อ่านเหมือนกันแต่เขียนคนละอย่างคนละความหมาย อีซานชื่อเล่น衣衫 หมายถึงเสื้อผ้า อีซานชื่อจริง依山 หมายถึงอิงแอบภูเขา) เนื่องจากมีชาติกำเนิดต่ำต้อย นางจึงละทิ้งแซ่เดิมของตัวเองไม่ใช้อีก บนทำเนียบของศาลบรรพจารย์ตำหนักฉางชุนเปลี่ยนชื่อเป็นจงหนัน เล่าลือกันว่าการที่นางยังคงไม่เลือกใช้แซ่ แล้วก็ไม่ได้ใช้แซ่ตามอาจารย์ผู้มีพระคุณก็เพราะวันหน้าขอแค่รอให้สตรีเลื่อนเป็นโอสถทองเมื่อไหร่ ไทเฮาต้าหลีจะประทานแซ่แห่งแคว้นอย่างแซ่ ‘ซ่ง’ ให้กับนาง
ทุกวันนี้นางคือขอบเขตถ้ำสถิต ขอบเขตไม่สูง แต่ในบรรดาคนกลุ่มนี้นับว่ามีลำดับศักดิ์สูงที่สุด เพราะผู้ถ่ายทอดมรรคาของนางคือผู้อาวุโสไท่ซ่างแห่งตำหนักฉางชุน และตำหนักฉางชุนก็เคยเป็นสถานที่ที่ไทเฮาต้าหลีเลือกไปสร้างกระท่อม ‘ปักหลัก’ ดังนั้นแม้ว่าตำหนักฉางชุนจะไม่ใช่ตระกูลเซียนอักษรจงของราชวงศ์ต้าหลี แต่กลับมีชื่อเสียงและเส้นสายค่อนข้างมากบนภูเขาของทวีปนี้ ผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตชมมหาสมุทรที่เป็นผู้นำในครั้งนี้ยังต้องเรียกนางว่าอาจารย์อาหญิง ผู้ฝึกตนที่เหลืออีกสามคนก็อายุไม่มาก ลำดับอาวุโสก็ยิ่งห่างชั้นจากจงหนัน
ในอดีตท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวมีสิ่งปลูกสร้างตระกูลเซียนที่ร้านผ้าห่อบุญสร้างไว้เรียงราย ภายหลังได้ขายพร้อมกับท่าเรือให้แก่ภูเขาพีอวิ๋นและภูเขาลั่วพั่ว ตำหนักฉางชุนขอซื้อไปสองร้านเพื่อขายวัตถุตระกูลเซียนที่มีเฉพาะในตำหนักฉางชุน คล้ายคลึงกับจวนไช่เฉวี่ยของอุตรกุรุทวีป มีชุดคลุมอาคมเครื่องประดับสำหรับผู้ฝึกตนหญิงอยู่ค่อนข้างมาก
เถ้าแก่ร้านคือสตรีวัยกลางคน นางออกมาต้อนรับศิษย์น้องจงหนันด้วยตัวเอง ข้างกายยังมีชายวัยกลางคนที่สง่างามราวต้นไม้หยกรับลม บุคลิกโดดเด่น บนใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ ยืนอยู่อีกคนหนึ่ง
เถ้าแก่พูดคุยด้วยรอยยิ้ม แนะนำว่าอวี๋หมี่ท่านนี้คือหนึ่งในเค่อชิงที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาพีอวิ๋น บรรพบุรุษของตระกูลมีความสัมพันธ์เก่าแก่กับเว่ยซานจวิน
สตรีใช้เสียงในใจเอ่ยกับคนร่วมสำนักว่า อวี๋หมี่เพิ่งฝึกตนได้แค่หกสิบปีก็เป็นขอบเขตชมมหาสมุทรแล้ว คืออาจารย์หล่อหลอม (ใช้คำว่า 炼师 เลี่ยนซือ สมัยโบราณหมายถึงนักพรตที่รู้วิชาดูแลตนเอง รู้วิธีการหลอมโอสถ) ที่คล้ายคลึงกับอาจารย์กระบี่ท่านหนึ่ง เชี่ยวชาญเรื่องยันต์กระบี่ เป็นเหตุให้พลังการต่อสู้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือในอดีตอวี๋หมี่เคยพบเจอกับเซียนกระบี่เว่ยในยุทธภพโดยบังเอิญ เคยโชคดีได้ดื่มสุราร่วมโต๊ะกัน แม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายจะธรรมดา ไม่ถือว่าเป็นสหายรักอะไรกับเซียนกระบี่เว่ย แต่เมื่อไปถึงศาลลมหิมะก็ยังพอจะสามารถช่วยพูดให้ได้อยู่บ้าง ครั้งนี้อวี๋หมี่ต้องเดินทางลงใต้ไปเยี่ยมเยือนเซียนพอดี สามารถเดินทางไปด้วยกันได้ แม้ว่าเขาจะเป็นเค่อชิงของภูเขาพีอวิ๋น แม้ว่าจะเป็นเค่อชิงปลายแถวที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ ถือเป็นผู้ฝึกตนอิสระประเภทที่ไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีมาก่อน แต่ถึงอย่างไรขอบเขตชมมหาสมุทรนี้ก็หลอกกันไม่ได้ นอกจากนี้ทุกวันนี้ภูเขาพีอวิ๋นมีเค่อชิงอยู่แค่กี่คนกัน? แม้ว่าขอบเขตของอวี๋หมี่จะไม่ถือว่าสูงนัก แต่กลับสามารถพิสูจน์ได้ว่าตระกูลของคนผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ตื้นเขินกับเว่ยป้อซานจวินใหญ่เลย
อวี๋หมี่ผู้นี้ทั้งรู้จักกับเซียนกระบี่เว่ย บรรพบุรุษของตระกูลยังเคยผูกสัมพันธ์ควันธูปที่ล้ำลึกกับภูเขาพีอวิ๋นเอาไว้ด้วย ยามออกจากบ้านไปหาประสบการณ์ด้านนอกจึงมีคุณสมบัติมากพอที่จะดูแลคนอื่น
หญิงชราที่เป็นขอบเขตประตูมังกรผู้นั้นเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง จึงยอมตอบตกลงด้วย แต่เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน จึงบอกให้เถ้าแก่ร้านส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวแก่ตำหนักฉางชุน อธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียด นั่นเพราะอาจารย์อาหญิงจงหนันมีความพิเศษสำหรับตำหนักฉางชุนมากเกินไป หากบรรพจารย์ผู้ที่เฝ้าพิทักษ์ตำหนักฉางชุนรู้สึกว่าอวี๋หมี่ผู้นี้ไม่ควรจะเดินทางไปร่วมกัน ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แต่ล้มเลิกกลางคัน ต่อให้จะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายต้องแย่ลง ก็ไม่อาจละโมบในความได้เปรียบเล็กๆ จากการที่มีขอบเขตชมมหาสมุทรซึ่งเป็นคนนอกคนหนึ่งมาช่วยปกป้องมรรคาให้ได้
คิดมาถึงตรงนี้หญิงชราก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย เซียนดินทั้งหมดที่ตำหนักฉางชุนมีในทุกวันนี้ล้วนออกจากภูเขา คล้ายว่าต่างก็มีภาระสำคัญติดตัว แต่เซียนดินทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบรรพจารย์ในศาลบรรพจารย์หรือผู้ถวายงาน เค่อชิงของตำหนักฉางชุน ล้วนไม่เคยแพร่งพรายให้แก่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดหรือคู่บำเพ็ญเพียรคนใด รู้ว่าตัวเองไปที่ใด ไปทำอะไร ทุกอย่างล้วนเป็นความลับ ดังนั้นการเดินทางลงจากภูเขามาหาประสบการณ์เป็นครั้งแรกของพวกจงหนันสี่คนจึงได้แต่ให้นางที่เป็นขอบเขตประตูมังกรมาเป็นผู้ปกป้องมรรคาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยที่สุดก็ควรเป็นเซียนดินโอสถทองที่เป็นผู้นำ หากไม่ต้องการให้ลูกศิษย์ผ่อนคลายมากเกินไปนัก เพราะยากที่จะขัดเกลาจิตแห่งมรรคาได้อย่างที่คาดการณ์ไว้ ถ้าอย่างนั้นก็ควรต้องให้มีการคุ้มครองอย่างลับๆ
หลังจากได้พูดคุยกัน จากนี้อวี๋หมี่ก็จะติดตามคนทั้งกลุ่มเดินทางลงใต้ มุ่งหน้าไปยังเมืองหงจู๋ ยันต์กระบี่ที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นผู้สร้างอนุญาตให้ผู้ฝึกตนทะยานลมเดินทางไกลในเขตการปกครองหลงเฉวียนได้ แต่วัตถุหายากที่มีราคาแต่ไร้ตลาดประเภทนี้ ในกลุ่มของผู้ฝึกตนหญิงจากตำหนักฉางชุนกลับมีเพียงจงหนันคนเดียวที่ได้ครอบครองยันต์กระบี่ราคาไม่ธรรมดานี้ แล้วยังเป็นเพราะอาจารย์เป็นผู้มอบให้ ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่เดินเท้ากันไป